*** Inception *** "ความฝัน" คือ "ภาพยนตร์"
*** Inception ***
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในด้านของรายได้ และคำวิจารณ์ในแง่ดีมากๆทั้งจากผู้ชมและนักวิจารณ์จาก The Dark Knight จนเป็นที่เชื่อมั่นในฝีมือทั้งจาก Studio และผู้ชมในวงกว้างแล้ว Christopher Nolan จึงมีโอกาสสร้าง Project ในฝัน ให้เป็นจริงเสียที และ Project ที่ว่านั้นก็คือ Inception
Inception เล่าเรื่องราวของ Dom Cobb (Leonardo DiCaprio) และพรรคพวก เหล่าจารชนผู้เชี่ยวชาญในการเข้าไปจารกรรม ความลับ ในขณะที่เป้าหมายกำลังฝัน
มาในคราวนี้ Cobb และพรรคพวก กลับต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามนั่นก็คือ การฝังข้อมูล เพื่อ จุดประกายความคิด (Inception) ลงในจิตใต้สำนึกของเป้าหมาย เพื่อปลูกฝังให้เป้าหมายมีความคิดในแบบที่ต้องการ ซึ่งถือเป็นงานที่ยากมากๆ
ที่สำคัญงานนี้ยังเป็นการเดิมพันอิสรภาพของ Cobb อีกด้วย
จริงอย่างที่ Cobb บอกกับ Ariadne (หรือ Nolan บอกกับ ผู้ชม) ว่า Idea นั้น มีศักยภาพที่ร้ายกาจมากมายมหาศาล เพราะถึงแม้ Inception จะเป็นหนังที่ดูสดใหม่มากแค่ไหนก็ตาม แต่ผู้ชมคงสัมผัสได้ว่า Idea เริ่มต้นที่สร้างสรรค์ของหนังนั้น ตัว Nolan เองก็อาจโดน Inception (ทั้งที่ยังตื่น) จากหนังหลายๆเรื่องมาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น
Waking Life (ฝันซ้อนฝัน, การถูกจองจำในความฝัน)
Eternal Sunshine of the Spotless Mind (การเข้าไปโลดแล่นในจิตใจ)
Open Your Eyes (ความเรือนลางระหว่าง ความจริง กับ ความฝัน)
The Cell (การแชร์ความฝัน)
และที่ขาดไม่ได้ก็คือ The Matrix ที่ Nolan ออกปากเองว่า นี่คือแรงบันดาลใจหลักของงานนี้
นอกจากนี้ในส่วนของเนื้อเรื่องที่ว่าด้วยการจารกรรมและการปฏิบัติการณ์นั้น เราจะพบเห็นความละม้ายคล้ายคลึงกับหนังสายลับอังกฤษอย่าง James Bond ไม่ว่าจะเป็น
- การที่หนังใช้ Location ในหลายประเทศทั่วโลก
- การที่หนังมีสองสาวสวย มารับบทเด่น โดยที่คนหนึ่งดี คนหนึ่งร้าย ไม่ต่างจากสาวๆในหนัง Bond ทั้งหลาย
- ฉาก Action ใน Location หิมะตอนท้ายเรื่อง ที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์หนัง Bond
ไม่แปลกใจเลยที่ Nolan เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาโตมากับ หนังสายลับ 007
และหากพิจารณา เงื่อนไข ของโลกแห่งความฝัน โดยเฉพาะในข้อที่ว่า เวลาในความฝัน จะเดินเร็วกว่าปกติ เราจะพบว่า เงื่อนไขนี้มันมีความคล้ายคลึงกับลักษณะอันโดดเด่นอย่างหนึ่งของหนัง นั่นก็คือ
เวลาในหนังส่วนใหญ่นั้น กินเวลามากกว่าเวลาที่ฉายจริง
(น่าจะเกิน 99 % จากหนังทั้งหมดที่เคยสร้างกันมาในโลก ที่เป็นแบบนี้)
ตัวอย่างง่ายๆก็คือ Forrest Gump เล่าเรื่องราวที่ยาวนานกว่า 20 ปี ได้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง
จึงอาจเปรียบได้ว่า หนัง ก็คือ ความฝัน หรือพูดให้สวยหรูได้ว่า
"ความฝัน" คือ "ภาพยนตร์"
และถ้ามองในแง่ของ ที่มาที่ไป ของหนังเรื่องนี้ ประโยคข้างบนก็ยังคงใช้ได้ เนื่องจาก Inception คือ ภาพยนตร์ในฝัน ที่ Nolan อยากทำมานานแล้ว นั่นเอง
ซึ่งเหมือนเป็นการ แชร์ความฝัน กับผู้ชม ด้วยการเชื้อเชิญผู้ชมให้เข้ามาโลดแล่นในความฝันของเขาอีกด้วย
ด้วยธรรมชาติที่คล้ายคลึงกันระหว่าง ความฝัน กับ หนัง ตัวละครใน Inception อาจเปรียบได้กับ เหล่าบุคลากรหลากหลายหน้าที่ในกระบวนการสร้างหนังได้เช่นกัน
Cobb, The Extractor (ผู้สกัด, ผู้คัดแยก) = ผู้กำกับ หรือ ผู้ตัดต่อ ที่ต้องเลือกเรื่องราว ควบคุมองค์ประกอบทั้งหมด เพื่อนำเสนอ
Arthur, The Point Man (คนชี้จุด, กำหนดเป้า) = ผู้เขียนบท ที่ต้องค้นคว้าหาวัตถุดิบ กำหนดเรื่องราว หรือแก่นสำคัญ
Ariadne, The Architect (สถาปนิก) = คนออกแบบงานสร้าง ควบคุมองค์ประกอบ สภาพแวดล้อม หรือสถานที่ถ่ายทำ ซึ่งอาจหมายถึง ผู้กำกับภาพ ได้อีกด้วย
Eames, The Forger (นักปลอมแปลง) = เหล่านักแสดง ที่ต้องสวมบทบาทต่างๆในหนัง
Yusuf, The Chemist (นักเคมี) = ช่างเทคนิค หรือเทคนิคพิเศษทั้งหลายในหนัง ที่คอยอำนวยความสะดวกให้การทำงานราบรื่น หรือเติมเต็มความสมบูรณ์ของหนัง
Saito, The Tourist (ผู้เที่ยวชม) = ผู้อำนวยการสร้าง ที่จัดสรร บริหารเงินทุนสำหรับงานสร้าง และแน่นอนว่านี่ต้องถือเป็น ผู้เที่ยวชม หรือตรวจเยี่ยมกองถ่ายหนัง และมีอิทธิพลต่อการสร้างมากๆ
แน่นอนว่า Nolan อาจไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไรมากนัก และอาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า โลก ความฝัน ใน Inception ก็คือ โลก ภาพยนตร์ ที่เขาประสบพบเจออยู่เป็นประจำนั่นเอง
ก็อย่างที่บอก Nolan ถูกหนังและชีวิตการทำหนัง Inception เข้าให้แล้ว
อาจมีคำถามว่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว Fischer, Jr., The Mark กับ Mal, The Shade คืออะไร?
สำหรับสองตัวละครนี้อาจมีความหมายเป็นนามธรรมสักนิด
Fischer, Jr., The Mark (เป้าหมาย) = เป้าหมายของตัวหนัง หรืออาจหมายถึง สาระสำคัญที่ผู้สร้างต้องการนำเสนอ หรืออาจเป็น ตัวจุดประกายความคิด ให้ผู้ชม ก็ได้
Mal, The Shade (เงา) = ปัญหาลึกๆของตัวผู้กำกับ (หรือผู้กำหนดทิศทางของหนัง) ที่เจ้าตัวไม่กล้าบอกทีมงาน ซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อตัวหนังได้ หรืออาจหมายถึง อิทธิพลมืดที่คอยควบคุมการสร้างหนัง ก็เป็นได้
หรือไม่ก็แปลว่า เมียผู้กำกับ กันตรงๆนั่นแหล่ะ
เอาหล่ะ กลับมาสู่การวิจารณ์กันบ้าง Inception เป็นความบันเทิงที่เข้าถึงไม่ยากนัก แต่ก็ไม่ง่ายเกินไปจนดูถูกสมองของผู้ชม ซึ่งนอกเหนือจากความประทับใจในตัวหนังแล้ว ก็ไม่ได้มีประเด็นหนักสมองให้เก็บไปคิดมากนัก
นอกเสียจากว่าใครจะสนใจในรายละเอียดต่างๆของเนื้อเรื่อง, รายละเอียดของกฎเกณฑ์ต่างๆ ในความฝัน หรือกลวิธีในการ Inception ก็คงมีอะไรให้ติดหัวออกไปคิดกันเล่นๆ เนื่องจากหนังเดินเรื่องเร็วพอสมควร
Nolan ยังคงถนัดกับการเล่าเรื่องราว "ตัวละครที่มีความรู้สึกผิดบาปในใจ" ไม่ต่างจากผลงานอื่นๆของเขา เพียงแต่ใน Inception หนังลดระดับความหดหู่ และความตึงเครียดของตัวละครลงไปเยอะทีเดียวเมื่อเทียบกับงานก่อนหน้านี้ทั้งหลาย
หนังไม่ได้ลงลึกในแง่ของการสำรวจจิตใจของมนุษย์ หรือในแง่ของปรัชญาเรื่องจิตใจ หรือความฝัน มากนัก
แต่ก็เป็นผลดีต่อตัวหนังมากกว่าผลเสีย เมื่อพิจารณาว่าเป้าหมายของหนังคือการเป็น หนังขายความบันเทิงประจำ Summer มากกว่าจะวางตัวเป็น หนังดราม่าขายการแสดง หรือ หนัง Sci-fi ขายปรัชญาล้ำลึก
ฉาก Action และ ฉากโชว์ของ หลายๆฉากนั้นทำออกมาได้ดีมีระดับ แม้จะไม่ได้สดใหม่ แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจได้ดีเยี่ยม
ที่โดดเด่นมากๆ คงหนีไม่พ้น ฉากเมืองพับได้ กับฉาก ไร้แรงโน้มถ่วง ที่ต้องกลายเป็น ภาพจำ ของหนังแน่นอน
แต่ฉาก Action ใน Location หิมะขาวโพลนในช่วงท้ายนั้น ดูซ้ำซาก และขาดความสร้างสรรค์ไปหน่อย อีกทั้งตัวละครฝ่ายตัวเอกนั้นก็เก่งกาจมากเกินพอดีจนแทบจะไม่บาดเจ็บเลยซักนัด แม้กลุ่มผู้ร้ายจะยกโขยงมาเป็นกองทัพ (อารมณ์เดียวกับหนัง Bond นั่นแหล่ะ) ซึ่งทำให้อารมณ์ลุ้นเอาใจช่วยตัวละครนั้นมีน้อยเกินไป
แต่หนังก็ชดเชยด้วยการสร้างความลุ้นระทึกให้ผู้ชมโดยอาศัยเนื้อเรื่องที่เน้นไปที่ การทำงานแข่งกับเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที ซึ่งต้องถือว่าเป็นการชดเชยที่ได้ผลมากๆ
แม้ Inception จะขนทีมนักแสดงมาเยอะมาก แต่หนังก็แชร์ความเด่นให้กับตัวละครทั้งหลายได้อย่างเหมาะสม
DiCaprio ยอดเยี่ยมในบท Cobb หัวหน้าทีม ที่ถือเป็นบทนำของหนัง ซึ่ง DiCaprio สามารถพาหนังไปตลอดรอดฝั่งได้สบายๆ อย่างไรก็ตามบทนี้ไม่ได้เรียกร้องการแสดงที่ลึกซึ้งหรือซับซ้อนมากนัก นี่จึงไม่ใช่ผลงานที่ชื่อของ DiCaprio จะถูกจดจำในฐานะหัวใจหลักของหนัง
Ellen Page เยี่ยมในบท Ariadne ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ชมที่เริ่มเข้าสู่โลกความฝันไปพร้อมๆกัน แต่ก็ทำหน้าที่เป็น Guide นำเที่ยว (ตัวละครที่สร้างเหตุให้มีการอธิบายเรื่องราวต่างๆ) ไปในตัวอีกด้วย
สำหรับนักแสดงคนอื่น ต่างก็ทำหน้าที่ของตนเองได้ดีและมีเสน่ห์ โดยเฉพาะ Joseph Gordon-Levitt ในบท Arthur และ Tom Hardy ในบท Eames
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ความสามารถของ Cillian Murphy ในบท Fischer, Jr. ที่หนังไม่เปิดโอกาสให้แสดงอะไรมากนัก
Inception ยังไม่ใช่งานที่ลุ่มลึกในระดับเดียวกับงานเก่าๆของ Nolan แต่ก็ถือเป็นงานขายความบันเทิงที่ซับซ้อน และสร้างสรรค์ จนยากที่จะเลียนแบบได้
หนังไม่มีประเด็นหนักๆอย่าง The Dark Knight แต่ก็มีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยรายละเอียด แบบเดียวกับ The Prestige
ซึ่งทำให้หนังดูสนุก เข้าถึงไม่ยากนัก แถมยังสร้างความประทับใจ และเป็นความบันเทิงได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
แน่นอนว่าตอนจบของหนังที่เป็น "ปลายเปิด" ให้ผู้ชมไปคิดต่อเอาเองนั้น จะสร้างกระแสความสงสัย ที่อาจส่งผลไปถึงการดูซ้ำ ย่อมเป็นผลดีต่อรายได้ของหนังอีกด้วย
สรุปว่า
Inception คืองานที่ Nolan ต้องการ Incept ผู้ชม
อย่างที่หนังหลายๆเรื่องเคย Incept ตัวเขามาแล้วนั่นเอง
ในช่วงต้นเรื่อง หนังบอกเอาไว้ว่า ส่วนใหญ่แล้วความคิดแง่บวก ย่อมเติบโตได้ดีกว่าความคิดแง่ลบ
ซึ่งนี่อาจตอบข้อสงสัยในตอนจบของหนังที่คลุมเครือได้ว่า สรุปแล้วมันจบแบบ แง่บวก หรือ แง่ลบ กันแน่
เพียงแต่ผู้ชมคงต้องพิจารณาเอาเองว่า แง่บวก หรือ แง่ลบ ของตัวเอง (หรือของ Cobb) คืออะไร
9 / 10 ครับ
Incept แปลว่า ริเริ่ม หรือ จุดประกาย (กริยา) Inception แปลว่า การริเริ่ม (นาม)
Create Date : 20 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 20 กรกฎาคม 2553 4:50:53 น. |
|
33 comments
|
Counter : 20757 Pageviews. |
|
|
|
ขอให้ดาวบทวิเคราะห์นี้ครับ ชอบมาก ขอนำไปแปะในบล็อคนะครับให้คนได้อ่านกัน
ถ้าหนังเรื่องนี้สามารถให้อารมณ์ได้เหมือน Eternal Sunshine of the Spotless Mind ก็คงดีนะครับ แต่ก็เข้าใจว่า "ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง"
ในแง่นี้ผมมองว่า Fischer, Jr ที่เป็นเป้าหมายนั้นอาจเป็นผู้ชมก้ได้มั๊งครับ โนแลนเข้าไปสร้าง(ฝัง)ความบันเทิงแก่ผู้ชม (ฮา)
ผมติดเหมือนกับคุณนวกานต์เรื่องฝันชั้นที่สามที่เป็นหิมะเหมือนกันครับเพราะมันดูโดดมากและไม่เข้าพวกเอาเสียเลย แต่พอมาลองพิจารณาดีๆถึงเรื่องสีของภาพในแต่ละฝันแล้วผมคิดว่ามันน่าจะมีความหมายอะไรบ้างอย่างเหมือนกับที่ผมได้เขียนไว้ในบล็อคครับ
คุณนวการต์ลืมพูดถึง มาริญง โกติญาร์ด ไปหรือเปล่าครับ???? 555
ผมว่าตอนจบแบบนี้แหละที่มันเป็นสเน่ห์และเหนือชั้นที่สุดแล้วและสำหรับผมมันคือ "แง่ลบ" ครับ