All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
9 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
*** Fearless *** ชนะใจตนเอง ชนะใจมหาชน

*** Fearless ***






Fearless ถือว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจเรื่องหนึ่งของ Jet Li (หลี่เหลียนเจี๋ย) ในยุคหลังๆ ยุคที่เขาก้าวเข้าสู่ Hollywood อย่างเต็มตัว อีกทั้งนี่ยังเป็นหนังที่ Li รับบทวีรบุรุษชาวจีนที่มีตัวตนอยู่จริง เช่นเดียวกับผลงานที่สร้างชื่อให้กับเขาอย่าง Once Upon a Time in China (หวงเฟยหง) ผลงานกำกับของ Hark Tsui (ฉีเคอะ) ในปี 1991





Fearless เล่าเรื่องราวกึ่งชีวประวัติของ Huo Yuanjia (ฮั่วหยวนเจี่ย, รับบทโดย Jet Li) ปรมาจารย์กังฟูชื่อดัง ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้น ศตวรรษที่ 20


ในวัยเด็กหยวนเจี่ย เกิดในตระกูลนักสู้แห่งเมืองเทียนจิน เมืองที่มีสนามประลองตั้งอยู่กลางเมือง และการท้าประลองการต่อสู้ ก็เป็นเรื่องที่สามารถพบเห็นได้จนชินตา

พ่อของหยวนเจี่ยนั้น ไม่สนับสนุนให้เขายุ่งเกี่ยวกับกังฟู แต่ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เขาแอบฝึกวิชาอย่างลับๆ


แต่แล้วเหตุการณ์ในวันหนึ่ง ที่ดูเผินๆอาจเป็นแค่การชกต่อยกันธรรมดาของเด็กๆ แต่ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความคิด และการใช้ชีวิตของหยวนเจี่ย ซึ่งนั่นทำให้เขามุ่งมั่น และพยายามจะเป็น “ยอดฝีมืออันดับหนึ่ง” ให้จงได้



หนังเล่าตัดมาสู่วัยที่หยวนเจี่ยกำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง เขากลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของเมือง หลังจากที่ไม่แพ้ใครหลายสิบครั้งติดกัน

นั่นทำให้เขาหลงระเริงไปกับชื่อเสียง และเหลิงไปกับความเก่งกาจของตนเอง จนในที่สุด ความหลงตัวเองของเขาก็ทำให้เกิดความสูญเสียร้ายแรงกับตัวเขา และครอบครัว


และนี่เองที่ทำให้เขาหนีเตลิดออกไปจากเมือง เพื่อไปสงบจิตใจก่อนที่จะกลับมาที่บ้านเกิดอีกครั้ง เพื่อก่อวีรกรรมที่เป็นตำนาน และถูกเล่าขานมาถึงปัจจุบัน







Fearless ที่แปลว่า “กล้าหาญ” นั้น นอกจากจะเป็นชื่อหนังแล้ว ยังเป็น Theme หลักของเรื่องอีกด้วย


ในวัยเด็ก หยวนเจี่ย ถูกหยามศักดิ์ศรีอย่างหนักถึงขั้นจำฝังใจ หลังจากพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ซึ่งเหตุนี้เองที่สร้างบาดแผลในใจ ซึ่งแผลนั้นคือ “ความกลัวที่จะพ่ายแพ้” ให้กับเขา


หลังจากนั้น หยวนเจี่ย พยายามต่อสู้กับความกลัวนั้น ผ่านการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ด้วยการเอาชนะผู้อื่นไปเรื่อยๆ และคิดว่าสักวันหนึ่งถ้าเขาเป็นที่หนึ่งได้ ความกลัวนั้นคงหมดไป



ครั้งหนึ่งหลังจากประลองเสร็จ ขอทานเสียสติประจำเมือง เคยถามคำถามที่ตรงกับความปรารถนาในใจของเขามากที่สุดว่า



“เมื่อไรหล่ะ ที่ท่านจะเป็นที่หนึ่งในเมืองเสียที”



ไม่นานหยวนเจี่ยก็มีชื่อเสียงโด่งดัง มีลูกศิษย์มากมาย ทุกคนยอมรับในฝีมือของเขา

แต่สำหรับหยวนเจี่ยแล้ว แม้ว่าในบางช่วงเขาอาจจะมั่นใจว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดในเมือง แต่ลึกๆเขาก็ยังกลัวความพ่ายแพ้อยู่



นั่นทำให้เขาอยากพิสูจน์ตัวเองว่าตนเป็นที่หนึ่งจริงหรือไม่ เพื่อที่เขาจะได้เลิกกลัวเสียที


ซึ่งก็เหมือนตลกร้าย เพราะถึงแม้เขาจะเป็นที่หนึ่งในเมืองได้สำเร็จ ขอทานเสียสติก็ยังถามเขาต่อไปว่า



“เมื่อไรหล่ะ ที่ท่านจะเป็นที่หนึ่งในโลกเสียที”






หยวนเจี่ย คงต้องประลองอยู่เรื่อยไป ทุกครั้งที่เกิดความกลัว เพื่อบำบัดอาการนั้น แต่มันก็เป็นแค่การแก้ปัญหาชั่วคราว

เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาคิดว่ามีคนที่เก่งกว่าตน หรือเริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองยังคงเป็น “อันดับหนึ่ง” อยู่หรือไม่ เขาก็ต้องออกไปประลองต่อไปเรื่อยๆ


ซึ่งในที่สุดแล้วปัญหาและความทุกข์ใจของเขาก็ยังไม่หมดไปอยู่ดี





สุดท้าย Fearless เลือกที่จะหยิบ "ปรัชญาทางพุทธศาสนา" มาแก้ปัญหานี้ให้กับ หยวนเจี่ย





และแล้ว หยวนเจี่ย ก็ตระหนักได้ว่า แม้จะเป็นที่หนึ่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์เดิมๆต่อไป แถมต้องทุกข์เพิ่มเพราะใช้วิธีดับทุกข์ผิดทาง

ซึ่งแท้จริงแล้ว “ความกลัว” ตัวการของปัญหาทั้งหลายนั้นอยู่ในจิตใจของตัวเขาเองต่างหาก (ซึ่งแม่ และเพื่อนสนิทของเขาเตือนอยู่บ่อยๆ แต่เขาไม่เคยฟัง)



ซึ่งการไปเอาชนะผู้อื่นนั้น ไม่สามารถทำลายความกลัวนั้นได้ เพราะความกลัวนั้นไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น หากแต่อยู่ในจิตใจของเราเอง



ในที่สุดหยวนเจี่ยก็พบว่า



เมื่อชนะใจตนเองได้แล้ว การชนะผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป






หลังจากคลี่คลายปัญหาของหยวนเจี่ยสำเร็จ หนังก็มุ่งสู่ประเด็นใหม่ทันที ดังนั้นในส่วนท้ายๆของหนัง จึงเป็นส่วนของการปลุกอารมณ์ฮึกเหิม และชาตินิยม (หรืออย่างน้อยก็ “ผู้ชมนิยม”) ผ่านวีรกรรมที่สร้างชื่อให้กับเขา ซึ่งแน่นอนว่า นี่เป็นจุดขายสำคัญอีกจุดของหนังเช่นกัน


ดังนั้นในส่วนนี้ หนังจึงสร้างตัวร้ายที่แทบจะมีมิติเดียวขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน แถมเป็นตัวร้ายแบบสูตรสำเร็จที่พบเห็นได้ทั่วไปในหนังจีนแนววีรบุรุษ นั่นก็คือ “ชาวต่างชาติ” โดยเฉพาะชาติตะวันตกและญี่ปุ่น ในยุคสมัยที่ต่างชาติเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในจีน


แต่หนังก็สร้างให้ตัวละครตัวหนึ่ง นั่นก็คือ Anno Tanaka (Shido Nakamura) นักสู้จากญี่ปุ่น ที่ต้องประลองกับหยวนเจี่ยในตอนสุดท้าย ให้เป็นตัวละครที่มีคุณธรรม เพื่อเป็นการยกย่องศิลปะการต่อสู้ อย่างที่หนังบอกว่า ไม่มีแบ่งเชื้อชาติ, แบ่งประเภท หรือ ระดับชั้น

ซึ่งหนังเน้นย้ำประเด็นนี้ผ่านฉากชงชาของทั้งคู่ก่อนวันประลอง แถมฉากนี้ยังพูดถึงเรื่องการเอาชนะตนเอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง Theme หลักของหนังด้วยนั่นเอง



สรุปว่าในท้ายที่สุด หลังจากที่หยวนเจี่ยชนะใจตนเองได้แล้ว เขาก็ยังชนะใจมหาชนได้อีกด้วย







Fearless คือหนังกังฟูกึ่งชีวประวัติ ที่มีความเป็นสูตรสำเร็จอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม หนังเน้นไปที่พัฒนาการของตัวละคร มากกว่าจะเน้นไปที่ การเล่าถึงประวัติศาสตร์ช่วงนั้น หรือประวัติของตัวละครเป็นหลัก ซึ่งสิ่งที่หนังต้องการขายจริงๆนั้นคงไม่พ้น ฉาก Action การต่อสู้ และอารมณ์ฮึกเหิม แบบชาตินิยม



หนังทำได้ดีในการสร้างตัวละครฮั่วหยวนเจี่ย ที่มีทั้งมิติความลึก และมีพัฒนาการที่เห็นได้ชัด ซึ่งทำให้ Li ผู้รับบทนี้ ได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่า เขาไม่ได้มีดีแค่การโชว์ฉากบู๊อันสวยงามเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการแสดงของ Li ในบางช่วงบางตอนยังดูล้นๆไปนิดหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วถือว่าเขาแบกหนังทั้งเรื่องได้สำเร็จ


ขณะที่ตัวละครอื่นๆ แม้จะมีมิติความลึกไม่มากนัก แต่นักแสดงทั้งหลายก็รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองได้ดี



ในส่วนของงานสร้างนั้น ถือว่ามีความพิถีพิถันสูง และอยู่ในระดับที่ดีมากทีเดียว เมื่อเทียบกับหนังเอเชียด้วยกัน


และนี่ น่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดของผู้กำกับ Ronny Yu







พูดถึง ฉาก Action กันบ้าง ใน Fearless มีฉากต่อสู้ให้ชมกันจุใจแน่นอน ซึ่งผู้รับผิดชอบงานนี้ไม่ใช่ใคร แต่เป็นชื่อดังอย่าง Yuen Woo Ping (หยวน วู ปิง) ที่หลังจากโด่งดังจาก The Matrix ก็งานชุกเป็นพิเศษ

ซึ่งสไตล์ของ วู ปิง นั้น หลายคนคงคุ้นเคยกันดี ขอให้คำจำกัดความสั้นๆก็คือ พลิ้วไหว แต่รวดเร็ว และฝืนแรงดึงดูดนิดๆ (อาจเพราะใช้สลิงช่วยนี่เอง )



ส่วนลีลาบู๊ของ Li นั้น สามารถไว้ใจได้อยู่แล้ว กับความสวยงาม และความรวดเร็ว ซึ่งใน Fearless ก็มีฉากบู๊หลายแบบ หลากอาวุธ ให้ Li ได้โชว์ฝีมือกันเต็มๆ


แต่น่าเสียดายที่ฉาก Action ทั้งหลายนั้น บ่อยครั้งถูกทำให้เป็นภาพ Slow motion ตามที่นิยมใช้กันในยุคหลัง The Matrix อีกทั้งการตัดต่อฉาก Action แบบกระโดดข้ามเป็นห้วงๆ ไม่ต่อเนื่อง ก็ทำให้เสียอรรถรสไปพอสมควร ทั้งๆที่ผู้ชมน่าจะได้ชมลีลาอันสวยงามของ Li อีกทั้งคิวบู๊ที่ถูกตระเตรียมมาอย่างดี แบบเต็มๆและต่อเนื่อง



และแม้ว่าจำนวนฉาก Action ในหนัง จะถูกประเคนเข้ามาทุกๆ 10 นาที แต่มันก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าเยอะเกินไปจนน่าเบื่อ เพราะในฉากท้ายๆ ที่แม้จะเป็น Action แบบเดิมๆ แต่การที่หนังค่อยๆเร่งระดับอารมณ์ของผู้ชม และความตึงเครียดในฉากสุดท้ายนั้น มันก็ทรงพลังพอที่จะสะกดผู้ชมเอาไว้ได้







Fearless คือหนังกังฟูกึ่งชีวประวัติสูตรสำเร็จ ที่ทำได้ดีพอสมควรในสิ่งที่หนังต้องการขาย นั่นก็คือ ฉาก Action จากการต่อสู้ ที่แม้จะไม่สดใหม่ แต่ก็ดูสนุก

นอกจากนี้หนังยังสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ชมได้ดี ในแบบที่หนัง Martial Art สักเรื่องควรจะทำได้



ที่สำคัญหนังยังสอดแทรกข้อคิด และประเด็นที่น่าสนใจ ลงไปได้อย่างแนบเนียน และสามารถเข้าใจได้ไม่ยากนัก



นี่ถ้าตัดเรื่องความรุนแรงออกไป สามารถนำไปสอนข้อคิดดีๆให้เด็กๆได้เลย




7 / 10 ครับ





Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2553 21:30:58 น. 5 comments
Counter : 8714 Pageviews.

 
หมายเหตุ :

นี่เป็นการหยิบมาดูซ้ำเป็นครั้งที่ 2

สาเหตุก็เพราะ เพิ่งดู Ip Man ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แล้วเห็นถึงความคล้ายคลึงกัน เลยหยิบมาดูใหม่





ส่วน Ip Man กำลังจะเขียนถึง แล้วคงมีการเปรียบเทีบกันในด้านต่างๆด้วย


โดย: navagan วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:40:42 น.  

 
เรื่องนี่ไม่เคยและไม่คิดจะดูเลยครับ แต่จากที่อ่านแล้วผมคงต้องพิจารณาใหม่ซะแล้วละครับ

เคยแต่ดู IP Man ที่ถึงแม้จะไม่ชอบในบทสรุปแต่โดยรวมเป็นหนังที่ดูสนุกมากๆ


โดย: Seam - C IP: 203.144.144.164 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:48:31 น.  

 
ตอนแรกนึกถึงอัลบั้มของเทย์เลย์ สวิฟท์ (แล้วมันเกียวอะไรกันล่ะเนี่ย -*-)

ปล. ไม่เคยดูเรื่องนี้ครับ


โดย: chris IP: 125.24.56.230 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:13:10 น.  

 
+ อืม ... หน้าหนังประมาณนี้ ไม่ค่อยต้องจริตผมเท่าไหร่เหมือนกันอ่ะครับ ตอนนั้นก็เลยผ่านๆ ไป ไม่ได้ตั้งใจจะดู

+ คุณนวกานต์นี่ ดูหนังแต่ละเรื่องละเอียดมากเลยนะครับ จนสามารถวิเคราะห์ หรือเอารายละเอียดมาเขียนได้อย่างยาวเหยียด ... ของผมส่วนมากจะจับได้แต่อารมณ์รวมๆ ของหนัง ว่าเราชอบหรือไม่ชอบหนังเรื่องนั้น เพราะอะไร แค่นั้นเองอ่ะครับ คงต้องฝึกปรือวิทยายุทธ์อีกเยอะเลยเรา แหะๆ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:11:17:22 น.  

 
เพิ่งดู Ip Man และเคยดูเรื่องนี้ เลยตามหาอ่าน ได้รายละเอียดจาก blog นี้เยอะดีจังครับ

เรื่องนี้เป็นต้นกำเนิดมวยบูซู

ส่วนเรื่อง Ip Man เป็นมวยหย่งชุน มีข้อแตกต่างกันมากไหม แอบคิดเล่นๆ สู้กันใครจะชนะหนอ


โดย: คนขับช้า วันที่: 7 มีนาคม 2553 เวลา:5:07:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.