All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
มกราคม 2562
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
21 มกราคม 2562
 
All Blogs
 
*** Glass *** สมดุล

*** Glass ***







ผลงานลำดับที่ 3 ของ series Eastrail 177 (รถไฟสายตะวันออก 177) ของผู้กำกับ M. Night Shyamalan ต่อจาก Unbreakable และ Split ทำหน้าที่เชื่อมโยงและสรุปประเด็นของ series นี้ทั้งหมด


เราจะเจาะเข้าประเด็นของ Glass พร้อมกับทบทวนเรื่องราวในหนังทั้งสองภาคก่อนหน้าไปพร้อมๆกัน



(จากนี้ไปเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ เหมาะกับคนที่ดูแล้วเท่านั้นครับ)






ใน Unbreakable หนังว่าด้วยการที่ David Dunn (Bruce Willis) ได้ค้นพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษ เขาสามารถเห็นอดีตของคนอื่นได้เมื่อสัมผัสตัวคนผู้นั้น อีกทั้งยังมีพละกำลังที่แข่งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไป


ซึ่งผู้ที่ทำให้ Dunn รู้ตัวว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์ ก็คือ Elijah Price ฉายา Mr. Glass (Samuel L. Jackson) ชายผู้อ่อนแอ บอบบาง แต่มีสมองเป็นเลิศ ซึ่ง Mr. Glass เป็นนักทฤษฎีหนังสือการ์ตูนที่เชื่อว่า



“หนังสือการ์ตูนคือบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกดัดแปลงเพื่อความอยู่รอดของเรื่องราว”



แต่จุดหักมุมของหนังก็คือ Mr. Glass คือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย โดยเขาทำเพื่อตามหาคนอย่าง Dunn เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่าต้องมี “ผู้มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์” อยู่จริง

ก็ในเมื่อเขาเป็นคนอ่อนแอเปราะบางมากๆ ถ้าโลกมันมีความสมดุลอยู่จริง มันก็ต้องมีคนที่แข็งแรงมากๆอยู่ด้วย



ดังนั้น Unbreakable จึงว่าด้วยการพิสูจน์เรื่อง “สมดุล” ของ Mr. Glass



“Mr. Glass = คนอ่อนแอมาก”

ตรงข้ามกับ

“Dunn = คนที่แข็งแรงมาก”



และจุดหักมุมอีกหนึ่งตลบตามขนบของการ์ตูน Superhero ก็คือ Superhero กับ Supervillain มักจะเป็นเพื่อนกันในชีวิตจริง ดังนั้น



“Mr. Glass = Supervillain”

ตรงข้ามกับ

“Dunn = Superhero”



และนี่คือบทพิสูจน์ว่า “สมดุล” มีอยู่จริง






อีก 17 ปีต่อมา (เนื้อเรื่องใน Split) Kevin Wendell Crumb (James McAvoy) ชายที่มี 23 บุคลิก ได้ให้กำเนิดบุคลิกที่ 24 ในชื่อ The Beast


The Beast ได้กลายมาเป็นวายร้ายคนใหม่ และเป็นคู่ปรับของ Dunn ที่ถูกขนานนามว่า The Overseer (เนื้อเรื่องในช่วงต้นของ Glass)



ตามทฤษฎีแห่งสมดุลของ Mr. Glass แล้ว มันก็สมควรตามนั้น เพราะขณะที่ Mr. Glass ถูกจับขังอยู่ พลังด้านตรงข้ามที่รุนแรงพอกับ Dunn ก็หายไป การมาถึงของ The Beast คือการสร้างความสมดุลนั่นเอง



“The Beast = Supervillain”

ตรงข้ามกับ

“Dunn = Superhero”



แต่แล้วทุกคนก็ถูกจับไปที่โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิตของ Dr. Staple (Sarah Paulson) ที่ต้องการบอกทุกคนว่า ไม่มีคนที่มีพลังพิเศษอยู่จริง มันเป็นแค่การคิดไปเองจากอาการป่วยทางจิต

สุดท้ายหนังก็เฉลยว่าแท้จริงแล้ว Dr. Staple อยู่ในองค์กรลึกลับที่คอยกำราบและกำจัดผู้มีพลังพิเศษเพื่อรักษาสมดุลของโลก



นี่เองคืออีกจุดหักมุมหนึ่งในแง่ของประเด็น แต่ก็ไม่เกินคาดเดานัก เพราะชื่อหนังคือ Glass ซึ่งหมายถึง Mr. Glass นั่นเอง

Glass จึงว่าด้วยสมดุลระหว่าง 2 ขั้วสำคัญนั่นก็คือ Mr. Glass กับ Dr. Staple


และสิ่งที่ขัดแย้งกันของทั้งคู่ก็คือ “มุมมองในการมีอยู่ของผู้มีพลังพิเศษในโลกใบนี้”



“Mr. Glass = ต้องการให้โลกรู้ถึงการมีอยู่ของ Superhero และ Supervillain”

ตรงข้ามกับ

“Dr. Staple = ไม่ต้องการให้โลกรู้ถึงการมีอยู่ของ Superhero และ Supervillain”



ดังนั้นใน Glass มันคือการปะทะกันของ Mr. Glass และ Dr. Staple ซึ่งการปะทะกันของ The Beast และ Dunn คือการจัดฉากตามแผนการที่วางไว้เพื่อเอาชนะ Dr. Staple ของ Mr. Glass นั่นเอง



และนั่นทำให้มิติในแง่ของความสมดุลมีหลากหลายรูปแบบซ้อนทับกันไปมา






Shyamalan หลอกล่อผู้ชมด้วยการเบี่ยงเบนประเด็น แล้วตลบหลังหักมุมผู้ชมในแบบที่เขาชอบทำ


ซึ่งใน Glass มีความคล้ายคลึงในแง่กลวิธีแบบเดียวกับ Signs

(ในวงเล็บเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของ Signs; Signs หลอกให้ผู้ชมเฝ้าติดตามเรื่องมนุษย์ต่างดาว และ Signs (สัญญาณ) ที่ถูกส่งมา ก่อนจะหักมุมว่าความหมายของ Signs คือ สัญญาณที่ภรรยาของตัวเอกให้ไว้ก่อนตาย; Glass ก็เหมือนกัน มันหลอกล่อให้ผู้ชมเฝ้าคอยการปะทะกันของ The Beast และ Dunn แต่อันที่จริงมันชื่อเรื่องว่า Glass ดังนั้นมันควรเป็นเรื่องของ Mr. Glass ซึ่งมันก็คือการปะทะกันระหว่าง Mr. Glass กับ Dr. Staple ที่เป็นขั้วตรงข้ามในมิติสมดุลนี้)



Shayamalan เร่งเร้าผู้ชมให้รอคอยการปะทะกันของ The Beast และ Dunn ที่ตึกที่สูงที่สุดของเมือง เพื่อกลบเกลื่อนประเด็นที่หนังซ่อนอยู่ เหมือนกับการปกปิดแผนการในการเปิดตัวผู้มีพลังพิเศษโดยไม่ให้ Dr. Staple รู้


แม้จะเป็นการหลอกให้ผู้ชมคาดหวังและดูเหมือนเป็นการโกงความคาดหวังของผู้ชมก็ตามที แต่ส่วนตัวแล้วไม่ติดใจอะไรนัก เพราะผู้ชมต้องโดนหลอกและเบี่ยงเบนความสนใจในแบบที่ Dr. Staple โดน ถึงจะได้สัมผัสแผนการอันแนบเนียนของ Mr. Glass



ความคาดหวังยังมีต่อผู้ชมในรอบที่ผมดูมากในขนาดที่ว่า หลายคนยังรอดู post-credit เพราะคาดหวังจะเห็นอะไรบางอย่างที่ยังคงค้างคาใจและหวังว่าสิ่งที่รอคอยจะเฉลยออกมา (แต่อันที่จริงอาจเป็นแค่ผู้ชมที่ต้องการดูจนจบหรือไม่ก็เป็นไปได้ว่าผู้ชมอาจคิดว่า Glass เป็นหนัง Superhero ตามขนบที่มักจะมี post-credit ก็เป็นได้)






แม้หนังจะไม่ได้สมบูรณ์แบบและมีช่องโหว่ของบทรวมถึงจุดที่ไม่น่าเชื่อถือบ้าง เช่น ความรัดกุมของห้องขังในโรงพยาบาลหรือความหละหลวมของการรักษาความปลอดภัย

แต่ประเด็นของหนังก็ยังแข็งแรงและน่าสนใจพอที่จะมองข้ามจุดบกพร่องเหล่านี้ไปได้



James McAvoy มอบการแสดงที่น่าทึ่งเมื่อต้องเปลี่ยนบุคลิกไปมาในบทคนที่มีถึง 24 บุคลิก

ขณะที่ Samuel L. Jackson ไม่ต้องทำอะไรมากแต่ก็เอาอยู่ในบท Mr. Glass

ส่วนที่จืดชืดเพราะบทไม่ค่อยส่งก็คือ Bruce Willis ในบท David Dunn/ The Overseer



งานด้านภาพและ งาน Production ยังเป็นงานแบบทำน้อยแต่ได้มากตามความถนัดของ Shyamalan เพียงแต่มันยัง “ได้มาก” ไม่เท่างานเรื่องก่อนๆของเขา






Glass ถือเป็นงานที่ต่อยอด concept และปิดจบ ไตรภาค Eastrail 177 ได้อย่างสวยงาม

แม้หนังจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ในแง่ของประเด็นถือว่าเป็นความน่าสนใจและชวนให้ขบคิดอยู่ไม่น้อย



Glass ไม่ใช่ “หนัง Superhero” แต่เป็นหนังที่ว่าด้วย “ขนบในการ์ตูน Superhero” ที่อาจเป็นเหมือนการวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ



ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน แต่ส่วนตัวแล้ว นี่เป็นหนังที่ใช่สำหรับผม





8 / 10 ครับ




Create Date : 21 มกราคม 2562
Last Update : 21 มกราคม 2562 22:00:12 น. 1 comments
Counter : 2537 Pageviews.

 
กระทู้ที่ตั้งใน Pantip

https://pantip.com/topic/38481135


โดย: navagan วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา:0:58:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.