BlogGang.com : : navagan : *** Jurassic World *** ทุนนิยมล่มสลาย?

*** Jurassic World *** ทุนนิยมล่มสลาย?

*** Jurassic World ***

เว้นช่วงห่างไป 10 กว่าปี ในที่สุดบรรดาไดโนเสาร์จาก Jurassic Park ก็กลับมาอีกครั้งในชื่อใหม่ที่ดูใหญ่กว่าอย่าง Jurassic World

หนังเล่าเรื่องในอีกหลายปีต่อมาจากภาคล่าสุด Gray (Ty Simpkins) และ Zach (Nick Robinson) 2 พี่น้องถูกส่งมาเที่ยวที่ Jurassic World สวนสนุกไดโนเสาร์บนเกาะที่ Claire (Bryce Dallas Howard) น้าของเธอเป็นผู้จัดการอยู่

แต่แล้วไดโนเสาร์พันธ์ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวกลับหลุดออกจากกรง Claire และ Owen (Chris Pratt) ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกไดโนเสาร์ ต้องหาทางหยุดยั้งเอาไว้

(จากนี้ไปจะเป็นการวิเคราะห์-วิจารณ์ แบบเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ ใครยังไม่ได้ดูแนะนำให้อ่านครับ )

จากฉากหนึ่งที่ Dr. Wu (B.D. Wong) พูดกับ Masrani (Irrfan Khan) CEO ของบริษัทว่า “นี่ไม่ใช่แค่ไดโนเสาร์มาตั้งนานแล้ว” คงจะเป็นเรื่องจริงอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อพิจารณาแล้ว หนังไม่ได้เล่าแค่เรื่องของการผจญภัยในโลกของไดโนเสาร์ แต่มันยังแฝงประเด็นเรื่องอื่นๆเอาไว้ด้วย

คำว่า World ที่หนังใช้ไม่ได้หมายความถึงโลกของไดโนเสาร์เท่านั้น ยังมีโลกอื่นที่โลดแล่นซ้อนทับไปกับเนื้อหาของหนัง

หนึ่งในนั้นคือโลกของ “ทุนนิยม”

หนังเลือกนำเสนอให้เห็นกระบวนการทำงานของบริษัท รวมถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์มาพัฒนาเป็นสินค้า

ไม่ต่างกันตัวหนังเองที่เป็นสินค้าอยู่แล้ว ก็ยังหากำไรด้วยการทำหน้าที่เป็นสื่อโฆษณาแฝง ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นทั้ง Coca Cola, Mercedes-Benz, Triumph, Samsung ในแบบที่เด่นสะดุดตาไม่แพ้ไดโนเสาร์ในเรื่อง

ฉากหนึ่งที่หนังจิกกัดความเป็นทุนนิยมของตัวเองด้วยการให้พนักงานในบริษัทคนหนึ่งแซวหัวหน้าของตัวเองว่า

“ทำไมไม่ตั้งชื่อไดโนเสาร์ด้วยชื่อของสินค้าเสียเลยล่ะ”

จากเนื้อเรื่องไดโนเสาร์ตัวใหม่ Indominus Rex (ขอเรียกสั้นๆว่า I-Rex แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ Iphone และ IPad เลยก็ตาม ) ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความคิดแบบทุนนิยมที่สามารถแปรเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นสินค้า เพื่อกำไรที่มากกว่า

ดังนั้น I-Rex ที่ทั้งใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า และฉลาดกว่า จึงไม่ต่างจากบริษัทที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเป้าหมายที่เหมือนกันในโลกของทุนนิยมนั่นคือ การพัฒนาเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นมูลค่าเพื่อแสวงหากำไร

นอกจากนี้ยังพบความคล้ายคลึงกันหลายประการระหว่าง I-Rex และ บริษัท

I-Rex ได้รับการผสมผสานจุดเด่นจากสัตว์หลากหลายชนิด

บริษัทเองก็ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ

และอย่างที่ Owen บอกไว้ว่า I-Rex ไม่ได้ฆ่าไดโนเสาร์ตัวอื่นเพื่อเป็นอาหาร มันฆ่าเพื่อความสนุก

ถ้าเป้าหมายสูงสุดของบริษัทคือกำไรที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

I-Rex เองก็ฆ่าไดโนเสาร์ตัวอื่นให้ได้มากที่สุดเช่นกัน

ดังนั้นเราจึงสามารถสรุปได้ว่า I-Rex คือภาพสะท้อนของระบบทุนนิยม

ยังมีโลกใบเล็กๆอีกใบที่หนังพูดถึงนั่นคือ “ครอบครัว” แต่สำหรับเด็กแล้วมันคือโลกทั้งใบ

หนังนำเสนอผ่านเรื่องราวของ พี่น้อง Gray และ Zach ที่ถูกส่งมาที่ Jurassic World ในระหว่างที่พ่อกับแม่กำลังทำเรื่องหย่ากัน

การแย่งพื้นที่กันระหว่างโลก 2 ใบ คือ ทุนนิยมและครอบครัว ถูกนำเสนอผ่านตัวละคร Claire ที่ตอนแรกให้ความสำคัญกับงานและตัวเลขในบัญชีมากกว่าครอบครัวก่อนที่จะเปลี่ยนความคิดในท้ายที่สุด

ฉากสุดท้ายที่ Claire ไปปล่อย T-Rex เพื่อให้มาจัดการกับ I-Rex คือสัญลักษณ์สำคัญที่หนังจะบอกเล่า

ถ้าพิจารณาว่า T-Rex คือสัตว์ที่ถูกสร้างมาเพื่อเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มันคือสัตว์ดั้งเดิมที่ไม่ได้เสริมแต่งอะไร อีกทั้งยังมีลักษณะการใช้ชีวิตแบบสัตว์ทั่วไปที่ฆ่าเพื่อกิน ฆ่าเพื่อครองถิ่น แต่ยังสามารถอยู่ร่วมกับชีวิตอื่นได้อย่างสมดุล

ส่วน I-Rex คือขั้วตรงข้ามที่เกิดมาแบบไม่มีสังคม ไม่รู้จักการใช้ชีวิตร่วมกัน ไล่ฆ่าไม่เลือก จนทำลายสมดุลของสิ่งมีชีวิต

หรือพูดง่ายๆก็คือ T-Rex ฆ่าเพื่อเป็นอาหารหยุดเมื่ออิ่ม ส่วน I-Rex ฆ่าเพื่อความสนุกและสนองความอยาก

ซึ่งการกระทำของ I-Rex สอดคล้องกับระบบทุนนิยม ที่ไม่ได้หากำไรเพื่ออยู่รอดเท่านั้น แต่ทุกคนแสวงหาความร่ำรวยที่มากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้นความพ่ายแพ้ของ I-Rex คือภาพการล่มสลายของระบบทุนนิยม

ฉากจบที่ T-Rex ยืนคำรามอยู่บนสำนักงานบริษัทราวกับจะบอกว่าระบบทุนนิยมถูกกำราบเสียแล้ว

มาว่าที่ตัวหนังกันบ้าง อย่างที่ Dr. Wu บอกเอาไว้ (อีกแล้ว ) ไดโนเสาร์ไม่ใช่ของใหม่ ผู้ชมต้องการอะไรที่ใหญ่กว่า ร้ายแรงกว่า ตื่นเต้นกว่า

นี่ก็เป็นโจทย์ที่ยากสำหรับ Jurassic World เช่นกัน เพราะ Special Effect ที่เคยสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ในสมัยก่อน ไม่ใช่ของแปลกสำหรับยุคปัจจุบันแล้ว

อย่างไรก็ตามหนังก็สอบผ่าน ไม่ใช่เพราะความใหญ่กว่า รุนแรงกว่า แต่เป็นเพราะการหันไปใช้บทและตัวละครในการสร้างความน่าติดตามให้กับหนัง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ไม่ตกยุคไปกับกระแสได้เหมือน Special Effect

หนังมาพร้อมกับสูตรสำเร็จที่คาดเดาได้ไม่ยาก ตัวละครมิติเดียวที่แบ่งแยกฝ่ายร้ายฝ่ายดีได้ง่ายดาย และตอนจบที่รวบรัดและหาทางแก้ปัญหาอย่างง่ายดายเกินไป

แต่ถึงแม้จะไม่ได้ประทับใจมากนัก แต่ Jurassic World ก็ยังเป็นความบันเทิงที่ทำได้ดีเลยทีเดียว

โดยส่วนตัวมันชวนให้ระลึกถึงประสบการณ์การดูหนังในโรงภาพยนตร์สมัยยังเด็ก เพราะ Jurassic Park ภาคแรกคือการเข้าโรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในชีวิต

แม้ท้ายที่สุด I-Rex จะถูกกำจัด และดูเหมือนว่าระบบทุนนิยมบนเกาะจะล่มสลายไป

แต่บางทีความพ่ายแพ้ของทุนนิยมคงมีเฉพาะในหนัง เพราะรายได้และความสำเร็จของหนังในขณะนี้ตรงข้ามกับตอนจบของหนังโดยสิ้นเชิง

7 / 10

หมายเหตุ: โดยส่วนตัวผมไม่ได้มีความเห็นในแง่ลบต่อทุนนิยมแต่อย่างใด

ทุนนิยมเปิดโอกาสให้มีการแข่งขัน ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา โดยมีทุนเป็นวัตถุดิบ กำไรเป็นแรงจูงใจ โดยมีกลไกตลาดเป็นตัวควบคุม

อย่างไรก็ตามมันอาจสร้างความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น เนื่องจากผู้ที่มีทุนมากย่อมได้เปรียบ และการเปิดเสรีทางการแข่งขันที่มากเกินไปอาจทำลายสมดุลของระบบ ทั้งในแง่ของทุนและทรัพยากร

อีกจุดสำคัญคือ "ความโลภ" ถูกปล่อยให้มีอำนาจได้เต็มที่ในตลาดเสรีทุนนิยม

Create Date : 20 มิถุนายน 2558

Last Update : 20 มิถุนายน 2558 18:59:59 น.

1 comments

Counter : 4931 Pageviews.

กระทู้ที่ตั้งใน Pantip

//pantip.com/topic/33815633

โดย: navagan

วันที่: 23 มิถุนายน 2558 เวลา:22:34:38 น.