Hereditary เล่าเรื่องราวครอบครัวที่ต้องปั่นป่วนเพราะคุณยาย Ellen ซึ่งเป็นสมาชิกลัทธิบูชาปิศาจที่ชื่อว่า Paimon (ซึ่งในงานศพ สาวกของลัทธินี้ได้เดินทางมาร่วมงานโดยที่ครอบครัว Graham แทบไม่รู้จัก)
คุณยาย Ellen ต้องการให้ราชาปิศาจ Paimon เข้ามาจุติยังโลกมนุษย์ผ่านร่างกายมนุษย์เพศชาย ซึ่งจากคำบอกเล่าของ Annie ลูกสาวของคุณยาย เราพอจะเข้าใจได้ว่า ยาย Ellen พยายามทำแบบนี้กับลูกชายของเธอที่เป็นพี่ชายของ Annie แต่พี่ชายของ Annie ก็ผูกคอตายหนีไปเสียก่อน
จากนั้นคุณยาย Ellen พยายามใช้ร่างของ Peter ลูกชายของ Annie แต่ Annie ก็กีดกันไม่ให้คุณยายเข้าใกล้ลูก (อันที่จริง Annie เคยพยายามทำแท้งตั้งแต่ Peter ยังไม่คลอด แต่ทำไม่สำเร็จ ซึ่งความพยายามในการกำจัด Peter ก็ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของ Annie จนเธอเคยละเมอเดินไปหา Peter เพื่อที่จะเผา Peter ทั้งเป็น)
สุดท้ายคุณยาย Ellen ก็ทำสำเร็จเมื่อ Annie ใจอ่อนยอมให้ คุณยาย Ellen เลี้ยงดู Charlie ลูกสาวของเธอ โดยคุณยาย Ellen ได้ให้ปิศาจ Paimon จุติอยู่ในร่างของ Charlie ตั้งแต่เด็ก (ดังนั้น Charlie ที่เราเห็นในหนังก็คือราชาปิศาจ Paimon นั่นเอง แต่เพราะยังเด็กจึงไร้เดียงสาเหมือนเด็กทั่วไป และบางทีเธออาจไม่รู้ตัวว่าเธอคือ Paimon, ตามตำนาน Paimon ชอบทำเสียงดัง ดังนั้นพฤติกรรมการทำเสียงจากการกระดกลิ้นของ Charlie ก็คือพฤติกรรมของ Paimon นั่นเอง)
อย่างไรก็ตาม Paimon เป็นปิศาจเพศชาย ดังนั้นร่างที่เหมาะสมคือร่างของเพศชาย แผนการย้าย Paimon จากร่างของ Charlie มายังร่างของ Peter จึงเกิดขึ้นแบบที่เห็น โดยการชักใยของสาวกลัทธิ ภายใต้การนำของ Joan ที่เข้ามาตีสนิทกับ Annie
สุดท้าย Paimon หรือ Charlie ก็ได้ร่างของ Peter ไปครอบครอง
3. Peter และ Charlie อยู่ในฐานะลูกและหลาน ไม่มีอิสระในการเลือกที่จะรับหรือไม่รับพันธุกรรม
เราจะเห็นจากเนื้อเรื่องในหนังว่า ยาย Ellen เป็นผู้บงการทุกอย่างและทำสำเร็จโดยไม่มีใครต่อต้านได้ เพราะอยู่ในลำดับสูงสุดทางพันธุกรรม
ส่วน Annie ในฐานะลูกของ Ellen เธอไม่สามารถปฎิเสธสิ่งที่ Ellen พยายามกำหนดชีวิตของเธอได้ แต่เธอก็มีอิสระในการเลือกที่จะถ่ายทอดพันธุกรรมหรือหยุดถ่ายทอดพันธุกรรมนี้ได้ในฐานะแม่ของ Peter และ Charlie
เราจะพบว่าเธอไม่อยากมีลูก พยายามทำแท้งเพราะอยากยุติการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี้ แม้จะไม่สำเร็จแต่เธอก็มีโอกาสเลือก จนยาย Ellen ต้องเอา Charlie ไปเลี้ยงเองเพื่อหยุดสถานะ แม่ ของ Annie แล้วทำตัวเป็น แม่ ของ Charlie เพื่อสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตของ Charlie ได้อย่างเต็มที่
(รูปปั้นในบ้านจำลองที่มีหุ่นของ Ellen แย่ง Annie ในการให้นม Charlie คือสัญลักษณ์ในการแย่งสถาานะ แม่ ได้เป็นอย่างดี)
ส่วน Peter และ Charlie (อันที่จริงคือวิญญานของปิศาจ Paimon) ในฐานะลำดับขั้นต่ำสุดไม่มีทางเลือกใดๆ ซึ่งในหนังก็แสดงให้เราเห็นอยู่เสมอ เช่นการที่ Charlie ถูกห้ามปรามเวลาออกไปเล่นข้างนอก, ห้ามทำเสียงกระดกลิ้น กระทั่งถูกบังคับให้ไปเป็นเพื่อน Peter ในงานปาร์ตี้ที่เธอไม่อยากไป
ขณะที่ Peter เองก็ถูกควบคุมและติดตามสอดส่องจาก Annie ผู้เป็นแม่อยู่เสมอ
อาจารย์ในชั้นเรียนของ Peter ยังพูดอีกว่า ในละครแนวโศกนาฏกรรม จะมีสัญลักษณ์อยู่มากมายคอยเตือนตัวละคร แต่ไม่มีตัวละครใดสนใจ ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัว Graham
เราจะเห็นสัญลักษณ์ต่างๆมากมายในหนังตั้งแต่ต้นเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นชายที่ยิ้มแย้มผิดปกติที่งานศพ, สัญลักษณ์ของ Paimon ที่อยู่ในหลายที่หลายเวลา ทั้งจี้ห้อยคอคุณยาย หรือ บนเสาที่หัวของ Charlie กระแทกจนขาดกระเด็น รวมไปถึงสัญลักษณ์อันเป็นพฤติกรรมประหลาดของตัวละคร อย่างการที่ Charlie เป็นเด็กที่ไม่เคยร้องไห้เลย เป็นต้น
ที่น่าสนใจคืองานอดิเรกของ Charlie (หรือแท้จริงคือ Paimon) ที่มักจะเป็นการทำตุ๊กตาประดิษฐ์ที่เอาหัวของสัตว์หรือตุ๊กตาตัวอื่นมาเปลี่ยนในร่างกายใหม่
ส่วน Annie ที่เป็นนักทำ model ย่อส่วน ก็มีงานอดิเรกเป็นการทำ model ย่อส่วนจำลองเหตุการณ์สะเทือนใจในครอบครัวของตัวเอง
ซึ่งฉากเปิดเรื่องเป็นฉากที่ซูมภาพเข้ามาที่บ้านจำลองก่อนจะเป็นบ้านจริงๆของตัวละคร ราวกับว่าเรื่องราวที่หนังจะเล่าก็เป็นหนึ่งในเรื่องสะเทือนใจที่กลายเป็น model ของ Annie
และเหมือนกับที่ Annie หลอก Steve สามีของเธอว่า "ไปดูหนัง" ทั้งที่จริงแล้วไปเข้ากลุ่มบำบัดเพื่อเล่าเรื่องราวปัญหาของตัวเอง
ผู้กำกับ Ari Aster สร้างบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงบทหนังที่คาดเดาไม่ได้ ที่มาพร้อมตัวละครที่ไม่น่าไว้วางใจ
ทีมนักแสดงต่างก็ช่วยเสริมบรรยากาศความน่ากลัวของหนัง โดยเฉพาะการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ Toni Collette ในบท Annie และตัวละครที่ปรากฏตัวบนจอไม่นาน แต่ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของตัวละครนี้ได้ตลอดอย่าง Charlie ที่รับบทโดย Milly Shapiro
ที่ต้องชมอีกส่วนคืองานกำกับภาพและดนตรีประกอบ โดยงานภาพที่ปล่อยให้ผู้ชมเห็นแบบเต็มตา โดยเฉพาะหน้าตาของตัวละครที่ต้องพบเจอกับเรื่องราวชวนหลอนแบบ close up ที่มาพร้อมกับดนตรีประกอบที่น้อย ช่วยสร้างความน่ากลัวให้กับบรรยากาศอันไม่น่าไว้ใจได้มากขึ้นไปอีก ทั้งที่เรายังไม่ได้เห็นภาพที่ตัวละครเห็น
https://pantip.com/topic/37798621