Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 
2 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

ทำไงดี...เมื่อลูกอิจฉาน้อง



ลำพังเจ้าจอมป่วนวัยซนเพียงคนเดียวก็ทำให้คุณแม่ต้องปวดหัวกับพฤติกรรมแปลกๆ ของลูก
ที่มีมาท้าทายไหวพริบแทบทุกวันอยู่แล้ว มาวันนี้คุณแม่กำลังจะมีน้องใหม่ให้เขา
แต่เคยได้ยินคำร่ำลือมาอีกว่า เด็กเล็กที่มีน้องใหม่ จะรู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณ์
ทำให้มีปัญหาพฤติกรรมมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว (ว่าที่) คุณแม่ลูกสองยิ่งอดเป็นกังวลล่วงหน้าไม่ใช่ไหมคะ
ฉบับนี้จึงชวนคุณแม่มาเตรียมตัว เตรียมใจลูก ให้พร้อมต้อนรับสมาชิกใหม่ในครอบครัวกันค่ะ

มีน้องใหม่ ส่งผลอย่างไรต่อลูก
พญ. สุธิรา ริ้วเหลือง จิตแพทย์เด็กวัยรุ่นสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ราชนครินทร์ มาให้คำตอบในเรื่องนี้ว่า
สิ่งที่พบได้บ่อยที่สุด คือ อาการอิจฉาน้อง โดยมีสาเหตุเริ่มต้นจากเวลาที่แม่มีให้เขาลดน้อยลง
ตั้งแต่ตั้งครรภ์ ต้องดูแลร่างกายตนเองมากขึ้น ทำให้เล่นกับเขาไม่ได้เหมือนเดิม
พอหลังคลอดต้องเอาเวลาเกือบทั้งหมดไปดูแลอุ้มน้อง ให้นมน้อง แต่ไม่ได้อุ้มเขาเหมือนเดิม
ทำให้ลูกวัยเตาะแตะเกิดความไม่แน่ใจว่าแม่ยังรักเขาเหมือนเดิมหรือเปล่า
ความรู้สึกอิจฉาน้อง จึงเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ

แต่การแสดงออกของลูกจะเป็นตัวชี้วัดว่า ความอิจฉานี้เหมาะสมหรือไม่
หากลูกพูดว่า หนูไม่ชอบน้อง แล้วมีอาการอ้อนแม่ หรืองอแงมากขึ้น แต่เขาก็ยังสามารถช่วยแม่ดูแลน้อง
ช่วยหยิบของ หรือเล่นกับน้องได้บ้าง ก็ยังถือว่าเป็นการอิจฉาในเกณฑ์ปกติ

ส่วนความอิจฉาในระดับรุนแรง เช่น อารมณ์แปรปรวนผิดปกติ มีพฤติกรรมถดถอย
หรือถึงขั้นแกล้งน้อง ทำร้ายน้อง ถือเป็นความอิจฉาที่อันตราย
แต่คุณแม่อย่าเพิ่งตื่นตกใจ เพราะสามารถแก้ไขด้วยการให้เวลาพูดคุย ทำความเข้าใจ และเอาใจใส่ลูกมากขึ้นได้


ตั้งแต่ตั้งท้องเตรียมใจลูก...พร้อมรับน้องใหม่
การอธิบายให้ลูกเข้าใจตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์โดยใช้คำพูดง่ายๆบอกเล่าว่า “ตอนนี้ในท้องแม่มีน้องตัวเล็กๆเหมือน
หนูที่เคยอยู่ในท้องแม่เดี๋ยวน้องจะโต ขึ้นเรื่อยๆแล้วจะออกมาเหมือนหนูไง”

หารูปภาพสมัยแบเบาะให้เขาดูหรือลองหาหนังสือภาพเกี่ยวกับแม่ท้อง มีน้องใหม่เช่น เรื่องคุณแม่พุงโต มีน้อง
หรือหนูเกิดมาได้อย่างไร อ่านให้เขาฟัง หมั่นให้เขาลูบท้องฟังเสียงและพูดคุยกับน้องน้อย
ค่อยๆสร้างความคุ้นเคยให้ลูกรู้ว่าอีกไม่นานน้องจะมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว


เตรียมผู้ช่วยแต่เนิ่นๆ
ช่วง ตั้งครรภ์ ท้องคุณแม่เริ่มโตขึ้น อาจรู้สึกหงุดหงิดง่ายเพราะระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง
และไม่สามารถดูแลลูกคนโตได้เต็มที่เหมือนเดิม หากได้วางแผนการไว้แล้วว่าจะมีตัวช่วย เช่น คุณย่าคุณยาย
หรือพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลลูกคนโต ก็ควรให้เขามาตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์เลยจะดีกว่าหลังคลอด
ตัวช่วยนี้จะได้คอยช่วยเหลือคุณแม่ที่เริ่มทำอะไรไม่สะดวก และทำความคุ้นเคยกับลูกไว้แต่เนิ่นๆ
เพราะเด็กวัยนี้ การเชื่อมโยงเหตุผลและเวลายังไม่สมบูรณ์
ลูกจะเข้าใจว่าเพราะน้องมา เขาจึงต้องห่างจากแม่ไปอยู่กับพี่เลี้ยงและเกิดพฤติกรรมต่อต้านน้องได้
ความเปลี่ยนแปลงนี้ต้องเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป


ยืนยันในความรัก
พอท้องคุณแม่เริ่มโตแล้ว การดูแลหลายอย่างอาจไม่เหมือนเดิม อย่าลืมบอกลูกด้วยว่าถึงแม่จะไม่ได้อุ้มหนู
แต่เราก็ยังกอดกัน เดินจูงมือกันได้แต่อย่าเพิ่งคาดหวังว่าลูกจะเข้าใจได้ทั้งหมด
เพราะวัยนี้ยังต้องการความสนใจจากแม่อยู่มาก ถ้าลูกงอแงอยากให้อุ้ม อยากเล่นด้วย แต่คุณแม่ทำไม่ไหวแล้ว
ก็ลองหากิจกรรมเบาๆ เช่น นั่งเล่นของเล่น หรืออ่านนิทานข้างๆกัน
ก็ช่วยสื่อให้ลูกรู้ว่า คุณแม่ยังรักเขาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


วันคลอดบอกลูกให้รู้ล่วงหน้า
ว่า คุณแม่จะไปคลอดน้องที่โรงพยาบาล เดี๋ยวก็กลับมาแล้วมิฉะนั้นเมื่อลูกไม่รู้ว่าแม่หายไปไหน
จะรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจได้ หากคุณพ่อต้องไปให้กำลังใจคุณแม่ด้วย ผู้ช่วยที่เราได้เตรียมสร้างความคุ้นเคยกับ
ลูกมาตั้งแต่ตอนแรกๆจะเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ทั้งลูกและคุณแม่สามารถผ่านช่วงเวลานี้ได้อย่างราบรื่น


หาช่องทางติดต่อสื่อสารกับลูกให้เร็วที่สุด
หากสามารถพาเจ้าจอมซนไปเยี่ยมคุณแม่และน้องน้อยที่โรงพยาบาลหลังคลอดได้จะดีมาก
แต่โรงพยาบาลหลายแห่งไม่อนุญาตให้เด็กเล็กๆเข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

คุณแม่อาจใช้วิธีถ่ายวิดีโอ หรือโทรศัพท์กลับมาหา สื่อสารให้ลูกรู้ว่าถึงแม่จะไม่ได้อยู่ใกล้ๆทำกิจกรรมด้วยไม่ได้
แต่แม่ก็สบายดี ยังรักและห่วงเขาเหมือนเดิม


วันแรกที่กลับบ้าน
ในความรู้สึกของลูกที่ไม่ได้เจอคุณแม่มาสักระยะ จะคิดถึงและรอคอยการกลับของแม่
คาดหวังว่าเมื่อแม่กลับมาก็จะคุยทักทายเขาเหมือนเดิม ดังนั้น แม้จะเหนื่อยหรืออ่อนเพลียสักเพียงไหน
สิ่งแรกที่คุณแม่ควรทำเมื่อพาน้องน้อยเข้าบ้าน คือการเข้ามาหาโอบกอดและพูดคุยให้ลูกรู้ว่า
ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อลูกรู้สึกได้ว่าพ่อแม่ยังรักเขาเหมือนเดิม จึงจะสามารถทำความรู้จักกับน้องใหม่ได้
โดยไม่มีอาการต่อต้าน


หลังคลอดทุกฝ่ายต่างต้องมีการปรับตัว
โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องเพิ่มความอดทน การควบคุมอารมณ์ และบริหารจัดการเวลาให้ดี
เพราะการดูแลพี่วัยเตาะแตะไปพร้อมๆกับน้องวัยเบบี๋ อาจทำให้คุณแม่เหนื่อยกว่าปกติ
การมีพี่เลี้ยงเข้ามาช่วยดูแลลูกคนใดคนหนึ่ง อาจจะช่วยลดความเครียดของคุณแม่ไปได้บ้าง
แต่อย่าถึงกับยกหน้าที่สำคัญนี้ให้พี่เลี้ยงไปทั้งหมดเพราะจะทำให้ลูกรู้สึกว่าน้องมาแย่งความรักของแม่ไปจากเขา
อย่าลืมหาเวลาทำกิจกรรมสำหรับวัยเตาะแตะ เช่น เล่นโยนบอล หรือปั่นจักรยานนอกบ้านบ้าง
จะได้เสริมพัฒนาการต่างๆของลูกทั้ง 2 ไปพร้อมๆกัน


ให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการดูแลน้อง โดยดูความพร้อมของลูกเป็นหลัก
ต้องเข้าใจก่อนว่าสำหรับคุณแม่ที่อุ้มท้องลูกมานาน ย่อมรู้สึกรักและผูกพันกับลูกในท้องเป็นธรรมดา
แต่เจ้าตัวเล็กเขารับรู้ว่าในท้องแม่มีน้อง แต่ก็ยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา

ถ้าคุณแม่ปฏิบัติเหมือนเขาเป็นตัวช่วย ใช้หยิบของให้น้องอีก เขาก็จะยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องมาดูแลเด็กคนนี้
ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อน้องได้ ควรเริ่มสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก่อน โดยสื่อผ่านพ่อแม่
อาจเริ่มจากการหอมแก้ม บอกรักลูกคนโตก่อน จากนั้นก็ให้เขาลองหอมแก้มน้อง

ค่อยๆเชื่อมโยงความรักของลูกที่มีให้พ่อแม่ ส่งไปถึงน้องทีละน้อย แสดงให้ลูกเห็นว่าเขาเป็นคนที่มีความสำคัญ
มีส่วนช่วยพ่อแม่ดูแลน้องได้มาก เมื่อลูกรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าก็จะรักน้องและภูมิใจในความเป็นพี่ของตนได้


ถือโอกาสฝึกความเสียสละ อดทนรอคอยให้ลูกวัยเตาะแตะ
สิ่งเหล่านี้เด็กจะเรียนรู้ได้เองบางส่วนเมื่อเกิดสถานการณ์บังคับ เช่น เวลาที่แม่กำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้องอยู่
แต่เขาอยากเล่นด้วย ก็จะรับรู้ว่าต้องรอได้ และหากลูกรอได้สำเร็จแล้วคุณแม่มีเวลามาพูดชมว่า
ลูกเก่งมากที่รอได้ หนูน่ารักมากเลยนะ ฯลฯ คำชมเหล่านี้จะเป็นแรงเสริมที่ทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจ


หลีกเลี่ยงคำพูดกระทบใจลูก
ช่วงเวลาหลังคลอดอาจมีบรรดาญาติๆมาเยี่ยมต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว
อาจมีคำพูดล้อเล่น เช่น หมาหัวเน่าแม่มีน้องใหม่แล้ว แต่คุณแม่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะผู้พูดเป็นผู้ใหญ่
ไม่กล้าห้ามเพราะเกรงใจ คุณหมอได้อธิบายว่าคำพูดเหล่านี้จะมีผลกับลูกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ

1. พื้นฐานอารมณ์ของเด็กเอง ถ้าเป็นเด็กที่เลี้ยงยากคิดมาก วิตกกังวลง่ายมาก่อน
แล้วคุณแม่ไม่ได้มีการเตรียมสภาพจิตใจเขาให้พร้อมตั้งแต่ช่วงแรก อาจทำให้ลูกรู้สึกไม่ดีได้

2. ร่วมกับการแสดงออกโดยไม่ได้ตั้งใจของพ่อแม่ เช่น ใช้ให้ลูกหยิบของน้องแรงไปหน่อย
เด็กจะรู้สึกว่าพอมีน้องชีวิตเขาลำบาก และถูกพ่อแม่ดุบ่อยขึ้น รู้สึกไม่ดี หากมีคนพูดสะกิดเพียงนิดเดียว
ลูกอาจคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก เลยพาลไม่ชอบน้อง ซึ่งความไม่ชอบนี้อาจยังไม่ลึกซึ้งนัก
แต่จะสะสมเป็นปมในใจไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นปัญหาพี่น้องไม่รักกันในอนาคตได้
ดังนั้นหากได้ยินคำพูดล้อเล่นนี้ แล้วคุณแม่แสดงท่าทีที่ช่วยสร้างความมั่นใจ ให้ลูกรู้ว่ายังรักเขาเหมือนเดิม
ต่อให้มีคนพูดอะไร ลูกก็จะไม่รู้สึกจริงจังกับคำพูดเหล่านั้น


ส่งคนโตไปโรงเรียนเลยดีไหม
คุณแม่หลายท่านอาจเริ่มมองหาโรงเรียน หรือเนิร์สเซอรี่สำหรับลูกคนโตไว้
เพราะถือว่าเด็กวัยนี้น่าจะเข้าโรงเรียนได้แล้ว การส่งลูกคนโตไปโรงเรียนหลังจากคุณแม่คลอด
ข้อดีคือ คุณแม่จะได้มีเวลาเลี้ยงลูกคนเล็กวัยเบบี๋ได้เต็มเวลา เมื่อลูกคนโตกลับมาจากโรงเรียน
คุณแม่ก็จะมีอารมณ์แจ่มใสไม่หงุดหงิด ไม่เหนื่อย เพราะได้มีเวลาพักผ่อนระหว่างวัน แต่ข้อเสียที่คุณแม่ไม่ควร
มองข้าม คือ ความรู้สึกของลูกวัยเตาะแตะ การไปโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กถือเป็นเรื่องใหญ่
ลูกอาจเชื่อมโยงเรื่องที่เขาต้องจากคุณแม่ไปโรงเรียนทั้งๆที่ไม่อยากไป ว่ามีสาเหตุมาจากน้อง
เพราะน้องมาพ่อแม่จึงไม่รัก ส่งให้เขาไปอยู่ไกลๆ
คุณหมอมีคำแนะนำว่า หากต้องส่งลูกไปโรงเรียน ถ้าเป็นไปได้พยายามให้ช่วงเวลาห่างกันสักระยะ เช่น
ส่งไปโรงเรียนช่วง 3 เดือนก่อนแม่คลอดน้องหรือหลังคลอดแล้วพักให้เขาเข้ากับน้องได้ก่อน
ดูที่ความพร้อมของลูกเป็นสำคัญ

ขอขอบคุณนิตยสาร Mother&Care ฉบับประจำเดือน กันยายน 2550




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2552
0 comments
Last Update : 2 มิถุนายน 2552 20:06:13 น.
Counter : 862 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.