0026. FIRST AMONG EQUALS : 1 ใน 109 หนังสือควรอ่าน จาก นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2545 นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในการประชุมการปฏิรูปการศึกษา ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล มีข้อความกล่าวถึงหนังสือเล่มหนึ่งว่า....
..." เรื่องการทำงานเป็นทีมมีปัญหา เรื่องความสำนึกความเป็นเจ้าภาพมีปัญหา คือ ถ้าคนนี้เป็นเจ้าภาพ ผมไม่ชอบ ผมก็ไม่อยากร่วม นี่ คือ ไม่ได้นำเป้าหมายของความสำเร็จเป็นตัวตั้ง ซึ่งเป็นจุดอ่อน ฉะนั้น การปฏิรูปการศึกษา คือ นำคนเก่งมารวมกัน แต่การนำคนเก่งที่มีอิสระทางความคิดมารวมกัน วิธีการนำ ต้องอ่านหนังสือเรื่อง First Among Equals ซึ่งบอกให้รู้ว่า คนที่มีสติปัญญาดีทั้งหลายที่มีอิสระทางความคิดมารวมกันนั้น ห้ามไปนำ ไปจัดการเขา ต้องสร้างแรง บันดาลใจอย่างเดียว พวกนี้ ถ้าไปจัดการ ไปนำ จะมีปฏิกิริยาตอบกลับทั้งหมด ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ช่วยกันทำงาน
" คนที่มีสติปัญญาดีทั้งหลาย ที่มีอิสระทางความคิดมารวม กันนั้น ห้ามไปนำ ไปจัดการเขา ต้องสร้างแรงบันดาลใจอย่างเดียว"
A First Among Equals
Create Date : 05 มีนาคม 2551 |
Last Update : 5 มีนาคม 2551 21:28:16 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1892 Pageviews. |
|
|
|
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ( วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2547 )
ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน
ราชบัณฑิต
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาอังกฤษ เป็นระบบที่มีรัฐบาลอันประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี (the cabinet) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) มีฐานะเป็นเอก (prime) ในหมู่รัฐมนตรี (ministers) หรือเป็นเอกในสมภาพ (first among equals) จุดสำคัญในระบบคณะรัฐมนตรีก็คือ ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน (collective responsibility) ดังนั้น จึงต้องมีการประชุมปรึกษาหารือในการตัดสินเรื่องสำคัญๆ ของแผ่นดิน ในกรณีประเทศไทยนั้น การเอ่ยถึงคณะรัฐมนตรีทั้งชุดในฐานะที่เป็นองค์กรบริหารสำคัญได้ระบุไว้ในมาตรา 205, 211 และมาตรา 214 เป็นต้น
โดยในมาตรา 205 มีการพูดถึงรัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ ซึ่งในมาตรา 205 นี้หมายถึงนายกรัฐมนตรีด้วย ส่วนในมาตรา 211 ก็มีการกล่าวถึงคณะรัฐมนตรี และในมาตรา 214 เรื่องการลงประชามติมีการพูดถึงนายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรี
ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวมานี้ ชี้ให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีคือหัวหน้าคณะรัฐมนตรี และเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยระบบรับสภาอังกฤษ
ตำแหน่งรัฐมนตรีจึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญเพราะเป็นตำแหน่งที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ นายเสนาะ เทียนทอง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวไว้ว่า "ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นตำแหน่งของแผ่นดิน การเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงเป็นการให้คำปรึกษาแก่ผู้ดำรงตำแหน่งเพื่อประโยชน์ของชาติและสังคม ไม่ใช่เพื่อนายเสนาะ เทียนทอง" คำกล่าวที่ยกมานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะในการบริหารงานราชการแผ่นดินซึ่งเป็นงานสาธารณประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล ปลัดกระทรวง อธิบดีในระบบราชการ ได้รับความชอบธรรมตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับอาณัติจากประชาชนให้ปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น การปฏิบัติงานจะต้องทำด้วยความเอาใจใส่ อุทิศตัวและเสียสละ การกระทำใดๆ ก็ตามในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งต้องถูกต้องตามกฎหมาย (legal) และมีความชอบธรรม (legitimate) เพื่อประกอบภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนผู้เสียภาษี และเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
ข้าราชการในกระทรวง กรม และข้าราชการการเมือง ได้รับเงินเดือนจากภาษีของประชาชนจึงต้องรับผิดชอบ (accountable) โดยตรงต่อประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ และต้องเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่มิใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในส่วนของคณะรัฐมนตรีนั้นมีหัวหน้ารัฐบาลซึ่งเป็นเอกในคณะรัฐมนตรีโดยมีฐานะเท่ากัน (first among equals) นายกรัฐมนตรีตามระบบรัฐสภาอังกฤษเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งแต่เป็นบุคคลซึ่งยืนอยู่แถวหน้า ต้องมีการปรึกษาหารือและมีความรับผิดชอบร่วมกันในการปฏิบัติงาน (collective responsibility) แม้แต่การปกครองภายใต้ระบบซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์เช่นในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งให้อำนาจนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจเด็ดขาด เช่น การสั่งประหารชีวิตผู้วางเพลิง หรือผู้ถูกสงสัยว่ามีการกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ ก็ยังบัญญัติไว้ว่าเพื่อขจัดปัดเป่าภยันตรายดังกล่าวอันกระทบต่อความมั่นคงของสังคม นายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการโดยเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติได้มีการสั่งประหารชีวิตผู้ถูกกล่าวหาโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมตามครรลอง และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบหลังจากที่ได้มีการสั่งการและปฏิบัติการไปแล้ว ซึ่งถ้ากล่าวกันโดยเคร่งครัดเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย
คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม รัฐสภา ศาล เป็นหน่วยงานสาธารณะภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ในคณะรัฐมนตรีมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารสูงสุด และมีรัฐมนตรีเป็นผู้ร่วมบริหารงาน มีความรับผิดชอบร่วมกัน ในกระทรวง ทบวง กรม มีปลัดกระทรวงและอธิบดีเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารงาน ในศาลก็มีการแบ่งอำนาจและความรับผิดชอบที่ระบุตามกฎหมาย
ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้เป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรสาธารณะเป็นผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของแผ่นดิน ต้องวางตัวให้เหมาะสม ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญที่สุด การวางตัวบุคคล การแต่งตั่งโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่งจะต้องคำนึงถึงความถูกต้องตามกฎหมาย (legal) และความเหมาะสมกับความรู้ความสามารถเพื่อสร้างความชอบธรรม (legitimacy) และเพื่อให้ความสำเร็จของงานและภารกิจ รวมทั้งเพื่อการวางพื้นฐานในการพัฒนาระบบ
ตำแหน่งในองค์กรสาธารณะดังกล่าวนั้น (public offices) จึงเป็นตำแหน่งเพื่อประโยชน์สาธารณชน ดังนั้น การรับเข้าสู่ตำแหน่งด้วยความชอบพอส่วนตัว (favoritism) หรือเนื่องจากพวกพ้อง (cronyism) หรือเป็นญาติโกโหติกา (nepotism) ย่อมจะนำไปสู่ข้อครหาอันอาจจะนำไปสู่ประเด็นเรื่องความชอบธรรมทางการเมืองได้ แต่ในกรณีการแต่งตั้งตำแหน่งทางการเมืองอาจมีการต่างตอบแทนเนื่องจากความช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา ระบบดังกล่าวเป็นระบบที่ตอบแทนบุญคุณทางการเมือง หรือหนี้ทางการเมือง (political I.O.U.) ที่เรียกว่า The spoils system อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญการในการแก้ปัญหา การพิจารณาถึงระบบคุณธรรมโดยคำนึงถึงความสามารถ ความเหมาะสมและความชอบธรรม จะมีน้ำหนักมากขึ้นตามลำดับ การแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในหน่วยงานองค์กรสาธารณะจึงต้องคำนึงถึงความถูกต้องตามกฎหมาย (legal) และความชอบธรรมทางการเมือง (political legitimacy) ไปพร้อมๆ กัน
ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศและเป็นผู้เสียภาษี องค์กรสาธารณะตั้งแต่รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล ระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน เป็นองค์กรของแผ่นดินได้รับอาณัติจากประชาชนเพื่อประกอบภารกิจตามความต้องการของประชาชน จึงต้องปฏิบัติตามแนวธรรมรัฐาภิบาล (good governance) ซึ่งได้แก่ ความชอบธรรม (legitimacy) ความโปร่งใส (transparency) ความรับผิดชอบ (accountability) การมีส่วนร่วมของประชาชน (participation) และประสิทธิภาพประสิทธิผล (efficiency effeteness) จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
การบริหารองค์กรสาธารณะจึงแตกต่างจากการบริหารองค์กรเอกชน อย่างไรก็ตาม แม้องค์กรเอกชนที่เป็นบริษัทมหาชนก็ต้องเดินตามแนวบรรษัทภิบาล (corporate governance) มีความโปร่งใส และพร้อมที่จะตรวจสอบได้โดยผู้ถือหุ้น ดังนั้น ในยุคโลกาภิวัตน์และข่าวสารข้อมูล ในยุคที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย การคำนึงถึงความถูกต้องทางกฎหมาย (legal) ต้องคู่กับความชอบธรรมทางการเมือง (political legitimacy) โดยผู้ดำรงตำแหน่งต้องมีความรู้ ความสามารถ เหมาะสมกับงาน มีประวัติไม่ด่างพร้อย ที่สำคัญที่สุดจะต้องเดินตามแนวธรรมรัฐาภิบาลและบรรษัทภิบาลอย่างเคร่งครัด