005. A HISTORY OF KNOWLEDGE : 1 ใน 109 หนังสือควรอ่าน จาก นายกฯ ทักษิณ
A History of Knowledge The Pivotal Events, People, and Achievements of World History Charles Van Doren ©1991
A condensed summary of all the transforming elements of history from ancient times, about five thousand years ago, to the present. I appreciate this book's approach of condensing history to pivotal, transforming elements since I am more enthusiastic about understanding the past than merely collecting knowledge of it. (This is probably the reason I was uninterested in grade school history but find myself fascinated by it as an adult.) I enjoyed reading it from cover-to-cover and also find it useful as a reference. Prior to writing this history, the author was an editor of Encyclopaedia Britannica, and before that, he garnered some notoriety as a scandalous contestant on the quiz show "Twenty-One." (The 1994 movie "Quiz Show" portrays the scandal.)
In order to compress all that history into one book, the author had to determine which events, people, and achievements were pivotal and summarize them. In my opinion, he does a fantastic job. Some readers have criticized this book (on Amazon.com) because of neglected elements or biased interpretations, but the gift of teaching contained in this book overshadows any such criticism. Furthermore, the author never claims to have written "THE" history of knowledge, but "A" history of knowledge. He clearly strives for objectivity, but some bias is inherent in any such endeavor.
นักกวีส่วนใหญ่ จะรู้สึกเคลือบคลุมเมื่อพวกเขาบังเอิญเจอกับสูตรทางคณิตศาสตร์
ส่วนนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ก็คลุมเครือเมื่อพวกเขาต้องพบกับบทกวี.
Create Date : 03 มีนาคม 2551 |
Last Update : 21 ธันวาคม 2551 11:03:39 น. |
|
8 comments
|
Counter : 1426 Pageviews. |
|
|
|
รากฐานของความเป็นอัจฉริยะ / อะไรที่ทำให้อัลเบริท์ ไอน์สไตน์เป็นคนที่ฉลาดเป็นเยี่ยม ? บางที ดังที่บรรดานักวิจัยชาวคานาเดี่ยนค้นพบ นั่นคือเป็นเพราะสมองในส่วนของอินเฟอเรีย พาเรียเทาโลบ อันเป็นฐานของการใช้เหตุผลแบบคณิตศาสตร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกตินั่นเอง แต่ที่แย่ก็คือ คุณไม่สามารถหาซื้อมันได้จาก Amazon.com (นิตยสาร"ไทม์" 20 ธันวาคม 1999 / หน้า 41)
การค้นคว้าและการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายครั้ง มักจะมีการสังหรณ์ใจเสมอ พวกนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถที่จะอธิบายมันได้ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ปรากฎผลออกมาในท้ายที่สุดว่าถูกต้อง, อย่างน้อยที่สุดก็ในเรื่องเกี่ยวกับนวนิยายวิทยาศาสตร์หลายๆเรื่องที่เป็นพยานอยู่ (ชุดความรู้"วิทยาศาสตร์เข้าใจง่าย"/(มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
การคิดค้นวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ความรู้ทุกชนิดที่ตะวันตกได้ให้ไว้กับโลก บางทีสิ่งที่ทรงคุณค่ามากที่สุดก็คือ วิธีการที่ได้มาซึ่งความรู้ใหม่ๆนั่นเอง ซึ่งเรียกกันว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มันได้รับการคิดค้นขึ้นมาโดยบรรดานักคิดชาวยุโรปนับจากปี ค.ศ.1550 ถึง 1700.
ต้นตอกำเนิดของวิธีการทางวิทยาศาสตร์อาจสามารถย้อนกลับไปได้ถึงสมัยกรีก. อันนี้ก็เหมือนกับพรสวรรค์อื่นๆ กล่าวคือ การให้การสนับสนุนเรื่องของการสังเกตุหรือการเฝ้าดูนั่นเอง. แต่แม้ว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ บางครั้งดูเหมือนว่าจะเป็นอันตรายเท่ากับที่มันได้ให้ประโยชน์ แต่เราก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ถ้าหากว่าปราศจากมัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง)
สำหรับบทความนี้ เวลาที่เราใช้คำว่าความรู้ ปกติแล้ว เราหมายความว่า สิ่งที่ทุกๆคนสามารถรู้ได้. ในภาษาลาตินยุคกลาง คำว่าknowledge(ความรู้) ก็คือคำว่า scientia, และทุกๆคนสามารถที่จะเป็นเจ้าของบางส่วนหรือทั้งหมดของมันได้. จากรากภาษาลาตินดังกล่าวนี่เอง ที่ได้เป็นที่มาของคำศัพท์สมัยใหม่ของคำว่า science หรือ วิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ได้มีความหมายว่า knowledge อีกต่อไป อย่างที่ทุกคนมีความเข้าใจ.
คำว่าวิทยาศาสตร์ มันไม่ได้หมายความถึงความรู้ของกวีคนหนึ่ง, หรือช่างไม้, หรือของนักปรัชญา หรือของนักเทววิทยา. ปกติ มันก็ไม่ได้หมายถึงความรู้ของนักคณิตศาสตร์ด้วยเช่นกัน. วิทยาศาสตร์ ทุกวันนี้ เป็นความรู้พิเศษประเภทหนึ่งซึ่งถูกครอบครองโดยบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย. นักวิทยาศาสตร์คือคนที่พิเศษ พวกเขาไม่ใช่ใครๆก็ได้.
ความหมายของวิทยาศาสตร์
ความชัดเจนแจ่มแจ้งเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าจะมีจุดประสงค์อย่างนั้น มันก็ยังสลับซับซ้อนอยู่ดีในความหมายเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งยากที่จะคลายออกมา. ขอให้เราอธิบายความหมายของวิทยาศาสตร์ด้วยประโยคดังต่อไปนี้
วิทยาศาสตร์ไม่เคยเข้าใจความลึกลับของชีวิต
ในไม่ช้าหรือหลังจากนั้น บรรดานักวิทยาศาสตร์จะค้นพบวิธีการรักษาโรคเอดส์
วิทยาศาสตร์และศิลปะไม่มีอะไรร่วมกันเลย
ข้าพเจ้ากำลังเรียนวิทยาศาสตร์ แต่ข้าพเจ้าก็กำลังศึกษาประวัติศาสตร์บางอย่างไปด้วย
คณิตศาสตร์คือภาษาของวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายกำลังพยายามจะกำหนดให้แน่ลงไป หากว่า Shakespeare ได้เขียนบทละครต่างๆทั้งหมดของเขาขึ้นมาจริง ซึ่งได้ถูกลงความเห็นว่าเป็นตัวเขาจริงๆ
การวิจารณ์วรรณกรรม ที่จริงแล้ว ไม่ใช่เรื่องของวิทยาศาสตร์ เพราะมันไม่เกี่ยวกับการทำนายหรือการคาดการณ์
นักกวีส่วนใหญ่จะรู้สึกเคลือบคลุมเมื่อพวกเขาบังเอิญเจอกับสูตรทางคณิตศาสตร์; ส่วนนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็คลุมเครือเมื่อพวกเขาต้องพบกับบทกวี.
การเป็นคนที่พูดได้สองภาษามิได้หมายความว่าคุณรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับภาษาศาสตร์
ข้าพเจ้ารู้คำตอบ แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถอธิบายมันได้
ทั้งหมดของประโยคที่ยกขึ้นมาเหล่านี้คือความจริงในความหมายที่ว่า พวกมันได้ถูกนำเอามาจากสิ่งพิมพ์ต่างๆ และได้รับการเขียนขึ้นมาโดยบรรดานักเขียนที่น่านับถือ (หรืออย่างประโยคที่ 4, ที่ 9, และที่ 10 ได้รับการบันทึกมาจากการสื่อสารกันด้วยคำพูด โดยนักพูดที่น่าเคารพหลายคน).
อะไรที่ข้าพเจ้าหมายถึงน่าเคารพนับถือ ? ข้าพเจ้าหมายความว่าบรรดานักเขียนหรือนักพูดเหล่านี้เป็นคนที่มีเหตุผล มีการศึกษาที่ดี และมีความจริงจังในการสื่อความหมายในสิ่งที่พวกเขาเขียนและพูด; นั่นคือ พวกเขาคิดว่า สิ่งที่พวกเขาพูดและเขียนนั้นมันทั้งเข้าใจได้และเป็นความจริงนั่นเอง. ยิ่งไปกว่านั้น ประโยคที่ยกมาเป็นตัวอย่างทั้งหมด เพิ่งเขียนหรือพูดขึ้นมาเร็วๆนี้ หรือไม่เกินสิบปีมานี้เอง. พวกมันเป็นตัวแทนอย่างชัดเจนต่อความเห็นร่วมกันสมัยใหม่เกี่ยวกับความหมายของคำว่าวิทยาศาสตร์.
ขอให้เรามาสำรวจดูถึงประโยคต่างๆกันสักเล็กน้อย. ประโยคแรก, ยกตัวอย่าง: วิทยาศาสตร์ไม่เคยที่จะเข้าใจความลึกลับของชีวิตเลย. อันนี้เป็นความจริงล่ะหรือ ? ในเชิงที่แสดงออกมาของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเมื่อเร็วๆนี้, และในบางกรณีก็นานมาแล้วด้วย, นักวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นพบมากมายเกี่ยวกับความลับของชีวิต, ในท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น มีทั้งโครงสร้างและวิวัฒนการของเซลล์, การปฏิบัติการของระบบคุ้มกันโรค, บทบาทของ DNA ในทางพันธุศาสตร์, และอะไรอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก. และเราสามารถคาดหวังได้ว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจะยังคงศึกษาเรื่องเกี่ยวกับชีวิตต่อไป และค้นพบความลึกลับของมันออกมา.
แต่มันมีบางสิ่งเกี่ยวกับคำว่าลึกลับในประโยคที่ยกมา ที่ทำให้ประโยคดังกล่าวเป็นทั้งจริงและไม่เปิดโอกาสให้มีข้อสงสัยขึ้นมาได้. โดยนิยามความหมาย วิทยาศาสตร์ยังไม่อาจเข้าใจความลึกลับที่ ความลึกลับของชีวิตได้ถูกทึกทักหรือสมมุติให้เป็น, ซึ่งโดยนัยะ มีบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับความลึกลับที่ไม่อาจหยั่งถึงได้. ความรู้บางอย่างถูกเรียกร้องให้แก้หรือคายความลึกลับ(mystery)นั้นออกมาอย่างมีหลักฐาน ไม่ว่าความรู้อะไรก็ตามที่บรรดานักวิยาศาสตร์มีเกี่ยวกับชีวิต, ในตอนนี้และในอนาคตข้างหน้า.
และในประโยคที่ 5 ที่บอกว่า : คณิตศาสตร์เป็นภาษาของวิทยาศาสตร์. คำประกาศอันนี้มันชัดเจนที่ว่า คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด, แต่มันก็เท่าๆกันกับการประกาศว่า มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน. นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายอาจใช้คณิตศาสตร์ แต่พวกเขาไม่ได้ทำคณิตศาสตร์ และนักคณิตศาสตร์ก็เช่นกัน พวกเขาอาจหรือสามารถเมินเฉยต่อวิธีการทางวิทยาศาสตร์และผลลัพธ์ต่างๆก็ได้ ดังที่คนทั่วๆไปที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์เป็น.
Albert Einstein เป็นนักทฤษฎีคนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาไม่ได้เป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่; เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องเจอกับปัญหาที่ยากลำบาก เขาจะไปหาเพื่อนๆของเขาซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ทั้งหลาย ซึ่งคิดค้นสูตรคณิตศาสตร์เพื่อให้เขาหลุดออกมาจากสถานการณ์อันยุ่งยากนั้น. แต่เพื่อนๆของเขา ด้วยทักษะความชำนาญของคนเหล่านั้น ก็ไม่เคยตามได้ไล่ทันทฤษฎีสัมพัทธภาพเลย.
ในเวลาเดียวกันนั้น ประโยคดังกล่าวดูเหมือนจะบอกว่า ภาษาคณิตศาสตร์เป็นภาษาที่แตกต่างไปจากภาษาฝรั่งเศสและภาษาจีน, หรือจากภาษาการเคลื่อนไหวของร่างกาย(ภาษาท่าทาง) หรือโน๊ตทางดนตรี. ทั้งหมดนั้นเป็นภาษาในลักษณะหนึ่ง แต่ไม่มีภาษาใดเลยที่สามารถได้รับการเรียกว่าเป็นภาษาของวิทยาศาสตร์ได้, ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะศึกษาภาษาใดภาษาหนึ่งในจำนวนที่ยกมานี้ก็ตาม.
ประโยคที่ 7, การวิจารณ์ทางวรรณกรรม อันที่จริงแล้วไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เพราะมันไม่ได้เป็นการคาดการณ์หรือการเก็งความจริง, ซึ่งประโยคนี้ค่อนข้างจะฟังดูแปลกๆ. มันเป็นตลกแบบเก่าๆอันหนึ่งที่ว่า วิทยาศาสตร์จะไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เว้นเสียแต่มันจะเกี่ยวกับเรื่องการคาดการณ์ ; นั่นคือ ที่จริงแล้ว คุณไม่รู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับวิธีการที่ธรรมชาติทำงาน เว้นแต่คุณสามารถคาดการณ์ว่า มันจะทำงานอย่างไรภายใต้สถานการณ์อันนี้หรือสภาพการณ์อันนั้น. สิ่งที่น่าแปลกก็คือว่า บทบาทหน้าที่หลักอันหนึ่งของการวิจารณ์วรรณกรรม(ดังตัวอย่าง การวิจารณ์หนังสือในหนังสือพิมพ์รายวัน)ก็คือ การบอกกับคุณว่าคุณจะชอบ(หรือน่าจะสนใจ)ในหนังสือเล่มนั้นที่ยกมาวิจารณ์. แน่นอน การคาดการณ์หรือการทำนายเป็นเรื่องซึ่งไม่แน่นอน. แต่ก็ไม่ใช่ว่าการทดลองทั้งหมดนั้นที่ได้แสดงผลออกมาคุณจะคาดหวังกับมันไม่ได้เลย. และการตัดสินของนักวิจารณ์ก็ไม่ได้แสดงด้วยสูตรต่างๆทางคณิตศาสตร์ออกมาเช่นเดียวกัน.
ข้าพเจ้าเป็นคนแรกที่ยอมรับว่า การวิจารณ์วรรณกรรมไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ในความหมายธรรมดาเกี่ยวกับเรื่องนี้. แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าที่มันเป็นเช่นนั้นเพราะ มันล้มเหลวที่จะคาดการณ์ต่างๆ. อย่างไรก็ตาม ประโยคดังกล่าวได้นำไปสู่ความรู้สึกหนึ่งที่เรามีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์, และสนับสนุนต่อความหมายของคำว่าวิทยาศาสตร์.
ประโยคที่ 9 ที่ว่า, การเป็นคนที่พูดได้สองภาษา ไม่ได้หมายความว่าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องภาษาศาสตร์, ประโยคนี้ได้ทำให้เรามาถึงความรู้สึกที่เป็นพื้นฐานอีกอันหนึ่งที่เรามีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าเราควรจะมีมันหรือไม่ก็ตาม. นั่นคือ มันประกาศว่า โดยทางอ้อมอันน่าพิศวง ความรู้ชนิดดังกล่าวที่ใครก็ตามมี มันเป็นไปเพื่อประโยชน์ได้มากมายในการมีความสามารถสื่อสารได้สองภาษา แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์.
โดยนัยะ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในตัวมันเอง ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหรือประโยชน์. ประโยคนี้ไม่ได้พูดถึงความดีของวิทยาศาสตร์. ผู้คนส่วนใหญ่ชื่นชอบที่จะเป็นคนที่พูดได้สองภาษายิ่งกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาศาสตร์. ในข้อเท็จจริง การพูดได้สองภาษาเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสมองของเรา (มันสร้างและทำงานได้ดีกว่าและเร็วกว่า). ในทางตรงข้าม การรู้เกี่ยวกับภาษาศาสตร์มันมีประโยชน์น้อยมาก เว้นแต่คุณต้องการงานๆหนึ่ง อย่างเช่น การเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย. นัยยะของประโยคดังกล่าวนั้น บ่อยครั้ง(แต่ไม่เสมอไป) ความรู้ที่บรรดานักวิทยาศาสตร์มี ได้ถูกทำให้เป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ และค่อนข้างไม่มีประโยชน์สำหรับคนธรรมดาแต่อย่างใด.
อย่างไรก็ตาม, ประโยคที่ 2, ในไม่ช้า บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็จะค้นพบการรักษาโรคเอดส์ ซึ่งอันนี้ได้แสดงถึงศรัทธาอันลึกซึ้งของผู้คนที่มีต่อวิทยาศาสตร์ ความรู้สึกของเราที่มี และสามารถจะพึ่งพิงวิทยาศาสตร์ได้ในการแก้ปัญหาที่ยากๆ เป็นปัญหาเร่งด่วน ปัญหาต่างๆทั้งในในทางปฏิบัติและความเป็นจริงที่เราเผชิญอยู่. ประโยคดังกล่าวยังได้เสนอความรู้สึกของเราว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ที่สามารถจะได้รับการคาดหวังว่าจะค้นพบวิธีการรักษาโรคเอดส์. ส่วนบรรดานักกวี ช่างไม้ และพวกนักปรัชญาทั้งหลาย แน่นอนเรามั่นใจว่าบุคคลเหล่านี้จะไม่ค้นพบวิธีการรักษานั้นได้. และคนธรรมดาทั่วไปก็จะไม่เช่นเดียวกัน เพราะคนเหล่านี้เพียงคิดถึงเกี่ยวกับโรคดังกล่าว หรือรับรู้ถึงการรักษาโรคชนิดนี้เท่านั้น. นี่เป็นหนึ่งในความนึกคิดอันกว้างขวางที่ดำเนินไปกับคำว่าวิทยาศาสตร์.
ในยุควิทยาศาสตร์ของเรา ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ได้ยินนักศึกษาพูดถึงประโยคอย่างประโยคที่ 10 ว่า ผมรู้คำตอบ แต่ผมไม่สามารถที่จะอธิบายมันได้. เมื่อได้ยินอย่างนี้ ครูบางคนก็จะยั่วโทสะนักศึกษาว่า ถ้าหากว่าคุณไม่สามารถอธิบายมันได้ ก็แสดงว่าคุณไม่รู้เกี่ยวกับมันหรอก. แล้วก็ให้ค่าอักษรเป็น F สำหรับนักศึกษาคนนั้น.
ความรู้ที่ไม่สามารถถูกใส่กรอบและสื่อสาร, ในทางคณิตศาสตร์หรือในทางใดๆ, ก็คือการไม่รู้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันไม่ใช่ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน. ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ถูกรู้สึกว่า(บางทีก็มีอิทธิพลมาก)เป็นความรู้สาธารณะในความหมายที่ว่า มันสามารถ และจะต้องพูดหรือสื่อสารออกมาได้ เพื่อว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆจะสามารถทดสอบและทำให้มีเหตุผลหรือใช้ได้ขึ้นมา.
แต่อันนี้จะต้องปฏิเสธในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์. การค้นคว้าและการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายครั้ง มักจะมีการสังหรณ์ใจเสมอ พวกนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถที่จะอธิบายมันได้ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ปรากฎผลออกมาในท้ายที่สุดว่าถูกต้อง, อย่างน้อยที่สุดก็ในเรื่องเกี่ยวกับนวนิยายวิทยาศาสตร์หลายๆเรื่องที่เป็นพยานอยู่. บรรดานักกีฬาอเมริกันฟุตบอลล์ที่ยิ่งใหญ่ จะมีสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ และพรสวรรค์ไม่สามารถแสดงออกอย่างเปิดเผย นั่นคือ ในการรู้ว่าตัวเองต้องวิ่งไปที่ไหน หรือขว้างบอลล์ไปที่ใดและอย่างไร. พวกทหารที่รอดชีวิต บ่อยครั้ง อาจทำเช่นนั้นเพราะเนื่องมาจากสัมผัสที่หกเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับภัยอันตราย. และนักบุญทั้งหลายต่างแน่ใจมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนใดเกี่ยวกับสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเผยพระวจนะแก่พวกท่าน หรือเกี่ยวกับสิ่งที่พวกท่านรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าในวิถีทางบางอย่าง.
แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้กำลังพยายามที่จะพิสูจน์ว่าประโยคที่ยกมาเหล่านี้ผิด และในอันที่จริงมันไม่ผิด สำหรับการที่มันได้แสดงถึงบางสิ่งซึ่งเรารู้สึกเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ มันไม่อาจที่จะเป็นเรื่องของสหัชญานในลักษณะผูกขาด, แม้ว่าสหัชญาน(การหยั่งรู้) ด้วยเหตุผลบางประการ อาจถูกนำเข้ามาพัวพันกับการค้นพบทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญๆ หรือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ก็ตาม.
ท้ายสุด ประโยคที่ 3 ที่ว่า วิทยาศาสตร์และศิลปะ มันไม่มีอะไรที่ร่วมกันเลย. ประโยคนี้ได้เผยให้เห็นถึงสิ่งที่ บางทีอาจจะเป็นอคติที่ลึกสุดของเราเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และศิลปะ. ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็ไม่เป็นความจริงที่กล่าวออกมาเช่นนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ในระดับที่เราเห็นๆกันอยู่ นั่นคือ วิทยาศาสตร์และศิลปะ มันมีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ร่วมๆกันอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ทั้งสองศาสตร์นี้เป็นกิจกรรมซึ่งเกี่ยวพันกันกับความสามารถของมนุษย์ทั้งชายและหญิง, ทั้งสองศาสตร์นั้นคือ วิทยาศาสตร์และศิลปะได้ให้ความรู้ความสว่างแก่เรา และทำให้เราสิ้นสุดหรือถอนตัวออกจากความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ศาสตร์ทั้งสองเป็นศาสตร์ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน และเรียกร้องต้องการความพยายามและสติปัญญาความฉลาดในทุกๆส่วนเพื่อทำให้เกิดความสำเร็จขึ้นมา และนั่นมีเพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่กระทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้.
แต่ ประโยคดังกล่าวก็จริงเช่นเดียวกันในอีกความหมายหนึ่ง ซึ่งได้นำเสนอขึ้นมาโดยประโยคที่ 8, พวกเรามีความแน่ใจมากว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์และศิลปิน, แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่พวกเขาทำ มันเป็นไปในทำนองเดียวกัน นั่นคือ คิดถึงนักผสมโลหะคนหนึ่งและประติมากรคนหนึ่งดูซิ ดูว่าพวกเขาที่อะไรที่ต่างกัน และกระทำสิ่งนั้นด้วยเหตุผลที่ต่างๆกันอย่าไงร. ด้วยทัศนคติและข้อคิดเห็นที่ต่างกันไปของพวกเขา อันนั้นได้บอกกับเราอย่างมากว่า อะไรที่วิทยาศาสตร์มุ่งหมาย และอะไรที่นักวิทยาศาสตร์ฆทั้งหลายกระทำกัน.
อัตลักษณ์ 3 ประการของวิทยาศาสตร์
คำว่าวิทยาศาสตร์ ในสามัญสำนึกของเราทุกวันนี้ คือกิจกรรมของมนุษย์ที่ได้ถูกให้อัตลักษณ์เอาไว้ 3 ประการ. อันดับแรกคือ, วิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมที่ปฏิบัติการโดยคนที่มีความเชี่ยวชาญด้วยทัศนะหรือโลกทัศน์ที่เฉพาะเจาะจงลงไปเกี่ยวกับโลก. บรรดานักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะทำให้มันเป็นเรื่องของวัตถุวิสัย, ปราศจากความรู้สึก, และไร้อารมณ์. พวกเขาจะไม่ยอมให้ความรู้สึกต่างๆของตัวเองเข้าไปในวิธีการสังเกตุเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นจริง ข้อเท็จจริง ดังที่เขาเรียกพวกมัน. บ่อยครั้ง พวกเขาทำงานในห้องทดลอง หรือในพื้นที่อื่นซึ่งพวกเขาสามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้อย่างระมัดระวังในสิ่งซึ่งพวกเขาทำอยู่. พวกเขาจะไม่เตร็ดเตร่ออกไปดูพระอาทิตย์ตกดิน และมองดูโลกของเราใบนี้ด้วยสายตาที่ประหลาดใจ เช่นดั่งที่นักกวีทำ.
ในเชิงอุดมคติ นักวิทยาศาสตร์จะมีทั้งความซื่อสัตย์และความถ่อมตัว. พวกเขามักจะพยายามรายงานการค้นพบต่างๆ เพื่อว่าคนอื่นๆจะได้สามารถตรวจสอบพวกเขาได้ และต่อจากนั้นก็นำไปใช้ประโยชน์ในงานของตน. พวกเขาจะไม่ประกาศอะไรที่มากเกินไปกว่าที่พวกเขาสามารถพิสูจน์ได้ และบ่อยทีเดียว ก็จะพูดน้อยกว่าที่เป็น. แต่ทว่า พวกเขามีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งต่ออาชีพของตนเอง และชื่นชอบที่จะคุยกับบรรดานักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆมากกว่าจะคุยกับใครก็ได้, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักกวี, ผู้ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบาย กระสับกระส่าย และตกต่ำ (แน่นอน นักกวีก็รู้สึกว่านักวิทยาศาสตร์ทำให้เขารู้สึกเช่นเดียวกันนี้เหมือนกัน).
ประการที่สอง, วิทยาศาสตร์จะเกี่ยวพันกับสิ่งต่างๆ ไม่ใช่ในแง่ของไอเดีย ความคิด และความรู้สึก แต่จะพัวพันกับโลกภายนอกและการทำงานภายนอกของมัน ไม่ใช่ภาวะภายในและการทำงานภายใน, แม้ว่าแรงพยายามของนักจิตวิทยาบางคนจะเป็น หรือดูเหมือนว่าเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ก็ตาม. เรือนร่างของมนุษย์ได้รับการพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของโลกภายนอก; ส่วนวิญญานนั้นไม่ใช่ ถือเป็นโลกภายในและลึกลับ. ด้วยเหตุนี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจึงทำงานเพื่อทำความเข้าใจร่างกายของมนุษย์ แต่ไม่ใช่วิญญานของมนุษย์.
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มีความสงสัยและไม่แน่ใจในเรื่องของวิญญานว่ามีอยู่. ระบบสุริยะและจักรวาลก็เป็นส่วนของโลกภายนอกเช่นเดียวกัน, ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีหลักฐานตรงๆเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเกี่ยวกับความเป็นไปของมันเกี่ยวกับความมีอยู่. บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมีแนวโน้มที่จะสันนิษฐานเกี่ยวกับเงื่อนไขพื้นฐานของธรรมชาติบนโลกว่าเป็นอย่างเดียวกันในทุกๆที่ในโลก.
ยังน่าสงสัยว่า มนุษยชาติเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลกภายนอกในความหมายอันนี้. นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย โดยทั่วไป ไม่เต็มใจที่จะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนเป็นกลุ่มใหญ่ๆไม่ว่าทั้งชายและหญิง. ดังนั้น บรรดานักเศรษฐศาสตร์ เป็นตัวอย่าง จึงดิ้นรนเพื่อให้ได้รับการพิจารณาให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ปกติแล้วจะไม่ได้รับการยอมรับและดูเหมือนจะไร้ประโยชน์.
โลกภายนอกของนักวิทยาศาสตร์ได้บรรจุเอาบางสิ่งบางอย่างไว้ อย่างเช่น quanta, quarks, และ quasars, ซึ่งยังเต็มไปด้วยความลึกลับคล้ายกับเทพธิดา และปกติแล้วเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น. แต่อันนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา เช่นดังที่พวกเขาเชื่อว่า สามารถเกี่ยวข้องกับเรื่องอนุภาคพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่จริงแล้วบรรดานักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถมองเห็นได้ และมันเป็นไปตามหลักของความไม่แน่นอนที่มองไม่เห็น. แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เกี่ยวพันกับสิ่งเหล่านี้ในฐานะอย่างเดียวกับเรื่องของเทวะ ซึ่งเป็นไปได้มากว่าจะไม่ปรากฏแก่ตาของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย เพราะนักวิทยาศาสตร์ต่างไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้นั่นเอง.
โลกภายนอกเป็นสิ่งใดๆก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายสามารถวัดและอธิบายมันได้ในเทอมของคณิตศาสตร์, และมันจะกันทุกสิ่งที่ไม่อาจทำเช่นนี้ได้ออกไป. นี่หมายความว่าโลกภายนอกค่อนข้างเป็นความเชื่อหรือความเห็นที่สลัวลาง, แต่ไอเดียหรือความคิดที่อยู่เบื้องหลังมันไม่เลือนลางแต่อย่างใด.
ประการที่สาม, เมื่อวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับอะไรก็ตาม มันก็จะเกี่ยวพันกับสิ่งนั้นในหนทางที่พิเศษ มีการใช้วิธีการที่พิเศษและภาษาหนึ่งเพื่อรายงานผลลัพธ์ต่างๆที่ชี้เฉพาะเกี่ยวกับมัน. ระเบียบวิธีซึ่งรู้จักกันดีมาก แต่ไม่จำต้องถูกนำมาใช้บ่อยที่สุด ประกอบด้วยการทดลอง ซึ่งเกี่ยวพันกับการได้มาซึ่งไอเดียหรือความคิด จากที่ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่สงสัย แล้วกำหนดกรอบมันเข้าไปในสมมุติฐานที่สามารถทดลองได้ และต่อจากนั้นก็ทำการทดลองสมมุติฐานดังกล่าวในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการควบคุม เพื่อคลี่คลายหรือทดสอบข้อเท็จจริงนั้นออกมาไม่ว่ามันจะชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ก็ตาม. สภาพแวดล้อมนั้นจะต้องได้รับการควบคุมอย่างระมัดระวัง เพื่อว่าปัจจัยภายนอกจะได้ไม่รุกล้ำหรือเข้ามาก้าวก่ายทำให้การทดลองดังกล่าวไม่ได้ผล และเพื่อว่าคนอื่นๆจะสามารถทดลองซ้ำได้ในความหวังที่จะได้มาถึงผลลัพธ์ที่ออกมาในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจะเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดของความน่าเชื่อถือหรือวางใจได้นั่นเอง.
ภาษาที่ใช้สำหรับรายงานผลและใช้งานรวมทั้งใช้ในการควบคุมวิทยาศาสตร์ก็คือ ภาษาคณิตศาสตร์ ซึ่งบางที เรื่องของภาษาคณิตศาสตร์นี้ ดูจะเป็นอัตลักษณ์ที่เด่นชัดมากที่สุด. บรรดานักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่กล่าวว่า ถ้าหากว่าคุณไม่สามารถที่จะอธิบายสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ได้ด้วยเทอมต่างๆทางด้านคณิตศาสตร์ คุณก็ไม่ได้กำลังทำวิทยาศาสตร์อยู่ และการที่พวกเขานิยมรายงานผลงานต่างๆของพวกเขาในเทอมของคณิตศาสตร์ก็เพราะ การทำเช่นนั้นมันง่ายกว่าและเร็วกว่า และเป็นเพราะนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกสามารถเข้าใจมันได้นั่นเอง.
มันเป็นสิ่งที่สำคัญซึ่ง ผลงานในตัวของมันเองนั้นถูกทำขึ้นในเชิงคณิตศาสตร์ หมายความว่า การสังเกตุการณ์สิ่งที่ถูกศึกษา จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ หรือลดทอนลงสู่ จำนวนตัวเลขเป็นการด่วน, เพื่อว่าพวกมันจะถูกศึกษาได้ในวิธีการทางเหตุผล. ความคิดเก่าแก่ของบรรดานักวิทยาศาสตร์กรีกในช่วงแรกสุด ซึ่งโลก โดยสาระแล้ว เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ เพราะมัน ด้วยเหตุผลบางประการ ได้รับการทำให้ลงรอยสอดคล้องกับใจของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ จึงได้เปลี่ยนทัศนะของ Pythagorean ไปว่า โลก, อย่างน้อยที่สุดก็โลกภายนอกนั้น เป็นสาระเรื่องราวของวิทยาศาสตร์, โดยแก่นแท้ มันเป็นเรื่องทางคณิตศาสตร์ และด้วยเหตุนี้ มันจึงสามารถเข้าใจได้ เพราะจิตใจของมนุษย์ โดยสาระแล้วเป็นคณิตศาสตร์ด้วยเช่นกัน.
ไม่ว่ากรณีใดก็ตามที่มนุษยชาติสามารถวัดสิ่งต่างๆได้ การทำเช่นนั้น หมายถึงการเปลี่ยนแปลงหรือการลดทอนสิ่งทั้งหลายลงมาเป็นตัวเลข อันที่จริงแล้ว มันสร้างความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ทั้งทางด้านความเข้าใจและการควบคุมสิ่งต่างๆเหล่านั้น. ส่วนกรณีใดก็ตามที่มนุษย์ล้มเหลวที่จะค้นพบวิธีการในการวัด พวกเขาก็จะประสบความสำเร็จน้อยมาก. ตัวอย่างของความสามารถในการอธิบายที่ค่อนข้างจะล้มเหลวก็คือ เรื่องของจิตวิทยา, เศรษฐศาสตร์ และการวิจารณ์ศิลปะ และวรรณกรรม. ดังนั้น ศาสตร์เหล่านี้จึงไม่ได้รับสถานะของการเป็นวิทยาศาสตร์ (เนื่องเพราะมันวัดไม่ค่อยได้นั่นเอง).
วิทยาศาสตร์ของศตวรรษที่ 17 คือศาสตร์แห่งการค้นพบ หรือการประดิษฐ์คิดค้น. ผู้คนในช่วงเวลานั้นเรียนรู้ว่า จะวัดสิ่งต่างๆได้อย่างไร จะอธิบาย และควบคุมหรือใช้ประโยชน์ปรากการณ์ธรรมชาติอย่างไร ในวิธีการที่ทุกวันนี้เราเรียกว่าวิทยาศาสตร์. นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา วิทยาศาสตร์ได้เจริญก้าวหน้าอย่างมาก และได้ค้นพบความจริงมากมาย และยังได้ให้ประโยชน์นานัปการ ซึ่งในศตวรรษที่ 17 เองก็ไม่เคยรู้มาก่อน. แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้พบหนทางใหม่ในการค้นพบความจริงของธรรมชาติ. ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมานี้ ศตวรรษที่ 17 เป็นไปได้ที่จะถือว่าเป็นศตวรรษที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษย์. มันได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่อาจหวนคืนกลับไปอีกได้ในวิถีการดำรงอยู่ของมนุษย์บนโลกของเราใบนี้. เราไม่สามารถที่จะหวนคืนกลับไปดำรงชีวิตเช่นดังที่คนในสมัยเรอเนสซองค์ได้อีกแล้ว. เราเพียงแต่อาจจะรู้สึกประหลาดใจเท่านั้น หรือว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในทุกๆด้านเป็นไปเพื่อชีวิตที่ดีกว่า.
---------------------------------------------------------------------------
(จากหนังสือ : A History of Knowledge ของ Charles van Doren) แปลจากหัวข้อเรื่อง The Invention of Scientific Method หน้า 184-187) 1991
Resource:
//midnightuniv.org/miduniv/newpage22.htm