0016. RETHINKING THE FUTURE : 1 ใน 109 หนังสือควรอ่าน จาก นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2544 นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ผู้นำภาคราชการ:ประสิทธิผลและความรับผิดชอบ" ณ โรงแรมสยามซิตี้ กรุงเทพฯ มีข้อความตอนหนึ่งว่า....
...."วันนี้ ต้องปรับวิธีคิด อย่าคิดแบบเก่า ถ้าใครไม่รู้ว่าจะปรับวิธีคิดอย่างไร ก็ให้ไปอ่านหนังสือ Rethinking the Future" เขาไปเอาหนังสือที่เขียน โดย นักมองอนาคตทั้งหลายมาเรียบเรียง โดย โรวัน กิบสัน เขาพูดถึงกระบวนการบริหารใหม่ (Rethinking of Management) ทบทวนการเป็นผู้นำใหม่ (Rethinking of Leadership) เรื่องการตลาด เรื่ององค์กร คิดใหม่หมด มันกลับขั้ววิธีคิดนิดเดียว ทำให้เราเห็นว่าวิธีคิดใหม่มันต่างกันเยอะมาก อันนี้ คือ วิธีคิดที่เปลี่ยนไป"
...เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2546 ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การพัฒนาผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลง" นายกรัฐมนมนตรี ได้กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้อีก ซึ่งพอจะสรุปเนื้อหาบางส่วนได้ว่า...
1. ให้มีสำนึกในเป้าหมาย 2. ต้องเป็นนักการสื่อสาร ที่สามารถนำวิสัยทัศน์ของตนมาตอบให้ผู้อื่นรู้ 3. ต้องกล้าที่จะทำให้องค์กรนั้นมีความกระทัดรัดคล่องตัว
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2547 นายกรัฐมนตรี ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "คลังสมองเพื่อการพัฒนาประเทศ" ในการประชุมเชิงปฏิบัติการนักวิชาการเพื่อการพัฒนาประเทศ ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษาและสถาบัน คลังสมองแห่งชาติ ซึ่งมีนักวิชาการที่จบระดับด็อกเตอร์มาไม่เกิน 10 ปี จากทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมประมาณ 1,000 คน ครั้งนี้ ท่านได้กล่าวถึงหนังสือ 6 เล่ม ซึ่งเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งใน 6 เล่มนั้น ดังข้อความตอนหนึ่งว่า ....
..."เรื่อง Rethinking the Future เขาได้ไปนำเรื่องย่อของแต่ละคนมาลง ก็ทำให้ท่านจุดประกายว่า ต้อง Rethink ใหม่ ต้องนำกลับมาคิดในเรื่องของการบริหารจัดการ การตลาด เพราะสิ่งที่เราคิดแต่เดิมได้เปลี่ยนไปแล้ว"
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2547 นายกรัฐมนตรี กล่าวในพิธีเปิดการสัมมนาเรื่อง "ยุทธศาสตร์การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจโลก" ณ หอประชุมกองทัพเรือ กรุงเทพฯ มีข้อความตอนหนึ่งดังนี้...
...."ท่านรู้ไหมว่า วิธีคิดใหม่ ทำใหม่ในด้านการตลาดนั้น ในหนังสือ เรื่อง Rethinking the Future เขาบอกว่า คนที่หลงส่วนแบ่งตลาดกำลังคิดผิด ส่วนแบ่งตลาดไม่ใช่คำตอบของการทำธุรกิจที่ดี การทำธุรกิจที่ดีจะต้องขยายฐานลูกค้า แต่ ไม่ใช่ร้อยละเป็นตัวฐาน แล้วทำให้กำไรในภาพรวมดีขึ้น ดังนั้น ส่วนแบ่งตลาดที่เป็นร้อยละจึงไม่ใช่ความหมาย วิธีการที่ดีที่สุด คือ การเชิญผู้แข่งขันให้มีการแข่งขันมากๆ แล้วเราสร้างประสิทธิภาพให้มากๆ นั่นคือการแข่งขันที่ได้เปรียบ"
A computer image of the 'Burj Dubai' ...
Create Date : 04 มีนาคม 2551 |
Last Update : 4 มีนาคม 2551 17:29:20 น. |
|
11 comments
|
Counter : 2816 Pageviews. |
|
|
|
Rethinking the Future
เขียนโดย โรวัน กิ๊บสัน (Rowan Gibson) เป็นอีกเล่มหนึ่งซึ่งนายกฯ ทักษิณ แนะนำให้คนไทยอ่าน
หนังสือเล่มนี้รวมแนวคิดต่อโลกยุคใหม่ของบุคคลซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ 16 คนไว้ด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่
ด้านหลักการ (Rethinking Principles)
ด้านการแข่งขัน (Rethinking Competition)
ด้านการควบคุมและความสลับซับซ้อน (Rethinking Control & Complexity)
ด้านความเป็นผู้นำ (Rethinking Leadership)
ด้านตลาด (Rethinking Markets)
และด้านโลกกว้าง (Rethinking the World)
ผู้เขียนตั้งประเด็นเบื้องต้นของหนังสือด้วยชื่อว่า การคิดใหม่ต่อธุรกิจ (Rethinking Business) และเชิญปรมาจารย์ทางด้านบริหารจัดการอีก 2 คนชื่อ แอลวิน และ โฮดี้ ทอฟเฟลอร์ (Alvin & Heidi Toffler) มาเป็นผู้เขียนคำนำ
Rethinking the Future พิมพ์ครั้งแรกในอังกฤษเมื่อปี 2539 ได้รับการแปลเป็นไทยว่า คิดใหม่เพื่ออนาคต เมื่อปี 2542 นายกฯ ทักษิณและรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้เกียรติเขียนคำนิยม นอกจากนั้นฉบับแปลยังมีเนื้อหาเพิ่มอีก 3 บท ได้แก่ ข้อคิดบางประการของปรมาจารย์วิชาบริหารจัดการอันโด่งดังชื่อ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ รวบรวมโดยผู้แปลเอง เสริมด้วยบทวิพากษ์ปีเตอร์ ดรักเกอร์ และคำปราศรัยเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมืองและสังคมที่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจของรองนายกฯ สมคิด
อย่างไรก็ตาม ฉบับแปลไม่ได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นขั้นตอนตามต้นฉบับ ผู้อ่านจึงอาจไม่ได้รับความกระจ่างทันทีว่าผู้เขียนแยกเนื้อหาเป็น 6 ด้านด้วยกัน
สำหรับการปูฐานเบื้องต้นในหัวข้อ Rethinking Business ซึ่งหมายถึงการคิดต่อการทำธุรกิจเสียใหม่ ประเด็นของหนังสือกลายเป็นคำถามที่ว่า ทำไมจำเป็นต้องคิดต่อการทำธุรกิจเสียใหม่ ในเมื่อการทำธุรกิจในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจสูงได้รับความสำเร็จจนสามารถกระจายอำนาจไปครอบงำได้ทั่วโลก?
คำตอบสั้นๆ คือ เมื่อโลกเดินเข้าสู่ยุคใหม่ วิธีบริหารจัดการธุรกิจต้องเปลี่ยนไปให้เหมาะสม ผู้ไม่เปลี่ยนจะตามผู้อื่นไม่ทันและจะล่มสลายไปในที่สุด
ยุคใหม่ในที่นี้หมายถึงอะไรกันแน่?
การแบ่งยุคอาจทำได้หลายวิธี จะแบ่งอย่างไรขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการแบ่ง หากใช้ การสร้างความมั่งคั่ง อันเป็นจุดประสงค์หลักของการทำธุรกิจเป็นเกณฑ์ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอาจแบ่งได้เป็น 4 ยุค
เริ่มด้วยยุคของการเก็บของป่าและการล่าสัตว์ ยุคนี้ไม่มีการสร้างความมั่งคั่งอย่างเป็นกอบเป็นกำนัก ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความรู้และเทคโนโลยีที่สามารถใช้เปลี่ยนทรัพยากรให้เป็นความมั่งคั่งได้ด้วยการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ ยุคเกษตรกรรมจึงเกิดขึ้น
ความมั่งคั่งตกอยู่กับผู้มีที่ดินเพื่อทำการเกษตร ปราชญ์บางคนขนานนามความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างทั่วถึงในยุคนั้นว่าคลื่นลูกที่ 1
ยุคอุตสาหกรรมเกิดเป็นลำดับต่อมาเมื่อความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ นำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งเริ่มเมื่อตอนกลางของคริสต์ศตวรรษที่ 18 หรือตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาครอบคลุมมาถึงสมัยกรุงธนบุรี ฐานของการสร้างความมั่งคั่งในยุคนี้ได้แก่การผลิตและการจำหน่ายสินค้าจากโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งค่อยๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น ผลิตสินค้าได้มากขึ้น เพื่อตลาดที่กว้างขึ้น ก่อให้เกิดความสลับซับซ้อนมากขึ้น
ความมั่งคั่งจึงตกอยู่กับผู้เป็นเจ้าของและผู้บริหารจัดการของบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ การปฏิวัติอุตสาหกรรมนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางด้านอื่นๆ อย่างถึงรากเหง้าและกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมหรือวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นรวมกันเป็นคลื่นลูกที่ 2
แนวคิดหรือศาสตร์ในการบริหารจัดการในยุคอุตสาหกรรมใช้ได้ผลมาเป็นเวลาเกือบ 200 ปี แต่เมื่อความรู้และเทคโนโลยีใหม่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นดินอีกครั้งในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 หรือในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา วิชาบริหารจัดการของยุคอุตสาหกรรมเริ่มใช้ไม่ค่อยได้ผล ธุรกิจที่ยังใช้การบริหารจัดการแบบเก่าเริ่มประสบปัญหาร้ายแรง หลายแห่งประสบกับความล่มสลาย ส่วนธุรกิจที่เปลี่ยนการบริหารได้เหมาะกับสถานการณ์ เริ่มได้รับความสำเร็จอย่างสูง สร้างความมั่งคั่งอย่างมหาศาลให้แก่ผู้ประกอบการและเจ้าของ
ยุคนี้เรียกว่ายุคข่าวสารข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทุกด้านรวมกันเรียกว่าคลื่นลูกที่ 3
คลื่นลูกที่ 3 กำลังมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อองค์กรทางธุรกิจ ต่อสถาบันต่างๆ ในสังคม ต่ออำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศ และต่อแนวคิดของเศรษฐกิจในระบบตลาดเสรีเอง แต่ในขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถสร้างองค์ความรู้เรื่องการบริหารจัดการขึ้นมาให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปได้
ในยุคข่าวสารข้อมูลนี้เป็นที่ยอมรับกันว่าปัจจัยหลักของการผลิตสินค้าและบริการได้แก่ภูมิปัญญา แต่จะบริหารจัดการภูมิปัญญาอย่างไรให้เกิดผลสูงสุดยังไม่มีใครสามารถตอบได้อย่างถ่องแท้ ในช่วงเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมาซึ่งอาจเรียกว่าเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของยุคจึงเกิดแนวคิดใหม่ๆ ขึ้นมากมาย ทำให้เกิดความสับสนสำหรับผู้บริหาร
นอกจากจะสร้างความสับสนแล้ว ภาวะที่เต็มไปด้วย ความไม่แน่นอน ยังเปิดโอกาสสร้างความมั่งคั่งอย่างมหาศาลให้ผู้ที่อ่านเหตุการณ์ออกและปรับเปลี่ยนองค์กรได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ ผู้เขียนเสนอให้ผู้บริหารเปลี่ยนฐานความคิดเสียใหม่ เริ่มจากการยอมรับว่ากรอบความคิดที่ผ่านมานั้นใช้ไม่ได้แล้ว ยุคใหม่ต้องใช้หลักบริหารจัดการใหม่ แล้วเริ่มปรับเปลี่ยนองค์กรของตนให้เหมาะสม โดยใช้แนวคิดของปรมาจารย์ 16 คนที่เขานำมารวมไว้นั้นประกอบกันเป็นกรอบ 6 ด้านสำหรับอ้างอิง
การคิดใหม่ต่อการแข่งขัน (Rethinking Competition) เป็นกรอบด้านที่ 2 ของ 6 ด้าน ปรมาจารย์ 3 คนเป็นผู้ให้แนวคิด ได้แก่ ไมเคิล พอร์เตอร์ (Michael Porter) ซีเค ประฮาลัด (CK Prahalad) และ แกรี่ แฮเมล (Gary Hamel)
แนวคิดของ ไมเคิล พอร์เตอร์ ในหัวข้อ การสร้างความได้เปรียบในวันหน้า (Creating Tomorrow's Advantages) เน้นการใช้ยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเพราะในวันข้างหน้า บริษัทที่มียุทธศาสตร์อันเหมาะสมเท่านั้นจึงจะอยู่รอด
หัวใจของยุทธศาสตร์อยู่ที่ความมีเอกลักษณ์ บริษัทจะต้องแน่ใจว่าตนกำลังเสนอขายอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากของคนอื่นให้แก่ลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน
ไม่ว่าจะเป็นในด้านความต้องการของลูกค้า ด้านเทคโนโลยี ด้านวิชาบริหารจัดการ หรือด้านความรู้ความสามารถของคู่แข่ง บริษัทจะหยุดนิ่งไม่ได้ จะต้องเรียนรู้ใหม่ และปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของตนตลอดเวลา
นอกจากนั้นบริษัทจะต้องเรียนรู้อย่างทะลุปรุโปร่งเกี่ยวกับแวดวงธุรกิจของตน ต้องตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าตนจะทำอะไร ในส่วนไหนของวงธุรกิจนั้น และจะทำอย่างไรจึงจะไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้
ความสะดวกของการแข่งขันข้ามพรมแดนในยุคนี้ มีผลพวง 2 แง่ ซึ่งดูจะขัดแย้งกันอยู่ในตัว นั่นคือ ความได้เปรียบทางด้านตำแหน่งแหล่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของกิจการบางอย่างเริ่มหดหายไป ขณะเดียวกัน การเกาะกลุ่มของกิจการที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกัน ในสถานที่ใกล้เคียงกัน จะก่อให้เกิดความได้เปรียบ เพราะมีปัจจัยประกอบที่เอื้อกันอย่างพร้อมเพรียง เช่น ธุรกิจด้านการบันเทิงสารพัดอย่างที่ตั้งอยู่ในย่านฮอลลีวู้ด ภายในกลุ่มของกิจการต่างๆ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวเนื่องกันนี้ ทุกบริษัทจะต้องเลือกเอาว่าตนจะทำอะไรให้ได้ดีกว่าผู้อื่น
ความจำเป็นที่จะต้องเลือกทำเพียงบางอย่าง จะไม่สร้างปัญหาให้แก่บริษัทเล็กๆ ตรงข้ามมันอาจจะช่วยเสียด้วยซ้ำเพราะบริษัทเล็กๆ สามารถเลือกทำอะไรเพียงอย่างเดียวด้วยความเชี่ยวชาญ จนไม่มีใครเลียนแบบได้
แนวคิดนี้เมื่อนำไปประยุกต์ใช้ในระดับประเทศ หมายความว่า รัฐบาลจะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อเอื้อให้เกิดอุตสาหกรรมบางอย่างเท่านั้น ไม่ใช่จะให้เกิดทุกอย่าง และสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องแกร่งพอที่จะแข่งขันกับใครๆ ได้ทั่วโลก
วิธีหนึ่งซึ่งจะก่อให้เกิดความแกร่งคือการแข่งขันกันเองแบบเข้มข้นภายในประเทศ
แนวคิดของ ซีเค ประฮาลัด ในหัวข้อ ยุทธศาสตร์เพื่อความเติบโต (Strategies for Growth) มีแก่นอยู่ที่ความสามารถของบริษัทที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะถ้าไม่เปลี่ยนย่อมหมายถึงจุดจบ โดยเฉพาะในยุคของโลกที่ไร้พรมแดน ที่มีข่าวสารข้อมูลจำนวนมหาศาล มีความสลับซับซ้อนสูง และทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริหารชั้นนำจะต้องมีสติปัญญาและความสามารถในการสังเคราะห์สิ่งต่างๆ เพื่ออ่านอนาคต พร้อมกับสามารถที่จะสร้างกฎกติกาใหม่และช่วงชิงไปให้ถึงหลักชัยก่อนผู้อื่น
พาหนะของผู้บริหารคือยุทธศาสตร์ที่สามารถให้ความต่อเนื่องระหว่างปัจจุบันกับอนาคต นั่นคือ กิจการในวันนี้จะต้องมีกำไรมากพอที่จะเอื้อให้บริษัทสามารถทำกิจการใหม่ในวันหน้า และแผนของกิจการในวันหน้าจะต้องไม่เป็นความฝันลมๆ แล้งๆ หากเป็นสิ่งที่นำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
ฉะนั้น การร่างยุทธศาสตร์จะต้องไม่จำกัดอยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น พนักงานระดับรากหญ้าและผู้อยู่ในแนวหน้าจะต้องมีส่วนร่วมด้วย นอกจากคนงานเหล่านี้จะมีข้อมูลและปมปัญหาที่ได้มาจากการคลุกคลีกับงานโดยตรงแล้ว พวกเขาจะต้องมีความเข้าใจในยุทธศาสตร์ ในจุดมุ่งหมาย มีแรงบันดาลใจร่วมกันและมีความมุ่งมั่นที่จะทุ่มเทให้เกิดความสำเร็จ
นั่นจะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับขับเคลื่อนให้เครื่องจักรเดินไปจนถึงจุดหมายปลายทาง
แนวคิดของ แกรี่ แฮเมล ในหัวข้อ การสร้างฐานใหม่ในการแข่งขัน (Reinventing the Basis for Competition) มีส่วนคล้ายกับของ ซีเค ประฮาลัด อยู่มาก เนื่องจากปรมาจารย์ 2 คนนี้ทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานาน
แฮเมลแยกบริษัทออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่
กลุ่มแรกมุ่งไปที่การปรับปรุงตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายใน การยกเครื่องใหม่ หรือการยกมาตรฐานสินค้าและบริการของตนเอง
อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้บุกเบิก กลุ่มนี้มุ่งไปที่การคิดสร้างสินค้าและวางกฎกติกาของการแข่งขันขึ้นใหม่ แฮเมลกล่าวว่า กลุ่มหลังนี้จะเป็นผู้ที่สร้างความมั่งคั่งขึ้นใหม่ และในที่สุดจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม ความหมายของการแข่งขันในสายตาของแฮเมล ไม่ใช่การแข่งขันระหว่างบริษัทต่างๆ ในการแสวงหากำไรจากกิจการที่มีอยู่แล้ว หากเป็นการแข่งขันกันหาโอกาสสร้างสินค้าและบริการขึ้นใหม่ ในสนามแข่งขันใหม่
เขายกตัวอย่างเรื่องเครื่องดื่ม ธุรกิจเครื่องดื่ม โคล่า เป็นที่รู้จักกันดี และมี โคคา-โคล่า และ เป๊บซี่-โคล่า เป็นยักษ์ใหญ่ในการแย่งตลาดและผลกำไรกัน แต่บริษัทในสองกลุ่มนี้ ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นใหม่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผู้ที่สร้างสินค้าและกติกาการแข่งขันขึ้นใหม่ได้แก่ผู้ผลิตเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาชื่อว่า เกเตอเรด (Gatorade)
ทำนองเดียวกัน สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น (Cable News Network) เป็นตัวอย่างในการสร้างบริการและกติกาการแข่งขันขึ้นมาใหม่ในด้านการเสนอข่าว ก่อนที่จะมีซีเอ็นเอ็น ไม่มีสำนักข่าวไหนเสนอข่าวทางโทรทัศน์ตลอด 24 ชั่วโมง
แฮเมลย้ำว่า บริษัทที่จะชนะการแข่งกันจะต้องมีผู้บริหารที่รู้จักถ่อมตน ไม่คิดว่าตนรอบรู้แต่เพียงผู้เดียว ต้องฟังคนงานระดับล่างพร้อมกับให้รางวัลผู้ที่มีความคิดใหม่ๆ และต้องตระหนักว่า ความคิดใหม่มักเกิดจากคนจำพวกมองอะไรสวนกระแสและชอบโต้แย้ง
สำหรับการแข่งขันกันสร้างโอกาสเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งใหม่ในอนาคต แฮเมลบอกว่า ปัจจุบันนี้มีชัดๆ อยู่ 2 ทางด้วยกัน
ทางแรก เป็นธุรกิจเกี่ยวกับสารสนเทศซึ่งยังวิวัฒน์ไปอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกทาง เป็นการลงทุนในภาคพื้นเอเชีย ซึ่งจะเป็นหัวจักรใหญ่ในการขับเคลื่อน
คิดใหม่ต่อการควบคุมและความสลับซับซ้อน (Rethinking Control & Complexity) เป็นกรอบด้านที่ 3 ด้านนี้มีปรมาจารย์ 3 คนเป็นผู้ให้แนวคิด ได้แก่ ไมเคิล แฮมเมอร์ (Michael Hammer) อีไล โกลแดรตต์ (Eli Goldratt) และ ปีเตอร์ เซงเก (Peter Senge)
แนวคิดของ ไมเคิล แฮมเมอร์ ในหัวข้อ หลังการบริหารอวสานลง (Beyond the End of Management) มุ่งไปที่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารองค์กรให้เหมาะสมกับยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีและความต้องการของลูกค้า
เขาเสนอว่า การบริหารของยุคอุตสาหกรรมซึ่งตั้งอยู่บนฐานของการออกคำสั่ง และการควบคุมของผู้บริหาร ส่วนคนงานเป็นผู้ทำตามนั้นใช้ไม่ได้แล้ว เพราะกว่าคำสั่งจะเดินทางไปตามขั้นตอนจนถึงคนงาน เหตุการณ์อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ฉะนั้น การบริหารองค์กรสมัยใหม่ จะต้องไม่เป็นแบบรูปเจดีย์ หรือพีระมิด ซึ่งผู้บริหารอยู่ตรงยอดและคนงานอยู่ตรงฐาน หากเป็นการแยกคนงานออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วภายในขอบเขตงานของตน ไม่ต้องรอคำสั่งจากเบื้องบนดังแต่ก่อน
ในองค์กรแบบนี้หน้าที่ของผู้บริหารจะเปลี่ยนไป จากการเป็นเจ้านายผู้ออกคำสั่งและควบคุมการทำงานของพนักงาน ไปเป็นผู้ให้คำแนะนำ ให้ความสนับสนุนและเอื้อให้ทุกอย่างลื่นไหลไปตามแนวทางที่วางไว้อย่างรวดเร็ว
ในองค์กรแบบใหม่ ทางก้าวหน้าของคนงานจะเปลี่ยนไปด้วย ในสมัยก่อนเมื่อคนงานทำงานนานขึ้นและเกิดความเชี่ยวชาญมากขึ้นก็จะได้เลื่อนขั้นไปจนได้เป็นผู้บริหาร แต่ในสมัยใหม่ คนงานจะเลื่อนไปทำงานที่ใช้ความเชี่ยวชาญมากขึ้นตามลำดับ ไม่กระโดดไปเป็นผู้บริหาร ซึ่งจะเป็นสายงานที่แยกเป็นอีกแขนงหนึ่งโดยเฉพาะ
ความจำเป็นที่จะต้องมีองค์กรแบบนี้จะดีสำหรับวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งมักมีคนใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลาและมีการศึกษาสูง มีความคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบและความร่วมมือสูง แต่จะเป็นอุปสรรคสำหรับประเทศที่ยังมีวัฒนธรรมแบบเจ้าขุนมูลนาย ไม่กล้าคิดนอกกรอบ ไม่กล้าออกความเห็น ไม่ฟัง
แฮมเมอร์ย้ำว่า ในยุคนี้ผู้นำที่คิดว่าตัวเองเก่งแต่เพียงผู้เดียว หรือองค์กรของตนยอดเยี่ยมแล้ว จะพาองค์กรไปพบจุดจบอย่างรวดเร็ว
แนวคิดของ อีไล โกลแดรตต์ ในหัวข้อ เจาะจงไปที่ข้อจำกัด ไม่ใช่ต้นทุน (Focusing on Constraints, Not Costs) แนะให้เลิกใช้การวิเคราะห์และความพยายามลดต้นทุนในยุคที่การแข่งขันนับวันจะเข้มข้นยิ่งขึ้น แต่ให้คิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น
พาหนะสำคัญในการคิดได้แก่ 'ทฤษฎีข้อจำกัด' ของเขา ทฤษฎีนี้มีหลักว่า ให้บริษัทมุ่งปรับเปลี่ยนและเสริมสร้างรอยต่อหรือข้อของลูกโซ่ที่เป็นจุดอ่อนที่สุดในองค์กร
การใช้ทฤษฎีนี้มีสิ่งที่จะต้องวิเคราะห์ออกมาตาม 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1.ค้นหาจุดอ่อนของบริษัทซึ่งอาจจะอยู่ที่ด้านกายภาพหรือที่ด้านนโยบายก็ได้ 2.คิดให้ทะลุปรุโปร่งว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไร หรือสร้างอะไรขึ้นมาแทนข้อที่เป็นจุดอ่อนนั้น การคิดแบบนอกกรอบจะมีประโยชน์มากในตอนนี้ 3.ทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนที่ต้องการ
ขั้นที่ 3 อาจมีการต่อต้านจากภายใน แต่โกลแดรตต์บอกว่า ถ้าผู้บริหารใช้หลักการของโซเครติส หรือหลักวิชาตรรก อธิบายให้คนงานเข้าใจ การต่อต้านจะหดหายกลายเป็นความร่วมมือเอง
แนวคิดของ ปีเตอร์ เซงเก ในหัวข้อ ลอดรูเข็ม (Through the Eye of the Needle) เกิดจากการมองว่า ในยุคใหม่นี้มีอานุภาพ 3 อย่างซึ่งกำลังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ได้แก่ 1.เทคโนโลยี 2.การหดหายไปของพรมแดนสำหรับการทำธุรกิจ หรือโลกาภิวัตน์ และ 3.การนำทรัพยากรมาใช้ในอัตราซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
อานุภาพที่ 3 อาจมีพลังในการสร้างปัญหามากที่สุด เพราะการนำทรัพยากรมาใช้ในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่ความกดดันต่อระบบของธรรมชาติมากขึ้น พร้อมทั้งก่อให้เกิดความสลับซับซ้อนและความเกี่ยวพันกันของสิ่งต่างๆ มากขึ้นด้วย ผลพวงของอานุภาพนี้เริ่มมีอาการให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้ว เช่น วิกฤติทางสังคมและทางระบบนิเวศน์ และความเสื่อมของสถาบันต่างๆ
เซงเกมองว่า ส่วนหนึ่งของปัญหามาจากการที่เราพยายามทำทุกอย่างให้เร็วขึ้นๆ ทั้งที่รู้ว่า คุณภาพของชีวิตมักเกิดจากการทำอะไรๆ ให้ช้าลง และเราไม่มีศักยภาพพอที่จะเข้าใจในความสลับซับซ้อนของโลก ซึ่งมีหลายมิติอย่างถ่องแท้ แต่ว่าเรา โดยเฉพาะผู้บริหาร ไม่ยอมรับความจริงและยังพยายามจะมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้ นั่นคือ มนุษย์จะไม่สามารถฝืนกฎของธรรมชาติได้ ถ้ามองให้ลึกลงไปจริงๆ รากเหง้าของปัญหาเกิดมาจากมนุษยชาติไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
อย่างไรก็ตาม เรายังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว ยังมีทางแก้ แต่มันเป็นทางที่ยากปานลอดรูเข็มเพราะมันต้องการ 3 อย่าง คือ ต้องเปลี่ยนฐานความคิด ต้องใช้เวลาและต้องแบ่งอำนาจกัน ทั้งสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ผู้บริหารมักรับไม่ได้
ในจำนวนองค์กรต่างๆ เช่น องค์การทางการเมือง องค์กรทางการศึกษาและองค์กรทางธุรกิจ องค์กรทางธุรกิจมีโอกาสที่จะแก้ไขได้ง่ายที่สุด ปัจจุบัน วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล (Visa International) ได้ทำสำเร็จแล้ว องค์กรนี้มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไม่มีใครมีอำนาจสั่งการและควบคุมงานอย่างใกล้ชิด หรือในอีกนัยหนึ่ง ไม่มีการบริหารตามแบบรูปปิระมิดดังที่เราคุ้นเคยกันมาเป็นเวลานาน อำนาจสั่งการและควบคุมเป็นเพียงหลักการง่ายๆ ไม่กี่ข้อ ซึ่งสมาชิกยอมรับและปฏิบัติตามด้วยความสมัครใจ องค์กรในรูปนี้จะมีความสำเร็จสูงในอนาคต
เซงเกเรียกองค์กรยุคใหม่ว่า 'องค์กรแห่งปัญญา' ในสายตาของเขา ปัญญา (knowledge) ต่างกับข้อมูล (information) แต่คนส่วนมากมักแยกกันไม่ออก ความรู้เกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นข้อมูล ส่วนปัญญาคือความสามารถที่จะทำอะไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ มองจากแง่นี้คนที่มีข้อมูลมากมายอาจไม่มีปัญญา
ปัญญาจะเกิดได้ในองค์กรที่มีปัจจัยแวดล้อมพร้อมเพรียง ผู้นำเป็นกุญแจดอกสำคัญในการสร้างปัจจัยแวดล้อม นอกจากจะไม่ทำตัวเป็นอุปสรรคสำคัญด้วยการหวงอำนาจแล้ว ผู้นำจะต้องรู้จักนอบน้อมถ่อมตน มีความอดทน มีความมุ่งมั่น พร้อมที่จะเรียนรู้และเชื่อมั่นว่าปัญญาจะพาองค์กรไปสู่การลอดรูเข็ม
การคิดใหม่ต่อการเป็นผู้นำ (Rethinking Leadership) เป็นกรอบด้านที่ 4 ด้านนี้มีปรมาจารย์ 2 คนเป็นผู้ให้แนวคิด ได้แก่ วอร์เรน เบนนิส (Warren Bennis) และ จอห์น คอตเตอร์ (John Kotter)
แนวคิดของ วอร์เรน เบนนิส ในหัวข้อ การก้าวขึ้นเป็นยอดผู้นำ (Becoming a Leader of Leaders) อาจแยกออกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะขององค์กร และส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะของผู้นำในยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งคนงานส่วนมากมีทั้งปัญญาความสามารถสูงและความเป็นตัวของตัวเองสูง
เบนนิสเสนอว่า ในอนาคตองค์กรที่อาศัยการออกคำสั่ง การควบคุมอย่างใกล้ชิดและการทำนายจะหมดสมัย บริษัทในยุคต่อไปจะต้องอาศัยการทำงานในรูปสหพันธ์ซึ่งกระจายความรับผิดชอบและอำนาจในการตัดสินใจให้แก่หน่วยเล็กๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนให้ทันกับสภาพแวดล้อม
โลกยุคใหม่ทั้งบริษัทเล็กและบริษัทใหญ่จะไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก บริษัทเล็กสามารถมุ่งผลิตอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ แต่พยายามสร้างเครือข่ายให้กว้าง และทำกิจบางอย่างร่วมกัน เช่น การวิจัยและพัฒนา และการลงทุนในสิ่งใหม่ๆ ส่วนบริษัทใหญ่ๆ ก็ต้องลดความอุ้ยอ้ายของตนลงโดยการแยกองค์กรออกเป็นหน่วยเล็กๆ
เบนนิสแนะว่า ถ้าจะให้เกิดประสิทธิภาพ องค์กรควรแยกตัวออกตามเกณฑ์ซึ่งอาจรวมได้เป็น 3 ข้อใหญ่ๆ ได้แก่
(1) มีธรรมนูญหรือหลักการกลางร่วมกัน (2) แต่ละหน่วยมีขอบเขตของงานชัดเจน และ (3) ทุกหน่วยเป็นอิสระและมีอำนาจทัดเทียมกัน ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใคร และการตัดสินใจจะต้องเกิดจากการต่อรองระหว่างส่วนกลางและหน่วยย่อย
ปัญหาใหญ่ที่สุดในองค์กรแบบนี้ ได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างส่วนกลางกับหน่วยย่อย สหพันธ์ที่มีความสมดุลเท่านั้นจึงจะอยู่รอด ผู้บริหารที่มีความสามารถในการสร้างความสมดุลคือ 'ยอดผู้นำ'
เบนนิสบอกว่า ยอดผู้นำจะต้องมีทั้งคุณลักษณะพิเศษและความสามารถพิเศษหลายอย่าง ซึ่งอาจแยกเป็น 2 ส่วน ง่ายๆ ได้แก่ จรรยาบรรณ กับ มันสมอง
ในด้านคุณลักษณะ ผู้ที่จะเป็นยอดผู้นำได้จะต้องเป็นผู้ยึดมั่นในจรรยาหรือหลักของความถูกต้อง มีความเข้าใจและความมั่นคงพอที่จะยอมรับว่าตัวเองไม่รอบรู้หมดทุกอย่าง พร้อมที่จะรับฟังผู้อื่น เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาและนำสิ่งที่เรียนรู้ใหม่มาปรับเปลี่ยนตัวเองให้เหมาะสมกับสภาพที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนในด้านของความสามารถพิเศษ ยอดผู้นำจะต้องมีมันสมองปราดเปรื่องพอที่จะสามารถสร้างหนทางระยะยาวขององค์กร หรือวิสัยทัศน์ ได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งสามารถสื่อให้สมาชิกขององค์กรเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและเกิดศรัทธาที่จะเดินไปตามทางนั้นอย่างปราศจากความเคลือบแคลง
เบนนิสแนะว่าวิธีที่จะช่วยให้สมาชิกเข้าใจและร่วมเดินไปตามวิสัยทัศน์ของผู้นำด้วยความศรัทธา ได้แก่ การสร้างขั้นตอนของการเดินและผลตอบแทนของแต่ละขั้นขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนั้นผู้นำจะต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อเดินไปตามทางที่วางไว้ เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย มีความจริงใจและไม่ทำอะไรแบบหน้าไหว้หลังหลอก หรือแบบมือถือสากปากถือศีล
(...ยังมีต่อ...)