0089. DEALING WITH DIFFICULT PEOPLE : 1 ใน 109 หนังสือควรอ่าน จาก นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
กลยุทธ์ชนะใจคน :24 เคล็ดลับในการรับมือกับ คนเรื่องมาก (DEALING WITH DIFFICULT PEOPLE) ผู้แต่ง/แปล : RICK BRINKMAN / ศุลีพร บุญบงการ :แปล ISBN : 9742081085 Barcode : 9789742081089 ปีพิมพ์ : 1 / 2549 ขนาด (w x h) : 120 x 180 mm. ปก/จำนวนหน้า : ปกอ่อน / 109 หน้า 1 ราคาปกติ : 120.00 บาท ราคาพิเศษ : 108.00 บาท (ลดถึง 10 %) เฉพาะสั่งซื้อทางเว็บไซต์เท่านั้น
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัด อุบลราชธานี นายกรัฐมนตรีได้แนะนำหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ชื่อ DEALING WITH DIFFICULT PEOPLE แต่งโดย Brinkman และ Kirschner ...
Create Date : 11 มีนาคม 2551 |
Last Update : 11 มีนาคม 2551 16:23:02 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1264 Pageviews. |
|
|
|
มองมุมใหม่ : ทำอย่างไรเมื่อเจอพนักงาน ที่ (คิดว่า) รู้ไปหมดทุกอย่าง?
ศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย pasu@acc.chula.ac.th
สัปดาห์นี้ยังคงต่อเนื่อง ในเรื่องบริหารจัดการ กับพนักงานที่มีปัญหาภายในองค์กร โดยผมเรียบเรียง จากเนื้อหา ในหนังสือสองเล่มได้แก่ Dealing with Difficult People โดย Brinkman และ Kirschner อีกเล่มชื่อ Managing Difficult People เขียนโดย Marilyn Pincus
โดยในสัปดาห์ที่แล้วนำเสนอในเรื่องของพนักงานที่ขี้บ่นในทุกสถานการณ์ ในสัปดาห์นี้เรามาสำรวจดูพวกที่ (คิดว่า) รู้ในทุกเรื่องกันครับ
พนักงานกลุ่มนี้ภาษาอังกฤษเรียกกันตรงตัวว่าเป็นพวก Know-It-All หรือพวกที่รู้ไปทุกอย่าง ซึ่งในกลุ่มนี้ก็ยังสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มย่อย พวกแรกคือพวกที่รู้ทุกอย่างจริง กับพวกที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ (ภาษาชาวบ้านคือพวกอวดรู้ อวดเก่ง)
เรามาดูพนักงานประเภทแรกก่อน นั้นคือรู้จริงไปหมดทุกอย่าง ซึ่งผมเองได้มีโอกาสพบเจอคนประเภทนี้บ่อยในองค์กรต่างๆ คนประเภทนี้สามารถมองได้สองประการ นั้นคืออาจจะเป็นทรัพยากรที่มีค่าขององค์กร เนื่องจากคนประเภทนี้จะมีความคิดที่เฉียบไว คิดทุกอย่างได้ทะลุ และมีความรอบรู้จริง แต่ขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้ก็อาจสร้างความลำบากใจให้กับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานได้ เนื่องจากคนกลุ่มนี้มักจะชี้นำความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ค่อยยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น สามารถหาจุดอ่อนหรือช่องว่างในความเห็นของผู้อื่นได้เสมอ จนหลายครั้งก็ทำให้คนอื่นเสียหน้าหรือหน้าแตกโดยไม่ตั้งใจ
รวมทั้งหลายครั้ง ความคิดของคนประเภทนี้ก็ก้าวหน้าเสียจนทั้งเจ้านายและเพื่อนร่วมงานตามไม่ทัน ผู้อ่านลองมองไปรอบตัว และดูว่า มีบุคคลประเภทนี้อยู่ในองค์กรหรือไม่ และถ้ามีอยู่ท่านมีหนทางหรือแนวทางในการบริหารบุคคลประเภทนี้อย่างไร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร
ถ้าท่านมีคนประเภทนี้อยู่และสามารถบริหารเขาได้ดีก็ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่องค์กร ซึ่งวิธีเหมาะสมในการบริหารบุคคลประเภทนี้ก็คืออย่าไปใส่กรอบหรือใช้วิธีบังคับ คนประเภทนี้จะรู้จริงและรู้รอบ ดังนั้น จะต้องหาทางดึงคนกลุ่มนี้มาเป็นพันธมิตร แต่ในขณะเดียวก็ต้องไม่อ่อนจนเกินไป จนทำให้หมดความนับถือในตัวท่าน
ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะประชุม พูดคุย หรือเสนอความคิดเห็นกับคนประเภทนี้ ผู้อ่านคงจะต้องคิดให้ถี่ถ้วนในสิ่งจะพูดคุย และพร้อมที่จะนำเสนอในรูปแบบที่ชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับต่อความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของบุคคลกลุ่มนี้ (ถึงแม้ท่านจะไม่เห็นด้วย) ในหลายสถานการณ์ ท่านจะต้องยอมรับฟังและแสดงความเห็นด้วยกับความคิดเห็นของบุคคลเหล่านี้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยๆ ชี้นำไปในอีกทิศทางหนึ่งที่ท่านต้องการ
ท่านยังต้องยอมรับในคุณค่าและความสำคัญของคนกลุ่มนี้ด้วย โดยแนวทางหนึ่งก็คือทำให้คนประเภทนี้รับทราบว่าท่านให้ความสำคัญและยอมรับฟังต่อความคิดเห็นของเขา ท่านก็จะสามารถดึงเขาเป็นพวกได้มากกว่าเป็นศัตรู แต่ประเด็นสำคัญคือจะต้องทำให้เกิดการยอมรับนับถือร่วมกันระหว่างตัวท่านและตัวเขาให้เกิดขึ้น
ทีนี้มาดูคนอีกประเภทหนึ่ง ตรงกันข้ามกับประเภทแรก นั้นคือชอบคิดว่าตนเองรู้ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ไม่รู้จริง คนกลุ่มนี้น่ากลัวกว่าประเภทแรกในแง่โอกาสที่จะสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ประเภทแรกยังทำในสิ่งที่ถูกที่ควรเพียงแต่อาจจะสร้างความรำคาญและความไม่สบายใจให้กับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน แต่ประเภทที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่างนั้น เป็นประเภทที่สำคัญตนผิด ต้องการความสนใจและการยอมรับ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตัดสินใจและการกระทำที่ผิดพลาดได้ เนื่องจากเขาคิดว่าตนเองรู้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ซึ่งมีโอกาสนำความเสียหายสู่องค์กรได้มาก
กลุ่มคนประเภทหลังก็ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากคนประเภทนี้จะมั่นใจในตนเองสูง (แต่ความสามารถอาจจะไม่ถึง) เมื่อรับงานใดมาทำก็ตามมักจะมีความมั่นใจตลอดว่า ตนเองสามารถทำได้ ไม่มีสิ่งใดยากเกินไป ท่านเองอาจจะต้องถือโอกาสนั้นค่อยๆ ชี้ให้เห็นประเด็นหรืออุปสรรคต่างๆ ที่เขาจะต้องเผชิญ เพื่อเป็นการเตือนสติและเตือนใจเขาถึงปัญหาและอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการดึงกลับมาสู่โลกความจริง เพื่อที่คนประเภทนี้จะได้เพิ่มความระมัดระวังในการทำงานมากขึ้น ไม่ใช่มั่นใจในตนเองและอยากจะแสดงออกจนเกินไป
ในขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมหามาตรการเด็ดขาดมาจัดการกับบุคคลประเภทนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านมองว่าความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากคนประเภทนี้สูงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ท่านอาจจะมอบหมายผู้ที่มีความอดทนและสามารถทำงานกับคนประเภทนี้ได้ ให้ไปประกบหรือคอยชี้แนะการทำงานให้ หรือแม้กระทั่งสุดท้ายคือมอบหมายงานที่ไม่สำคัญและไม่เสี่ยงให้กับคนประเภทนี้
ผู้อ่านอาจจะมีเคล็ดลับหรือวิธีการอื่นในการบริหารกับคนประเภทนี้ก็ส่งมาแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ สัปดาห์หน้าผมจะนำเสนอพนักงานที่มีปัญหาอื่นมานำเสนอต่อครับ
โครงการให้นิสิตระดับ MBA ไปช่วยให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจ SMEs ในเรื่องของการจัดทำ Balanced Scorecard และ Key Performance Indicators ดำเนินการมาเป็นปีที่ 5 แล้วครับ ถ้าท่านผู้อ่านที่สนใจก็อีเมลเข้ามาถามรายละเอียดกับผมได้ที่ pasu@acc.chula.ac.th นะครับ ไม่คิดค่าใช้จ่าย