http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2548
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
7 สิงหาคม 2548
 
All Blogs
 
FaT Film 3 – ไม่ใช่แค่ ‘หนังขำขำ’

โดย merveillesxx



เช้ามืด วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2548
โมงยามผ่านไป ฟ้ายังคงสีดำสนิท แต่เวลาตามเข็มนาฬิกากลับเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ชายคนหนึ่งกำลังนั่งจดจ่อกับหนังสือ ‘เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ’ ตรงหน้า เขากำลังต่อสู้ดิ้นรนฟาดฟันกับกราฟดีมานด์-ซัพพลายที่ตัดผ่านกันยุ่งเหยิง แต่เส้นเหล่านี้นั่นเองที่เปรียบเป็นทั้ง ‘เส้นชีวิต’ และ ‘เส้นเชือก’ ที่พันธนาการเขามาตลอดสามปีเต็ม …อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วที่เขาจะต้องไปเผชิญกับมันในห้องสอบ

…ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าตัวเองยังไม่ได้นอนหลับตาสักวินาทีเดียว…

เวลาห้านาฬิกา, วิทยุผู้ซื่อสัตย์ทำงานประจำของมันอีกครั้ง ระบบตั้งปลุกที่เขาจัดการไว้แต่ค่ำคืนก่อน แต่วันนี้มันไม่ได้บรรลุประสิทธิผลแห่งหน้าที่ของมันนัก เพราะเจ้านายของมันยังไม่ได้ละตัวจากโต๊ะไปที่เตียงเลยครั้งคราว …ตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัดระบุไว้ที่ 104.5 คลื่นวิทยุชื่ออ้วนท้วนอย่าง FaT Radio ที่บอกถึงความใหญ่โตของตัวมันเอง แต่แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้ครองกรรมสิทธิในกระแสสัญญาณมากกว่าคลื่นอื่นแต่อย่างใด

ฉับพลันที่ชายหนุ่มร่ายสายตาถึงตัวอักษรสุดท้าย เสียงจากลำโพงก็เล็ดลอดเข้ามาถึงโสตสดับของเขาว่า “แฟตตตตตต ฟิล์มมมมม สามมมมมมม เมื่อเพลงฮิต ใกล้ชิดหนังสั้นนนน…..!!!” บัดนั้นเองที่เขาพาตัวเองกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง สมองก่อความคิดว่าวันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ ‘ใบผ่านทาง’เข้าสู่งานประกวดหนังสั้นที่เขามุ่งหมายจะเอาตัวเองเข้าไปร่วมด้วย ว่าแล้วก้อนหยักในหัวจึงสั่งการให้มือคว้าโทรศัพท์มือถือมากดรหัส 7 ตัวโดยสัญชาตญาณ 0…2…6…4…1…5…3…9…4

สัญญารอคอยดังขึ้นและเว้นช่วงห่างผ่านไปหลายครา จนที่สุดจึงมีเสียงปลายสายตอบรับ
ปลายสาย – “สวัสดีครับ แฟตเรดิโอ ครับ”
ชายหนุ่ม – “เอ่อ…ขอบัตรแฟตฟิล์มครับ”
ปลายสาย – “ครับ ขอทราบชื่อ-นามสกุลครับ”
ชายหนุ่ม – “…………………….”
เขาเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ดั่งว่าสมองหยุดการทำงานกะทันหัน ในหัวของเขายังคงมีภาพของกราฟดีมานด์-ซัพพลายตีกันยุ่งเหยิง จนบดบังความรู้คิดขั้นพื้นฐานกระทั่งชื่อประจำของตัวเอง “เชี่ยเอ๊ย กูชื่ออะไรวะ” ชายหนุ่มสบถในใจ

ใช้เวลาอยู่ห้วงอึดใจหนึ่งกว่าที่ชายหนุ่มจะกระชากลากชื่อของตัวเองออกจากระบบกลไกสมอง และไล่ให้มันพรั่งพรูออกจากปาก เพื่อตอบสนองเสียงปลายสายได้ หลังระบุจำนวนบัตรและเวลานัดหมาย อีกฝ่ายก็จากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มอยู่กับความมึนงงจากการอดหลับอดนอน …. “เออ…กูต้องรีบออกจากบ้านไปสอบสินะ” คิดได้เช่นนั้น เขาจึงผลักตัวเองเข้าสู่กิจวัตรประจำวันตอนเช้า พร้อมกับมุ่งหน้าสู่แดนประหาร ที่มีชื่อสามัญว่า ‘ห้องสอบ’…


FaT Film “เอาเพลงมาทำเป็นหนัง”
เกือบสามปีแล้วครับ ที่สโลแกนนี้ติดตราตรึงอยู่ในหูของผม …อย่างสั้นๆ FaT Film ก็คืองานประกวดหนังสั้นที่จัดขึ้นโดย 104.5 FaT Radio โดยโจทย์ของมันก็คือ ต้องเอา ‘เพลง’ ที่เคยเปิดในคลื่นนี้มาทำเป็นหนังสั้น โดยกฏเหล็กสามข้อก็คือ หนึ่ง-ชื่อหนังต้องเป็นชื่อเดียวกับชื่อเพลง สอง-ตัวละครต้องพูดชื่อเพลงหรือมีชื่อเพลงปรากฏในหนัง และสาม-ต้องมีเพลงนั้นๆ ในหนังด้วย ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม

FaT Film ในสองครั้งที่แล้ว ผมไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใด ไม่ได้ส่งหนังเข้าประกวด และไม่ได้ไปร่วมงานประกาศผลรางวัล จะมีส่วนก็ในฐานะผู้ชมทางบ้านเสียมากกว่า เพราะได้ดูหนังก็ตอนทาง FaT Radio รวมหนังที่เข้ารอบสุดท้ายมาทำเป็น VCD ขาย (โดย VCD FaT Film 1 ขายในงาน FaT Festival 2 ส่วน FaT Film 2 ขายใน FaT Festival 3) ดังนั้นใน FaT Film 3 จึงเป็นครั้งแรกที่ผมไปร่วมงานประกาศรางวัล และมีส่วนร่วมลงคะแนนเสียงใน Popular Vote

จากที่ผมสังเกตการณ์ FaT Film ในทั้งสองปีที่ผ่านมา โดยสรุปแล้วหนังของ FaT Film มักจะเป็นหนังที่ออกไปทางสนุกสนาน เฮฮา บ้าบอ จนบางอันอาจไปถึงขั้นไร้สาระ (แต่สนองเราในด้านเสียงหัวเราะ) จนได้รับฉายาว่าเป็น ‘หนังขำขำ’ ในที่สุด (หลักฐานชัดเจนก็คงเป็นซีรี่ย์หนังสั้น ‘ขุนกระบี่’ โด่งดังจนได้เป็นหนังใหญ่ในที่สุด) อย่างไรก็ตาม หนังสั้นที่มีเนื้อหาซีเรียส เข้มข้น จริงจัง เศร้า ซึ้ง ไปจนถึงประหลาดสุดขั้ว ก็มีให้เห็นเช่นกัน

ในมุมมองของผมแล้ว ผมคิดว่าหนังของ FaT Film อาจไม่ได้เน้นที่ความลึกซึ้งของเนื้อหามากนัก แต่เป็นหนังประเภทที่เน้นด้าน ‘ไอเดีย-ความคิด’ เสียมากกว่า ทั้งนี้คงด้วยเพราะโจทย์ของงานที่ว่า ‘เอาเพลงมาทำเป็นหนัง’ ซึ่งก็ขึ้นกับไอเดียของผู้กำกับแต่ละคนแล้วว่า จะตีโจทย์นั้นๆ ออกมาอย่างไร และถ้าคิดจะ ‘แถ’ โจทย์นั้น จะแถอย่างไรให้น่าสนใจ …เพื่อนผมคนหนึ่งให้ความเห็นว่าโดยส่วนใหญ่ทุกคนมีไอเดียที่ดีอยู่แล้ว แต่การจะผ่านเข้าไปรอบสุดท้ายได้นั้นก็คงขึ้นอยู่กับ ‘การถ่ายทอด-การนำเสนอ’ ด้วย

ข้อเสียที่ผมพบในหนังของ FaT Film อยู่บ้าง ก็เช่น
1. คนดูหลายคนที่มักสับสนว่า FaT Film คือการทำมิวสิกวิดีโอ ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ แต่หนังบางเรื่องก็ทำให้ตัวเองเข้าข่ายเป็นมิวสิกวิดีโอจนเกินไป ซึ่งโดยมากมักเกิดจากการใช้เพลงประกอบ (ที่ใช้เป็น ‘โจทย์’) เกินความจำเป็น หรือใช้ในชนิดไม่มี ‘ที่มา’ จนชัดเจนเกินไป
2. ขยายความต่อจากข้อ 1 ก็คือ การใช้เพลงประกอบในแบบอุดมคติหรือให้มีความน่าเชื่อถือในหนังนั้น เพลงควรจะมาจาก ‘แหล่งกำเนิดเสียง’ จริงๆ เช่น วิทยุ ลำโพง เครื่องเสียง ทีวี ฯลฯ ส่วนในการใช้แบบ ‘จู่ๆ เพลงก็ขึ้นมา’ หรือ ‘ไร้แหล่งที่มาที่ชัดเจน’ อันเป็นการใช้เพลงเพื่อการ ‘ประกอบ’ จริงๆ นั้น มักเป็นการใช้ในหนังแบบดราม่า –ในความหมายที่ว่า หนังที่เน้น ‘อารมณ์ร่วม’ จากคนดู– ซึ่งต้องคำนึงถึง ‘จังหวะ’ และ ‘กราฟอารมณ์’ ในหนังช่วงนั้นเป็นสำคัญ …หนังหลายเรื่องที่เกิดความไม่แม่นยำในจุดนี้ จนทำให้เพลงประกอบ ‘โดด’ ออกมาจากตัวหนัง จนทำให้คนดูไม่เกิดอารมณ์ร่วม และตีตัวออกห่างจากหนังด้วย
3. หลายครั้ง ‘ชื่อหนัง’ ที่เป็น ‘ชื่อเพลง’ ที่เอามาเป็นโจทย์ ไม่สอดคล้องกับ ‘ธีม’ ที่หนังต้องการสื่อ หรือบางทีธีมนั้นก็อ่อนแอเกินไป อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง ชื่อหนัง (ชื่อเพลง) อาจจะไม่สอดรับกับธีมของหนังมากก็ได้ หากเจ้าของเรื่องต้องการใช้เพลงที่เป็นโจทย์ในรูปของ มุกตลก การหักมุม หรือการแถไปเลย
ฯลฯ

นี่จึงเป็นเหตุให้ผมตัดสินใจไปงานประกาศรางวัล FaT Film 3 ในปีนี้ โดยหลักก็เพื่อไปดูว่า “เดี๋ยวนี้ หนัง FaT Film เขาไปถึงไหนกันแล้ว”


บ่ายเกือบเย็น วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2548
เวลาเลยบ่ายสามมานิดๆ ผมก็มาถึงเมเจอร์รัชโยธินจนได้ เมเจอร์สาขาที่ผมเข็ดขยาดและไม่คิดจะเฉียดกรายหากไม่จำเป็น เพราะคนเยอะจิ๊บเป๋ง แถมชอบจัดงานอีเวนต์บ้าบอมากมาย ล่าสุดก็เพิ่งทำโรงแตกเพราะงาน INITIAL D และปิด 11 โรง (พี่เหลืออีก 3 โรงไว้ทำไมล่ะคะ?) เพื่อฉายหนัง…เอ้อ หนังไทยที่ชื่อเหมือนมาม่ารสดังนั่นแหละ …งานนี้เขาบอกว่าให้ไปรับบัตรตอน 15.00 หนังฉายตั้ง 17.00 นู่นเลย

ตอนแรกกะว่าหลังจากเอาบัตรเสร็จ ก็จะไปหามุมสงบ (ที่ไม่ค่อยมี) อ่านนิยายฆ่าเวลาไป ปรากฏว่าดันไปเจอรุ่นน้องนักวิจารณ์ชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศ ณ ตอนนี้ (ชั้นแซวเล่นนะแก…อิอิ) แถวๆนั้นพอดี ว่าแล้วก็เลยลากกันไปนั่งเม้าท์อยู่ใน KFC ตอนนั่งนี่เลือกโลเคชั่นผิดไปหน่อย ไปนั่งแถวๆ เครื่องเล่นของเด็กพอดี นั่งๆอยู่มันก็เลยมีเด็กเล็กๆ (ที่เห็นแล้วคิดถึงผีน้องพลับตกถังแป้งในหนัง Ju-On ทุกที) มาป้วนเปี้ยนๆ ต้องคอยๆ ยั้งขาไว้ไม่ให้เผลอไปถีบเด็กมันเข้าให้ เดี๋ยวจะถูกพ่อแม่เด็กพาดกบาลเอา (เผื่อผู้อ่านจะยังไม่ทราบ – ผู้เขียนเป็นโรคเกลียดเด็กเล็กอย่างรุนแรงค่ะ)

เม้าท์น้ำลายท่วมร้านไปเกือบชั่วโมง ก็เกิดความละอายใจ เดินไปสั่งไก่ทอด (ที่กินแล้วไม่ค่อยจะอิ่ม) มานั่งแทะกันไปพลางๆ พอใกล้ๆ ห้าโมงเย็นก็เดินออกมาแถวหน้าที่รับบัตรก็เจอกับเพื่อนที่นัดไว้พอดี รุ่นน้องนักวิจารณ์ชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศก็เลยรู้ตัวว่ามันหมดประโยชน์สำหรับเราแล้ว มันก็เลยเดินจากไปโดยดี ฮ่าฮ่าฮ่า บอกแล้วว่าชั้นน่ะฮ็อต ต้องจองล่วงหน้าย่ะ!

ขึ้นไปรอหน้าโรงที่ชั้น 3 คนเยอะทีเดียว สักพักเขาก็เรียกให้เข้าไปในโรง ได้ที่นั่งไม่ค่อยดีเท่าไร อยู่ข้างหน้าๆ แถมเอียงซ้ายด้วย แต่ก็พอได้ไม่เดือดร้อนอะไรมาก (ตอนดูเทศกาลหนังยุโรปยังเจอนั่งแถวที่สี่จากข้างหน้า มาแล้วตั้ง 2-3 รอบ) นั่งรอคนเข้าโรงพักใหญ่ๆ ป๋าเต้ดก็ปรากฏตัวขึ้น กล่าวเปิดงานแบบสบายๆ เป็นกันเอง โดยบอกว่าปีนี้งานไฮโซขึ้นเยอะ อย่างน้อยก็มีป้ายงานและแสตนด์เป็นของตัวเอง (ฮา) ต่อจากนั้นก็มีฉายไฮไลท์ของหนังที่ส่งเข้ามาทั้ง 182 เรื่อง ยาว 5 นาที

และในที่สุดก็ถึงส่วนสำคัญของงาน นั่นก็คือ การฉายหนังรอบสุดท้ายทั้ง 11 เรื่อง
ต่อไปนี้คือความเห็นของผมต่อหนังนะครับ (เรียงลำดับความชอบจากมากไปน้อย)


1. เจ้าหญิงนิทรา / 8.30 นาที / มานุสส วรสิงห์ (A++++++++++++++)
หนังสารคดีกึ่งทดลองเรื่องนี้เล่าถึงงานศพของคุณป้าคนหนึ่งด้วยนิทานเรื่องเจ้าหญิงนินทรา…!!!

การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นไปในชนิดที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เพราะในขณะที่ภาพในหนังเป็นภาพคุณป้าคนหนึ่งที่เข้าโรงพยาบาล นอนอยู่บนเตียง จนกระทั่งอาการย่ำแย่ลง และเสียชีวิตในที่สุด เสียงบรรยายของเรื่องกลับเล่าถึงนิทานคลาสสิกเรื่องเจ้าหญิงนิทราที่มีฉากจบที่สวยงามตามแบบการ์ตูนดิสนี่ย์

ถึงกระนั้น ภาพและเสียงบรรยายก็ยังมีความคาบเกี่ยวกันด้วย เช่น ในตอนที่เสียงบรรยายเล่าถึงหมู่นางฟ้าทั้งสามที่มาชุมนุมกัน ภาพในหนังก็เป็นบรรดาญาติๆ ของคุณป้าที่มาเฝ้าหน้าห้องคนไข้ หรือตอนที่เจ้าชายมาหาเจ้าหญิงที่นอนหลับไหลอยู่ ภาพในหนังก็จะเป็นคุณลุงคนหนึ่ง (คาดว่าเป็นสามีของคุณป้า) มาเช็ดตัวให้คุณป้า

จุดขัดแย้งอย่างรุนแรงในหนังเกิดขึ้นในตอนท้าย เมื่อบทบรรยายพูดถึงตอนจบอันสวยงามของเจ้าชายและเจ้าหญิง แต่ภาพที่เกิดขึ้นจริงคือ งานศพของคุณป้าท่านนั้น ซึ่งด้วยกลวิธีนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าความตายของเธอไม่ใช่เรื่องที่น่าโศกเศร้าฟูมฟาย แต่เธอจะเป็นความทรงจำที่สวยงามดั่งตอนจบในนิยาย

สิ่งที่ช่วยเกื้อหนุนให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วมอย่างมากก็คงเป็น เสียงบรรยายภาษาอังกฤษสุดคลาสสิก และดนตรีประกอบที่เป็นวงออเครสตร้า ทั้งหลายทั้งปวงนี้ยังผลให้คนในโรงน้ำตาซึมกันเป็นแถบ ซึ่งนั่นก็รวมถึงผมด้วย

ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้เกิดจาก ญาติของผู้กำกับคนหนึ่งได้ถ่ายวิดีโอคุณป้าไว้ในกล้องมือถือ ผกก. ให้สัมภาษณ์ว่าเขาคิดว่าภาพเหล่านี้ควรจะถูกสานต่อให้เป็นอะไรสักอย่างที่มีคุณค่า …ซึ่งผมคิดว่าเขาสามารถต่อยอดวัตถุดิบที่มีอยู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นจนจบของหนัง (หนังเรื่องนี้มีเอนด์เครดิตที่น่าประทับใจมากๆ)

และอะไรสักอย่างที่มีคุณค่านั้นก็ปรากฏขึ้นแล้ว มันก็คือ ความทรงจำ, ความพยายาม, รางวัลที่ได้รับ และหนังสั้นเรื่องหนึ่ง เพราะว่ามาตรฐานของหนัง FaT Film จะทะยานสูงขึ้นและหลุดพ้นจากคำว่า ‘หนังขำขำ’ ก็เพราะหนังเรื่องนี้นั่นเอง

* หนังได้รับรางวัล Popular Award และรางวัลหนังยอดเยี่ยม
* หนังเรื่องนี้จะฉายอีกครั้งในเทศกาลหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทย วันพุธที่ 10 ส.ค.
* มานุสส วรสิงห์ เคยชนะการประกวดหนังสั้นในโครงการ Drink Don’t Drive มาแล้วจากเรื่อง INTERSECTION (กำกับร่วมกับ ภาราดร เวศอุรัย) อ่านบทสัมภาษณ์ของเขาได้ที่
//www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9480000072932




2. ยักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็ก / 10 นาที / สราวุธ อินทรพรหม (A+)
อนิเมชั่นจากนักวาดการ์ตูนชื่อดัง ‘แมลงปิศาจ’ เล่าถึงสงครามเสียงเพลงของค่ายยักษ์ใหญ่ G และ R

หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยมุกจิกกัด และล้อเลียนสองค่ายศิลปินดังฝั่ง ‘อา’ และฝั่ง ‘เฮีย’ ซึ่งแต่ละมุกนั้นเด็ดดวงมาก วัดได้จากเสียงฮาสนั่นของคนดูเกือบทั้งโรง ส่วนตัวผมก็ฮามาก หัวเราะจนน้ำตาไหลเลยล่ะ …ส่วนคนที่จะซวยหน่อยก็คือ คนที่ไม่ค่อยได้ติดตามวงการเพลงกระแสหลักมากนัก ซึ่งอาจจะไม่เก็ทมุกในหนังเลย (เช่นเพื่อนที่นั่งข้างๆ ผมนี่แหละ)

มุกในหนังที่ชอบมากๆ
1. สอง Paradox แปลงกายเป็นเซลเลอร์มูน ปะทะ นายครรชิต-ทิดแหลม (เป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีอย่างมาก)
2. การปรากฏตัวของ ‘ลอร์ดโมเดิร์นป๊อด’ ….”แกสองคนเป็นพี่น้องกัน” (แหม…ทำไปได้)
3. นิโคล-พี่แมว ในแบบ บุปผาราตรี 2
4. การปรากฏตัวของ ‘เจ้าหญิง Dhoom Dhoom’
และอื่นๆ อีกมากมาย

รู้สึกว่างานของคุณ แมลงปิศาจ จะเข้ารอบชิง FaT Film ทุกปี (แต่ไม่ยักกะได้รางวัลสักที…อิอิอิ) จำไม่ค่อยได้แล้วว่างานชิ้นก่อนๆ เป็นอย่างไรบ้าง (เพราะดูเมื่อนานมาแล้ว) แต่คิดว่าตัวเองชอบงานของเขาใน FaT Film 3ครั้งนี้มากที่สุด

ชื่อและผลงานของคุณ แมลงปิศาจ นั้นผ่านตาผมอยู่บ่อยครั้งมากในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนใน PANTIP.COM หรือการ์ตูนในนิตยสาร HAMBURGER (ซึ่งฮามากๆ) ก็ตาม เขาเติบโตและก้าวไปไกลมากขึ้นทุกวัน ก็หวังว่าปีหน้าจะมีหนังฮาๆ แบบนี้ให้เราดูกันอีก (และก็ขอให้ได้รางวัลอะไรติดมือกลับไปซะที)




3. แอบเหงา / 6 นาที / ธนสรณ์ เจนการกิจ (A)
ระเบิด เด็กหนุ่มอีโก้จัดไม่พอใจในทีมงานหนังสั้นของตัวเอง จนประกาศว่าจะทำหนังเรื่องใหม่ ‘คนเดียว’

ว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้เหมือนกับการเล่าเรื่องเดิมสองครั้ง ในบริบทที่ต่างกัน โดยครั้งแรกตัวเอกของเรื่องลุยทำหนังคนเดียว ส่วนครั้งที่สองคือการที่เขาทำร่วมกับเพื่อนๆ …ชอบที่หนังใช้เทคนิคตรง end credit มาเน้นย้ำในจุดนี้

********SPOILER********
โดยครั้งแรก ระเบิดบอกประมาณว่า “กูจะทำหนังคนเดียว แล้วก็ใส่ชื่อของตัวเองให้มันใหญ่ๆ ไปเลย” ว่าแล้ว end credit ก็ขึ้นมาโดยชื่อของ ‘ระเบิด’ ใหญ่มากๆ

แต่ถึงจะได้รางวัล เขาก็รู้สึกว่ามันเหงาเหลือเกินกับการทำหนังคนเดียว ว่าแล้วหนังจึงเล่าใหม่อีกครั้งในสถานการณ์ที่ ระเบิด ทำหนังกับเพื่อนๆ โดยเขาบอกว่า “ชื่อของผมไม่ต้องใหญ่มากมายหรอก แต่ผมอยากให้มีชื่อเพื่อนๆ หลายๆ คนมากกว่า” ว่าแล้ว end credit (ของจริง) ก็ขึ้นมา พร้อมกับชื่อของ ‘ระเบิด’ ที่คราวนี้เล็กกะจิ๊ดริด แล้วชื่อทีมงานของหนังเรื่องนี้ก็ตามมา …อืม ดูจบแล้วรู้สึกว่ามันซึ้งจัง
********จบ********

อ้อ! อีกอย่างที่ชอบก็คือฉากที่มีหนังสือ ‘มาทำหนังกันเถอะ’ ของ อ.ประวิทย์ แต่งอักษร (ยังอ่านไม่จบเลย ฮือๆ)




4. Guessing game / 8 นาที / เพนกวินทร์ แก้วกนกวิจิตร (A)
หนังเรื่องนี้เล่าถึงกระบวนการส่งหนังเข้าประกวดของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง โดยช่วงแรกๆ รู้สึกว่าหนังมันน่าเบื่อมาก เพราะหนังเรื่องนี้แทบจะถ่ายเหตุการณ์ตามเวลาจริง นั่นคือ เริ่มจากเด็กคนนี้นอนอ่านหนังสือ…เขาเปิดเจอโฆษณาประกวด FaT Film 3 (แถมเจอในหนังสือ BIOSCOPE ซะด้วย อิอิ)…ว่าแล้วเขาก็เลยโทรหาเพื่อนคนที่หนึ่ง…แล้วเขาก็โทรหาเพื่อนอีกคนเพื่อถามชื่อเพลงที่เคยเปิดใน FaT…แล้วเขาก็นั่งจดชื่อเพลงที่เพื่อนบอก…จนเพื่อนบอกชื่อเพลง Guessing Game…แล้วเขาบอกว่า “เพลงอะไรวะ กูไม่เห็นรู้จัก” (ฮา)…เพื่อนก็เลยบอกว่าตอนนี้ FaT เปิดเพลงนี้อยู่…ว่าแล้วเขาก็เดินไปเปิดวิทยุ

********SPOILER********
ฉากจบของหนังก็คือ เด็กคนนี้นั่งเล่นจ้ำจี้เลือกเพลงจากรายชื่อ เขาก็ใช้วิธีประมาณพูดว่า “ถ้า…ผม…เลือก…เพลง…นี้…ประ…กวด…ผม…จะ…ชนะ” ว่าแล้วมือของเขาก็ไปชี้ที่ชื่อเพลง Guessing Game พอดี แล้วหนังก็จบ (กรี๊ด!)
********จบ********

ชอบหนังเรื่องนี้ตรงที่มีความกล้าหาญมากๆ ในการเขียนบทและนำเสนอเรื่องราว เพราะโดยเนื้อหามันดูไม่มีอะไรเลยและน่าเบื่อ แต่พอดูจบแล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย! เจ๋งว่ะ …คิดได้ไง!…อะไรก็ว่าไป

นอกจากนั้นหนังเรื่องนี้ยังหลุดพ้นจากข้อเสียที่ผมกล่าวไว้ในข้างต้นด้วย คือ
1. เพลงประกอบในหนังมาจากแหล่งกำเนิดเสียงจริงๆ นั่นก็คือ วิทยุในห้องของตัวเอก
2. ชื่อเรื่อง Guessing Game สอดคล้องกับธีมของหนัง เพราะเด็กคนนี้ก็กำลังคาดเดาว่าจะใช้เพลงอะไร หรือเพลงไหนจะโดนใจกรรมการ




5. ยักไหล่ / 10 นาที / ศรัณย์ ภิญญรัตน์ (A-)
เห็นได้ชัดว่าหนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสั้นตระกูล ‘ขุนกระบี่’ (ซึ่งผู้กำกับก็ให้สัมภาษณ์เองด้วย) หนังเรื่องนี้จึงเล่าถึง นักดาบ (ที่ชื่อเท่สุดๆ ว่า นฤเบลด…คิดได้ไงเนี่ย) กับหญิงสาว (ที่ใส่ชุดนักเรียน) ที่วิ่งหนีการไล่ล่าจากฝูงซอมบี้

ฉากที่ชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้
1. ฉากท่อนแขน wristband ปริศนา เป็นการจิกกัดในประเด็นที่ถูกใจผมมากๆ
2. ฉากฉากดาบผสุธาผ่าโฟม …ฉากนี้คัลต์สุดๆ !!
3. ฉากเอฟเฟกต์แบบ OTOP โดยใช้การไล่เปิดปิดไฟเพดานเอานี่แหละ (แถมมันออกมาดูดีด้วย)
4. ฉากท่าไม้ตายลับของนฤเบลด (คิดว่าฉากนี้ล้อหนังเรื่อง Constantine)

จุดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทำเพื่องานรับน้อง (ของคณะถาปัด มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง…อิอิอิ) แต่เพื่อนๆ เชียร์ให้ ผกก.ส่งเข้าประกวด ว่าแล้วในที่สุดผกก.ก็ถ่ายเพิ่ม ‘แถ’ เพลงใส่ลงไป จนเข้าประกวดได้ (แถยังไงต้องดูกันเองนะจ๊ะ)

คิดว่า ผกก. หนังเรื่องนี้น่าจะเข้าทางกับหนังคัลต์ๆ แบบนี้แหละ แล้วได้ข่าวว่าเจ้าตัวก็จะทำต่อไปด้วย

* ตอนฉายหนังเรื่องนี้เกิดความผิดพลาดบางประการ หนังเลยกลายเป็นสีขาว-ดำ ซะนี่
* หนังเรื่องนี้ได้รางวัลโดดเด้งสาขา ‘ขุนกระบี่’ ซึ่งให้กับหนังประมาณ แอ็คชั่น คอเมดี้ เซ็กซี่ ร็อคแอนด์โรล โดยรางวัลพิเศษที่แถมไปคือ ชุดนักเรียนในที่บอลลูนใส่ในหนังเรื่อง ขุนกระบี่ผีระบาด (กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!! เค้าอยากด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยง่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!)




6. หนังสือรุ่น / 10 นาที / เบญจพรรณ รุ่งศุภตานนท์ (A-)
หนังเรื่องนี้มีการนำเสนอคล้ายๆ กับหนังเรื่อง เจ้าหญิงนิทราก็คือ เล่าเรื่อง 2 ส่วน คือ
1. ภาพ – ภาพในหนังเรื่องนี้จะเป็นวิดีโอที่ถ่ายบรรยากาศในห้องเรียนสมัย ม.ปลาย เก็บไว้เล่นๆ
2. คำบรรยาย – เป็นบทสนทนาโต้ตอบของเพื่อนสองคน

เช่นเดียวกับ เจ้าหญิงนิทราที่สองส่วนนี้จะมีการเชื่อมโยงกัน เช่น เมื่อเพื่อนคนหนึ่งพูดถึงพฤติกรรมฮาๆ ของเพื่อนอย่างการล้อเลียนโฆษณา ภาพในหนังก็จะเป็นเหตุการณ์ตอนนั้น

ชอบที่หนังนำวัตถุดิบมาใช้ได้ถูกทาง กล่าวคือ วิดีโอที่ถ่ายไว้มีคุณภาพที่ไม่สู้ดีนัก ภาพที่เห็นก็จะมัวๆ และเสียงที่นักเรียนพูดคุยกันก็เซ็งแซ่จนฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ภาพตรงนี้ต้องการนำเสนอน่าจะเป็น ‘บรรยากาศ’ ของช่วงเวลานั้นๆ เสียมากกว่า และมันก็ก่ออารมณ์-ความรู้สึกที่ได้ผลกับคนดู เพราะทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงนั้น และห้องเรียนตอนพักกลางวัน หรือตอนหลังเลิกเรียนก็ล้วนเซ็งแซ่แบบนี้ทั้งนั้น จึงไม่แปลกเลยที่หนังเรื่องนี้สร้างความซาบซึ้งให้กับใครหลายๆคน

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยจะอินกับหนังเรื่องนี้เท่าใดนัก เพราะ
1. ห้องเรียนสมัย ม.ปลาย ของผมไม่ค่อยจะเป็นเหมือนในหนังนัก เวลาพักกลางวัน นักเรียนในห้องผมจะนั่งฟังซาวด์เบาต์, ดิสก์แมนของตัวเอง และนั่งทำการบ้านเลขอันมากมายมหาศาล มีบางส่วนเท่านั้นที่นั่งจับกลุ่มคุยกัน ส่วนตอนเลิกเรียนห้องเรียนของผมก็จะว่างเปล่าภายในเวลา 15 นาที คงเหลือไว้แต่เวรทำความสะอาดประจำวัน ไม่ค่อยมีเด็กนักเรียนคนไหนนั่งเล่นต่ออยู่ในห้องเรียนสักเท่าไร
2. บทบรรยาย (หรือบทสนทนา) ของเพื่อนสองคนในเรื่อง ทำให้ผมรู้สึก ‘หยึ๋ยๆ’ มากกว่าจะรู้สึก ‘ซาบซึ้ง’ (แต่ผู้หญิงเขาคงคุยกันแบบนี้ล่ะมั้ง) อย่างไรก็ตาม ตอนท้ายหนังบอกไว้ว่าบทสนทนานี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
3. รู้สึกว่าตอนท้ายๆ หนังที่เป็นตัวอักษรขึ้นมาสรุปความเป็นไปของเพื่อนๆ กลุ่มนี้ดูจะยืดยาวไปหน่อย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้น (โดยเฉพาะข้อ 1 และ 2) ไม่ได้เกิดจากตัวหนังเอง แต่มาจากตัวผมเสียมากกว่า และภาพ ผกก. กับกลุ่มเพื่อนที่ขึ้นไปรับรางวัลด้วยกันก็เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก

* หนังได้รางวัลรองอันดับ 1
* หนังเรื่องนี้จะฉายอีกครั้งในเทศกาลหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทย วันพฤหัสที่ 11 ส.ค.




7. อย่า อยู่ อย่าง อยาก / 10 นาที / โอ๋ P2 Warship (A-)
หนังเรื่องนี้ที่เกิดจากการร้อยเรียงเพลง 222 เพลง (พระเจ้าช่วย!) ที่เคยเปิดใน FaT 104.5 รู้สึกทึ่งในความพยายามของ ผกก. และคิดว่ามันยากลำบากมากทีเดียวที่จะผูกให้เรื่องราวให้คนดู ‘เข้าใจ’ และ ‘รู้สึกสนุก’ ดังนั้นโจทย์ของหนังเรื่องนี้ก็เป็น ‘ข้อจำกัด’ ของตัวหนังเองด้วย เพราะหลังจากตื่นตาตื่นใจกับตัวหนังได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ลดความน่าสนใจลงไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม หนังก็สมควรแล้วกับรางวัลโดดเด้งที่ได้รับไป




8. กอด / 10 นาที / ศนิพงศ์ สุทธิพันธุ์ (A-)
หนังเรื่องนี้ว่าด้วยชีวิตหนุ่มบ้านนา ที่เข้ากรุงมาเป็น ‘ลูกกระจ๊อก’ (หรือพวกตัว ‘กิ๊กกิ้ว’ ในการ์ตูนจำพวกมนุษย์ห้าสี ที่มักโผล่ออกมาให้พวกยอดมนุษย์ฆ่าตายภายใน 3 วินาที) ชอบที่หนังเรื่องนี้เลือกนำเสนอชีวิตของคนชนชั้นล่างในรูปแบบที่ขบขัน (ด้วยการใช้ตัว ‘กิ๊กกิ้ว’ เนี่ยแหละ) สิ่งที่น่าคิดก็คือ ตอนท้ายที่พวกยอดมนุษย์ห้าสีรุมอัดหนุ่มกระจ๊อกเสียหมอบกระแต (ซึ่งคล้ายจะเป็นกลวิธีแบบ irony) แสดงถึงสภาพสังคมของบ้านเราในแง่มุมใดหรือเปล่า?

ฉากที่ชอบมากๆ ของหนังเรื่องนี้คือ ตอนที่ตัว ‘กิ๊กกิ้ว’ วิ่งโลดแล่นในทุ่งนาสีเขียว ซึ่ง ผกก. ก็ให้สัมภาษณ์ว่าแรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้ก็เกิดจากการที่เขาหลับตาแล้วเห็น “ตัวกิ๊กกิ้ววิ่งในทุ่งนา” นั่นแหละ (!?)

* หนังได้รางวัลรองอันดับ 1




9. ภาพลวงตา / 5 นาที / หิรัญ สุวรรณเทศ (B+)
นี่น่าจะเป็นหนังที่สร้างความมึนงงให้กับคนดูมากที่สุด

********SPOILER********
เกือบตลอดทั้งเรื่องของหนังก็จะเป็นบทสนทนาประหลาดๆ ที่เหมือนคนเมาคุยกัน แต่คำพูดเล่านั้นดูจะไม่เกี่ยวกับภาพที่เราเห็นอยู่เลย (แต่บางทีมันก็เกือบจะเกี่ยว) และในที่สุดหนังเคลื่อนกล้องออกมาให้เราเห็นว่า ไอ้ภาพที่เราเห็นเนี่ย มันเป็นภาพในโทรทัศน์ที่เปิดหนังสั้นทิ้งไว้ ส่วนเสียงที่เราได้ยินก็เป็นไอ้ขี้เมาสองตัวที่นั่งก๊งเหล้าอยู่ข้างๆทีวี …โอ๊ย! บ้าบอดดีแท้!
********จบ********

ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงเหมาะสมสุดๆ กับรางวัลโดดเด้ง “เล่นกันแบบนี้เลยเหรอเนี่ย”




10. ความจริงในใจ / 9.03 นาที / สมชาย ลีลารักษ์สกุล (B)
รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ยังได้ไม่ค่อยดีในหลายๆ ส่วน ทั้งที่หนังมีพล็อตที่น่าสนใจมาก แต่ชอบการ ‘ตีโจทย์’ ของหนังข้อที่ว่า “ตัวละครในหนังต้องพูดชื่อเพลง” ว่าแล้วนายสมชายในเรื่องก็เลยร้องเพลงให้เราฟังซะเลย




11. ภาพหลอน / 8.30 นาที / พรเทพ เบญจสิริมงคล (B-)
จริงๆ แล้วค่อนข้างชอบตัวหนังในช่วงแรกๆ ที่นำเสนอการที่ชายคนนี้เห็นภาพหลอนบนเตียง ที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถูกผู้ชายปล้ำ แถมผู้หญิงคนนี้นอกจากจะเรียกให้เขาช่วย ก็ยังมาคว้าจับมือเขาไว้ด้วย (!) รู้สึกว่ามันน่ากลัวดี

แต่พอหนังดำเนินไปถึงช่วงหักมุมตอนท้าย ความชอบต่อหนังก็ลดฮวบลงทันที เพราะรู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรกับตัวหนังสักเท่าไร อีกสิ่งที่ไม่ค่อยชอบในหนังคือ การใช้เพลงประกอบ ‘ภาพหลอน’ คลอไปตลอดช่วงที่ตัวเอกมองเห็นภาพหลอน รู้สึกว่ามันไม่เข้ากันอย่างรุนแรง แต่ก็น่าคิดเหมือนกันว่าผู้กำกับอาจจะต้องการใช้เพลงนี้แทน ‘เสียง’ หรือ ‘เพลง’ ที่ชายคนนี้ได้ยินตอนเกิดอาการ ‘ภาพหลอน-ประสาทหลอน’




หนังจากที่ดูหนังทั้ง 11 เรื่องจบลง ก็มีการลงคะแนนเสียง Popular Vote กัน และก็เข้าสู่การประกาศรางวัล ซึ่งเป็นไปตามคาดหมาย ‘เจ้าหญิงนิทรา’ คว้าไปทั้งรางวัลหนังยอดเยี่ยม และ Popular Vote ซึ่งเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าหนังเรื่องนี้นำหน้าหนังเรื่องอื่นมากๆ

โดยสรุปแล้วผมคิดว่ามาตรฐานของหนัง FaT Film ปีนี้สูงขึ้นมาก และมีความหลากหลายมากขึ้นด้วย (รู้สึกว่าจำนวนส่งประกวดจะมากขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว) ก็อย่างที่บอกไปแล้ว มันไม่ใช่แค่ หนังขำขำ อีกต่อไปแล้วล่ะ

ก็หวังว่างานดีๆ แบบนี้จะมีต่อไป เพื่อเป็นช่องทางแสดงผลงานและความสามารถของเหล่าผู้คนที่มีความฝัน ความหวัง และความพยายาม…

แล้วเจอกันใหม่ปีหน้าครับ




ผลรางวัล FaT Film 3

หนังยอดเยี่ยม – เจ้าหญิงนิทรา
หนังรองอันดับ 1 – หนังสือรุ่น / กอด
Popular Vote – เจ้าหญิงนิทรา

รางวัลโดดเด้ง
สาขาหนังจอแก้ว – สิ่งสำคัญ (หนังเรื่องนี้ใช้เทคนิค stop motion และมีตัวละครเป็น ‘แก้ว’)
สาขาโคลสอัพยิ้มของเธอทำฉันเพ้อละเมอฯ – เพื่อนสนิท (ได้ไปเพราะนางเอกสองคนในเรื่องยิ้มสวยมาก)
สาขาเพลงเพียบ – อย่า อยู่ อย่าง อยาก
สาขาขุนกระบี่ – ยักไหล่
สาขาเล่นอย่างนี้เลยเหรอ – ภาพลวงตา



Create Date : 07 สิงหาคม 2548
Last Update : 7 สิงหาคม 2548 4:39:03 น. 35 comments
Counter : 4660 Pageviews.

 
ความคิดเห็นต่อหนังบางเรื่องใน FaT Film 1 และ 2
COPY มาจาก //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=19753

-- ได้ซื้อ VCD รวมหนังสั้นของ FAT FILM 1 และ 2 มาด้วย (แต่ปัจจุบันไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว) หนังสั้นที่ชอบมากๆ ก็คือ

1. เวตาล (A+++++)
(ขออภัย จำชื่อผกก.ไม่ได้ รู้สึกว่าหนังจะได้รางวัลชนะเลิศจาก Fat Film 1 นะครับ)

หนังเรื่องนี้ว่าถึงความ 'ไร้ตรรกะ' ของอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่ง โดยชายคนหนึ่งพยายามจะขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของเขา แต่ลิฟท์ก็เปิดมาที่ชั้น 13 ทุกครั้งไป และเมื่อเขาออกจากลิฟต์มาใช้บันไดแทน ไม่ว่าจะวิ่งขึ้นหรือวิ่งลง มันก็ไม่โผล่ที่ชั้น 13 ทุกครั้งไป

ดูหนังเรื่องนี้นานแล้ว จำตอนจบไม่ค่อยได้นัก แต่จำได้ว่าเพลงปิดท้ายของหนังสั้นเรื่องนี้จะเป้นเพลง เวตาล ของวงโมเดิร์นด็อก (ซึ่งเป็นเพลงที่หลอนและสติแตกมากๆ) จึงทำให้หนังเรื่องนี้ทวีความลึกลับ น่ากลัว และหลอกหลอน อย่างรุนแรง

จำได้อีกอย่างว่า ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ รู้สึก 'กลัว' มากๆ

2. ขุนกระบี่ (A-) (Fat Film 1)

3. ขุนกระบี่ ภาค 4 (A+) (Fat Film 2)

ชอบหนังสั้นของหนังชุดนี้มากๆ แต่ไม่ค่อยประทับใจเวอร์ชันหนังใหญ่ของหนังเรื่องนี้นัก (ขุนกระบี่ ผีระบาด (C+))

4. Happy New Year (A+) (Fat Film 2)
หนังเรื่องนี้เล่าถึงเด็กหญิงคนหนึ่งที่รอให้คุณพ่อกลับบ้านในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่วนแม่ของเด็กน้อยก็ดูจะไม่ค่อยใส่ใจเธอนัก

จำเรื่องราวของหนังไม่ได้แล้ว แต่ชอบภาพของหนังเรื่องนี้ โดยภาพในหนังเรื่องนี้จะมีสองแบบใหญ่ๆ ก็คือ ฉากในคอนโดที่เด็กน้อยคนนี้นั่งๆ นอนๆ รอคุณพ่ออยู่ และฉากข้างนอกที่เป็นกรุงเทพกับผู้คนในวันส่งท้ายปีเก่า

รู้สึกว่าอารมณ์ของหนังเรื่องนี้คล้ายๆหนังของหว่องกาไว เหมือนกัน

ฉากของหนังสั้นเรื่องนี้ที่ชอบมากๆ ก็คือ ตอนที่เด็กน้อยมองไปที่ทีวี ซึ่งฉายภาพบรรดาคนที่ไปชุมนุมกันเพื่อรอเค้าท์ดาวน์ปีใหม่

จริงๆ มีหนังสั้นอีกหลายเรื่องที่ผมชอบจาก VCD Fat Film ทั้ง 2 แผ่นนี้ แต่เนื่องจากจำชื่อเรื่องและเรื่องราวของมันไม่ได้แล้ว แถมตัวแผ่นก็หายไปไหนแล้วไม่รู้


โดย: merveillesxx วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:4:42:47 น.  

 
เทศกาลหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทย

6-14 สิงหาคม ทุกวันที่โรงหนัง house เวลา 19.30

และโปรแกรมพิเศษที่ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ในวันที่ 6-7 และ 12-16 สิงหาคม

**เข้าร่วมฟรีทุกรายการ

ยกเว้นรายการ Digital Short Films by Three Filmmakers บัตรราคา 100 บาท รายได้ร่วมด้วยช่วยหอภาพยนตร์

ดูรายละเอียดที่
//www.thaifilm.com/shortFilmDetail.asp?id=57
//www.thaifilm.com/shortFilmDetail.asp?id=58


โดย: merveillesxx วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:4:49:54 น.  

 
เขียนอารัมภบท
ได้สนุกกว่าเขียนถึงตัวหนังสั้นเองนะ

คุณแมกเวยxx
ดู The Wayward Cloud หรือยังคะ
พี่งดูไปเมื่อวาน นึกว่าจะได้ดูหนังโป๊ะรัญจวนใจ
กลับเป็นหนังเครียดมั่กๆ
ไฉ่หมิงเหลียงนะไฉ่หมิงเหลียง
ดูแล้วอึ้งไปสามวัน


โดย: grappa วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:7:40:20 น.  

 
ด้วยความสัตย์จริงว่าตัวเองเป็นคนเบื่อการดูหนังสั้นมาก

เหมือนโยนหินถามทางอ่ะ หนังที่ถูกใจตัวเองมันมีน้อย ที่เหลือดูไปเหนื่อยไป

อ่านเรื่อง "เจ้าหญิงนิทรา" จบ นึกถึงวิธีการนำเสนอแบบนี้ในหนังเรื่อง "อย่าลืมฉัน" (A++++++++++++++) แฮะ


โดย: Thom Yorke IP: 161.200.255.162 วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:10:09:35 น.  

 
ป.ล. อยากดู 5*2 จัง


โดย: Thom Yorke (I will see U in the next life. ) วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:11:01:41 น.  

 
...อ่านเพลินเกินห้ามใจอีกแล้ว

...เคยดูวีซีดีแฟตฟิล์มครั้งแรกเหมือนกัน แต่จำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากขุนกระบี่มาฟันกันช้งเช้ง

...อ่านแล้วกระตุ้นต่อมอยากดูเจ้าหญิงนิทรามากๆๆๆ

...และก็อยากดู5*2เหมือนความเห็นบนเช่นกัน(ว่าแต่ซอมเมอร์ซอลท์ก็อยากดูอีก โอย น่าดูเต็มไปหมด)


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:14:19:45 น.  

 
ข้อความต่อไปนี้ COPY มาจาก //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=20489

--------------------------------

หนังที่ได้ดูในช่วงนี้

Crash (A+)
Somersault (A+)
The Hidden Blade (A)
Kamikaze Girls (A-)
วัยอลวน4 (B+)
Herbie: Fully Loaded (B)
INITIAL D (B-)

-----------------------------------------------

ความคิดเห็นต่อหนังบางเรื่อง

1. Somersault (A+)

-- รู้สึกคล้ายหลายๆ คนในเวบบอร์ดว่า ‘ภาพ’ ในหนังเรื่องนี้น่าหลงใหลเอามากๆ แต่ก็มีความรู้สึกเข้ามาแวบๆ หนึ่งว่างานภาพในหนังเป็นแค่ความฉาบฉวยประเภทขายสไตล์หรือเปล่า แต่พอดูหนังจบแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นก็หมดไปครับ เพราะรู้สึกว่าภาพในหนังน่าจะสอดคล้องกับธีมของหนังเป็นอย่างดี ซึ่งเล่าถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ออกไปเผชิญโลกภายนอก และการมุมมองต่อโลกของเธอจะเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์ในช่วงชีวิตครั้งนั้น

-- อีกอย่างที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้ก็คือ ดนตรีประกอบ นั่นแหละครับ ตามล่าหาซาวด์แทร็กอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ต้องถ่อไปซื้อถึงออสเตรเลียเองมั้ยเนี่ย

กระทู้นี้พูดถึงซาวด์แทร็กหนังเรื่อง Mysterious Skin และ Somersault
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3622751/A3622751.html

-- เสียดายที่เวอร์ชันฉายโรงตัดฉากเซ็กส์หมู่ออกไปนิดนึง

-- สิ่งที่ตลกมากๆ ตอนดูหนังเรื่องนี้คือ ผู้หญิงสองคนข้างหน้า เธอดูกรี๊ดกร๊าดกับพระเอกหนังเรื่องนี้มากๆ (SAM WORTHINGTON) แต่พอถึง ‘ฉากจูบ’ ในหนังเรื่องนี้เธอทั้งสองที่หันมามองหน้ากัน แล้วทำหน้าประหนึ่งว่าโลกจะแตก หรือไฟกำลังจะไหม้โรงหนังอะไรประมาณนั้น แล้วหลังจากนั้นผมก็เห็นทั้งคู่นั่งนิ่งไม่ขยับอีกเลย

-----------------------------------------

2. Kamikaze Girls (A-)

-- รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เข้าทางตัวเองมากเลยครับ เพราะส่วนตัวแล้วผมชอบ ‘ความบ้อบอคอแตกแบบการ์ตูนๆ’ แบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งผมคิดว่ามีแต่ชาติญี่ปุ่นเท่านั้นแหละครับ ที่มันจะทำอะไรแบบนี้ได้

-- อีกเหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ ตัวเองรู้สึกว่าการ์ตูนญี่ปุ่นในช่วงนี้พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในแนวทางใหม่ๆ เช่น เนื้อหาที่ซีเรียสจริงจังมากขึ้น หรือแปลกแหวกแนวจนเหวอไปเลย การ์ตูนในแบบเดิมๆ ที่เป็นมุกตลกล้มตึงหงายท้องขาชี้ฟ้าก็ค่อยๆหายไป ดังนั้นพอได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมจึงรู้สึกเหมือนได้กลับไปหา ‘ความรู้สึกที่คุ้นเคยเมื่อครั้งเก่าก่อน’

-- ดังนั้นครึ่งแรกของหนังเรื่องนี้ผมจึงหัวเราะบ้าบออยู่คนเดียวในโรงเลยครับ ในขณะที่คนดูอื่นๆจะเงียบๆกัน ก็รู้สึกเกรงใจอยู่เหมือนกัน ไม่รู้เค้าจะรำคาญผมกันรึป่าว -__-‘

-- อย่างไรก็ตาม ผมไม่ค่อยชอบช่วงท้ายๆ ของหนังเท่าไร รู้สึกว่ามันต่อความยาวสาวความยืดจนเกินเหตุ คิดว่าถ้าช่วงท้ายของหนังทำน่ากระชับรัดกุม และน่าประทับใจกว่านี้ ตัวเองก็น่าจะชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+

-- รู้สึกว่าเรื่องนี้เคียวโกะ ฟูคาดะเล่นหนังดีจนผิดหูผิดตา (หลังจากติดตามเธอมาตั้งแต่ปี 1999) อาจจะเป็นเพราะว่าเธอได้รับบทที่เหมาะสมกับตัวเองด้วย เพราะบทผู้หญิงคิกขุอาโนเนะ มีโลกส่วนตัวสูง แล้วก็เพี้ยนๆหน่อย น่าจะเข้ากับเธอมากจริงๆ (เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิง Best Actress ใน Japanese Academy Awards จากหนังเรื่องนี้)

-- ในหนังเรื่อง Dolls (ทาเคชิ คิตาโน่, A) เธอก็เล่นเป็นนักร้องป็อปไอดอลที่ดูอาโนเนะ (แกมปัญญาอ่อน) เหมือนกัน และสามตอนในหนังเรื่องนี้ ผมก็ชอบตอนของเธอที่สุด

-- บทบาทของเคียวโกะ ฟูคาดะ ที่ผมประทับมากๆ คือละครญี่ปุ่นเรื่อง ‘อยู่เพื่อรัก’ (Precious Time) โดยเธอเล่นเป็นนักเรียนสาวที่ติดโรคเอดส์ ส่วนพระเอกก็คือ ทาเคชิ คาเนชิโร่ เล่นเป็นนักแต่งเพลงสุดหล่อ (ถ้าจำไม่ผิดละครเรื่องนี้มาฉายทาง ITV ประมาณปี 1999 หรือ 2000 นี่แหละครับ) เพลงธีมของหนังเรื่องนี้คือเพลง I FOR YOU ของวง LUNA SEA ซึ่งจำได้ว่าเพลงนี้ดังมากๆๆๆในสมัยนั้น (แผ่นลิขสิทธิ์ของ LUNA SEA มีขายในบ้านเราโดยค่าย UNIVERSAL แต่ตอนนี้อาจจะหายากแล้ว)

-- บ้านเราของซีดีลิขสิทธิ์อัลบั้มของ เคียวโกะ ฟูคาดะ ขายอยู่หลายชุดเหมือนกัน (รู้สึกจะเป็นของค่าย S.STACK) อย่างไรก็ตามผมไม่แนะนำเพลงของเธอนัก เพราะเพลงของเธอค่อนข้างก๊องแก๊งมากทีเดียว และถ้าเธอยังจะทำเพลงแบบนี้ต่อไป ศักดิ์ศรีในวงการเพลงของเธอยังมิอาจเทียบเท่าแม้กระทั่งปลายขนตาของ Ayumi Hamasaki

ผลงานของ Kyoko Fukada
//www.cdjapan.co.jp/list_from_code_banner.html?key=222878

-- เคียวโกะ ฟูคาดะ น่าจะดังในบ้านเรามากที่สุดช่วงปี 2000-2001 เพราะตอนนั้นมีค่ายหนังสือในบ้านเราทำ photobook ของเธอออกมาขายกันเต็มไปหมดเลย (ซื้อเก็บไว้หลายเล่มเหมือนกัน ไม่รู้ป่านนี้ไปอยู่ที่ไหนในบ้านแล้ว)

-- ว่าแล้วก็ช้ำใจไม่หาย เพราะผมไปเจอ photobook รวมภาพของเคียวโกะ ฟูคาดะที่แต่งชุดโลลิต้าจากหนังเรื่อง Kamikaze Girls ที่ B2S ชิดลม หลังจากดูราคาแล้ว ก็วางคืนที่แทบไม่ทัน (ประมาณ พันสี่กว่าๆ) ส่วนไม่กี่วันก่อนก็ไปเจอหนังสืออะไรสักอย่างของญี่ปุ่นในร้าน Kinokuniya ที่ Yu Aoi (นางเอก Hana & Alice) ขึ้นปก แต่สุดท้ายก็ตัดใจไม่ซื้อ ถึงแม้ราคามันจะไม่แพงมากก็ตาม (ประมาณสามร้อยกว่าๆ) เพราะจากประสบการณ์แล้ว ซื้อหนังสือพวกนี้ทีไรก็รู้สึกเหมือนถูกหลอกทุกที

-- อีกเหตุผลหนึ่งที่รู้สึกชอบหนังเรื่อง Kamikaze Girls มากๆ ก็เพราะการที่นางเอกของเรื่องชอบแต่งตัวหลุดโลกในแบบ ‘โลลิต้า’ เนี่ยแหละ เพราะสมัยก่อนที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่ชอบฟังพวก J-POP / J-ROCK กิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของพวกเธอก็คือการแต่ง COS PLAY ซึ่งรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันมากๆ ก็คือแต่งในแบบโลลิต้า แบบที่เราเห็นในหนังเรื่องนี้ …จำได้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมแอบชอบตอนสมัยนั้น เวลาปกติเธอก็น่ารักดีอยู่แล้ว แต่เวลาแต่ง COS PLAY เธอก็สง่ามาก (กลุ่ม COS PLAY ในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นพวก ‘หน้าไม่ให้ แต่ใจรัก’ เสียเยอะ) จนเรียกได้ว่าเธอกวาดรางวัล COS PLAY มาแล้วทุกเวที ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้เธอยังแต่ง COS PLAY อยู่หรือเปล่า เพราะไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว แต่ที่ตลกอย่างหนึ่งก็คือ ภาพในหัวของผมเวลานึกหน้าเธอจะเป็นภาพตอนเธอแต่งชุด COS PLAY แบบโลลิต้า ส่วนภาพในแบบปกติของเธอ ผมจำไม่ได้เสียแล้ว…

-- พูดถึงการแต่งตัวในแบบโลลิต้าแล้ว ไอดอลคนหนึ่งในวงการที่เป็นทั้ง ‘ออริจินอล’ และ ‘เจ้าแม่’ ในด้านนี้ก็คงต้องยกให้ mana วง Malice Mizer

mana เธอเป็นมือกีต้าร์วงโกธิคร็อคจากญี่ปุ่นที่ชื่อ Malice Mizer (วงนี้เคยดังมากๆในช่วงปี 1997-1998) ถ้า Billy Corgan เป็นตัวแทน ‘เผด็จการทางดนตรี’ จากฝั่งตะวันตกแล้วล่ะก็ เธอคนนี้ก็เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นตัวแทนฝั่งตะวันออก เพราะว่าเธออีโก้จัดมาก ถึงขนาดนักร้องนำทนไม่ไหวลาออกจากวงไปเลย (วงของเธอเปลี่ยนนักร้องนำมาแล้วประมาณ 4 คน หนึ่งในนั้นมี Gackt ด้วย – Gackt เล่นเป็นพระเอกคู่กับ Hyde ในหนังเรื่อง MOON CHILD ที่เคยมาฉายในบ้านเราด้วย) สิ่งที่ตลกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะเปลี่ยนนักร้องนำมากี่ครั้งกี่หน แต่เธอก็สามารถหาคนใหม่ได้ โดยที่เสียงเหมือนคนก่อนเด๊ะๆ (!!) นั่นก็หมายความว่านักร้องนำในวงเธอทุกคนเสียงเหมือนกันหมดเลย (!!) ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอไปขุดค้นมาจากไหน

แม้จะเด่นเรื่องอีโก้จัด แต่ความสามารถทางดนตรีของเธอก็เข้าขั้นอัจฉริยะ เพราะเธอแต่งได้หมด เพลงร็อค เพลงโอเปร่า เพลงคลาสสิก ยันเพลงอิเล็กโทรนิก หรือกระทั่งอินดัสเทรียลซาวด์ !! (เอากับคุณเธอสิ) อีกสิ่งทำให้แฟนๆ ในญี่ปุ่นคลั่งไคล้เธอมากก็คือ สไตล์การแต่งตัวสุดหรูเริ่ดในแบบโลลิต้านั่นเอง (คิดว่าเธอน่าจะเป็น J-ROCK คนแรกๆ ที่นำแฟชั่นด้านนี้) ที่เก๋มากก็คือ เธอมีร้านเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง (ร้านตกแต่งด้วยหัวกะโหลกและโลงศพสีดำ!) แถมมีแม็กกาซีนรายเดือนเป็นของตัวเองด้วย หนังสือที่ว่าชื่อ Gothic Lolita (ซึ่งผมชอบจำผิดเป็น โกธิค ‘โลลิค่อน’ ทุกที) ดูชื่อหนังสือก็คงไม่ต้องบอกแล้วมั้งว่ามันเกี่ยวกับอะไร (หนังสือเล่มนี้มีขายที่ร้าน Kinokuniya)

ปัจจุบัน mana ตั้งวงใหม่และกลับไปอยู่ใต้ดินอีกครั้ง ชื่อวงคือ moi dix mois ออกมาแล้ว 2 อัลบั้ม

อีก 2 ข้อที่น่ารู้เกี่ยวกับ mana ก็คือ
1. ไม่มีใครเคยได้ยินเสียงเธอ (!) เพราะเธอไม่เคยปริปากพูด ขนาดตอนไปออกรายการทีวี เวลาเธอตอบคำถาม เธอก็ใช้วิธีกระซิบบอกให้นักร้องนำพูดแทน (โอ๊ย! บ้าบอสิ้นดี!)
2. เธอเป็น…ผู้ชาย!! !! !! !!

ดูรูปของ mana ที่นี่
//www.angelfire.com/blues/love_with_gackt/F_Mana.jpg
//www.paranoidcitroid.com/wallpapers/blumana.jpg
//www.angelicstar.net/cosplay/reference/mana-full.jpg

-- ถ้าพูดถึงสิ่งที่ ‘มีแต่หนังญี่ปุ่นเท่านั้นที่ทำได้’ อีกอย่างหนึ่งก็คงจะเป็น หนังประเภท ‘มัธยมเปรี้ยวอมหวาน’ หรือ ‘ความทรงจำวันวาน กระโปรงบานขาสั้น’ (เอ๊ะ นักเรียนชายที่นู่นใส่ขายาวนี่หว่า) ตอนนี้หนังที่ผมอยากดูมากๆ คือเรื่อง Way of the Blue Sky ครับ แค่เห็นโปสเตอร์ใบใหญ่แขวนอยู่ที่ลิโด้ผมก็ซึ้งใจแล้ว ดังนั้นถ้าใครเห็นผมไปยืนน้ำลายไหลจ้องโปสเตอร์หนังเรื่องนี้อยู่แถวๆ ลิโด้ก็อย่าแปลกใจไปเลยนะครับ แหะแหะ (หนังจะเข้าฉายประมาณ 22 กันยายน ถ้าไม่เลื่อน)

Way of the Blue Sky
//www.aozoranoyukue.com/indexe.html
//www.imdb.com/title/tt0468652/


โดย: merveillesxx วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:21:16:36 น.  

 
3. Crash (A+)

-- รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเซอร์ไพรส์ประจำปีอีกเรื่องหนึ่งของตัวเองเลยทีเดียว

-- อ่านบทวิจารณ์ของคุณสิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์ใน FLICK แล้วรู้สึกเห็นด้วยประมาณหนึ่งก็คือ ความโดดเด่นจริงๆ ของหนังอาจจะไม่ใช่บทหนังที่เล่าเรื่องประเภท ‘หลายชีวิต’ แต่เป็นว่านักแสดงทุกคนในหนังเรื่องนี้ให้การแสดงที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าบทนั้นจะเป็นเล็กกะจ้อยร่อยขนาดไหนก็ตาม นั่นก็คือ นักแสดงสามารถทำให้ตัวละครดูมี ‘ชีวิต’ ขึ้นมาจริงๆ และแสดงให้ผู้ชมเห็น ‘มุมมอง’ ต่างๆ ของแต่ละชีวิตนั้นๆ จนไปถึงการตระหนักถึง ‘คุณค่า’ ของชีวิตในที่สุด

-- ชอบเพลงประกอบในหนังเรื่องนี้มากๆ (ที่เป็นเสียงผู้หญิงที่ฟังดูหลอนๆ หน่อย) รู้สึกว่าหนังใช้เพลงได้ถูกจังหวะเหลือเกิน

-- หนังเรื่องนี้มีหลายฉากมากมายที่น่าประทับใจ เช่น
1. ฉากผ้าพันพอล่องหน – ซึ้งมาก (นานๆทีผมจะซึ้งกับความสัมพันธ์ประเภทพ่อ-ลูก)
2. ฉากภารกิจฝ่าตาย คุณตำรวจพ่อป่วย ช่วยเมียผู้กำกับที่ติดอยู่ในรถ -- รู้สึกว่าฉากนี้ให้อารมณ์ที่หลากหลายและรุนแรงมาก
3. ฉากนางฟ้ากันกระสุน -- ฉากนี้ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมันมีคุณค่ามากๆ
ฯลฯ

-- ขณะดูหนังเรื่องนี้นอกจากต้องลุ้นไปกับบทหนังที่ซอกแซกไปมาแล้ว อีกสิ่งที่นั่งลุ้นก็คือว่า ตัวหนังจะเลือกจบในแบบไหน จะเป็น ‘มืดมิดจนถึงที่สุด’ หรือ ‘ให้ความหวังเป็นแสงสว่างวูบสุดท้าย’ เพราะอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ตลอดเรื่องให้ความรู้สึกที่เป็น ‘สีเทา’ มาตลอด คือไม่มีใครดีสุดๆ หรือไม่มีใครชั่วอย่างที่สุด

-- ถ้าว่าด้วยเนื้อเรื่องแบบ ‘ตัวละครสีเทา’ ผมก็จะนึกถึงการ์ตูนเรื่อง ‘X พลังล้างโลก’ (เนื้อเรื่องว่าด้วยกลุ่ม มังกรฟ้า และมังกรธรณีที่ฟาดฟันกันโดยมี ‘วันสิ้นโลก’ เป็นเดิมพัน) ตัวละครทุกตัวในหนังไม่ได้ต่อสู้กันด้วยหลักของคุณธรรมหรือเพื่อช่วยโลกแต่อย่างไร แต่ทุกคนต่อสู้ด้วย ‘เหตุผลของตัวเอง’ และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘การปกป้องคนที่ตัวเองรัก’ นั่นเอง …สิ่งที่ตลกๆ สองอย่างในการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือ 1. ในหนังสือจะบอกว่า วันสิ้นโลกจะมาถึงในปี 1999 แต่นี่เวลาก็ล่วงเลยมาถึงปี 2005 แล้ว การ์ตูนเรื่องนี้ก็ยังไม่มีวี่แววจะจบเสียที 2. ในเรื่องนี้จุดศูนย์กลางของโลกอยู่ที่ญี่ปุ่นบริเวณ ‘โตเกียวทาวเวอร์’ ซึ่งตะแคงนอนดูแผนที่โลกอีท่าไหนก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นศูนย์กลางโลกไปได้

--------------------------------------

4. วัยอลวน 4: ตั้ม-โอ๋ รีเทิร์น (B+)

-- รู้สึกว่าอะไรๆหลายๆอย่าง ในหนังเรื่องนี้ยังไม่ลงตัวนัก แต่ก็จัดว่าเป็นหนังที่ดูสนุกเรื่องหนึ่งทีเดียว

-- บรรดามุกเลี่ยนๆ รักๆ ในหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยมีผลกับผมเท่าไร อาจจะเพราะว่าบรรดามุกเหล่านี้ผมและเพื่อนๆ เล่นกันที่โรงเรียน / มหาลัยจนเบื่อแล้ว แต่ชอบมุก ‘รีดผ้าชาตินี้’ ในระดับ A+

-- ชอบฉากเปิดเรื่องแรกๆ ที่เป็นห้องของ หนามเตย ที่มีโปสเตอร์นักร้องญี่ปุ่นแปะเต็มฝาผนังไปหมด เพราะห้องของตัวเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน (โปสเตอร์ HIDE ในหนัง เป็นโปสเตอร์โปรโมทซิงเกิ้ล Rocket Drive ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นซิงเกิ้ลสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต …อย่างไรก็ตามแม้เขาจะโกอินเตอร์สู่สวรรค์ไปนานแล้ว แต่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ก็มีงานของ HIDE ออกมาหลอกหลอนแฟนๆ อยู่ตลอดไม่ขาดสาย เฮี้ยนจริงๆ!)

-- รู้สึกว่าตัวละคร วิชาญ ในหนังถอดเสื้อบ่อยมาก (ฮา) …อีกอย่างคือ ตัวจริงดูดีกว่าในหนังนะครับ (พอดีผมเดินไปเรียนตึกคณะที่เขาอยู่บ่อยๆ)

---------------------------------------------

5. The Hidden Blade (A)

-- ยังไม่เคยดู The Twilight Samurai (แต่ซื้อแผ่นไว้ปีกว่าๆแล้ว) แต่ดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกดี เพราะหลังจากดูหนังซามูไรแบบ ‘บิวด์ๆ’ อย่าง The Last Samurai (A-) มาแล้ว ก็พอควรจะมาดูหนังซามูไรที่แสดงวิถีบูชิโดแบบเรียบง่ายและไม่ฟูมฟายเสียบ้าง

-- รู้สึกว่า Takako Matsu เล่นได้ดีมากทีเดียว เพราะผู้หญิงญี่ปุ่นสมัยก่อน ที่ซื่อๆ จริงใจ ขี้อาย ก็ต้องแบบนี้แหละ ใช่เลย!

-- บทบาทของ Takako Matsu ที่ประทับใจ
1. ซีรี่ย์ Long Vacation (1997) เธอเล่นเป็นนักเรียนเปียโนขี้อาย และผู้หยิ๊งงง ผู้หญิงสุดๆ สมัยนั้นเธอยังไม่ดังมาก ยังเล่นเป็นนางรองอยู่
2. เด็กสาวผู้มาตามหาความฝันของตัวเองใน April Story (A+) รู้สึกว่าเธอจะเริ่มดังระเบิดจากเรื่องนี้แหละ

บ้านเรามีแผ่นลิขสิทธิ์ของ Takako Matsu ขายเช่นกัน แต่ผมเคยฟังเพลงของเธอแล้ว รู้สึกว่ามันช้าๆ เรียบๆ ไปหน่อย

ผลงานของ Takako Matsu
//www.cdjapan.co.jp/list_from_code_banner.html?key=219459

-- ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้มีปัญหาอย่างหนึ่งก็คือว่า มีคุณป้าสองคนที่นั่งถัดไปข้างๆ คาดว่าป้าแกคงไม่ได้เจอหน้ากันมาประมาณ 26 ปีแล้ว แกก็เลยคุยกันจุ๊กจิ๊กตลอดตั้งแต่เดินเข้าโรง เริ่มฉายหนัง หนังจบ จนเดินออกจากโรง อย่างไรก็ดีเสียงของป้าๆ ทั้งสองก็ไม่ได้ดังจนรบกวนอะไรผมมากนัก ก็เลยไม่ได้ลุกขึ้นมาอาละวาดแต่อย่างใด

-- รู้สึกว่าตอนจบของหนังเรื่องนี้มันเช้ยยยยยยยยยย เชยยยยยยยยย แต่จะว่าไปมันก็ดูเหมาะสมกับยุคสมันนั้นดี (ยุคที่ผู้คนต่างต้องเก็บงำความรู้สึกของตัวเอง ตามยศถาบรรดาศักดิ์ที่เป็นชนักปักหลัง) แต่ว่าไปแล้วฉากนี้ให้ความรู้สึกประมาณ “ไอ่หนุ่มนาเกลือ อีสาวนาข้าว” มากๆ นี่ถ้ามีกองฟาง ยุ้งฉาง และไอ่ทุยเดินเป็นฉากหลังล่ะก็ คงเข้าใจผิดว่าตัวเองกำลังดู มนต์รักลูกทุ่ง

------------------------------------------

6. INITIAL D (B-)

-- ไม่รู้เพราะว่าด้วยอายุของตัวเองที่มากขึ้นหรือเปล่า จึงไม่รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับบรรดาฉากแข่งรถที่โหมกระหน่ำเข้ามาในหนังเรื่องนี้แม้แต่น้อย เข้าใจว่าฉากเหล่านี้จะทำให้ INITIAL D จัดเป็น ‘หนังเอาใจวัยรุ่น’ (ซึ่งผมก็คงไม่ใช่ทาร์เก็ตของหนังอีกต่อไปแล้ว) แต่สำหรับผมแล้วมันกลายเป็นยากล่อมหลับชั้นดีไปซะได้ (แต่ตอนดูก็ไม่ได้พับหลับไปแต่อย่างใด)

-- แม้จะคอยเตือนสติตัวเองว่า “ไอ่หนังเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูน…มันเป็นการ์ตูน…เป็นการ์ตูน” แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเนื้อหาสาระของมันช่างกลวงโบ๋และไร้ที่มาที่ไปเหลือเกิน และแม้แต่การ ‘เล่าเรื่อง’ แบบธรรมดาๆให้คนดูเข้าใจ หนังก็ยังทำได้ไม่ดีในหลายๆตอน หนังเหมือนจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ แล้วก็ผ่านๆมันไป เพื่อมุ่งหน้าสู่สนามแข่งลูกเดียว

-- ส่วนเรื่องการแสดงหนังของ เจย์ โจว ก็รู้สึกว่าเขาสอบผ่าน ทั้งนี้อาจจะเพราะบทของหนุ่ม ทาคุมิ ที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่แสดงสีหน้า ก็คือตัวของ เจย์ โจว เองนั่นแหละ!

-- หนังมีการปูเรื่องเข้าสู่ภาคสอง ได้อย่างน่าเกลียดมากๆ

-- สิ่งที่ดีและน่าจดจำที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ ฉากที่ Anne Suzuki ใส่ชุดว่ายน้ำ …หลังจากไปปล่อยให้ Yu Aoi แซงหน้าไปก่อน ตอนนี้เธอกำลังจะไล่บี้ขึ้นมาแล้วล่ะ


โดย: merveillesxx วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:21:17:57 น.  

 
เพลงที่ได้ฟังในช่วงนี้

1. Billy Corgan – The Future Embrace (A++++++++++++)
-- อัลบั้มนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าใครหรือองค์การใดๆ ก็ตาม ควรโคลนนิ่งสมองของบิลลี่ คอร์แกนเก็บไว้ได้แล้ว

-- ช่วง 2 ปีหลังมานี้ตัวเองจะชอบฟังเพลงแนวอิเล็กโทรนิกมากๆ แต่เพลงแดนซ์แบบขำขำสำหรับตัวเองก็เริ่มมาถึงทางตันแล้ว ดังนั้นอัลบั้มชุดนี้จึงเป็นอะไรที่ออกมาในช่วงจังหวะที่เหมาะเจาะมากๆ

-- เพลงในอัลบั้มชุดนี้เป็น อิเล็กโทรนิกร็อค ในแบบที่เข้าทางกับตัวเองมากๆ คืออะไรที่หม่นๆ หลอนๆ ลอยๆ …สิ่งที่เข้ากันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกในชุดนี้ก็คือ เสียงแหลมๆ บีบๆ ของบิลลี่ คอร์แกน และซาวด์กีต้าร์ที่เวิ้งว้าง หวีดหวิวสุดๆ ดังนั้นเพลงในชุดนี้จะไม่ใช่ซาวด์กดๆ หนืดๆ ขนาดชุด Adore แต่เป็นซาวด์ที่ใกล้เคียงกับงานในชุด MACHINA เสียมากกว่า

-- สิ่งที่เฮี้ยนที่สุดในอัลบั้มนี้ก็การที่ คอร์แกน เอาเพลง To Love Somebody ของ Bee Gees มาทำใหม่! แถมมันกลายเป็นเพลงสุดหลอนที่เจ๋งสุดๆ เสียด้วย!

//www.billycorgan.com


2. Royksopp – The Understanding (A+)
-- รู้สึกว่าเพลงที่ในชุดนี้ฟังสนุก และมีสีสันกว่าชุดที่แล้ว (Melody A.M.) อยู่พอสมควร ดังนั้นแฟนเก่าๆที่ติดตามพวกเขามาแต่ต้นอาจจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยก็เป็นได้

-- ในขณะ Melody A.M. เหมาะกับการนอนฟังเงียบๆ คนเดียวในห้อง ขณะนอนมองดูท้องฟ้าค่อยๆเปลี่ยนสีจากสีครามใสไปสู่สีเทาหม่น อัลบั้ม The Understanding ก็อาจจะหยิบมาฟังในเวลาไหนก็ได้

-- เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้มคือเพลง Beautiful day without you ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเพลงอะไรที่ตรงชีวิตได้ขนาดนี้

-- สิ่งที่ชอบมากอีกอย่างก็คือ ชื่อเพลงในอัลบั้มนี้ ที่ดูจะหักล้างกับบรรดาชื่อเพลงที่เราคุ้นเคย เช่น
Beautiful day without you
Follow my ruin
Someone like me

//www.royksopp.com


3. Moby – PLAY (A-)
-- เพิ่งมีโอกาสได้ฟังอัลบั้มนี้เต็มๆ รู้สึกอัลบั้มชุดนี้ที่มีเพลงเกือบ 20 เพลง มีเพลงที่ผมชอบและไม่ชอบในปริมาณที่เท่าๆกัน ซึ่งปัญหาแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับอัลบั้ม Holywood ของ Marilyn Manson ซึ่งมีจำนวนแทร็คถึง 19 เพลง แล้วชอบก็ชอบสัก 10 เพลง แต่อีก 9 เพลงที่เหลือไม่ชอบเลย จนทำให้เกิดความรู้สึกอยากให้ตัวศิลปินเอา 9 เพลงนั้นออกไปซะ

-- เพลงโปรดในอัลบั้มก็ยังคงเป็น Why Does My Heart Feel So Bad ชอบมิวสิกวิดีโอเพลงนี้มากๆ

//www.moby.org


4. Cyndi Seui – micro bitz life (B+)
-- ฟังอัลบั้มชุดนี้แล้วรู้สึกเหมือนฟัง Stylish Nonsense ในแบบที่ป็อปขึ้น เพราะสิ่งที่คล้ายๆกัน คือการใช้ซาวด์แบบอนาล็อก หรือพวกเสียงคล้ายๆ เกมอาตาริสมัยก่อน

-- ชอบหน้าปก / หลังปกอัลบั้มชุดนี้มากๆ

//www.smallroom.co.th


5. The Tears – Here Come The Tears (A)
-- ความรู้สึกแรกที่เห็น CD แผ่นนี้ที่ร้าน CD WAREHOUSE สาขาเวิลด์เทรดก็คือ อยากได้มากๆ จนสามารถวิ่งออกไปปล้นเอาเงินใครสักคนแถวนั้นมาซื้อให้ได้ (พอดีตอนนั้นเงินหมดพอดี ก็เลยได้แต่ลูบๆ คลำๆ แผ่น จนพนักงานในร้านมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ)

-- ตอนที่ฟังอัลบั้มนี้รอบแรก ก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ เพราะเพลงมันไม่ค่อยเปรี้ยวอย่างที่คิด หรืออย่างที่ซิงเกิ้ล Refugees หรือ Lovers ทำไว้

-- อย่างไรก็ตามหลังจากฟังไปอีกประมาณ 8 รอบ ก็รู้สึกชอบอัลบั้มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ มีความรู้สึกว่าซาวด์ของอัลบั้มชุดนี้จะอยู่ระหว่างกลางอัลบั้ม Dog Man Star (1994, A+) กับ Coming Up (1996, A+) โดยในขณะที่ Dog Man Star มีเนื้อหาที่หม่นหมองและเสียงกีต้าร์แตกๆ กดประสาท (บทวิจารณ์ของเมืองนอกบอกว่าสำเนียงกีต้าร์ที่ให้ความรู้สึก DOOM) ชุด Coming Up ก็ให้อารมณ์ที่แร่ดแตกมากๆ ทั้งเนื้อเพลงและทำนอง ดังนั้นงานของ The Tears จึงเป็นส่วนผสมของเสียงแร่ดๆ ของเบรท แอนเดอร์สัน และสำเนียงกีต้าร์ที่ลดความมืดลงของเบอร์นาร์ด บัทเลอร์ โดยอิทธิพลจากงานเดี่ยวของบัทเลอร์ก็มีให้เห็นด้วย เช่น การใช้วงเครื่องสายวงหลายๆเพลง

นักวิจารณ์ในเวบ allmusic.com ให้ข้อสังเกตว่า ถ้าเกิดแอนเดอร์สันและบัทเลอร์ไม่แตกคอกันซะก่อน และจับมือกันทำเพลงต่อจากอัลบั้ม Dog Man Star ก็คงจะได้เพลงออกมาประมาณนี้ ดังนั้นจึงถือว่าอัลบั้มชุดนี้เป็นการรอคอยของแฟนเพลงถึง 11 ปีทีเดียว (แฟนพันธุ์แท้ของ Suede บางคนมักพูดว่า “ตั้งแต่เบอร์นาร์ดออกไปจากวง Suede ก็ไม่ใช่ Suede อีกต่อไปแล้ว”) แต่ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าเหตุของการเกิดอัลบั้มหรือแนวเพลงในอัลบั้มชุดนี้เกิดจาก ‘อีโก้’ ของทั้งสองคนที่ลดลงอย่างมากไปตามกาลเวลามากกว่า ถ้าเป็น 11 ปีที่แล้วเพลงคงจะออกมารุนแรงและมีความขัดแย้งกว่านี้อย่างมาก

-- อัลบั้มชุดนี้จะว่าไปแล้ว ก็สอนอะไรเราหลายๆ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือเรื่องประมาณ “เพื่อนกันจริงๆ ไม่มีวันเกลียดขี้หน้ากันไปตลอดชาติ” หรือ “เพื่อนยังไงก็ตัดกันไม่ได้” …ลองมาทบทวนวีรกรรมของสองคนนี้กันดีกว่า

1. ชื่อเสียงของ Suede เริ่มโด่งดังไปทั่วเกาะอังกฤษ สมาชิกในวงเริ่มเข้าสู่วงจร “xxxdrug rock&roll” ออกปาร์ตี้ เที่ยวเล่น พี้ยากันทั้งวันทั้งคืน บัทเลอร์ไม่ค่อยพอใจกับวิถีชีวิตแบบนั้นนัก เขาจึงเก็บตัวแต่งเพลงอยู่คนเดียว
2. แอนเดอร์สันเริ่มมีปากเสียงกับบัทเลอร์ ด้วยความเห็นที่ไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับตัวเพลง (ด้วยความอีโก้จัดของทั้งคู่ และพ่อของบัทเลอร์ช่วงนั้นก็ป่วยหนักด้วย)…บัทเลอร์แต่งเพลง The Asphalt World มาในความยาว 11 นาที แอนเดอร์สันไล่ให้เขากลับไปทำเพลงให้สั้นลง แต่บัทเลอร์ดันกลัมมากับเพลงนี้ด้วยความยาว 19 นาที!! ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงแตกหักในทันที
3. พ่อของบัทเลอร์เสียชีวิต เขาแต่งเพลง Stay Together อุทิศให้พ่อ แล้วก็เดินจาก Suede ไป
4. บัทเลอร์ไปร่วมงานกับนักร้องโซลผิวดำ David McAlmont (เพลงดังตอนนั้นคือ YES) แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็แตกคอกัน มีข่าวลือว่าบัทเลอร์เหยียดเพศเกย์ของเดวิด (แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็กลืนน้ำลายหันมาจูบปากกันออกอัลบั้มชุดที่สอง Bring It Back เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว)
5. ปี 1996 Suede ออกอัลบั้มชุดที่ 3 Coming Up ซึ่งเป็นชุดที่ดังที่สุดและขายดีที่สุด
6. หลังจากนั้นกราฟชีวิตของทั้ง Suede และ บัทเลอร์ก็ดิ่งลงเรื่อยๆ สองอัลบั้มหลังของ Suede (Head Music, A New Morning) ไม่ประสบความสำเร็จนัก (แต่ก็ยังมาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทยอยู่เสมอ…อิอิอิ) ส่วนงานเดี่ยวของบัทเลอร์ทั้งสองชุดก็ได้เสียงตอบรับกลางๆ
7. ในขณะที่ Suede ยังคงเล่นเพลงจากชุด Dog Man Star ในคอนเสิร์ตเพียงนิดเดียว และแอนเดอร์สันยังชอบพูดเล่นอยู่บ่อยๆว่า “นี่คือเพลงจากอัลบั้มที่ห่วยที่สุดของเรา” (ฮา) แต่ช่วงนั้นบัทเลอร์กลับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขาคิดผิดที่ออกจากวงมาในปี 1994 (โถ พ่อคุณเพิ่งคิดได้)
8. ประมาณปี 2003 Suede ตัดสินใจพักวง แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง (และตอนนี้มือกลอง Simon Gilbert ก็มาอยู่กับวง FUTON ของบ้านเรานี่แหละ)
9. ปี 2004 แอนเดอร์สันและบัทเลอร์ประกาศจับมือกันทำวงใหม่ในนาม The Tears (เย้!)

จำได้ว่าตอนที่อ่านข่าวเจอเรื่องวง The Tears ในเวบครั้งแรก รู้สึกดีใจมากๆ ประหนึ่งได้ดูฉากจบที่ Happy Ending ของละครซีรี่ย์เรื่องยาวที่ติดตามมาหลายปี …ดังนั้นความรู้สึกที่มีต่ออัลบั้มของ The Tears จึงเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากๆ เพราะไม่มีใครที่จะทำเพลงแบบนี้ได้ นอกจากคู่หูสองคนนี้ หวังว่าชุดต่อไปคงไม่ต้องรอนานถึง 11 ปีหรอกนะ

-- เพลงที่ชอบมากๆ ในอัลบั้มชุดนี้ ได้แก่ Refugees, Co-Star, The Ghost of You, Two Creatures, Lovers, Apollo 13 และ A Love As Strong As Death

ชอบเพลง The Ghost of You ที่บอกเล่าความรู้สึกของ ‘คนรักเก่า’ ได้เห็นภาพและโดนใจมากๆ (แม้ชั้นจะทิ้งข้าวของวัตถุของเธอให้หมดสิ้นไป แต่วิญญาณของเธอก็คงจะหลอกหลอนชั้นอยู่), เพลง Two Creatures ที่พูดถึงคู่รักที่ข้ามโพ้นข้ามทวีปข้ามน้ำทะเล และรู้สึกว่าเพลง Brave New Century พูดถึงเนืองๆ ถึงเหตุการณ์ 9/11

-- เนื้อเพลงที่ชอบมากๆ

Two Creatures
“We’ll fly over the endless ocean, we’re heading for the winter sun, Cos you and me we’re just two creatures on the run”

Lovers
“Cos we are the lovers, we are the lovers
We’re different colours but we stand up as one
We are the lovers, we are the lovers
Two different colours but we stand up as one”

Apollo 13
“If you follow me, I will follow you into the unknown
Like Apollo, like Apollo we’ll fly to the moon
If you follow me, I will follow you into the unknown
Like Apollo, like Apollo 13 we’ll explode”

A Love As Strong As Death
“We’re all looking for a love as strong as death
That’s equally heart and equally head
And we wonder if this love that people say
Is as strong as death is out there somewhere
Or just in their heads”

//www.thetears.org

--------------------------------------------------

มิวสิกวิดีโอที่ชอบมากๆ ในช่วงนี้

1. TATA YOUNG – Dangerous

2. Bodyslam feat. แอ๊ด คาราบาว – ความเชื่อ
ปกติไม่ชอบเพลงของวงนี้เอาซะเลย แต่เพลงนี้ต้องขอยกให้ แถมมิวสิกวิดีโอยังทำออกมาดูดีมากๆ

3. Utada Hikaru – YOU MAKE ME WANT TO BE A MAN
รู้สึกดีใจมากๆ ที่เห็นมิวสิกวิดีโอใหม่ของ Utada เพราะรู้สึกว่าหลังจากเธอไปโกอินเตอร์ที่เมืองนอกเมืองนาแล้ว เธอจะหายเงียบไปเลย (เพลงนี้ไม่ใช่เพลงใหม่แต่อย่างไร เป็นเพลงจากอัลบั้ม Exodus ที่ออกตั้งแต่ปี 2004)

มิวสิกวิดีโอนี้กำกับด้วยสามีคนเก่งของเธอเหมือนเคย (คนเดียวกับผู้กำกับหนังเรื่อง CASSHERN - ซื้อแผ่นมาแล้วยังไม่ได้ดูเลยครับ) รู้สึกว่าเขาคนนี้จะมือขึ้นมากกับการสรรสร้างโลกดิจิตอลของตัวเองขึ้นมาด้วยการใช้บรรดา CG ทั้งหลาย (ในขณะที่ผู้กำกับ MV ญี่ปุ่นหลายๆคนพยายามเข้าหาความเรียบง่ายเสียมากกว่า) ดู MV เพลงนี้รู้สึกว่าเหมือนส่วนผสมของ MV เพลง Point of Authorities ของ Linkin Park กับ All is full of love ของ Bjork (เพลงนี้ Utada เล่นเป็นหุ่นยนต์สาวที่โชว์เครื่องใน)

ค้นข่าวไปมา ก็ไปเจอเรื่องตลกอย่างหนึ่งก็คือ Utada Hikaru กับ Ayumi Hamasaki นี่คงจะเป็นคู่แข่งตามล้างตามเช็ดกันไปตลอดชาติ เพราะในขณะที่ซิงเกิ้ลใหม่ของ Utada คือเพลง Be My Last (เอ๊ะ ทำไมชื่อเพลงดูเป็นลางยังไงไม่รู้) จะเป็นเพลงธีมของหนังเรื่อง Haru No Yuki (Fallin’ Snowy Love in the Spring – หนังใหม่ของอิซาโอะ ยูกิซาดะ นำแสดงโดย ซาโตชิ ทสึมาบูกิ, ยูโกะ ทาเคอุจิ แถมมีนักแสดงชาวไทยสองคน คือ โอ-อนุชิต และหนุ่ม-สุวินิต) ทางด้าน Ayumi Hamasaki ก็ได้ร้องเพลง HEAVEN ซึ่งเป็นเพลงธีมของหนัง(ดูท่าทาง)ฟอร์มยักษ์เรื่อง SHINOBI – HEART UNDER BLADE

ผมยังหาข้อมูลหนังเรื่อง SHINOBI ไม่ค่อยเจอเท่าไร เท่าที่รู้ก็คือ หนังซามูไร (อีกแล้ว) เรื่องนี้นำแสดงโดย Joe Odagiri (กรี๊ด! – เล่นเป็นพระเอกเรื่อง Birght Future คู่กับ Asano Tadanobu) และ Yukie Nakama (นางเอกสุดสวยจากหนังเรื่อง g@me. และเล่นเป็นซาดาโกะวัยสาวใน The Ring 0: Birthday) ดูภาพจากหนังแล้วรู้สึกว่าน่าดูมาก (หนังฉายที่ญี่ปุ่นเดือนกันยานี้)

SHINOBI
//www.shinobi-movie.com/

เคยแนะนำหนังเรื่อง Mezon do Himiko เอาไว้ที่นี่ (เรื่องนี้ Joe Odagiri ต้องเล่นเป็นคู่ขาของเกย์เฒ่า!)
//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=19602

พูดถึงอะไรที่เป็น ‘ญี่ปุ่นๆ’ ในช่วงนี้แล้วก็รู้สึกว่ามีความสุขมาก เช่นว่าตอนนี้มีหนังญี่ปุ่นหลายเรื่องทีเดียวที่เข้ามาฉายในบ้านเรา และก็มีอีกหลายเรื่องที่จ่อคิวรอฉายอยู่ ส่วนเรื่องเพลงก็เช่นว่า Ayumi Hamasaki จะออก DVD คอนเสิร์ตอันใหม่มาอีกแล้ว ซึ่งคอนเสิร์ตของเธอดูสนุกกว่าหนังบางเรื่องเสียอีก

แต่ที่น่ายินดีที่สุดก็เห็นจะเป็นการกลับมาของรายการ J-POP ของดีเจเอ็ดดี้ เนี่ยแหละครับ …รายการ J-POP เนี่ยเป็นรายการเพลงที่เปิดเพลงญี่ปุ่น (เน้นไปทางป็อป) ที่ผมตามฟังมาตั้งแต่สมัย ม.ต้นนู่นแน่ะ พอขึ้น ม.ปลายรายการนี้ก็หายไปเลย ดีใจมากๆที่รายการนี้กลับมาอีกครั้ง (ตลกนิดๆ ก็คือ ผมเริ่มฟังรายการนี้ตอน ม.3 รายการนี้กลับมาจัดอีกทีตอนผมอยู่ปี 3 เข้าไปแล้ว)
อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3653064/A3653064.html

---------------------------------------------

หนังสือที่ได้อ่านช่วงนี้

1. Fear & Trembling – อาเมลี โนโธมต์ (A)
-- รู้สึกชอบนิยายเรื่องนี้มากๆ เลยครับ เป็นการปะทะกันของหญิงสาวสองคนที่สนุกดี โดยการฟาดฟันของเธอทั้งสองก็เป็นอะไรที่ดูทั้งโรคจิต ตลกขบขัน และเหมือนจะคล้ายๆ เป็นความสัมพันธ์เชิงเลสเบี้ยนอยู่เหมือนกัน

-- นอกจากจะปอกเปลือกสภาพสังคมของญี่ปุ่นในหลายๆแง่ทั้ง ระบบชนชั้นในบริษัท หรือการกดขี่ผู้หญิงอย่างเหลือทนแล้ว สิ่งที่ชอบอีกอย่างในนิยายเรื่องนี้คือ คำด่าทอกันที่มักยกประวัติศาสตร์รากเหง้าสมัยสงครามโลกมาจิกกัดกัน

-- ประโยคประทับใจจากหนังสือเล่มนี้
“ในทุกๆ ชีวิตที่ดำรงอยู่นั้นล้วนแต่มีบาดแผลแรกของชีวิต ซึ่งก็คือเหตุการณ์ที่แยกชีวิตของเราออกเป็นสองส่วน ก่อนเกิดบาดแผล และหลังเกิดบาดแผล บาดแผลแห่งชีวิตเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะแม้เพียงความทรงจำเบาบางเกี่ยวกับมัน ก็มากพอที่จะทำให้เราแต่ละคนตกอยู่ในภวังค์แห่งความหวาดหวั่นที่ไม่อาจเยียวยาได้ เหมือนสัญชาตญาณของส่ำสัตว์” – Fear and Trembling


2. The Prophet ปรัชญาชีวิต – คาลิล ยิบราล (A++++++++++++)
-- รู้สึกว่าการอ่านหนังสือเล่มนี้จริงๆ แล้วก็เหมือนกับการอ่านหนังสือธรรมะเลย เพียงแต่เป็นหลักธรรมะที่มีสำนวนภาษาที่สวยงามมาก มีหลายบทอยู่เหมือนกันที่ไม่อาจอ่านเข้าใจได้ภายในรอบแรก ต้องอ่านซ้ำๆสักสามสี่เที่ยว แต่บางบทก็น่าซาบซึ้งมากๆ จนน้ำตาซึมขณะนั่งอ่านในรถใต้ดินเลยทีเดียว (โชคดีว่าเป็นรถใต้ดินรอบ 6 โมงเช้า ซึ่งแทบไม่มีผู้คนบนรถเลย) โดยเฉพาะบทที่ว่าด้วย ‘การแต่งงาน’

-- อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกปลงในหลายๆ เรื่องทีเดียว และรู้สึกว่าถ้าตัวเองได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตอนอกหักครั้งใหญ่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ชีวิตของผมคงจะหันเหไปอีกทางทีเดียว (แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าตอนนั้นจะอ่านแล้วเข้าใจหรือเปล่า) อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกพอใจกับทางชีวิตของตัวเองที่ฟูมฟาย สติแตก กับเหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะถ้าไม่มีเรื่องราวตอนนั้นผมคงไม่สามารถดูหนังของหว่องกาไว หรืออ่านหนังสือฮารูกิ มูราคามิได้อินขนาดนี้ ที่สำคัญก็คือ ผมคงไม่ได้มาพิมพ์อะไรแบบนี้แถวๆนี้หรอกครับ ถ้าไม่มีวันนั้น

-- พูดถึงตอนอกหักครั้งนั้นจำได้ว่า อยากดูหนังเรื่องหนึ่งมากๆ คือหนังเกาหลีเรื่อง NABI – THE BUTTERFLY (รู้สึกว่าหนังเคยมาฉายที่ลิโด้) เพราะหนังเรื่องนี้ว่าด้วยคนกลุ่มหนึ่งที่ตามหายาที่สกัดจากผีเสื้อที่จะช่วยลบล้างความทรงจำบางส่วนได้ แต่สุดท้ายแล้ว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลยครับ และก็เกือบจะลืมๆ มันไปแล้วล่ะครับ จนเมื่อเดือนสองเดือนก่อนที่เจอกับพี่แมดเดอลีน และพี่ก็ใส่เสื้อที่สกรีนชื่อหนังเรื่องนี้มา จึงทำให้ตัวเองจำได้อีกครั้งว่า 2 ปีที่แล้วอย่างดูหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง

Nabi
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/newmovie/nabi/butterfly.html

-- จริงๆแล้ว พล็อตหนังเรื่องนี้คล้ายๆ กับ Eternal Sunshine of the Spotless Mind (A-) แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยอินกับหนังเรื่องนี้เอาเสียเลย (ทั้งที่เดินเข้าโรงไปด้วยความอยากดูมากๆ) สงสัยว่าอาจจะเป็นเพราะคาดหวังอะไรที่หนัง ‘ไม่ใช่’ มั้งครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:21:18:47 น.  

 
The Tears ...ทำเอาผมแทบคลั่งกับเพลงThe Ghost of you เพราะมันช่างโดนใจมากๆ จนวันก่อนต้องเซฟใส่บล้อกไว้สำหรับเพลงนี้เลย ส่วนเพลงที่เหลือก็เป็นอัลบั้มที่ฟังบ่อยสุดในช่วงนี้แล้ว (อีกเพลงที่ชอบมากคือBeautiful pain) ขอแปะลิงค์ไว้เผื่อใครสนใจตามมาลองฟังกันก่อนได้ครับที่ >> https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=07-2005&date=26&group=5&blog=1

Crash..เพิ่งตอบฉากที่ชอบในพันทิพมา เป็นฉากเดียวกับที่คุณมาเวยชอบเช่นกันไม่ว่าจะเป็นเสื้อคลุมล่องหน(น้ำตาซึมในโรงซะงั้น)กับฉากช่วยคนในรถ

Hidden Blade คือนางเอกของApril story หรอกรึ ทำไมตอนแรกดูไม่ออกหว่า สงสัยจะไม่ได้ดูแล้วเพราะว่าจะเลือกเป็นSummersault


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:23:07:59 น.  

 
(เพิ่มเติม) มิวสิกวิดีโอที่ชอบมากในช่วงนี้

4. The Tears -- Lovers
ผมใช้เวลาวันนี้ทั้งวันนั่งเฝ้าหน้าจอทีวีเพื่อรอดูมิวสิกวิดีโอเพลงนี้เลยครับ ตามจริงแล้ว MV เพลงนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด้งมากมายหรอกครับ แต่แค่ได้เห็น เบรท แอนเดอร์สัน กับ เบอร์นาร์ด บัทเลอร์ มาโยกย้ายส่ายสะบัดให้ดูหน้าจอ แค่นี้ก็กรี๊ดแตกลั่นบ้านแล้ว

เบอร์นาร์ดยังหล่อเหมือนเดิมเลย (ไม่รู้ใช่ครีมยี่ห้อเดียวกับ ‘ป้า’ คนนั้นรึป่าวนะ) ส่วนฝั่งป๋าเบรทนี่แก่ไปเยอะทีเดียวล่ะ แต่ก็ยังเต้นสะบัดเหมือนเดิม ดูแล้วชื่นใจจริงๆ …ว่าแล้วอยากให้ The Tears มาเล่นในบ้านเราจริงๆน้อ

พูดถึง เบรท แอนเดอร์สัน แล้วนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งสมัยมัธยม หมอนี่มันหน้าเหมือน เบรท แอนเดอร์สัน มากๆ ผมก็เลยแอบมองหน้ามันบ่อยๆ (อ๊ะ อ๊ะ มองแบบไม่ได้คิดอะไรนะ) อยากเดินเข้าไปบอกกับมันตลอด 3 ปีที่อยู่ห้องเดียวกันเลยว่า “มรึงหน้าเหมือนเบรท แอนเดอร์สันชิบฮายเลยว่ะ” แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะบอกไปมันก็คงงงๆ จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยได้ยุ่งกับมันเท่าไร เพราะเมีย (แฟน) มันดุมาก

-- ตอนที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ กำลังเปิดคลื่น J-POP 100.25 U-FM ครับ (คลื่นมันเป็นแบบนี้จริงๆ ครับ ไม่ได้พิมพ์ผิด) เปิดมาก็เจอเพลงของวง SPEED เลยครับ จำชื่อเพลงไม่ได้แล้ว แต่คุ้นเคยกับเพลงนี้มากๆ เพลงมันเก่ามากแล้วครับ ตั้งแต่สมัยผมอยู่ ม.2 (1998) นู่นแน่ะ แถมจากนั้นรายการก็เปิดเพลงของวง Max, Kinki Kids และเพลง Time Goes By ของวง Every Little Things ต่ออีก (เพลงนี้ดังมากกกกกกกกก สมัยปี 1999) …อืม ฟังแล้วรู้สึกแก่อย่างรุนแรง (รายการนี้ออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30-24.00 เริ่มวันแรกไปเมื่อ 6 ส.ค. นี้เอง)

-- จริงๆแล้ว ไม่ค่อยชอบเพลงของวง SPEED เท่าไรหรอกนะครับ บางทีฟังแล้วรู้สึกว่าเสียงแหลมๆ ของพวกเธอ 4 คนมันแหลมแสบแก้วหูมากๆ แต่ก็มีความผูกพันกับวงนี้อย่างมาก เพราะเห็นพวกเธอตั้งแต่ยังเด็กๆ ยันโตเป็นสาวเลยล่ะ เพลงที่ชอบมากๆ ของวงนี้ก็คือเพลง Love is Alive (เพลงนี้ความหมายดีมากกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆ) ใครเคยดูหนัง Andromedia (1999, ทาคาชิ มิอิเกะ, B-) คงจำได้เพราะเป็นเพลงปิดตอน end credit นั่นเอง ส่วนสมาชิกคนโปรดของผมในวงนี้ก็คือ Takako Uehara

--------------------------------------------

ตอบ พี่แมดเดอลีน
-- แหะ แหะ รู้สึกชอบ Sam Worthington ในระดับหนึ่งครับ เขาคงไม่ใช่สเป็กผมเท่าไร แต่เพื่อนผู้หญิงของผมคนหนึ่งก็กรี๊ดเขามาก ถึงขนาดโทรมาพร่ำพรรณนาหลังดูหนังจบทีเดียว

-- นักแสดงที่ชอบมากตอนนี่คือ Lou Taylor Pucci ครับ (ลงคอลัมน์ FIRST IMPRESSION ใน PULP เล่มใหม่) หนุ่มอายุ 20 คนนี้คว้ารางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเบอร์ลินและซันแดนช์ จากหนังเรื่อง Thumbsucker

Lou Taylor Pucci
//www.imdb.com/name/nm1086384/

-- เป็นที่น่าดีใจว่าหนังที่ Lou Taylor Pucci ร่วมแสดงด้วยทั้ง Thumbsucker และ The Chumscrubber มีค่ายหนังในบ้านเราซื้อมาแล้ว (เย้!)

-- ตอนนี้หนังในฝันของผมคือ หนังที่นำแสดงโดยนักแสดงหนุ่ม 3 คน ได้แก่ John Robinson (Elephant), Joseph Gordon-Levitt (Mysterious Skin) และ Lou Taylor Pucci ครับ โดยพล็อตเรื่องก็ประมาณผู้ชายสามคนที่มีอดีตอันขมขื่น คนแรกเป็นเด็กผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในมัธยมโคลัมไบน์ คนที่สองเคยถูกลวนลามทางเพศตอนเด็ก และคนสุดท้ายเป็นคนไข้ที่เพิ่งหมดวาระการบำบัดอาการเสพติดการดูดนิ้ว! ทั้งสามคนนี้จะมาพบเจอกัน แล้วหนังก็ดำเนินไปในแบบ โร้ด มูฟวี่ + คัมมิ่ง ออฟ เอจ และหนังรักสามเส้า (อืม…) หนังเรื่องนี้จะเป็นการกำกับร่วมโดย กัส แวน ซองต์ และเกร็ก อารากิ ส่วนชื่อหนังก็คงเป็น The Mysterious Skin of Thumbsucker Kid’s Elephant และคาดว่าหนังจะได้รางวัล ‘มะกอกทอง’ จากเทศกาลหนังเมืองกาญจน์

-- พูดถึงการสอบที่ผมจำฝังใจ ก็คือ ข้อสอบเอนทรานซ์วิชาคณิตศาสตร์ เมื่อ ต.ค. 45 ครับ เนื่องจากว่าข้อสอบเลขตอน มี.ค. 45 นั้นยากมากๆ ทุกคนเลยคาดหมายกันว่าตอน ต.ค. 45 ข้อสอบจะต้องง่ายลงแน่นอน ผมก็จึงหมายมั่นว่าจะต้องเก็บคะแนนวิชาเลขในการสอบรอบเดือนตุลาคมให้ได้ ว่าแล้วก็เลยลงมือทำโจทย์ไปร่วม 300 ข้อ แต่แล้วพอเข้าห้องสอบจริง ก็พบว่ามันยากมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ยากกว่าข้อสอบเลขที่เคยทำมาทั้งหมดในโลกนี้เลยครับ …จำได้ว่าตอนนั้นได้สอบที่คณะบัญชี จุฬา ห้องเป็นห้องแอร์ ก็เลยใส่เสื้อหนาวเข้าไปด้วย แต่หลังจากผ่านตาข้อสอบไปได้ประมาณ 4-5 ข้อแล้วทำไม่ได้เลย ก็รู้สึกร้อนมากๆ เหงื่อไหลท่วมมือ ท่วมตัว แล้วก็ต้องถอดเสื้อหนาวออกในที่สุด หลังจากนั้นอาการปั่นป่วนในท้องก็ตามมาทันที วันนั้นก็เลยได้รู้ว่า ‘เครียดลงกระเพาะ’ นี่มันเป็นแบบนี้นี่เอง

ข้อสอบคราวนั้นทำได้แค่ประมาณครึ่งเดียว (ซึ่งคะแนนออกมาจริงๆ ก็ได้ 50 คะแนนพอดีเป๊ะเลย) ภาพอีกอย่างที่จำได้ติดตาก็คือ พอออกมาจากห้องสอบแล้ว เด็กนักเรียนผู้หญิงกอดคอร้องไห้กันระงมหน้าห้องสอบ เสียงเซ็งแซ่ไปทั้งตึกเลย (เพื่อนผู้หญิงเล่าให้ฟังว่ามีบางคนเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำเลยทีเดียว) ส่วนตัวผมวันนั้นจำได้ว่าไม่หลงเหลือความรู้สึกหรือการับรู้ใดๆต่อไปแล้ว เดินไปกินข้าวที่โรงอาหารก็ไม่รู้รสข้าวเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นมันไม่ใช่ว่าเครียด หรือกดดันอะไรเลยครับ แต่รู้สึก ‘ว่างเปล่า’ มากๆ เหมือนสิ่งที่ตัวเองพยายามทำมาตลอดหลายเดือนหายไปในเวลาสอบสามชั่วโมงเสียแล้ว…

พอสอบเสร็จวันนั้นก็เลยปลงตกว่าคงยากนักที่ตัวเองจะเข้าหมอได้ (ตอนนั้นดัดจริตอยากเรียนหมอมากๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน) แต่ว่าไปแล้วก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่ตัวเองไม่ฟลุ้คเข้าแพทย์ได้ ไม่งั้นชีวิตคงไม่ได้มาทางนี้แน่นอน อีกทั้งเพื่อนๆ รอบข้างก็ลงความเห็นว่า ผมต้องไปทำลายระบบจรรณยาบรรณของวงการหมออย่างแน่นอน และมีแนวโน้มสูงมากในการเอาวิชาชีพมาให้ในทางที่ผิด โดยสิ่งแรกที่ผมมีสิทธิจะทำ ก็คือ วางแผนฆาตกรรมอำพรางแฟนเก่า!

-- อยากดูหนังเรื่อง MARCH OF THE PENGUINS เหมือนกันครับ คิดว่าน่าจะซึ้งน่าดู ส่วนตัวแล้วนกเพนกวินเป็นสัตว์ที่ผมคิดว่าน่ารักมากทีเดียว

-- เคยดูหนังเรื่อง INTERSECTION (A+) ของคุณมานุสส วรสิงห์ แล้วครับ ชอบมากครับ คิดว่าหนังมีไอเดียที่ดีมากๆเลยครับ ได้ดูหนังจากรายการ Short Fiction ครับ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ดูรายการนี้เท่าไรหรอกครับ เพราะรายการนี้มาตอนวันอาทิตย์ 11 โมงเช้าแน่ะ! ซึ่งปกติแล้วยังเป็นเวลาที่ผมนอนอยู่ครับ

-- ขอบคุณพี่แมดเดอลีนมากๆครับ สำหรับข่าวเกี่ยวกับ เจย์ โจว และหนังสั้นที่แนะนำมา ไม่รู้จะได้ไปดูบ้างมั้ย ช่วงนี้ก็ติดทำรายงานอยู่ตัวหนึ่ง แต่จะพยายามไปดูครับ

-- อยากดูหนังเรื่อง Bug Me Not เหมือนกันครับ เพราะนักแสดงในหนังหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มกันทุกคนเลย แต่โรงหนังที่ฉายหนังเรื่องนี้รู้สึกว่ามันไกลบ้านผมทั้งนั้นเลย (แม้แต่เดอะมอลล์บางกะปิผมก็ยังรู้สึกว่ามันไกลครับ) สงสัยว่าต้องรอดูแผ่น ไม่ก็ ‘โปรแกรมหนังรอบเช้า’ ทางช่อง 7 ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า (ซึ่งป่านนั้นผมคงไปอยู่ที่อื่นแล้ว)

ตอบ พี่เจ้าชายน้อย
-- ชอบ The Tears มากๆ เหมือนกันครับ รู้สึกเหมือนได้พบ ‘คนที่คุ้นเคย’ อีกครั้ง (แถมเขายังหล่อเหมือนเดิมด้วย อิ อิ อิ อิ)

-- “ได้ดูเรื่อง The Wayward Cloud รึยัง?” เป็นคำถามที่ผมเจอบ่อยที่สุดในรอบสองสัปดาห์นี้เลยครับ คำตอบก็คือ ยังไม่ได้ดูเลยจ้า… (แบบว่าสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่สั่งหนังเพิ่ม จนกว่าจะเคลียร์ของเก่าให้หมดก่อน แต่สงสัยถ้าแบบนั้นชาตินี้ก็คงไม่ได้ซื้อหนังแผ่นมาดูแล้วล่ะ)


โดย: merveillesxx วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:23:23:14 น.  

 
ตอบคุณ grappa

ยังไม่ได้ดู The Wayward Cloud เลยครับ ความจริงคือ ไม่ได้ซื้อหนังแผ่นเลย ตั้งแต่ร้านพี่คนนั้นปิดไป ได้ดูแต่หนังโรงครับ

---------------------------

ตอบคุณ ผมอยู่ข้างหลังคุณ

ดีใจครับ ที่มีคนชอบ The Tears กันเยอะทีเดียว

ทาคาโกะ มัตซึ ในเรื่อง The Hidden Blade ดูมีอายุขึ้นน่ะครับ ผมว่า อย่างว่านับจาก April Story มาถึงเรื่องนี้มันก็ตั้ง 7 ปีแล้วอ่ะครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:23:27:18 น.  

 
อ่านไม่หมดนะคะ (สารภาพ)

แต่อยากอยู่กรุงเทพจายจะขาดฟร้อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


โดย: PADAPA--DOO วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:23:36:02 น.  

 
ร้านพี่คนโน้นนนน เปิดแล้วนะครับ ติดแอร์ติดกระจกใหม่ไฉไลกว่าเดิม แต่แผ่นสั่งโดยการเลือกจากชื่อแล้วส่งทางไปรษณีย์โดยพี่มานั่งประจำการเหมือนเดิม / ร้านซีดีข้างๆนี่ก็ดีนะแผ่นแปลกๆเยอะดี ที่ดีคือนั่งลองฟังได้ด้วยลมก็เย็นวันฝนตก


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 8 สิงหาคม 2548 เวลา:0:16:43 น.  

 
ไม่เก็ทมุกเรื่องยักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็กจริงๆแหละครับ เห็นคนอื่นเค้าขำกันจะเป็นจะตายกันทั้งโรงฯแต่ตัวเองนั่งงงอยู่คนเดียว ยิ่งเฉพาะเห็นmerขำแล้วผมละกลัวจริงๆ กลัวจะต้องได้มีการเรียกรถพยาบาลมาปั๊มหัวใจกัน ฮ่าๆ

ชอบเจ้าหญิงนิทรามากๆครับ ชอบเรื่องนี้เรื่องเดียวจริงๆ แสดงให้เห็นว่าหนังทดลองไม่จำเป็นต้องดูยากเสมอไปและก็ยังสามารถเข้าถึงคนหมู่มากได้ดีด้วย(popular vote ถึง 90 คะแนน)

ขอบคุณmerที่เอื้อเฟื้อบัตรครั้งนี้ด้วยนะจ๊ะ


โดย: เก้าอี้มีพนัก IP: 61.91.132.244 วันที่: 8 สิงหาคม 2548 เวลา:1:58:30 น.  

 
ไม่ค่อยชอบ ตะลึงงันและสั่นไหว แฮะ ชื่อหนังสือเล่มนี้เข้าทางตัวเองมาก ซื้อมาอ่านตั้งแต่หนังสือวางแผงใหม่ ๆ อ่านๆ ไปหนังสือเล่มนี้ไม่ดึงดูดตัวเองเอาเสียเลย

ปรัชญาชีวิต อ่านตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เคยชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ช่วงนึงชอบให้หนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญผู้คน แต่หลังๆ มานี้รู้สึกเฉยๆ กับหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้กลับไปอ่านนานแล้ว ไม่แน่ใจ ว่าบางช่วงอาจจะกลับมาชอบหนังสือเล่มนี้อีกก็ได้

ตอนนี้ชักอยากดูหนังของไฉ่หมิงเเหลียงแบบยกชุด The Hole นี่ควรจะดูนานแล้ว มีคนเคยเอามาให้ดูตั้งแต่สมัยเป็นวิดีโอ ยังไม่ได้ดูสักที What time is it there ? อีก แค่ชื่อก็อยากดูแล้ว ที่จริงควรจะดูเรื่องนี้ก่อน The Wayward Could เสียอีก - เรื่องนี้มีหลายฉากที่น่าสนใจ แต่หลายฉากก็โหดร้ายเหลือเกิน (แปลกดี ดูเรื่องนี้แล้วคิดถึงสัตว์ประหลาด ของคุณเจ้ยหน่อยๆ ทั้งทีเนื้อหาของเรื่องไม่เกี่ยวกันเลย )

มีใครเขียนถึงไฉ่หมิงเหลียง ได้อย่างน่าสนใจบ้างไหมคะ




โดย: grappa วันที่: 8 สิงหาคม 2548 เวลา:13:20:47 น.  

 
สมัย ม.ต้น ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเป็นจริงเป็นจังเลยครับ สมัยนั้นหนักไปทางร้องรำทำเพลง เล่นเกมมากกว่า บ้า J-ROCK หนักๆ ก็ตอนนั้นแหละ

หนังสือที่อ่านตอนนั้นก็พวกหนังสทอการ์ตูน หนังสือเกม BOOM, C-KIDS, GAMEMAG, MEGA ฯลฯ ปัจจุบันไม่ได้ซื้อแล้ว แต่เวลาเห็นหนังสือเหล่านี้ตามแผง ก็รู้สึกดีใจและหวนคิดถึงอดีตอย่างบอกไม่ถูก

ถ้าจำไม่ผิดเริ่มอ่านนิยาย (ที่ไม่ใช่หนังสืออ่านนอกเวลาที่โรงเรียนบังคับให้อ่าน) ครั้งแรกตอน ม.4 ประเดิมด้วย ไตรภาค ดร.ฮันนิบาล เล็คเตอร์!! (มิน่าล่ะถึงโตขึ้นมาเป็นแบบนี้)

--------------------------

ไฉ้หมิงเลี่ยง

เคยดูหนังของไฉ้ 2 เรื่องครับ

1. What Time Is It There? (A+)
รู้สึกว่าหนังเรื่องเศร้าสุดหลอนมากๆ (โดยเฉพาะตัวละครของคุณป้า) แถมยังมีฉากเหวอๆ เยอะด้วย โดยเฉพาะฉากจบ

2. Goodbye, Dragon Inn (A)
ชอบความกล้าหาญในหนังเรื่องนี้มากกว่า เพราะส่วนเนื้อเรื่องไม่ค่อยอินกับมันเท่าไร

ทั้งสองเรื่อง ดูรอบแรกแล้วหลับสนิท ดูจบได้ตอนรอบที่สอง

บทความที่เกี่ยวกับไฉ้หมิงเลี่ยง เท่าที่นึกออก

1. หนังสือ CINEMAG ฉบับ RISE OF ASIAN

2. BIOSCOPE สักเล่มที่มีสัมภาษณ์ไฉ้หมิงเลี่ยง

3. บทวิจารณ์ Goodbye, Dragon Inn ของคุณธิดา ในเวบผู้จัดการ

4. บทวิจารณ์ Goodbye, Dragon Inn โดยคุณเจ้าชายน้อย
//www.bioscopemagazine.com/review/index-in.php?id=11349

5. บทวิจารณ์ The Hole โดยคุณเจ้าชายน้อย
//www.bioscopemagazine.com/review/index-in.php?id=12484

คุณเจ้าชายน้อย ให้ข้อสังเกตไว้ว่า The Wayward Cloud เหมือนจะการต่อยอดหนังเรื่อง The Hole มากกว่า What Time Is It There?

นอกจากนั้นยังมีหนังสั้นอีกเรื่องหนึ่งของไฉ้หมิงเลี่ยงชื่อ The Skywalk is Gone ที่เป็นเสมือนภาคต่อของ What Time Is It There? (หนังเคยมาฉายใน World Film Festival เมื่อตุลาคม 2547)

-------------------------

ตอนนี้เทศกาลหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทย มีหนังเรื่องใหม่ของคุณเจ้ย Worldly Desire ฉายด้วยนะครับ หนังจะฉายอีกรอบวันที่ 14 ส.ค. นี้ ....เสียดายจังคงอดดูแหงๆเลย ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเท่าไร

Worldly Desire
//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=20869



โดย: merveillesxx วันที่: 8 สิงหาคม 2548 เวลา:22:15:39 น.  

 
Happy New Year (A+) (Fat Film 2) <<< พี่ฮะ หนังเค้าชื่อ Happiness Is... นะเฮอะ


โดย: รุ่นน้องนักวิจารณ์ชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศ ณ ตอนนี้...อิอิ IP: 61.91.88.229 วันที่: 8 สิงหาคม 2548 เวลา:23:17:27 น.  

 
วุ้ย อีแร่ด!

ต้นฉบับทับตายแล้วอย่ามาร้องโวยวายให้กูฟังเชียวล่ะ

เออใช่สิ กูมันแก่แล้ว ความทรงจำเลอะเลือน


โดย: merveillesxx IP: 210.246.165.140 วันที่: 8 สิงหาคม 2548 เวลา:23:53:05 น.  

 
ความเห็นเพิ่มเติมต่ออัลบั้มของ The Tears (หลังจากฟังไปร่วม 18 รอบ -- จริงๆ ไม่ได้โม้)

ตลกมากเลยครับ ผมไปอ่านเจอที่เวบนึง (เวบอะไรไม่รู้จำไม่ได้แล้ว) มีความเห็นนึงที่จิกแรงมากๆ หมอนี่แกบอกว่า
"สองหน่อนี่ควรจะไปทำมาหากินอย่างอื่นได้แล้ว ไม่ใช่มาหากินด้วยเพลงแบบ Suede แต่ใช้ชื่อปลอมแบบนี้" ...ต๊าย แรงนะยะ

------------------------------------

เพลงหนึ่งที่เปิดฟังวนบ่อยมากๆ ก็คือ Lovers
เสียง "ล้า ลา ล้า ลา ล้า..." ท้ายเพลงนี้เป็นอะไรที่ทำให้ผมมีความสุขมากๆ
มีแต่ เบรท แอนเดอร์สัน เท่านั้นแหละที่ทำเสียงรัญจวนใจแบบนี้ได้

--------------------------------------

อีกเพลงที่ชอบมากๆ ก็คือ The Ghost of You
ซาวด์ตอนท้ายเพลงนี้มันหลอกหลอนมากๆ

ฟังแล้วเหมือนว่าแฟนเก่ากำลังนั่งอยู่ในห้องนอนของเรา
เธอนั่งอยู่ที่ขอบเตียง
แล้วจ้องมองมาทางเรา...

คำถามในใจก็คือ เธอคือตัวจริง
หรือเธอคือวิญญาณ
หรือเธอก็แค่ความทรงจำอันปวดร้าวที่เราสร้างขึ้นมาเอง...

"...เธอส่งข้อความมาบอกว่าเธอเหงา
แต่คำว่าเหงาของเธอทำให้ฉันรู้สึกเศร้า

เธอจะเป็นวิญญาณอมตะไม่มีวันตาย
เธอจะหลอกหลอนฉันอยู่ข้างกาย

ภาพของเธอจะปรากฏตลอดไป
ตราบใดที่ฉันยังคงมีลมหายใจ..."

"I wake in the morning and try to be brave
But it's hard to move on when the ghost of you stays"

--------------------------------------

กระทู้คุยกันเรื่อง The Tears
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3655116/A3655116.html


โดย: merveillesxx IP: 210.246.165.140 วันที่: 8 สิงหาคม 2548 เวลา:23:54:29 น.  

 
แท้งกิ้ว สำหรับข้อมูลเรื่องไฉ่หมิงเหลียงเน้อ

เมื่อวานเอา The WayWard Cloud ไปคืนร้านเฟม ไปถามหาหนังเรื่องก่อนหน้านี้ของเขา ทางร้านมีแต่เป็นวิดีโอ แต่เขาบอกว่ากำลังจะทำคอลเลคชั่นของ ไฉ่หมิงเหลียง อยู่ (ทำเป็นแผ่น ) เย้ๆ

ตอนนี่ร้านเฟม มีหนังน่าสนใจเพียบค่ะ มีหนังที่เคยเข้าฉายตามเทศกาลต่างๆ มาใหม่หลายเรื่อง แต่ส่วนใหญ่หนังแผ่นที่เขาโชว์ไว้เป็นแบบวีซีดี ลองถามหาแบบดีวีดีจากเขาได้ค่ะ


โดย: grappa วันที่: 9 สิงหาคม 2548 เวลา:8:49:09 น.  

 
มา เฮ ดังๆกับ Worldly Desire รอบสุดท้าย นึกว่าจะอดแล้วนะเนี่ย ว่าแต่คุณ merveillesxx ไม่ว่างเหรอ ว้า น่าเสียดายจัง แล้วจะดูเผื่อเน่อ


โดย: เก้าอี้มีพนัก IP: 61.91.185.32 วันที่: 9 สิงหาคม 2548 เวลา:19:37:08 น.  

 
เขียนจนอยากดูเจ้าหญิงนิทรามากๆ เลยง่ะ


อืมม์...


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 11 สิงหาคม 2548 เวลา:18:58:19 น.  

 
หนังที่ได้ดูช่วงนี้

1. The Upside of Anger (B+)
-- รู้สึกชอบหนังเรื่องนี้แบบขึ้นๆลงๆ ชอบบางช่วงของหนังมากๆ แต่บางช่วงก็รู้สึกเบื่อๆ เหมือนกัน

-- ชอบฉากที่โจน อัลเล็น ร้องไห้ในห้องรับแขกหลังจากกลับโรงพยาบาล และฉากที่เธอรู้ 'ความจริง' แล้วมากๆ

2. ต้มยำกุ้ง (B)
-- รู้สึกว่าหนังมีปัญหา (สำหรับผม) คล้ายๆ เรื่อง INITIAL D คือหนังพยายามมุ่งหาสิ่งที่เป็นจุดขายของตัวหนังมากเกินไป จนใส่ใจในรายละเอียดอื่นๆของหนังน้อยเกินไป

-- จริงๆ แล้ว 'ต้มยำกุ้ง' ก็เป็นหนังที่ให้ความบันเทิง และตื่นตาตื่นใจกับผมพอสมควร (ผมไม่เคยดูเรื่อง 'องค์บาก') จนน่าจะชอบในระดับ B+ แต่ด้วยปัญหาที่กล่าวในข้างต้น เช่น ตัวบทหนัง, อารมณ์ในบางฉากที่ผมรู้สึกว่ามันโดดๆ (โดยเฉพาะการบิวด์อารมณ์รักชาติทั้งหลาย) และการที่ตัวละครบางตัวถูกทิ้งให้หายไปจากหนังเสียเฉยๆ ฯลฯ จึงลดระดับลงมาที่ B แทน

------------------------------

-- ด้วยผลกระทบจากรายการ J-POP ของ ดีเจเอ็ดดี้ ทำให้ช่วงนี้ขุดเทปเพลงญี่ปุ่นที่ซื้อไว้สมัย ม.ต้น มาฟังใหม่หมดเลย และเป็นอะไรที่แปลกใจมากๆ ที่อยู่ดีๆ ตัวเองก็รู้สึกถูกใจกับเพลงของสี่สาววง SPEED ขึ้นมา ทั้งๆที่ ตอนที่ซื้อ (ม.3) ฟังรอบแรกแล้วก็เก็บเข้ากรุไปเลย เพราะรำคาญเสียงแหลมๆ ของพวกเธอมากๆ ...จนตอนนี้เอาเทปชุดนั้นมาฟังใหม่ กลับรู้สึกว่าเพลงมันน่ารัก สดใส มากๆ แต่น่าเสียดายว่าเทปม้วนนี้สภาพไม่ค่อยดีเท่าไร เดี๋ยวยืด เดี๋ยวหยุด เดี๋ยวตีกลับ (เทปชุดที่ว่าเป็นเทปรวมฮิตของวง SPEED ที่ชื่อ MOMENT โดยทั้งบ้านและทั้งชีวิต ผมก็มีเทปของพวกเธอแค่ม้วนนี้ม้วนเดียวแหละครับ)

-- ว่าแล้วเมื่อวานก็เลยไปซื้อ VCD คอนเสิร์ต Save the Children SPEED LIVE 2003 มาจากร้าน Valentine ของค่าย Red Beat เสียเลย (เป็นคอนเสิร์ตที่พวกเธอกลับมารวมตัวกันใหม่หลังจากแยกวงไปในปี 2000 และเป็นคอนเสิร์ตการกุศลช่วยเด็กด้อยโอกาสไปในตัวด้วย) ...ทั้งๆที่เห็น VCD แผ่นนี้วางขายได้เกือบๆ ปีครึ่งแล้ว ผมก็เพิ่งจะมาซื้อเอาก็ป่านนี้ จนทางร้านเขาเอามา SALE กระหน่ำจาก 500 เหลือ 299 ซะแล้ว (รู้สึกว่าตอนนี้ร้าน Valentine จะ SALE พวกแผ่นญี่ปุ่นอยู่จำนวนหนึ่ง)

-- ดูคอนเสิร์ตนี้ก็รู้สึกว่าพวกเธอทั้งสี่เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยเห็นในมิวสิกวิดีโอเพลง Body & Soul (เพลงเปิดตัวแรกๆ ของเธอ) สี่สาวยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงกะโปโลหน้าตาบ้านๆ หน้าอกแบนๆ อยู่เลย พอมาตอนนี้พวกเธอเป็นสาวเต็มตัวแล้ว แถมรู้สึกว่าจะร้องเพลงเสียงแหลมแสบหูน้อยลงด้วย

-- แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ผมกลับรู้สึกพอใจที่จะฟัง SPEED ในแบบที่เสียงแหลมๆ แสบแก้วหูมากกว่า เมื่อเช้าผมเปิดเทปชุดที่ว่าแล้วรู้สึกว่าเช้านี้มันแจ่มใส ทำให้รู้สึกดีที่จะออกเรียนหนังสือ ทั้งๆที่ตั้งแต่เปิดเทอมขึ้นปี 3 มา นับวันได้เลยที่ผมจะรู้สึก 'ก้าวเท้าข้ามประตูออกจากบ้าน' ไปมหาลัยอย่างเต็มใจหรือแจ่มใส

-- จากเหตุการณ์ที่ซื้อเทปของ SPEED มาวางทิ้งในตู้เก็บเทปไว้ จน 6 ปีผ่านไปเพิ่งรู้สึกถึงคุณค่าของมัน ทำให้ผมนึกถึงประโยคในหนังเรื่อง 2046 อยู่กลายๆ เหมือนกัน "ความรักเป็นเรื่องของจังหวะเวลา จึงไร้ประโยชน์ที่จะพบคนทีใช่ช้าหรือเร็วเกินไป" ประโยคนี้ก็น่าจะใช้ได้กับความชอบในเพลงได้เหมือนกันนะ

-- TOP5 ... 5 เพลงของวง SPEED ที่ชอบที่สุด
1. ALIVE
2. Be My Love
3. Long Way Home
4. ALL MY TRUE LOVE
5. White Love

SPEED
//www.avexnet.or.jp/speed/
//www.cdjapan.co.jp/list_from_code_banner.html?key=22368

-- และ ณ ตอนที่ผมพิมพ์อยู่ถึงบรรทัดนี้ เทป SPEED ชุดที่ว่าของผมก็หมดสภาพไปโดยสิ้นเชิงแล้วครับ เนื่องจากเนื้อเทปพันกันอีรุงตุงนังไปหมดเลย พยายามช่วยชีวิตเทปของตัวเองอยู่ประมาณ 10 นาที แต่ก็ไม่สำเร็จ..เฮ้อ แย่จัง กะว่าพรุ่งนี้จะเอาเทปไปทำพิธีศพ กรวดน้ำ ฝังดินให้เรียบร้อย แล้วจากนั้นก็ไปซื้อ CD มาก็แล้วกัน (ไม่รู้ป่านนี้ยังมีเหลือมั้ยเนี่ย ...เฮ้อ)

-- จริงๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยได้ซื้อเทปนัก จะซื้อเทปมากๆ ก็ช่วง ป.5-ม.3 ซึ่งมันจะเป็นเทปนักร้องค่ายแกรมมี่และอาร์เอสเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็เพลงญี่ปุ่นประมาณ 20-30 ม้วนได้ เพราะหลังจากขึ้น ม.ปลาย ก็ซื้อแต่ CD มาตลอด ...เรื่องเทปยืดที่ฮาๆ ที่ตัวเองเจอก็คือ เทปเพลง Art of Life ของวง X-JAPAN ซึ่งเป็นเพลงที่ยาวมากๆ ถึง 30 นาที พอเปิดเทปเพลงนี้ขึ้นมาแล้วพบว่ามันยืดก็รีบปิดโดยทันที เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าเพลงมันจะยาวขึ้นเป็น 3 ชั่วโมง ฟังแล้วเหนื่อย

-- จากการที่ขุดเทปเพลงญี่ปุ่นขึ้นมาฟัง ทำให้ตัวเองสังเกตได้ว่า ศิลปินคนโปรดของตัวเองอยู่ค่าย AVEX TRAX เยอะมากๆ ทั้ง Ayumi Hamasaki, Globe (นักร้องนำวงนี้เสียงดีมากๆ เธอเคยร้องเพลงในคอนเสิร์ตจนกระจกแตก...ซึ่งมันเป็นเอฟเฟ็กต์ในคอนเสิร์ตนะครับ ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่รู้สึกว่ามันฮาดี), SPEED และอีกมากมาย ...รู้สึกว่าค่าย AVEX ในญี่ปุ่นนี่ก็คงใหญ่และมีอิทธิพลประมาณค่ายแกรมมี่หรืออาร์เอสในบ้านเรา

-- ตอนนี้อยากฟังอัลบั้มใหม่ของศิลปินหญิงจาก AVEX อีกคนมากๆ ก็คือ Namie Amuro คือเพิ่งออกอัลบั้มใหม่ล่าสุดออกมาที่ชื่อเก๋ไก๋มากๆ ว่า QUEEN OF HIP-POP ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเธอก็คือ สมัยแรกๆ เธอเป็นนักร้องเพลงป็อปแดนซ์หรือบัลลาด (เพลงดังบ้านแตกของเธอคือ CAN YOU CELEBRATE?) แต่หลังจากแต่งงาน มีลูก และถูกผัวทิ้ง ก็ไม่รู้ว่าเธอเอาหัวไปล้มฟาดกับอะไรหรือเปล่า เพลงชุดหลังๆของเธอจึงกลายเป็นเพลง HIP-HOP / R&B ไปเลย ...รู้สึกตอนแรกๆ ที่เธอเปลี่ยนแนวเพลง ความนิยมในตัวเธอก็ตกลงไปเหมือนกัน เพราะแฟนเก่าๆ รับไม่ทัน แต่ตอนหลังเธอก็กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งได้ จนในที่สุดก็สถาปนาตัวเองเป็น "ราชินีแห่งเพลง HIP-POP" ในอัลบั้มชุดล่าสุดนี้เอง

-- จำได้เลาๆ ว่ามีโพลที่สำรวจคนญี่ปุ่นว่า "เพลงที่คุณจะใช้เปิดในงานแต่งงาน คือเพลงอะไร" แล้วผลอันดับ 1 ก็คือเพลง CAN YOU CELEBRATE? ของ Namie Amuro นี่เอง ...และตอนที่เธอคลอดลูกใหม่ๆ แล้วทางค่าย AVEX ก็หัวใสเอาซิงเกิ้ลนี้ออกมาขายใหม่ เพื่อถือเป็น 'ของขวัญรับลูกชาย' ให้แก่เธอ ซึ่งปรากฏว่าขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ 'รัก' เธอมากขนาดไหน

NAMIE AMURO
//www.avexnet.or.jp/amuro/
//www.cdjapan.co.jp/list_from_code_banner.html?key=191925

-- นึกออกอีกอย่างหนึ่งว่า ตอนที่เข้าไปในร้าน Valentine ก็เหลือบไปเห็นแผ่นลิขสิทธิ์ไทยของซิงเกิ้ล STEP YOU ของ Ayumi Hamasaki ด้วย (ซิงเกิ้ลนี้ออกเมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่แล้ว) แต่ค่ายที่ทำแผ่นออกมากลับเป็น GMM (ปกติแล้วลิขสิทธิ์ของ Ayumi จะเป็นของค่าย Red Beat) ...ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าค่ายแกรมมี่จะเกิดนึกคึกดัน Ayumi ให้ดังในบ้านเราเหรือเปล่า (เหมือนกับที่ EMI เคยดัน Utada Hikaru ให้ดังในบ้านเราจนได้) ซึ่งจริงๆ แล้วผมคิดว่าเพลงของ Ayumi ถ้าโปรโมตดีๆ หน่อยก็ดังแล้วล่ะ

---------------------------

ตอบ พี่แมดเดอลีน
-- ขอบคุณสำหรับข่าวของ BoA และหนังสือที่แนะนำมาครับ

-- เคยฟังเพลงของ BoA ไม่กี่เพลง รู้สึกว่าไม่ได้ชอบอะไรมากมาย แต่เพลงของเธอฟังสนุกดี และเวลาเล่นคอนเสิร์ตเธอก็เต้นมันส์ดี

-- เมื่อก่อนนู้นเคยได้ยินข่าวลือว่า BoA จะได้เล่นเป็น โชแชง ใน Harry Potter ด้วย เสียดายอยู่เหมือนกันที่เธอพลาดบทนั้นไป

-- ถ้าพูดถึงหนังที่ตัวเองชอบมากที่สุดในปีนี้แล้ว ก็คงยังตัดสินไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ถ้าสำหรับปี 2004 ก็คงเป็น All About Lily Chou-Chou แหละครับ (ได้ดูจาก DVD) เพราะในขณะที่ปีนั้นๆ อาจจะมีหนังที่โดนใจตัวเองมากมาย แต่สำหรับ Lily Chou-Chou นั้นนอกจากมันจะกระทบใจแล้ว ผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่ตรงชีวิตของทั้งตัวเอง และเพื่อนๆ รอบตัวเป็นอย่างมาก (และจริงๆ แล้วอาจจะอีกหลายๆคนบนโลกนี้ก็ได้) ...อย่างไรก็ตาม สมัยที่เรียนมัธยมก็ไม่มีเพื่อนผมคนไหนโดดตึกลงมาตายเหมือนในหนังหรอกนะครับ

-- ส่วนหนังที่ชอบที่สุดในปี 2003 ก็คงเป็น Last Life in the Universe ทั้งครับ แต่จริงๆแล้วช่วงตลอดสองปี 2003-2004 ผมได้ดูหนังน้อยมากๆเลยครับ เพราะช่วงนั้นเรียนที่ มธ.รังสิต ทำให้ห่างไกลความเจริญหลายๆอย่างไปหลายล้านปีแสงทีเดียว พอตอนนี้ได้กลับมาอยู่ที่ท่าพระจันทร์ ถึงแม้จะมีอะไรที่ชวนหงุดหงิดมากมาย (เช่น รถติด คนเยอะ ความแออัด ฯลฯ) แต่ก็ยังดีที่ได้ดูหนังใหม่ๆ ฟังเพลงใหม่ๆ มากกว่าสองปีที่ผ่านมา


โดย: merveillesxx วันที่: 12 สิงหาคม 2548 เวลา:3:39:21 น.  

 
เรื่องเทปขาดเทปพังนี้ช่วงหลังเจอกับตัวบ่อย

กลับบ้านต่างจังหวัดทีก็เอาเทปเก่า ๆ มานั่งฟังรื้อฟื้นความหลัง

แล้วไงล่ะ ขาดต่อหน้าต่อตาเลย เวรกรรม

โชคดีหลุดจากการซื้อเทปมาได้พอควร ซื้อแต่ซีดีล่ะ

ว่าแล้วอยากรวย ๆ จะได้ซื้อซีดีที่อยากได้ให้หมดแฮะ


โดย: Thom Yorke (I will see U in the next life. ) วันที่: 12 สิงหาคม 2548 เวลา:15:40:39 น.  

 
-- อ่านพล็อตของหนังเรื่อง Eli, Eli, lema sabachtani? แล้ว อยากดูสุดๆ เลยครับ
//www.imdb.com/title/tt0461769/

เคยดูหนังของ ชินจิ อาโอยาม่า สองเรื่องครับ (ทั้งสองเรื่องดูจาก DVD)

1. Helpless (1996, A-)
//www.imdb.com/title/tt0116515/

-- หนังเรื่องนี้นำแสดงโดย อาซาโน่ ทาดาโนบุ (เขาเล่นเป็น ‘หนุ่มฮิป’ อีกนั่นแหละ)

-- ในเรื่องนี้อาซาโน่เล่นเป็นหนุ่มขบถ ไม่เข้าสังคม หนีออกจากโลกภายนอกที่แสนจะวุ่นวาย ต่างจากพวกเด็กหัวขบถในหนังเรื่องอื่นๆ ที่จะออกไปทำอะไรบ้าๆบอๆนอกบ้าน พระเอกในเรื่องนี้วันๆ เอาแต่นอนอยู่ในห้อง แล้วก็ไม่เห็นจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง แต่แล้วเขาก็ดันไปพัวพันกับเหตุการณ์วุ่นวายกับพวกยากูซ่าเข้าให้

-- ดูหนังเรื่องนี้นานแล้ว แต่จำได้ว่าฉากหนึ่งที่ชอบมากๆ คือ ตอนที่ตัวละคร 3-4 ตัว เฮละโลกันไปอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตอนแรกๆ พนักงานก็ต้อนรับขับสู้แขกดีอยู่ แต่แล้วบรรยากาศในร้านก็ปะทุปะทังมากขึ้นๆเรื่อยๆ จนในที่สุดตัวละครทั้งหลายก็อัดกันเละเทะมั่วซั่วไปหมดเลย สิ่งที่ชอบก็คือว่า หนังใช้เวลากับฉากในร้านอาหารร้านนี้อยู่นานทีเดียว แล้วมันก็ทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลง จากความเงียบสงบ (ร้านอาหารในหนังเป็นร้านแถวๆ ชานเมือง) ไปสู่ความหายนะยุ่งเหยิงที่น่าจะมาจากเรื่องของคนไม่กี่คน

-- ประทับใจประมาณหนึ่งกับฉากที่อาซาโน่ระเบิดความบ้าคลั่งออกมาในหนังเรื่องนี้

บทบาทของ อาซาโน่ ทาดาโนบุ ที่ประทับใจ (เรียงลำดับตามความชอบ)
//www.imdb.com/name/nm0038355/

1.1 Ichi The Killer (2001, ทาคาชิ มิอิเกะ, A+)
-- อยากให้มิอิเกะสร้างภาค 2 ของหนังเรื่องนี้มากๆ
-- ชอบมากๆ ที่เรื่องนี้อาซาโน่เล่นเป็นพวก ‘มาโซคิสต์’ มีฉากที่เขาขอร้องให้ผู้หญิงฟาดใส่เขาแรงๆด้วย (กรี๊ด)

1.2 Last Life in the Universe (2003, เป็นเอก รัตนเรือง, A++++++++++++)

1.3 Love & Pop (1998, ฮิเดอากิ อันโนะ, A)
อาซาโน่ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ไม่กี่นาที แต่เป็นอะไรที่น่าจะจำกัดความได้ว่า “ตะลึงงันและสั่นไหว” ในเรื่องนี้เขาเล่นเป็นตัวละครที่ชื่อว่า Captain XX (??!!)

เคยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ที่นี่ครับ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=merveillesxx&month=29-12-2004&group=1&blog=28

1.4 Distance (2001, ฮิโรคาสุ โคริเอดะ, A+)
อาซาโน่เล่นเป็นตัวละครที่ลึกลับและเป็น ‘กุญแจ’ ไขเนื้อเรื่องทั้งหมด …รู้สึกว่าอาซาโน่จะได้รับบทที่บ้าๆบอๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่เรื่องนี้เขาเล่นเป็นตัวละครเงียบๆ พูดน้อย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ได้ดีจนอยากจะร้องไห้

1.5 และอื่นๆ อีกมากมาย

-- อาซาโน่ ทาดาโนบุเป็นพระเอกในดวงใจอันดับต้นๆ ในลำดับที่ใกล้เคียงกับ เหลียงเฉาเหว่ย

-- หนังของที่อาซาโน่เล่น ที่ยังไม่ได้ดู แล้วอยากดูเหลือเกิน ได้แก่
wkw/tk/1996@7'55''hk.net (1996) หนังสั้น 8 นาทีของหว่องกาไว อาซาโน่เล่นคู่กับคาเร็น ม็อก
Focus (1996) หนังล่าสุดของผกก.คนนี้ (Satoshi Isaka) คือเรื่อง g@me. (2003, A-)
Woman of Water (2002)
Vital (2004) หนังเรื่องล่าของ ผกก. ชินยะ ทสึกาโมโต้ (A Snake of June)
และ …Invisible Waves (2005)

-- จำได้ว่าช่วงปีที่แล้วที่ร้านของพี่แว่นยังเปิดอยู่ แผ่นหนังที่ต้องซื้อเป็นประจำในแต่ละอาทิตย์ก็คือ หนังที่มีอาซาโน่เล่นด้วย ซึ่งสามารถหยิบจากชั้นมาได้เลย โดยไม่ต้องคิดคำนึงว่าหนังเรื่องนั้นๆมันเกี่ยวกับอะไร เขาเล่นเป็นใคร หรือโผล่มาในหนังมากน้อยแค่ไหน

--------------------------------------------------------

(หนังของชินจิ อาโอยาม่า ที่เคยดูอีกเรื่อง)

2. Desert Moon (2002, A-)
//www.imdb.com/title/tt0283309/

-- หนังเรื่องนี้ว่าด้วยความสัมพันธ์อันล้มเหลวของสามี-ภรรยาคู่หนึ่ง ที่ตัวสามีเป็นนักธุรกิจบ้างานขนาดหนัก แล้วความสัมพันธ์ของผัวเมียคู่นี้ก็ยิ่งวุ่นวายเข้าไปอีก เพราะตัวละครหนุ่มลึกลับ (ที่เกือบจะหล่อ..แหะแหะ) คนหนึ่ง

-- สิ่งที่หนังเรื่องนี้คล้ายๆ กับ Helpless ก็คือ

2.1 ว่าด้วยความสัมพันธ์ของตัวละครกลุ่มเล็กๆ ที่วุ่นวาย (รู้สึกว่าหนังของเขามักใช้ตัวละคร 3 ตัวอยู่เสมอ รวมถึง Euraka (2000) หนังดังของเขาด้วย)

2.2 มีประเด็นเรื่อง ‘ความป่วยไข้ของสังคมเมือง’ เหมือนกัน โดย Helpless มีการพูดถึงสมาคมยากูซ่าและการให้การรักษาแบบปล่อยปะละเลยตามโรงพยาบาล (ในเรื่อง พ่อของพระเอกป่วยเป็นบ้า) ส่วน Desert Moon ก็พูดถึงสังคมเมืองในถูกหล่อหลอมด้วยเทคโนโลยี ตึกสูงลิ่วฟ้าของบริษัทใหญ่โต และระบบทุนนิยม

สิ่งที่น่าสนใจใน Desert Moon ก็คือ ช่วงแรกของหนังที่เหตุการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ สถานที่เกิดเหตุในหนังคือ ใน ‘เมือง’ แต่ช่วงท้ายที่เป็นช่วงคลี่คลายของหนัง เหตุการณ์จะเกิดขึ้นใน ‘ชนบท’ (และหนังก็เลือกจบด้วยอะไรที่ ชนบ๊ดดดด ชนบทสุดๆ)

อย่างไรก็ตาม อาโอยาม่าไม่ได้เน้นประเด็นวิพากษ์สังคมในหนังของเขาจนเกินงาม มันมักจะซ่อนตัวอยู่ในประเด็นหลักของหนัง ที่ว่าด้วย ความสัมพันธ์อันวุ่นวายของผู้คน และการทำลายล้างหรือการเยียวยาซึ่งกันและกัน

2.3 มีตัวละครหัวขบถ ต่อต้านสังคมเหมือนกัน (Helpless = ตัวละครของอาซาโน่ / Desert Moon = ชายหนุ่มลึกลับ)

2.4 มีฉากที่ระเบิดอารมณ์อย่างรุนแรงเหมือนกัน
จริงๆ แล้วข้อนี้ดูจะไม่น่าแปลกอะไรมากนัก (เพราะหนังหลายๆ เรื่องก็มีฉากประเภท) แต่หนังทั้งสองเรื่องของอาโอยาม่ามีจุดที่น่าสังเกตก็คือ ก่อนหน้าจะถึงฉากนั้นๆ อารมณ์ของหนังจะค่อนข้างเรียบๆและน่าอึดอัด ชนิดที่ว่าไม่น่าจะเกิดฉากที่รุนแรงตามมาในภายหลังได้ และการระเบิดอารมณ์นั้นมักจะมาจากตัวละครที่ดูจะไม่น่าทำพฤติกรรมแบบนั้นได้

โดยสรุปแล้วหนังของอาโอยาม่าจัดเป็นหนังที่ดูแล้ว ‘ไม่สนุก’ เท่าไร แถมยังมีบรรยากาศชวนอึดอัด กดดัน เจืออยู่ตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็จัดเป็นหนังที่น่าสนใจเอามากๆ ทีเดียว

-- เสียดายมากๆ ที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่อง Eureka (2000) ของอาโอยาม่าสักที อีกอย่างที่อยากดูก็เพราะ โคจิ ยากูโช เล่นเรื่องนี้ด้วย …ชอบการแสดงของ โคจิ ยากูโช ในระดับหนึ่งทีเดียว รู้สึกว่าเขาเหมาะดีกับบทที่ตัวละครต้องได้รับความกดดันจากอะไรสักอย่างมากๆ, ประเภทมีปัญหาในชีวิตรุมเร้า หรือเป็นโรคประสาทอ่อนๆ

-- หนังที่ โคจิ ยากุโช เล่นแล้วอยากดูมากๆ ตอนนี้ก็คือ Lorelei: The Witch of the Pacific Ocean (2005, Shinji Higuchi) ครับ สาเหตุก็เพราะมีหนุ่มหล่อ ซาโตชิ ทสึมาบูกิร่วมเล่นด้วย

Lorelei: The Witch of the Pacific Ocean
//www.imdb.com/title/tt0406941/


โดย: merveillesxx วันที่: 13 สิงหาคม 2548 เวลา:6:00:34 น.  

 
-- ถ้าพูดถึง “การที่ตัวละครนั่งจับเจ่าฟังเทปเพลงม้วนเดียววนไปวนมา” ก็จะนึกถึงการ์ตูนเรื่อง EVANGELION เลยครับ ชินจิ (พระเอกของเรื่อง) จะฟังเทปม้วนเดิมวนไปมาวนอยู่เสมอ ฉากหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ในการ์ตูนเรื่องนี้คือ ตอนที่ชินจินอนไม่หลับแล้วก็ฟังเทปม้วนนี้ไปเรื่อยๆ แต่พอหญิงสาวข้างๆ เขาละเมอพลิกตัวมาใกล้ๆ ชินจิก็ตกใจจนเผลอไปโดนกลุ่ม Forward ทำให้เพลงที่เขาฟังถูกกรอจนฟังไม่รู้เรื่อง แถมมันยังกลายเป็น ‘เพลงประกอบ’ ที่แสดงความรู้สึก ‘ใจเต้นตูมตาม’ ของพระเอก ในฉากนี้ด้วย

-- EVANGELION เป็นการ์ตูนที่สร้างความมึนงงให้กับคออนิเมะมาร่วมทศวรรษหนึ่งแล้วเห็นจะได้ เพราะหน้าฉากที่ว่าด้วยหนังหุ่นยนต์สู้กันธรรมดาๆ กลับมีประเด็นที่แฝงเร้นไว้มากมายนับร้อยประการ…สิ่งที่เป็นประเด็น ‘แรง’ ในหนังเรื่องนี้ก็คือ หุ่นยนต์ฝ่ายร้ายในหนังดันมีชื่อเหมือนสาวกของพระเยซู! เหมือนกับว่าผู้กำกับ (ฮิเดอากิ อันโนะ) และผู้สร้าง (GAINAX) ต้องการจะสื่อถึงช่วงภาวะเวลาสุดสิ้นของมนุษยชาติ เพราะถึงเวลาที่พระเจ้าจะ ‘ล้างโลก’ ตามคำกล่าวในคัมภีร์แล้ว นอกจากนั้นยังมีหลายส่วนในการ์ตูนที่มีการอ้างอิงถึงคัมภีร์พระคริสต์ทั้งฉบับเก่าและใหม่ และตัวอย่างความแรงอีกอันหนึ่งก็คือ เวลาตัวร้ายในหนังตาย มันระเบิดเป็นรูป ‘ไม้กางเขน’ !

-- นอกจากนั้นแล้ว EVANGELION ยังหักล้างทฤษฏี ‘ความเป็นพระเอก’ ในหนังการ์ตูนทุกๆเรื่อง เพราะพระเอกเรื่องนี้ทั้งอ่อนแอ, เห็นแก่ตัว, มีปมปัญหาทางจิตที่ร้ายแรงสุดๆ (ชินจิมีปัญหากับพ่อ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาการของเขา / บ่อยครั้งที่หนังแสดงถึง ‘ฉากนามธรรม’ ที่ล้วงลึกเข้าไปในจิตใจของชินจิ), ความล้มเหลวในการสื่อสารกับเพศตรงข้าม (ฉากสุดแรงอีกฉากในการ์ตูนเรื่องนี้ คือตอนที่ชินจิสำเร็จความใคร่ต่อหน้าตัวละครหญิงที่นอนหลับอยู่บนเตียงผู้ป่วย) แถมหนังยังบอกใบ้อีกว่าชินจิอาจจะเป็นไบเซ็กช่วล! (ช่วงท้ายของหนังมีตัวละครเด็กหนุ่มลึกลับโผล่เข้ามา และมีความสัมพันธ์อันเคลือบแคลงกับชินจิ)

-- ด้วยประเด็นอันมากมายเหล่านี้ ทำให้เกิดการถกเถียงต่อการ์ตูนเรื่อง EVANGELION มาร่วม 10 ปีเต็มๆ (การ์ตูนเรื่องนี้ออกอากาศที่ญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 1995) และมันก็คงจะมีต่อไปไม่สิ้นสุด… (ที่ PANTIP.COM ก็มีกระทู้เกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้อยู่เสมอๆ)

-- การ์ตูนชุด EVAGELION มีขายในบ้านเราจากค่าย TIGA ล่าสุดมีขายเป็น DVD BOX SET แล้ว

-- หลังจากที่ ผกก. ฮิเดอากิ อันโนะ กำกับหนังเรื่องนี้จบ เขาก็หันไปทำหนังคนเล่น โดยผลงานของเขาได้แก่ Love & Pop (1998, A), Shiki-Jitsu (2000 – ชุนจิ อิวาอิมารับบทนำให้) และล่าสุดก็คือ Cutie Honey (2004)

ฮิเดอากิ อันโนะ
//www.imdb.com/name/nm0030417/

------------------------------------------------

ตอบพี่แมดเดอลีน

-- ชอบฉากจบของ Waiting for the Clouds มากๆเหมือนกันครับ ต้องสารภาพว่าตอนดูหนังเรื่องนี้มีวูบหลับไปประมาณ 2-3 ฉาก (คงเพราะคืนก่อนหน้านอนไม่ค่อยพอด้วย) แต่พอถึงฉากจบของหนังก็รู้สึกว่าลูกตาของตัวเองถูกตรึงไว้กับจอภาพยนตร์ที่อยู่ตรงหน้าเลยทีเดียว

-- ถ้าพูดถึงเทคนิคการ REPLAY ภาพตอนต้นกับตอนจบที่ให้ความรู้สึกที่รุนแรงเป็นเท่าทวีคูณ ก็คงมีหนังหลายเรื่องเหมือนกันที่ใช้วิธีนี้ แต่เท่าที่นึกออกตอนนี้คือหนังเรื่อง LILYA 4EVER (2002, ลูคาส มูดดิสัน, A+++++++) ครับ

(ต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง แต่ไม่ใช่การ SPOILER ร้ายแรงแต่อย่างใด)

โดยฉากเปิดของหนังเรื่องนี้ จะเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่วิ่งไปตามท้องถนน บาดแผลเต็มหน้า และเพลงประกอบก็เป็นเพลงร็อครุนแรงสุดๆ แล้วเธอก็เดินขึ้นไปบนสะพาน เหมือนจะพยายามโดดลงมาเพื่อฆ่าตัวตาย …คนดูสงสัย เอ๊ะ ทำไมยัยหนูนี่อยากตายนะ?

หลังจากนั้นตลอดเรื่อง หนังก็จะพาเราไปดูชีวิตที่ ‘แสนบัดซบ’ ของหนูลิลย่า แล้วตอนท้าย หนังก็จะย้อนภาพในฉากเปิดมาอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่ผมรู้สึกได้ก็คือ “ฉันรู้แล้วว่าทำไมเธออยากตาย”, “ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงอยากตาย” และ “ลิลย่า ถ้าชีวิตมันบัดซบนัก ก็ตายๆ ไปเสียเถอะ!” จำได้ว่าฉากที่ลิลย่าขึ้นไปบนสะพาน ผมมีความรู้สึกอยากช่วยผลักเธอให้ตกลงไปเร็วๆ โดยไม่ใช่ด้วยความรู้สึกโกรธเกลียดเธอ แต่เป็นความรู้สึกที่อยากจะให้เธอไปสู่สวรรค์และหลุดพ้นจาก ‘นรกบนดิน’ แบบนี้ทีเสีย

-- ฉากจบที่ให้ความรู้สึกที่ PEAK สุดๆ ในปีนี้ก็คงเป็นหนังเรื่อง 2046 (2004, หว่องกาไว, A+++++++) แหละครับ โดยจริงๆ แล้วฉากจบของหนังเรื่องนี้ก็ใช้เทคนิคการ REPLAY กับฉากก่อนๆ เหมือนกัน เพียงแต่มันเป็นฉากในหนังเรื่องก่อนหน้า นั่นก็คือ In The Mood For Love (2000, A+)

จำได้ว่าตอนที่ดู 2046 สิ่งหนึ่งที่ผมคาดเดาและลุ้นอยู่ตลอดเวลาขณะที่นั่งดู ก็คือ หนัง (หรือตัวหว่องกาไว) จะเลือกจบหนังเรื่องนี้ยังไง เพราะในเมื่อผู้กำกับแถเรื่องมาขนาดนี้แล้ว ก็อยากจะรู้เหลือเกินว่าจะจบเรื่องที่ตัวเองแถมาได้ ‘สวย’ มั้ย …โชคดีที่หว่องกาไวไม่จบหนังด้วยการหักมุมว่า ตัวละครของเหลียงเฉาเหว่ยจริงๆ แล้วเป็นผี (แต่จริงๆแล้วในหนังเรื่อง Days of Being Wild เขาก็ปรากฏตัวเหมือน ‘ผี’ เลยนะ) หรือเหลียงเฉาเหว่ยเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ร่างกายอ่อนแอมาก จนต้องนอนเตียงออกไปไหนไม่ได้ แล้วก็เลยเพ้อฝันเรื่องราวความรักข้ามปีข้ามชาติมาตลอด 3 ภาค (ฮา)

และตอนจบในหนังเรื่อง 2046 ก็เป็นสิ่งที่ผม “คาดว่ามันจะเป็น” และ “ไม่อยากจะให้มันเป็น” ในเวลาเดียวกัน เพราะลึกๆในใจผมแล้ว ผมก็อยากจะให้ตัวละครของเหลียงเฉาเหว่ยก้าวไปข้างหน้าได้เสียที แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็รู้อยู่ในใจว่าคนอย่างเขาไม่มีทางทำได้หรอก แล้วมันก็เป็นแบบนั้นเสียจริงๆด้วย …เฮ้อ พูดแล้วเศร้าจัง


โดย: merveillesxx วันที่: 13 สิงหาคม 2548 เวลา:6:01:57 น.  

 

-- พูดถึงซีรี่ย์ Melrose Place แล้วจำได้เลาๆ ว่าได้ดูเป็นบางตอน สมัยอยู่ ม.ต้น ช่วงเวลาที่ได้ดูก็จะเป็นตอนปิดเทอม เพราะสมัย ม.ต้น ยังไม่ต้องไปเรียนพิเศษอะไรมากมาย …แต่หลังจากขึ้น ม.ปลายแล้ว คำว่า ‘ปิดเทอม’ ก็ไม่มีหลงเหลือในสารระบบอีกต่อไป เพราะต้องออกไปเรียนพิเศษตั้งแต่เช้ายันเย็น รู้สึกว่าตอนนั้นเวลาปิดเทอมนี่จะเรียนหนักกว่าเปิดเทอมเสียอีก เฮ้อ…ว่าไปแล้วก็เห็นใจเด็กสมัยนี้จังเลย ยิ่งตอนนี้ก็มาเปลี่ยนระบบเอนทรานซ์อีก (สาบานว่าผมพยายามลองอ่านระเบียบการระบบ ADMISSION มาประมาณ 3 รอบแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจสักที ที่ฮาก็คือ พอลองถามรุ่นน้องว่าเข้าใจมั้ย มันก็ส่ายหน้ากันหมดเลย)

-- ซีรี่ย์อีกอันที่ได้ดูบ่อยๆ ตอนปิดเทอมสมัย ม.ต้น ก็คือ “ตำนานรักดอกเหมย” ทางช่อง 3 แต่สิ่งที่น่าคับแค้นใจอย่างมากก็คือ ไม่เคยมีชุดไหนเลยที่จะได้ดูครบทุกตอน จำได้ว่าพยายามติดตามอย่างเหนียวแน่นอยู่ชุดหนึ่ง ซึ่งเนื้อเรื่องว่าด้วยคุณแม่แสนดีที่มีลูกประมาณ 7 คนได้ ตอนสมัยสาวๆ เธอกับลูกพลัดพราดจากกันไป ตอนแก่ตัวเธอก็ดันคึกอยากตามหาลูกทั้ง 7 คนให้เจอ ว่าแล้วเธอก็ออกเดินทางหาลูกเจอทีละคนๆ (ฟังแล้วเหมือนโงกุนตามหาลูกดราก้อนบอลเลยแฮะ) แต่พวกลูกๆ บางคนก็ขับไล่ไสส่งเธอ หรือถ้าลูกต้อนรับอย่างดี เธอจะเจอพวกมารรังควานเป็น เมียจอมแสบ(ของลูกชาย) ผัวจอมเห็นแก่ตัว(ของลูกสาว) หรือเมียน้อยของผัว(ของลูกสาว) และอื่นๆ อีกมากมายบานตะไท รู้สึกว่าตำนานรักดอกเหมยชุดนี้จะมี ‘ดีกรีความรันทด’ สูงมากๆ มีตอนนึง ลูกชายของคุณป้า ฝากให้คุณป้าเลี้ยงหลานให้ แต่เธอก็ดันเผลอทำหลานหาย (เหมือนหนังไต้หวันเรื่อง The Missing ของหลี่คังเซิง) นั่นก็เลยทำให้เธอโดนเมียของลูกชายด่าทออย่างรุนแรง น่าสงสารจริงๆ

-- แต่แล้วก็ไม่รู้ด้วยเหตุอันใดในตอนนั้น ที่ทำให้ผมพลาดตอนท้ายๆและตอนจบของละครไปเสียได้ สรุปแล้วก็เลยไม่รู้ว่าคุณป้าแกตามหาลูกทั้งเจ็ดเจอรึเปล่า หรือไม่แน่ แกอาจจะทนไม่ไหวใช้วิทยายุทธประจำตระกูลฆ่ายัยเมียตัวแสบของลูกชายตายไปก็ได้

-- รู้สึกว่าน้อยครั้งมากที่ตัวเองจะติดตามซีรี่ย์ที่ชื่นชอบให้ครบทุกตอนให้ได้ อย่างล่าสุดกับละครญี่ปุ่น GOOD LUCK! (ทาคุยะ คิมูระ + โค ซิบาซากิ / ฉายเมื่อต้นปี) ก็พลาดไปตอนหนึ่ง (รู้สึกว่าเพราะออกไปดูหนังเทศกาล BKKIFF เนี่ยแหละ) หรือสมัยก่อนตอนที่ติดซี่รี่ย์ “สูตรรักข้าวห่อไข่” (ยูโกะ ทาเคอุจิ + ซาโตชิ ทสึมาบูกิ) เมื่อปี 2003 ก็ต้องพลาดไปสองตอนเพราะไปรับน้องมหาลัย …เรื่องที่จะได้ดูครบทุกตอนก็คงเป็น “ซูเปอร์สตาร์ถามหารัก” (ยูโกะ ทาเคอุจิ + โทโมยะ นางาเสะ) สิ่งที่ประทับใจก็คือ ตอนนั้นละครเรื่องนี้ดังมากๆ จนคุณแม่ของผมก็ติดด้วย เราสองคนก็เลยมานั่งดูด้วยกันทุกค่ำวันจันทร์-อังคาร (ปกติผมกับแม่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันหรอก ถึงแม้จะอยู่ในบ้านเดียวกันก็เถอะ) จำได้ว่าดูละครเรื่องนี้แล้วมีน้ำตาซึมทุกตอน ปาดน้ำตากันพร้อมกัน สองแม่ลูก …อืม คิดถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกดีจัง เข้ากับวันแม่ด้วย

-- พูดถึงความช้ำใจเกี่ยวกับซีรี่ย์ ก็นึกได้อีก 2 เรื่อง
1. Orange Days (ซาโตชิ ทสึมาบูกิ + โค ชิบาซากิ / เพิ่งฉายไปเมื่อตอนซัมเมอร์)
เรื่องนี้ช้ำใจมากๆ เพราะดันมาฉายวันเสาร์-อาทิตย์ตอนที่เรียนติดคอร์ส อ.แดง (ฮือๆ) ก็เลยตั้งใจไว้ว่าจะไม่ดูเลยสักตอนเพื่อไม่ให้เกิดความอาลัย แต่วันหนึ่งที่คอร์สเรียนงด แล้วก็นอนอยู่บ้านเฉยๆ ด้วยความห้ามใจไม่ไหว มือเจ้ากรรมก็ดันไปกดโดนรีโมททีวีซะได้ …สรุปก็เลยได้ดูซีรี่ย์นี้ตั้ง 1 ตอนแน่ะ! (ฮือๆ อีกที)

2. The X-Files
ติดตามซีรี่ย์นี้ปีแรกๆ ตอนที่มาฉายช่อง 7 วันเสาร์ตอนเย็น จากนั้นก็ตามดูปี 5 ทาง IBC (สมัยนั้นยังไม่รวมกับ UTV เป็น UBC) แต่แล้วความซวยก็มาเยือนเพราะตอนนั้นดันติดเป็นเคเบิ้ลเถื่อน (แต่ตอนนี้ติดของจริงแล้วคร้าบบบบ…) ทาง IBC ก็ใช้วิธีการส่งคลื่นรบกวนสัญญาณ จนทำให้ผมอดดู X-Files ปี6 ทั้งปีเลย …พอจะหวังพึ่งรอดูจากช่อง 7 แรกๆก็ดันเอาไปฉายซะเกือบเที่ยงคืนวันพฤหัส ซึ่งเป็นเวลาที่เด็กดี(ที่ผมเคยเป็นในสมัยนั้น)ต้องเข้านอนแล้ว พอถัดมาช่อง 7 ก็เปลี่ยนเอา X-Files ไปฉายวันธรรมดาตอน 4 โมงเย็น …ก็อยากจะไปตะโกนด่าหน้าสถานีเหลือเกินว่า “มรึงจะให้แม่บ้านดู X-Files เหรอไงวะ!” …สรุปแล้วจนป่านนี้ก็เลยยังไม่ได้ดู X-Files ปี 6 7 8 9 เลย (แต่ก็เห็นมี VCD BOX SET ทยอยขายปีเก่าๆ ออกมาแล้ว)

วันที่ 18 นี้ จะมีหนังเรื่อง House of D ที่เดวิด ดูคอฟนี่ย์ (เอเจนต์โมลเดอร์) เล่นเอง กำกับเอง เข้าฉายในบ้านเราด้วย

รู้สึกว่า เดวิด ดูคอฟนี่ย์ เป็นผู้ชายที่ดูเซ็กซี่เวลาใส่ชุดสูท

--------------------------------------------------

-- ไม่รู้เรื่องที่ คริสเตียน เบล จะเข้ามาถ่ายหนังในเมืองไทยเลยครับ เหมือนกับว่าล่าสุดที่ได้ยินดารามาถ่ายหนังในบ้านเราก็เป็นน้อง ยูยะ อากิระ แห่ง Nobody Knows นั่นแหละ (หนังเรื่องอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับช้าง)

-- ล่าสุดเห็นรูปน้อง ยูยะ จากนิตยสารฉบับหนี่ง (รู้สึกจะเป็น J-SPY) ตอนนี้น้องยูยะโตขึ้นมาก และก็หล่อขึ้นมากๆ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ Nobody Knows แต่กลายเป็น EVERYBODY KNOWS ไปซะแล้ว


โดย: merveillesxx วันที่: 13 สิงหาคม 2548 เวลา:6:03:04 น.  

 
-แมกเวย xx
ตอนนี้อาซาโน่ น่าจะเป็นพระเอกหนังในดวงใจอันดับหนึ่งของดิฉันค่ะ พอๆ กับแดเนียล เด ลูอิส ล่าสุดพึ่งดู The Vital และกำลังจะได้ดู หนังที่เขาเล่นอันเกี่ยวกับการรำลึกถึงฮิโรชิมา และอะตอมิคบอมส์

เคยไปดูเบื้องหลังการถ่ายทำเรื่องรัก น้อย นิด มหาศาล ฉากที่อาซาโน่กำลังจะกระโดดสะพานพุทธอ่ะค่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดอาซาโน่ตัวเป็นๆ สลบไปหลายวัน
แมกเวยxx ดู Tase of Tea หรือยังคะ มีบทอาซาโน่ที่น่าจะตรงกับคุณตอนนี้ (รึเปล่า ) อาซาโน่ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับแฟนเก่า (ที่แต่งงานไปแล้ว ) เขาไม่เคยกล้าเผชิญหน้ากับแฟนเก่าเลย ทั้งๆที่บ้านอยู่ไม่ไกลกันนัก ท่าทางกึ่งๆอิหลักอิเหลื่อ กึ่ง ๆอาย ของเขาตอนกลับไปเผชิญหน้ากับแฟนเก่านั้นได้ใจดิฉันไปเต็มๆ (อยู่แล้วล่ะค่ะ )

อยากหาดาราที่เล่นน้อยแต่ได้มาก เหมือนเขาอีกจัง ดาราหลายคนเล่นมากแต่ได้น้อยเสียมากกว่า

เขียนเสียอยากดู EVANGELION เลยค่ะ
อาการติดซีรี่ย์ นี่ ตัวเองก็เป็นเหมือนกัน และมักจะได้ดูไม่ครบทุกที ตอนสูตรรักข้าวห่อไข่นั้น จำได้ว่า ไม่ได้ออกไปท่องราตรีก็เพราะหนังเรื่องนี้ ยุ่งชะมัดเป็นสัตวแพทย์ ก็ชอบเป็นอันดับรองๆ มาจากสูตรรักข้าวห่อไข่ คิดถึงโจบิชะมัด เมื่อไร ITV จะตัดสินใจถูกอีกสักครั้ง เอาเอเชี่ยนซีรี่ย์กลับมาฉายตอนหลังข่าวอีก


โดย: grappa วันที่: 13 สิงหาคม 2548 เวลา:8:44:50 น.  

 
ไม่เคยดูอนิเมะ Evagalion อ่ะ

เคยแต่อ่านในหนังสือการ์ตูนครับ เป็นการ์ตูนที่แหวกเหมือนที่ว่าไว้ พระเอกนี้สภาพจิตใจแย่มาก (ความจริงสภาพจิตใจแย่กันทุกคน)

ว่าแล้วเมื่อไรเล่มใหม่จะออกหนอ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 13 สิงหาคม 2548 เวลา:11:36:35 น.  

 
หุหุเห็น fat film เอาเพลงมาทำหนัง
ของฉันเลยเกิดไอเดีย(กระฉูดหรือเปล่าก็ไม่ทราบ)
เอาหนังมาทำหนัง
โดยเลือกชื่อหนังซักชื่อ
แล้วมาทำหนังให้สอดคล้องกับชื่อ แบบแตกไอเดียให้บรรเจิด


โดย: ฉลอง(หล่อ)เทียนลิตร IP: 203.209.111.4 วันที่: 13 สิงหาคม 2548 เวลา:14:46:20 น.  

 
ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับคำติ-ชมแบบตรงไปตรงมาของเรื่อง"หนังสือรุ่น"
หวังว่าน่าจะได้ทำหนังมาให้คุณได้วิจารณ์อีกนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ


โดย: เบญจพรรณ รุ่งศุภตานนท์ IP: 202.176.91.35 วันที่: 18 สิงหาคม 2548 เวลา:14:21:13 น.  

 
โอว เดี๊ยวนี้บล๊อกต่อฮอทขนาดมีโฆษณาแฝงเลยเหรอเนี่ย 555


โดย: เก้าอี้(เนี่ยวันนี้ที่พี่ให้เทปเพลงแคลชโต้งไป พี่ลืมให้หัวใจไปด้วย วันนี้เอาไปเลยนะ) IP: 61.90.108.134 วันที่: 18 สิงหาคม 2548 เวลา:23:27:28 น.  

 
ขอบคุณ คุณเบญจพรรณ มากนะครับ ที่เข้ามาตอบ

คุณเก้าอี้ ...เราลบโฆษณาออกไปแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ


โดย: merveillesxx วันที่: 19 สิงหาคม 2548 เวลา:19:36:41 น.  

 
อยากจะไปดู Fat Film ใจจะขาด เสียดายง่า ฮือๆๆๆ กิกิ๊วๆ


โดย: ลูกบ้าเที่ยวสุดท้าย IP: 58.10.28.178 วันที่: 20 สิงหาคม 2548 เวลา:23:03:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.