Michael : เมื่อ Pedophile เป็นมนุษย์
by merveillesxx
Michael (2011, Markus Schleinzer, A+)
Michael คือหนังชิงปาล์มทองปี 2011 ว่าด้วย ชายหนุ่มที่เป็นพวก Pedophile (ชอบมีเซ็กซ์กับเด็ก) ที่จับเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาขังไว้ในห้องใต้ดิน เป็นหนังจากออสเตรีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเรื่องลักพาตัว/กักขังเด็กที่ดังมากๆ หลายคดี เช่น เคสของ Natascha Kampusch หญิงสาวที่ถูกลักพาตัวไปไปตั้งแต่สิบขวบ เป็นเวลาถึงแปดปี (แต่หลังจากเธอหนีออกมาได้ และรู้ข่าวว่าคนที่ลักพาตัวเธอตาย เธอก็ร้องไห้ไม่หยุด) หรือเคสของ Josef Fritzl พ่อที่ขังลูกสาวไว้ 24 ปี แล้วข่มขืนจนมีลูกกับเธอเจ็ดคน
นี่เป็นหนังเรื่องแรกของ Markus Schleinzer ปกติเขามีตำแหน่งเป็น Casting Director ให้กับผู้กำกับตัวพ่อตัวแม่ทั้งหลายของออสเตรีย (ไมเคิล ฮานาเก้, เจสสิก้า ออสเนอร์, อุริช ชีเดล ฯลฯ) เคยอ่านบทสัมภาษณ์เจอว่า เขามีความมั่นใจที่จะทำหนังเรื่อง Michael หลังจากได้แคสติ้งบรรดาเด็กๆ ในเรื่อง The White Ribbon ของฮานาเก้
ตอนแรกนึกว่าชื่อหนัง ‘มิคาเอล’ จะเป็นชื่อของเด็กที่ถูกขัง แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ มันคือชื่อของคนที่ลักพาตัวต่างหาก ปกติหนังแนว captivity มักจะเล่าจากมุมมองของเหยื่อว่าจะพยายามหนีรอดหนีตายยังไง แต่เรื่องนี้โฟกัสไปที่ตัวละครที่ควบคุมเหยื่อ แล้วนี่ไม่ใช่หนังสยองขวัญดูเอามันส์ ดังนั้นมิคาเอลจึงไม่ใช่คนโรคจิตอะไรเลย ถ้าเจอกันนอกบ้าน เขาก็ดูปกติมาก หน้าตาออาจจะดูเครียดๆ หน่อย แต่คนออสเตรีย เยอรมันก็หน้าประมาณนี้แหละ (จากประสบการณ์ที่ไปเจอที่เบอร์ลิน)
“มันเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน ที่จะทำให้พวก Pedophile เป็นปีศาจร้าย” ที่คือสิ่งที่ผู้กำกับพูดไว้ตอนงานแถลงข่าวที่คานส์ ดังนั้นสิ่งที่หนังเน้นนอกจากปฏิสัมพันธ์ของมิคาเอลกับตัวเด็ก ก็คือ บริบทแวดล้อมต่างๆ ของตัวละครนี้ - เขาเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา, เขาทักทายกับเพื่อนบ้านเวลาออกไปข้างนอก (คือไม่ได้เป็นพวกแปลกแยกสังคมด้วยนะ มีมนุษยสัมพันธ์ด้วย), นัดกินข้าวกับพี่สาว, หรือที่เหวอสุด อยู่ดีๆ ไปเล่นสกีกับเพื่อนๆ โดยที่ทิ้งไอ้เด็กนี่ไว้ห้องใต้ดินนี่แหละ หรือที่แรงกว่านั้นมีการพาเด็กออกไปเล่นที่สวนสาธารณะ ดูเผินๆ นึกว่าพ่อลูกกัน
ความปกติสามัญของมิคาเอลพวกนี้ นำไปสู่ฉากที่ดีมากๆ สองฉาก - ฉากแรกคือ ตอนที่เขาพยายามจะล่อลวงเด็กอีกคน แต่พ่อของเด็กมาเจอเสียก่อน หนังทั่วไปผู้ร้ายก็คงต้องรีบวิ่งหนีไปเลย แต่สิ่งที่มิคาเอลทำคือ ผละจากเด็กคนนั้น แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ เฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอนำเสนอออกมาแบบนี้ ฉากนี้มันเลยน่ากลัวมากๆ
อีกฉากคือ ตอนที่มีเพื่อนร่วมงานเสร่อเข้ามาในบ้าน ฉากนี้มันตึงเครียดมาก ในแง่ที่ว่าอีมิคาเอลนี่ก็แบบว่า กูอุตส่าห์ทำทุกอย่างให้ปกติที่สุดแล้ว เสือกมีอีตัวห่าอะไรเข้ายุ่งอีก ฉากนี้เหมือนให้อารมณ์เหมือนโลกจะแตก (ทั้งที่หนังเรื่องนี้ไม่มี score ประกอบเลยทั้งเรื่อง)
แต่ความสัมพันธ์ของ มิคาเอลกับเด็ก ก็ไม่ได้โรแมนติก ไม่ได้เป็นเรื่องประเภท Stockholm syndrome (ตัวประกันหลงผู้ลักพา) หรือ Lima syndrome (ผู้ลักพาหลงรักตัวประกัน) แต่เรื่องเลวร้ายทั้งหลายในหนังกลายเป็นฉากที่ไม่ทำให้เห็น (Offscreen) ทั้งหมด อย่างเช่น มีฉากหนึ่งมิคาเอลมองเด็กล้างจาน แล้วก็ไปนอนที่เตียงลูบๆ คลำๆ จู๋ตัวเอง แล้วบอกว่า “มานี่สิ” จากนั้นหนังตัดไปเลย ตัดมาอีกทีกลายเป็นฉากนั่งกินข้าวกัน หรือต่อจิ๊กซอว์กัน ฉากแบบนี้มีอยู่ทั้งเรื่อง ซึ่งมันยิ่งรบกวนจิตใจคนดู
ช่วงท้ายๆ ของหนังก็ดีมาก การที่ช่วงท้ายหนังยังเลือกโฟกัสที่ตัวละครมิคาเอล + บริบทแวดล้อมของเขา นี่มันทำให้หนังยิ่งแรง แต่อันนี้ไม่เล่าเพราะเดี๋ยวสปอยล์
สุดท้ายคือ หนังเลือกใช้เพลง Sunny ของ Bonny M. ได้เหี้ยมากๆ (เหี้ยในที่นี้เป็นคำชม) หลังจากดูหนังเรื่องนี้ การฟังเพลง Sunny จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 555
Create Date : 03 มิถุนายน 2555 |
Last Update : 3 มิถุนายน 2555 0:09:15 น. |
|
1 comments
|
Counter : 5474 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ole IP: 223.206.186.243 วันที่: 3 มิถุนายน 2555 เวลา:12:15:20 น. |
|
|
|
|
|
ชอบครับ