http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
19 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 
ตะลุยเทศกาลหนัง 3rd World Film Festival of Bangkok (PART 2)

โดย merveillesxx

อ่าน PART 1 ที่นี่


18 OCT 2005

เหตุการณ์ที่เจอในวันนี้ทำให้รู้สึกว่าเทศกาล 3rd World Film เป็นเทศกาลที่มีระบบประสานงานที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

จากที่เมื่อวานเล่าไปว่าสต๊าฟคนหนึ่งที่ Grand EGV บอกผมว่าบัตรนักศึกษาใช้ลด 50% ได้แค่วันละ 1 เรื่องเท่านั้น ปรากฏว่าพอวันนี้ไปแลกคูปอง Discount สต๊าฟที่บู๊ธ (ซึ่งเป็นคนละคนกับเมื่อวาน) กลับบอกว่า “ใช้ลดได้ทุกเรื่อง ไม่จำกัดครับ” นั่นก็แปลว่าเมื่อวานผมถูกปล้นไปเต็มๆ แต่วันนี้ผมก็ไม่มีแรงจะโวยวายอะไรอีกต่อไปแล้ว ก็เลยแลกคูปองรวดเดียว 10 เรื่องไปเลย เพราะเผื่อซวยไปเจอสต๊าฟคนที่งี่เง่าให้แลกได้แค่เรื่องเดียวอีก

อย่างไรก็ตาม วันนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมากกับสต๊าฟและพนักงานนิสัยน่ารักหลายๆ คน

1. ผมแลกคูปองส่วนลดตั้ง 10 เรื่อง (ซึ่งคูปองนี้ต้องใช้มือเขียนทีละใบๆ) ก็รู้สึกเกรงใจสต๊าฟเหมือนกัน ผมก็เลยบอกเค้าว่า “โทษทีนะครับ มันเยอะหน่อยนะ” แต่สต๊าฟ (ที่หน้าเหมือน เล็ก สุรชัย) ก็ยิ้มให้แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ” แล้วเค้าก็ตั้งอกตั้งใจเขียนต่อไป

2. พนักงานขายตั๋วที่เจอวันนี้ก็ฮาดี เช่น

2.1 พนักงาน : “ไม่เอาเรื่อง Flightplan ด้วยเหรอคะ เรื่องนี้ก็น่าสนใจนะคะ”
mer : “เอ่อ..ไม่เป็นไรครับ ไว้รอตอนมันเข้าโรงก็ได้”
พนักงาน : “อ๋อ รู้สึกเรื่องนี้ไม่เข้า EGV นะคะ เข้าที่ SF” (อ้าวเธอ! ดันไปโฆษณาให้เค้าซะงั้น)

2.2 mer : “เอาที่นั่งเบอร์ A 16 แล้วกันครับ” (แถวหลังสุด)
พนักงาน (คนเดิม) : “แนะนำแถว C ดีกว่านะคะ เก้าอี้แถว A นั่งไม่ค่อยสบายหรอกค่ะ” (ดีจังเลย มีการบอกเรื่องแบบนี้ด้วย)

-- ข้อมูลเล็กๆน้อยๆ : ตอนนี้มีตั๋วหนังบางเรื่องที่ขายไปเยอะแล้วเหมือนกันเช่น TSUNAMI SHORT FILM 1 และ The Wayward Cloud (อันหลังนี่ฉาย Grand EGV โรง 5 ซึ่งเป็นโรงใหญ่) จริงๆแล้วหนังที่ว่ามาไม่ใช่ว่าแทบจะไม่เหลือที่นั่งแล้ว แต่สังเกตว่าหนังเหล่านี้ขายตั๋วได้เยอะกว่าเรื่องอื่นๆ

-----------------------------------------------------

ตอบ พี่แมดเดอลีน

-- ขอบคุณพี่แมดเดอลีนมากๆ เลยครับ ที่พูดถึง อัลบั้ม REMIX ของ "ทาถู" ขึ้นมา ผมเพิ่งนึกได้ครับ ว่าตัวเองยังไม่ได้ซื้ออัลบั้มชุดนี้เลย (อัลบั้มชุดนี้อยู่ในลิสต์ "ซีดีที่อยากซื้อ" ที่ผมเคยทำเอาไว้เมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่ปรากฏว่า ซีดีร้อยกว่ารายการในลิสต์นี้ ก็ยังคงเป็นซีดีที่ "อยากซื้อ" ต่อไป เพราะไม่ได้ "ซื้อ" สักที)

แล้วตอนนี้ก็ยังไม่ได้ซื้ออัลบั้มซาวด์แทร็กของ It's All Gone Pete Tong สักทีเลยครับ ดูหนังติดๆ กัน 4 เรื่องแบบนี้ไม่มีเวลาแว่บไปร้านซีดีเลย (ขนาดข้าวปลายังแทบไม่ได้กินเลย)

-- ถ้าเรื่องการใช้ "ตัวอักษร" ในหนังตอนนี้ คิดออกเรื่องเดียวคือ All About Lily Chou-Chou ครับ (อีกแล้ว แหะ แหะ) แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ชอบที่ตัวอักษร แต่ชอบเพราะมันมีคำว่า "RELOAD" และหน้าจอกะพริบๆ มากกว่า

-- ส่วนการใช้ TEXT ในไตเติ้ลเปิดเรื่องที่ชอบคือ 2046 ครับ ที่ชื่อนักแสดงวิ่งไปวิ่งมาเหมือนรถไฟในเรื่อง


ความคิดเห็นเพิ่มเติม ต่อหนังของ Thai Indie

******มี SPOILER******

-- ดูตอน Afternoon ตอนแรกจะรู้สึก "อึดอัด" เป็นหลักเพราะงงมากว่า "นี่คืออะไร นี่มันที่ไหน แล้วนี่มันใคร แล้วมันทำอะไร แล้วไอ่ยาวๆ นั่นใช่ขาคนรึป่าว แล้วทำไมมันไม่ขยับล่ะ" ฯลฯ

แต่พอมี "เงาดำ" ลุกขึ้นมา ก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันเฮี้ยนมากๆ แล้วก็เกิดความรู้สึกทันทีว่าบรรยากาศของห้องนี้มันน่ากลัวมากๆ (ประเทศไหน หรือที่ไหนมีบรรยากาศ "ยามบ่าย" แบบนี้ ผมขอไม่ไปอยู่ครับ)

ในขณะที่เงาดำเบอร์ 1 ลุกขึ้นไปนั่ง จนผ่านไปเนิ่นนานจู่ๆ ก็มีเงาดำเบอร์ 2 มายืนที่หน้าต่างอีก (ไม่แน่ใจนะครับว่ามันมีเงาเบอร์ 2 จริงๆหรือเปล่า) แล้วภาพก็แช่ไว้ตรงนี้นานมากๆ จนมันมีเวลาทำให้ผมคิดว่า "เบอร์ 1 นี่เป็น วิญญาณ ส่วนเบอร์ 2 ก็คงเป็นยมฑูต มารอรับวิญญาณ" พอคิดได้แบบนี้แล้ว หัวมันก็เลยจะคิดไปอีก 108 ประการว่า แล้วเงาเบอร์ 2 จะทำอะไรกับเบอร์ 1 หรือเงาเบอร์ 1 จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเงาเบอร์ 2 ซ้ำร้ายยังมีข้อความอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมาวนเวียนหลอกหลอนอีก (แถมอ่านไม่ออกด้วย)

รู้สึกกดดันต่อมามากๆ เพราะ "เสียงโทรศัพท์ที่ไม่มีคนรับ" สักที ซึ่งพอผู้ชายตอนแรกเดินกลับเข้ามาในห้องก็รู้สึกว่าห้องนี้ "ปลอดภัย" ขึ้นมาทันที แต่พอผู้ชายคนนี้ก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เหมือนกัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจก็คือ "เอาแล้วไง มันจะต้องมีเฮี้ยนๆ อีกแน่ๆ"

พอผู้ชายคนนี้กรอกยาใส่ปากเข้าไป (เข้าใจว่าเป็นแบบนั้นนะครับ) ก็รู้สึก "ลุ้นระทึก" มาก ลุ้นในที่นี้ก็คือ กลัวว่าอยู่ดีๆ อีตาคนนี้แกจะชักกระแดกๆๆๆๆๆๆๆ ตายต่อหน้าต่อตาเรา แต่พอผ่านไปหลายนาทีแล้วก็ "เฮ้ย ทำไมมันไม่เห็นเป็นอะไรสักทีวะ" ทีนี้เลยกลายเป็นว่า ตัวเองจะ "แช่ง" ให้ผู้ชายคนนี้ตายเร็วๆ หนังจะได้จบๆสักที

พอหนังจบ ขึ้นเครดิตก็รู้สึกโล่งใจมาก แต่ก็อยากกรี๊ดออกมาดังๆ ตรงนั้นเลยว่าชอบหนังมากๆ แต่กลัวคนอื่นเค้าจะด่าเอา

-- อยากได้หุ่นยนต์ในหนังเรื่อง "คูสคูส" เหมือนกัน ขอสั่งไซส์ใหญ่สุด

-- เพื่อนเล่าให้ฟังว่า มีผู้หญิงร้องออกมาด้วย ใน
ฉากที่ "น้องจูมุ" ของหุ่นยนต์โผล่ออกมาในหนังเรื่อง "คูสคูส" แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเธอร้องด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบใดกันแน่

-----------------------------------------------------

หนังที่ได้ดูวันนี้




1. The Girl with the Red Scarf (1977, Atif Yilmaz, ตุรกี, A-)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=180

-- ถึงจะรู้สึกว่าหนังมันมีอะไรเชยๆ อยู่มาก ดูคล้ายๆ หนังไทยเก่าๆ ที่ฉายช่อง 7 วันศุกร์ตอนเช้า แต่ก็ชอบหนังเรื่องนี้ สิ่งที่หนังมันดูเชย แต่ก็ฮาแบบน่ารักดีก็เช่น การใช้เสียง voice over (บ่อยมากกกกกก) ตัดสลับไปมาระหว่างความในใจของพระเอก-นางเอก (โดยเฉพาะตอนที่เจอกันแรกๆ ฮาสุดๆ) และอีกอย่างก็คือเทคนิคการฟรีซภาพตอนจบ (แต่ไม่ได้หมายความว่าตอนจบของหนังเรื่องนี้ไม่ดีนะครับ ผมชอบมากทีเดียว)

-- ฉากหนึ่งที่ทำให้รู้สึกฮามากๆ ก็คือ ตอนแรกๆ ที่นางเอกวิ่งหนีรถบรรทุกของพระเอก ในขณะที่พระเอกแค่แกล้งขับรถจี้มาเรื่อยๆ ตามจีบนางเอก แต่เธอวิ่งประหนึ่งถูกฆาตกรในหนังเรื่อง Halloween วิ่งไล่ฆ่า แถมนางเอกเรื่องนี้เธออึดมาก นอกจากเธอจะสามารถ “วิ่งหนี” รถบรรทุกได้ ตอนท้ายๆ เธอก็ “วิ่งไล่” รถบรรทุกได้อีกต่างหาก

-- ชอบการแสดงของนางเอกเรื่องนี้ ที่เธอถ่ายทอดความรู้สึก “อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน” หรือ “ไม่รู้จะเลือกใคร” ได้ดีทีเดียว

-- ชอบอารมณ์ในช่วงท้ายๆ จนถึงตอนจบมากๆ

-- ตัวละคร “แม่นางเอก” ในหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึง “แม่” ในหนังเรื่อง The Journey ที่เพิ่งได้ดูไป



2. Thai Short Film Programme 1

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=05&schid=190

ตอนดูหนังโปรแกรม เสียความรู้สึกตรงที่ว่าจอที่ฉายสีเพี้ยนมาก คือ สว่างจนแสบตา (ทำให้นักเรียนในหนังเรื่อง “รองเท้าของผม” กลายเป็น “มนุษย์โอโม่” ไปโดยปริยาย) ที่สำคัญก็คือ มันทำให้มองไม่เห็นซับไตเติ้ล (ซึ่งเป็นสีขาว) ด้วย งานนี้คนดูฝรั่ง (ซึ่งเยอะ) ก็ซวยไป




2.1 12 (2005, Visit Ontanalai, B)




2.2 My Brown Shoes รองเท้าของผม (2005, Supat + Chatchai + Ekkawit, B-)
ไม่ค่อยชอบตอนจบของหนังนี้สักเท่าไร แต่ชอบตัวละคร “ครูเกย์” ในหนัง




2.3 Little Garuda ครุฑน้อย (2005, Suporn Decharin, B+)
หนังน่ารักดี แต่การแสดงท่าทางและอารมณ์ของตัวละครเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นจังเลย




2.4 Pillow Talk (2004, Araya Suriharn, A+)
หนังฮามาก และนี่คือหนังช่วยชีวิต เพราะถ้าไม่มีหนังเรื่องนี้ผมคงรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับโปรแกรมหนังชุดนี้ (ต้องบอกเลยว่าการได้ดูโปรแกรมหนังของ “ไทยอินดี้” มาก่อน แล้วค่อยมาดูโปรแกรมชุดนี้ทีหลังมีผลกระทบต่อความรู้สึกต่อหนังของผมแน่นอน)




2.5 The Way ทางเดิน (2005, Uruphong Raksasad, C+)




2.6 Student (2005, James Prutwarasin, B+)
ถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนอยู่ ม.ปลาย คงรู้สึกเฉยๆ (และด่าหนังด้วย) แต่มาได้ดูตอนที่ผ่านพ้นช่วงนั้นมาแล้ว อารมณ์ระลึกความหลังของคนแก่ ก็เลยทำให้ชอบหนังเรื่องนี้ขึ้นมา





3. Ben’s Biography (2003, Dan Wolman, อิสราเอล, A+)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=01&id=162

-- นี่คือหนัง “ตลกร้าย” ที่แสดงความ “ร้ายกาจ” ได้ถูกใจผมมากๆ

-- ตอนดูหนังช่วงแรกๆ รู้สึกฮามากๆ (โดยเฉพาะทุกเรื่องราวของเผ่า Numi และกรรมวิธี “เตรียมตัวก่อนคลอด” ทั้งหลายของแม่ Ben) แต่พอหลังๆ เรื่องก็ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ จน “ขำไม่ออก” และตอนท้ายๆ ก็กลายเป็น “เศร้า” ไปเลย แต่รู้สึกว่าผู้กำกับเรียงอารมณ์ตรงนี้ได้ถูกใจตัวเองมากๆ

-- ชอบการแสดงของนักแสดงที่เล่นเป็น Ben มากๆ (หน้าตายสุดๆ) รวมถึงนักแสดงหญิงที่เล่นเป็นแม่ Ben ด้วย

-- พอจะเดาได้ว่ายังไงก็ตาม ตอนท้ายของหนังก็คงสรุปจบด้วยเหตุการณ์ที่เป็น “ด้านบวก” แต่รู้สึกไม่ค่อยชอบเหตุการณ์ใน “ฉากทะเล” เท่าไร เหมือนกับว่าอารมณ์ในฉากนี้มันปุบปับจนผมตามไม่ทัน แต่ก็มาปรับอารมณ์ตามหนังได้อีกครั้งในฉาก “ตู้ปลา”

-- ดีใจที่ผู้กำกับมา Q&A ด้วย เสียดายเหมือนกันที่อยู่ฟังไม่จบ เพราะต้องรีบวิ่งไปตามหา “สิบสองเก้าอี้” กับมิสออทิงเงอร์ที่อีกโรง





4. Twelve Chairs (2004, Ulrike Ottinger, เยอรมัน, ?)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=08&id=120

-- หนังเรื่องนี้ของดแสดงความคิดเห็น เนื่องจากว่าหนังยาว 3 ชั่วโมงกว่าเรื่องนี้ ไม่มีซับไตเติ้ล และหนังของ Ottinger เรื่องนี้ก็ดูให้เข้าใจและสนุกโดยไม่มีซับไตเติ้ลได้ลำบาก (ไม่เหมือนกับ Madame X และ Dorian Gray ที่ผ่านไป) เพราะหนัง พูด พูด พูด พูด พูด และพูดตลอดเวลา (อีกเหตุผลก็คือ ผมเผลอหลับและตั้งใจหลับไปหลายทีเหมือนกัน)

-- ดังนั้นแล้วผมจึงไม่รู้เรื่องใดใดทั้งสิ้น (ยกเว้นเรื่องย่อที่ว่าตัวละครตามหาเก้าอี้ 12 ตัว) ว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ตัวละครกำลังทำอะไรกันอยู่ เขาทำเพื่ออะไร และทำไมต้องทำ มีความรู้สึกว่าอารมณ์ขัน (รวมถึงอารมณ์อื่นๆ) ของหนังคงอยู่ใน “บทสนทนา” เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เหมือนกับ Madame X หรือ Dorian Gray ที่อารมณ์ของมันอยู่ที่ “พฤติกรรม” (เฮี้ยนๆ) ของตัวละคร

-- อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็ทำให้เห็นอีกมุมหนึ่งว่า Ottinger ก็ทำหนังปกติธรรมดากับเขาเป็นเหมือนกัน (หนังไม่มีฉากเฮี้ยนๆ โผล่มาเลย) อันนี้คาดว่าด้วยเรื่องวัยและกาลเวลาที่ผ่านไป (นั่นแสดงว่าสมัยสาวๆ เธอต้อง “แรง” น่าดู)

-- อีกข้อหนึ่งที่ทำให้หนังของ Ottinger เรื่องนี้ไม่มีอะไรพิสดารมากนัก ก็คงเพราะตัวละครนำ และตัวละครส่วนใหญ่ของหนังเป็น “ผู้ชาย” (แต่ผู้ชายหนึ่งในสองคนของหนังก็ดูออกไปทางเกย์ๆ แล้วชุดที่เธอใส่ก็ “สุดๆ ไปเลย” เกือบทุกฉาก)

-- หนังถ่ายภาพสวยดี (Ottinger ถ่ายเองตามเคย) หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีโปรดักชั่นดีไซน์หลุดโลก แต่เน้นถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ เป็นส่วนใหญ่

-- ฉากที่ชอบในหนังเรื่องนี้

1. ฉากที่ผู้หญิงบ้าพยายามตามตัวละครเกย์ไปทุกหนทุกแห่ง โดยเหตุเกิดภายในอาคารหลังหนึ่ง

2. ฉากที่ตัวละครเกย์เล่นหมากรุก โดยเขาแข่งกับคนพร้อมๆ กันประมาณ 8 คน แล้ววิธีเดินหมากของเขาก็ฮาสุดๆ

3. ฉากที่ผู้ชายหัวโล้นออกไปเต้นขวางรถบัสกลางถนนเพื่อขอเศษตังค์

-- ตอนเริ่มฉายหนังเรื่องนี้คน “เต็มโรง” (ประมาณ 120 คน) แต่เมื่อหนังจบเหลืออยู่ประมาณ 10 กว่าคน นี่คือ มหกรรม “คนเดินออกโรง” ครั้งใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเจอมาในชีวิต

-- รู้สึกประทับใจมากที่ Ottinger เธออุตส่าห์รอคุยกับคนดู (หนังเลิกประมาณ 5 ทุ่ม) ตอนที่คุยกันหน้าโรงหลังหนังจบมีเหลือกันอยู่ประมาณ 6-7 ชีวิต แต่พอดีผมเข้าไปตอนกลางๆ ก็เลยจับไม่ค่อยทันว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร

-- อันนี้แอบฮา ผู้หญิงคนหนึ่ง (ที่เหมือนจะเป็นนักข่าว) ถามผมว่า
เธอ : “แล้วทำไมถึงเลือกมาดูหนังของเธอ (Ottinger) ล่ะคะ”
mer : “อ่า ก็อ่านเจอน่ะครับว่า หนังของเธอแปลกดี แล้วก็หาดูยากด้วย”
เธอ : “ไม่ทราบว่าทราบข้อมูลหนังของเธอจากไหนคะ”
mer : “ก็เวบบอร์ดไบโอสโคปน่ะครับ”
เธอ “โอ๊ย! ทำไมไม่มีใครอ่าน เนชั่น เลยเนี่ย!”
mer : ????????????????????? (อ้าว ชั้นผิดเหรอเนี่ย)

-- คุณแม่คนหนึ่งเปรี้ยวมาก พาลูกชาย (เข้าใจว่าน่าจะอยู่ประมาณ ม.ปลาย) มาดูหนังของ มิสออทิงเงอร์!

-- คุณเก้าอี้มีพนัก ปลื้มเธอมาก เขาก็เลยเป็นหน่วยกล้าตายเข้าไปขอลายเซ็นเธอ (เพราะรู้สึกว่าเธอจะกลับเยอรมันพรุ่งนี้แล้ว) ตอนหลังผมก็เลยไปขอด้วย ที่ฮาก็คือ ลายเซ็นเธอ “แนว” มาก ถ้าใครอยากเห็น ก็บอกผมแล้วกัน ช่วงนี้ผมจะพกติดตัวไว้ (เพราะมันคง “เฮี้ยน” จนขจัดพวกคนดูโรคจิตในโรงหนังให้ไปไกลๆจากชีวิตผมได้)

-- ตอนท้ายสุดผมก็เข้าไปพูดกับเธอว่า “หนังของคุณเป็นประสบการณ์การดูหนังที่แปลกใหม่มากสำหรับผม ผมไม่เคยดูหนังแบบนี้มาก่อนในชีวิตเลยครับ” เธอยิ้มๆ แล้วก็บอกว่า “แท็งค์กริ้ว”

-- โดยสรุปแล้ว ไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับ Twelve Chairs เท่าไร (ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี แต่ดูไม่รู้เรื่อง จนไม่เกิดอารมณ์ใดๆกับหนัง) จนคิดในใจอยู่เรื่อยๆ ว่า “จริงๆ ชั้นน่าจะดู Flightplan ตามที่พนักงานคนนั้นบอกนะเนี่ย” แต่พอได้คุยกับ Ottinger หลังหนังจบ ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยครับ


mer’s FAVORITE ACTOR / ACTRESS

01. Turkan Soray (The Girl with the Red Scarf)
//www.imdb.com/name/nm0814734/

02. นักแสดงชายที่เล่นเป็น Ben (Ben’s Biography)
03. นักแสดงหญิงที่เล่นเป็นแม่ของ Ben ตอนสาว (Ben’s Biography)
(ข้อมูลใน imdb.com ไม่ได้ระบุไว้ว่านักแสดงคนไหนเล่นบทอะไร ผมก็เลยไม่แน่ใจชื่อนักแสดงอ่ะครับ ถ้าใครทราบแน่ๆ ช่วยบอกด้วยนะครับ)

04. อาเจ๊ขาดเซ็กส์ในหนังเรื่อง Pillow Talk
05. น้องแว่นในหนังเรื่อง Student (อิ อิ อิ ขอหัวเราะแบบมีเลศนัย)




19 OCT 2005

หลังจากผ่านไป 5 วัน วันนี้เป็นวันที่ผมดูหนังในเทศกาลได้ปลอดโปร่งโล่งสบายที่สุดเลยครับ เพราะไม่เจอพวกคนดูโรคจิตในโรงเลย นี่แสดงว่า ลายเซ็นของ Ottinger ที่พกติดตัวไปนี่ “แรง” มาก จนสามารถขจัดปัดเป่าพวกคนไม่พึงประสงค์ออกไปพ้นๆ จากตัวเองได้จริงๆ และจะว่าไปแล้วลายเซ็นของเธอก็เหมือน “ลายผ้ายันต์” มากๆ (ที่แปะไว้ตามประตูบ้าน หรือวัตถุอะไรสักอย่างที่ขังวิญญาณชั่วร้ายเอาไว้ แล้วถ้าเป็นในหนังก็จะต้องมีคนไปเสร่อแกะมันออกอยู่ร่ำไป)

---------------------------------------------------------

หนังที่ได้ดูในวันนี้




1. 4 (2004, Ilya Khrzhanovsky, รัสเซีย, A++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=164

//www.imdb.com/title/tt0445161/

-- นี่คือหนังที่ “น่ากลัว” “หลอกหลอน” “เฮี้ยน” และทำให้ผม “ประสาทแดก” มากที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในชีวิตเลยครับ เพราะแค่ “ฉากเปิด” ของหนังก็ทำให้ผมหวาดผวาสุดชีวิตจนผม “ช็อคหลังติดเบาะ” และมีความคิดที่จะเดินออกจากโรงแวบขึ้นมาในสมองเลยครับ (อย่างไรก็ตาม ที่ผมช็อคอย่างรุนแรงก็เพราะผมไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเลยว่าจะต้องเจออะไรแบบนี้)

-- จากนี้ไปคำว่า “เฮี้ยน” จะกลายเป็นคำติดปากผมไปแล้วครับ เพราะเทศกาลนี้มีหนังเฮี้ยนๆ เยอะมาก จนผมขอขนานนามให้ 3rd World Film ว่าเป็น “เทศกาลหนังเฮี้ยนแห่งกรุงทพ” ครับ และ “4” คือหนึ่งในหนังที่เฮี้ยนสุดๆ

-- จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ก็คือสามารถทำสิ่งที่ “ดูไม่น่ากลัว” ให้ ”น่ากลัว” ได้ชนิดขนหัวลุก และสำหรับผมแล้วหนังเรื่องนี้หลอกหลอนอย่างรุนแรงทั้งด้าน “ภาพ” และ “เสียง”

-- คุณไกรวุฒิ เล่าให้ฟังว่า คุณก้อง ฤทธิ์ดี บอกว่า “4” คือ หนัง “ทาร์คอฟสกี้-แฮนเฮลด์”

-- สำหรับผมแล้ว “4” คือ “Afternoon ภาค 126 นาที” ครับ (Afternoon คือหนังของ Thai Indie ที่แช่กล้องยาว 12 นาที และเฮี้ยนมาก)

-- หนังเรื่อง “4” เข้าสายประกวดของเทศกาล World Film ในครั้งนี้ด้วย และได้รางวัลใหญ่ของ Rotterdam (ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นหนัง “เรื่องแรก” ของผู้กำกับ อิลยา คาซฮานอฟสกี้)

-- หนังสร้างจากบทของ Vladimir Sorokin (วลามีดีร์ โซโรคิน) นักเขียนอื้อฉาวที่ชอบแฉสังคมรัสเซีย หนังสือของเขาถูกเผา ส่วนหนังเรื่อง “4” ก็ถูกแบนในรัสเซีย (ซะงั้น)

-- ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้จะดีที่สุดถ้า “ไม่รู้อะไรเลย” เกี่ยวกับหนัง (Synopsis ไม่ต้องอ่านเลยยิ่งดีครับ) และห้ามไปคุยกับคนที่ดูมาแล้วเด็ดขาด

-- BIOSCOPE เคยลงเกี่ยวกับ “4” ไว้ใน ฉบับที่ 40 (หน้าปกผีบุปผาชูสองนิ้ว) แต่แนะนำว่าไม่ต้องย้อนไปอ่านครับ



*******ต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง********

-- ถ้าพูดถึงเรื่อง “4” สิ่งที่น่าสงสัยก็คือว่า “ทำไมต้องเลขสี่” ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เพราะตอนดูก็อยู่ในอารมณ์หวาดผวา จนไม่สามารถคิดตามกับหนังได้เลย แต่เท่าที่จำได้ฉากที่เกี่ยวข้องกับ “เลข 4” ก็เช่น

1. เครดิตตอนต้นเรื่อง ตัวอักษรจะอยู่ที่ “มุมทั้ง 4” ของหน้าจอ

2. ฉากเปิดเรื่องมี “หมา 4 ตัว” อยู่บนถนน (และสิ่งที่เกิดขึ้นในฉากนี้เป็นอะไรที่ทำให้ผมช็อคอย่างรุนแรง)

3. รูปถ่ายของนางเอกกับเพื่อนๆ พวกเธอมีทั้งหมด “4 คน”

4. ฉากท้ายๆ ที่เป็นเครื่องบินบนท้องฟ้า มีเครื่องบินบินผ่านไปทั้งหมด “4 ลำ”

-- เรื่องถัดมาที่น่าคิดก็คือว่า หนังเรื่องนี้ชื่อ “4” แต่ดันมีตัวละครนำ “3 ตัว” (ซึ่งแต่ละก็มีเรื่องเฮี้ยนๆ เป็นของตัวเองทั้งนั้น) เข้าใจว่า “ตัวละครที่ 4” อาจจะเป็น “หมา” ก็ได้ เพราะในเรื่องนี้หมามีบทบาทสำคัญมาก (มีหมาอยู่ในทั้งฉากเปิดและฉากปิด) แต่ทั้งนี้ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าการใช้หมาในหนังเรื่องนี้สื่อถึงอะไรกันแน่ แต่มันทำให้ผมกลัวมาก

-- สิ่งที่ทำให้กลัวหนังเรื่องนี้มากๆ อย่างแรกก็การ “ใช้เสียงประกอบ” ซึ่งรู้สึกว่ามัน “ดัง” มาก จนรู้สึก “หนวกหู” จนแทบทนไม่ไหว (มีบางฉากต้องยกนิ้วขึ้นมาอุดหูเลย แล้วพอดีผมก็ดันนั่งที่ริมสุดซึ่งโดนลำโพงเต็มๆ) ตอนแรกเข้าใจว่าวันนี้ทางโรงเปิด VOLUME ดังกว่าปกติ แต่พอได้ดูหนังเรื่องอื่นๆ ในโรงเดิมก็ปรากฏว่าความดังอยู่ในระดับปกติ ก็เลยเข้าใจว่าผู้กำกับจงใจให้เสียงมัน “ดัง”

เสียงประกอบที่หลอกหลอนมากๆ ในหนังก็ เช่น

1. เสียง “หมาเห่า”
อันนี้เป็นอะไรที่รุนแรงสุดๆ เพราะหมาในเรื่องเห่ากันแทบทั้งเรื่อง (ทั้งเรื่องจริงๆ ขอย้ำ) แล้วตอนขากลับบ้านผมเดินอยู่ในซอยมืดๆ แล้วก็ดันมีหมาเห่าขึ้นมาเป็นฝูงเลย วินาทีนั้นผมเดินจ้ำแบบไม่คิดชีวิตเลยครับ

2. เสียงก่อสร้าง เสียงเครื่องจักร เสียงทุบตึก

3. เสียงในโรงงานฆ่าสัตว์

4. เสียงรถที่วิ่งบนท้องถนน

5. เสียงทั้งหลายในฉากที่นางเอกเดินเป็นเวลานานมากๆ เช่น เสียงอีกา เสียงหมาเห่า เสียงเด็กร้องไห้ (มีใครได้ยินเสียงนี้เหมือนผมบางมั้ย) และเสียงอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้

6. เสียงแมลงวัน (ซึ่งหนังเรื่อง Knife in the Water ของโรมัน โปลันสกี้ ก็มีการใช้แมลงวันเหมือนกัน)

-- อีกสิ่งหนึ่งที่หลอนมากก็คือ “ภาพ” ของหนังเรื่องนี้ สังเกตว่าช่วงแรกๆ กล้องจะค่อนข้างนิ่งไม่เคลื่อนไปมามาก แต่นับตั้งแต่นางเอก “ออกเดินทาง” กล้องของหนังเรื่องนี้ก็ “แฮนเฮลด์” ชนิดที่วิปริตสุดๆ ไม่ได้หมายความว่ากล้องเหวี่ยงไปมาจนมึนหัว แต่มีความรู้สึกว่ากล้องของหนังชอบ “ไหล” ไปจับภาพที่ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดผวามากๆ

การเคลื่อนกล้องในหนังเรื่องนี้ที่ชอบมากๆ เช่น

1. ฉากที่นางเอกเดิน แล้วกล้องไปจับที่ “ท่อ” อะไรสักอย่าง แล้วกล้องก็หยุดที่ท่อนั้น แล้วปล่อยให้นางเอกเดินออกไปไกลเรื่อยๆ (ผมกลัวมากเลยว่าไอ้ท่อเวรนี่มันจะมีอะไรโผล่ออกมา ทั้งที่รู้แก่ใจว่าผู้กำกับไม่น่าจะทำอะไรแบบนั้น)

2. ทุกช็อตที่นางเอกเดิน ซึ่งยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล้องจับในช่วงนี้ดูลึกลับน่ากลัวไปหมด ไม่ว่าจะเป็น หญ้าสีเขียว, หมา, กำแพง, เสาไฟ ฯลฯ

3. ฉาก “ตุ๊กตาผี” ทั้งหลาย การเคลื่อนกล้องใดใดก็ตามที่ไปเกี่ยวข้องกับตุ๊กตาผี ทำให้ผมรู้สึกกลัวจนอยากจะร้องไห้ แล้ววิ่งหนีออกจากโรงเลยครับ ในใจผมก็ตะโกนอยู่ตลอดว่า “พอเสียที พอเสียที พอเสียที ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ช่วยข้ามไปฉากอื่นเร็วๆ เถอะ ได้โปรด ได้โปรด ได้โปรด”

4. ฉาก “งานเลี้ยงวิปริต” ทุกฉากที่มีหญิงชราจากนรกสุมหัวกันอยู่

-- ภาพหรือบรรยากาศที่ชอบในหนังเรื่องนี้

1. พื้นที่โล่งๆ ที่นางเอกเดินผ่าน (หลายๆ ฉากในช่วงนี้ทำให้คิดถึงหนังของทาร์คอฟสกี้ ซึ่งผมไม่เคยดูหนังของเขาเลย แต่จดจำได้จากการดูรูปตามหนังสือหรือเวบไซต์ต่างๆ)

2. ตึกโทรมๆ + ซากตึก บริเวณบ้านของนางเอก

3. ถนนตอนกลางคืน

4. โรงงานฆ่าสัตว์

-- บรรดา “ฉากเฮี้ยน” ทั้งหลายที่ชอบในหนังเรื่องนี้

1. ฉากเปิดเรื่อง

2. ฉากที่มีรถวิ่งมาหลายๆ คัน แล้วหมาหลายๆ ตัววิ่งหลบไปหลบมา (ด่าหมาในใจเลยว่า “โอ๊ย ทำไมพวกแก ต้องจะวิ่งเฉียดๆ ถนนด้วยวะ ชั้นเสียวนะโว้ยย”)

3. ฉากที่ผู้ชายที่เป็น Piano-Tuner เข้าไปในห้องที่มีกลอง แล้วก็คุยกับผู้ชายคนหนึ่ง (ใครก็ไม่รู้ ?????) แล้วผู้ชายคนนี้ก็ล้วงไปใน “ตู้” แต่ละอัน เริ่มจากตู้เลี้ยงปลา (ตอนนี้ยังเฉยๆ) ตู้เต่า (เริ่มสังหรณ์ใจ) ตู้ไส้เดือน (กลัวมาก) และตู้งู (ฉี่จะราด)

4. ฉากที่นางเอกคุยกับผู้โดยสารบนรถไฟ “พฤติกรรมการกิน” ของผู้โดยสารกลุ่มนี้น่ากลัวมาก (แล้วหนังก็ดัน “เบิ้ล” ฉากนี้ 2 รอบ)

5. ฉาก “การเดินทางอันยาวนาน” ของนางเอก ระหว่างที่ฉากนี้ดำเนินไปหัวสมองของผมก็จินตนาการถึงเรื่องราวของเธอไปต่างๆนานา และคาดเดากับสิ่งที่เธอกำลังจะเจอข้างหน้า (ซึ่งจะคิดได้แต่อะไรที่มัน “น่ากลัวสุดขีด”)

6. การปรากฏตัวของ “กลุ่มหญิงชรานรกแตก” ทุกฉาก โดยเฉพาะเวลาพวกเธอก๊งเหล้ากัน

7. ฉากหญิงแก่รุมทึ้งเนื้อหมู

8. แล้วจากนั้นหญิงคนหนึ่งก็อุ้มเอา “หัวหมู” ไปให้ “หมู” กิน

9. “ตุ๊กตาผี” นี่คือสิ่งที่ “เฮี้ยน” ที่สุดในหนังเรื่องนี้แล้วครับ ใบหน้าของพวกมันน่ากลัวมาก ผมแทบจะร้องออกมาเลยเวลากล้องไปจับที่ “ใบหน้า” และ “ดวงตา” ของพวกมัน ผมอยากจะกระโดดเข้าไปถีบตากล้องให้หันไปถ่ายอย่างอื่นเลยครับ …ฉากที่เกี่ยวกับของ “ตุ๊กตาผี” แล้วชอบมาก

9.1 ฉากงานเลี้ยงที่ตุ๊กตาผีห้อยต่องแต่งอยู่เต็มไปหมด

9.2 ฉากที่ผู้ชายที่ดูเพี้ยนๆ แบกตุ๊กตาไปในบ้าน แล้วก็เอามันมานั่งเรียงทีละตัว แล้วเขาก็เริ่มโวยวายกับตุ๊กตา กล้องในฉากนี้แหละที่น่ากลัวสุดขีด

9.3 ฉากที่หมารุมแทะตุ๊กตาผี

9.4 อันนี้คือฉากที่ผมกลัวที่สุดในเรื่องครับ : ฉากที่นางเอกกำลังจะออกจากหมู่บ้านนรกนี้แล้ว แต่อยู่ดีๆ เธอก็ดันแวะเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาอีก (ผมแทบจะสติแตก จนอยากตะโกนไปเลยว่า “อีบ้าาาาาาา แกจะกลับเข้าไปทำไม”) โดยเฉพาะเธอจ้องและเอามือไปลูบหน้าตุ๊กตาที่นอนเรียงกันอยู่


*** “4” จะฉายอีกทีในวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม ที่ Grand EGV รอบ 15.50 ห้ามพลาดเด็ดขาด ***





2. Heart of Jesus (2004, Marcos Loayza, โบลิเวีย, B-)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=183

-- หนังเรื่องนี้ไม่เข้าทางตัวเองเลยครับ ทั้งการบิวด์อารมณ์ของหนัง และฉากจบ แต่สิ่งที่ขัดใจผมที่สุดคือ การใช้เพลงประกอบของหนังครับ ผมมีความรู้สึกว่าเพลงในหนังมัน “ผิดจังหวะ” ไปหมดเลย ถึงหนังจะใช้เพลงในโทนเดียวกับเนื้อเรื่องช่วงนั้นๆ แต่รู้สึกว่าบางทีมันก็ “จงใจ” จนเกินไป

-- สิ่งที่แปลกหน่อยในหนังเรื่องนี้ก็คือ หนังจะแบ่งเป็นบทๆ (ว่าด้วย “ความตาย” “ความบ้าคลั่ง” “ความตามครั้งใหม่” อะไรประมาณนี้) และก่อนจะเข้าสู่บทนั้นๆ ก็จะมีนักร้องผู้ชายคนหนึ่งมาร้องเพลงให้เราฟัง เพลงก็เพราะดี และเนื้อเพลงก็กวีสุดๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้ตัวเองชอบหนังขึ้นมาสักเท่าไร





3. Not on the Lips (2003, Alain Resnais, ฝรั่งเศส, B+)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=212

-- ตอนดูหนังเรื่องนี้รู้สึกเสียอารมณ์หน่อยๆ เพราะคนที่นั่งข้างหลัง “ซู้ดน้ำมูก” ตลอดสองชั่วโมงเลยครับ (โอ้โห นี่รูปแบบใหม่เลยนะเนี่ย ไม่เคยเจอมาก่อนเลย) แต่ก็เห็นใจเขาเหมือนกัน และเขาก็คงไม่ได้ตั้งใจด้วย ก็เลยไม่ได้ย้ายที่นั่งไปไหน พอผ่านไปสัก 30 นาทีก็เริ่มเฉยๆ กับเสียงซู้ดน้ำมูกของเขาไปในที่สุด

-- ช่วงแรกๆ รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อมากๆ เลยครับ เพราะตัวละครก็เอาแต่พูดๆๆๆ แล้วก็ร้องเพลงๆๆๆๆ แล้วก็พูดๆๆๆๆ แล้วก็กลับมาร้องเพลงๆๆๆๆๆ ใหม่ อีกอย่างซับไตเติ้ลของหนังเรื่องนี้ก็ค่อนข้างมาเร็วไปเร็ว บางทีก็รู้สึกเบื่อๆ จนขี้เกียจอ่านไปเลย แล้วในที่สุดผมก็หลับไปสองสามวูบ

-- รู้สึกว่าหนังสนุกขึ้นตอนที่ตัวละครชาวอเมริกัน “Eric Thomson” โผล่เข้ามาในหนังครับ นี่เป็นตัวละครที่สร้างความฮาได้มากๆ (โดยมุกที่หนังชอบใช้คือ เรื่องของ “ภาษาอังกฤษ” กับ “ภาษาฝรั่งเศส”) โดยเฉพาะฉากเปิดตัวที่ร้องเพลงโต้กับสองสาว

-- ชอบเสื้อผ้าของตัวละครผู้หญิงในหนังที่ระยิบระยับขึ้นกล้องมากๆ

-- ออเดรย์ โตตู ในเรื่องนี้ดูสวยดี (แต่ไม่ค่อยชอบตัวละครที่เธอเล่นเท่าไร แต่ชอบพระเอกที่เธอเล่นด้วย อิอิอิ)

-- Not on the Lips อาจจะไม่ค่อยเข้าทางตัวเองเท่าไร เพราะปกติก็ไม่ได้ชื่นชอบหนังเพลงมากนัก และหนังเพลงเรื่องนี้ก็ดู “ธรรมดา” ไปหน่อย หนังเพลงที่ผมชอบจะเป็นหนังเพลงแบบ “อลังการ” มากกว่า เช่น Moulin Rouge (ฉากอลัง / เพลงอลัง) และ Hedwig and the Angry Inch (อันนี้ ร็อคอลัง / เนื้อเพลงอลัง และที่สำคัญตัวละครอลังมากๆ)

-- อีกสาเหตุที่เฉยๆ กับหนังเรื่องนี้ก็คงเพราะ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับการที่ อแลง เรเน่ส์ “ทำหนังเพลง” เพราะไม่ได้มีความผูกพันกับผู้กำกับคนนี้เท่าไรนัก (เคยดูหนังของเขาเรื่องเดียวคือ Last Year at Mariebad ซึ่งดูไปประมาณ 20 นาที และดูไม่รู้เรื่องเลย)





4. The Shop on the Main Street (1965, Elmar Klos + Jan Kadar, สาธารณรัฐเช็ค, A)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=213

-- เรื่องนี้ก็เหมือน Not on the Lips เลยครับ คือช่วงแรกค่อนข้างน่าเบื่อมากจนผมเผลอหลับไปอีกจนได้ (อีกทั้งมันเป็นหนังขาวดำด้วย)

-- แต่ประมาณ 30 นาทีสุดท้าย (ซึ่งว่าด้วยกองทัพของฮิตเลอร์เข้ามากวาดล้างชาวยิว) เป็นช่วงที่อารมณ์ของหนังรุนแรงมากๆ จนทำให้ตัวเองตื่นขึ้นมา และแทบจะไม่สามารถกะพริบตาได้เลย

-- ชอบช่วงท้ายของหนังมากที่ว่า แม้จะเล่าถึงเหตุการณ์กวาดกล้างชาวยิว แต่หนังไม่มีภาพโหดร้ายทารุณใดใดทั้งสิ้นเลย สิ่งที่มีในหนังช่วงนี้ก็คือ “ตัวละคร 2 ตัว” (หญิงแก่ที่เป็นชาวยิว กับผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามช่วยเธอ) กับ “ฉากหนึ่งฉาก” แต่อารมณ์ในฉากนี้รุนแรงกว่าหนังเกี่ยวกับการล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่มีภาพคนตายเป็นเบือที่เคยดูมาเสียอีก

-- อีกสิ่งที่ทำให้ฉากอันยาวนานนี้มีพลังมากๆ ก็เพราะการแสดงในระดับสุดยอดของนักแสดงทั้งสองคน

-- ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงที่ว่าของหนังก็ให้อารมณ์ที่กดดันมากๆ เพราะตัวละครสองตัวที่ว่าอยู่ใน “สถานที่ปิด” ก็คือร้านค้าแห่งหนึ่ง แต่ประตูของร้านค้านี้เป็นกระจกใส จนทำให้เราเห็น “บรรยากาศภายนอก” ที่เป็นทหารมากมายกำลังต้อนคนยิวขึ้นรถไปพร้อมๆ กันด้วย

-- ฉากที่ชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้ คือฉากที่พระเอก “ตบเมีย” ตัวเอง เพราะปกติแล้วจะคุ้นเคยกับตัวละครชายที่ตบผู้หญิงในลักษณะแบบ “พระเอกที่ดูร้าย” หรือ “ตัวร้ายสุดโฉด” แต่พระเอกในหนังเรื่องนี้ตบเมียในลักษณะ “ผู้ชายขี้แพ้” และไม่สามารถ “ทน” เมียของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว

-- ชอบฉากจบของหนังเรื่องนี้ที่ให้อารมณ์ Irony สุดๆ



mer’s ADORABLE ACTOR / ACTRESS
1. นางเอกของหนังเรื่อง 4
2. Ida Kaminska (The Shop on the Main Street) เล่นเป็นหญิงแก่ชาวยิว
3. Jozef Kroner (The Shop on the Main Street) เล่นเป็นพระเอก

mer’s ADORABLE DIRECTOR
Ilya Khrzhanovsky (4)

mer's ADORABLE CINEMATOGRAPHER
Alisher Khamidkhodzhaev + Aleksander Ilkhovsky (4)




อ่านต่อที่ PART 3



Create Date : 19 ตุลาคม 2548
Last Update : 24 ตุลาคม 2548 2:56:44 น. 20 comments
Counter : 3751 Pageviews.

 
ขอตอบเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มาตอบผมไว้ใน PART 1 ที่ตรงนี้นะครับ

ตอบ พี่ I will see U in the next life.

ใช่แล้ว ดู The Wayward Cloud ในโรงคงมันส์ดี ต่อซื้อตั๋วไปแล้วล่ะ ตั๋วเริ่มวิ่งแล้วเหมือนกันนะ

----------------------------

ตอบ น้อง Nighty

พี่เข้าใจว่า ลด 50% ได้ทั้งบัตรนักเรียน และบัตรนักศึกษา นะครับ เพราะเขาเขียนว่า STUDENT CARD

-----------------------------

ตอบ คุณ it ซียู

จริงๆ ถ้าเลทแค่ 10 นาทีแบบนั้นมันก็พอทันนะครับ ผมเท่าที่ดูมา 4 วัน ผมสังเกตว่าหนังจะฉายไปประมาณ 10 นาทีครับ (โฆษณา + เพลงสรรเสริญ) อย่างไรก็ตาม มันอาจจะต้องรีบๆ จนดูหนังไม่สนุกแหละเนาะ

-------------------------------

ตอบ เก้าอี้มีพนัก

ไม่เป็นไร แต่ระวังล่ะ เผลอหลับแล้วมีใครไม่รู้พาตัวไหนไปเนี่ย

----------------------------

ตอบ คุณ foneko

ใช่แล้วครับ วันที่ฝนตกลงมาเป็นคูสคูส เป้นงานของคุณโตมร สุขปรีชา

เรื่อง "เพื่อนสนิท" ผมว่าไม่แย่นะครับ ถ้าเทียบในหนังไทยด้วยกัน โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าหนังไทยปี 2005 นี่ย่ำแย่มากเลยครับ แต่ "เพื่อนสนิท" เป้นหนังที่ลงตัวดีครับ (อาจมีขาด มีเกิน แต่อยู่ในระดับที่ไม่เป็นผลเสียต่อหนังอย่างรุนแรง)

ส่วนเรื่องคนชอบเยอะ ผมว่าไม่แปลกครับ เพราะใครๆ ก็เคยแอบชอบเพื่อนตัวเองครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 19 ตุลาคม 2548 เวลา:4:33:01 น.  

 
โอ้โห้ท่าทางจะชอบดูหนังมากเลยน่ะเนี้ย


โดย: Tumble วันที่: 19 ตุลาคม 2548 เวลา:7:25:40 น.  

 
มาอ่านค่ะ


ตามประสาขาประจำ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 19 ตุลาคม 2548 เวลา:9:28:48 น.  

 
ตั้งใจเขียนมากเลยนะคะ ชื่นชม
ขนาดตนอ่านยังอ่านนานเลย :)

ตามไปอ่านตอนที่หนึ่ง
แล้วลองคลิ้กไปดูตัวอย่างหนังที่เวบของเด็กโต๋
อืม น่าดูดีเนอะ


โดย: DropAtearInMyWineGlass วันที่: 19 ตุลาคม 2548 เวลา:23:57:13 น.  

 
ตอนนี้หนังรัสเซียเรื่อง "4" เป็นหนังที่ทำให้ผมกลัวมากที่สุดในชีวิตแล้วครับ

ห้ามพลาดเรื่องนี้เด็ดขาด

*** “4” จะฉายอีกทีในวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม ที่ Grand EGV รอบ 15.50 ห้ามพลาดเด็ดขาด ***


โดย: merveillesxx วันที่: 20 ตุลาคม 2548 เวลา:4:17:08 น.  

 
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3817219/A3817219.html

เทศกาลภาพยนตร์ “นี่หรือ…คือ อิตาลี”
เนื่องในสัปดาห็ภาษาอิตาเลียนสากล ครั้งที่ 5

อังคารที่ 25 ต.ค. 48
17.00 น. ลงทะเบียนและร่วมงานเลี้ยงรับรอง ณ ห้องโถง อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
17.45 น. พิธีเปิดงาน “นี่หรือ…คือ อิตาลี” ณ ห้อง 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์
18.00 น. ภาพยนตร์เรื่อง Only you ณ ห้อง 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์

พุธที่ 26 ต.ค.48
17.30 น.
ภาพยนตร์เรื่อง Roman Holiday ณ ห้อง 503 อาคารบรมราชกุมารี

พฤหัสบดีที่ 27 ต.ค. 48
17.30 น. ภาพยนตร์เรื่อง It Started in Naples ณ ห้อง 503 อาคารบรมราชกุมารี

ศุกร์ที่ 28 ต.ค.48
17.30 น. ภาพยนตร์เรื่อง The Talented Mr. Ripley ณ ห้อง 503 อาคารบรมราชกุมารี

เสาร์ที่ 29 ต.ค.48
17.30 น. ภาพยนตร์เรื่อง Moonstruck ณ ห้อง 503 อาคารบรมราชกุมารี

-หลังภาพยนตร์จบของทุกวัน มีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้ร่วมงานผู้สันทัดกรณี
-ภาพยนตร์ทุกเรื่อง พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก และมีคำบรรยาย (subtitles) เป็นภาษาไทย

*theme ของหนังที่เอามาฉายคือ หนังที่ถ่ายทำในอิตาลีหรือพูดถึงคนอิตาเลียนโดยชาวต่างชาติ(ที่ไม่ใช่อิตาเลียน)ค่ะ จุดประสงค์เพื่อจะศึกษาว่า คนชาติอื่นเขามีมุมมองต่ออิตาลีกันยังไงบ้าง
*ดูฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ
*อาคารมหาจุฬาลงกรณ์คือ ตึกคณะอักษรศาสตร์เก่าที่อยู่ฝั่งถ. อังรีดูนังต์ ค่ะ (ตึกที่เหมือนวัดน่ะค่ะ) ส่วนอาคารบรมราชกุมารีคืออาคารสีขาวที่ตั้งอยู๋ใกล้ๆกัน สังเกตเห็นง่ายค่ะ


โดย: merveillesxx วันที่: 20 ตุลาคม 2548 เวลา:4:59:35 น.  

 
Not on the Lips
อิชั้นหลับไปเลยล่ะค่ะ ช่วงแรกๆ
หนังน่าเบื่อมาก ปรกติชอบหนังเพลง
แต่เรื่องนี้ ทั้งบทและวิธีการนำเสนอน่าเบื่อ
ที่ดีอยู่อย่างเดียว คือชุดตัวละครหญิงที่ดูระยิบระยับดี
แต่ทำไมต้องทำให้พวกเธอดู "งี่เง่า" อย่างไรก็ไม่รู้

อยากดู 4 เหมือนกันนะ แต่อ่านที่คุณเขียนแล้วดูน่ากลัวจัง จะรอดชีวิตไหมเนี่ย

โตมร ศุขปรีชา นามสกุลเขาสะกดอย่างนี้ค่ะ


โดย: grappa วันที่: 20 ตุลาคม 2548 เวลา:6:38:27 น.  

 
งั้นไปดู 4 ล่ะ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 20 ตุลาคม 2548 เวลา:10:58:19 น.  

 
จองเรื่อง 4 ไว้แล้วครับ
แต่... ตอนนรู้สึกกลัวๆ
กลัวจะหลอนจนข้าพเจ้าหลับ (ฮา)

ป.ล.
- วันนี้ เพิ่งได้ดูหนังของ Ottinger เรื่องแรก (และน่าจะเรื่องเดียว ฮา!) เรื่อง Joan of Arc of Mongolia

หลับไปประมาณยี่สิบนาทีเห็นจะได้
(ก็มันงงๆ อ่ะ พูดไรก็ไม่รู้ ฟังไม่ออก)
แต่ไปๆ มาๆ ตอนช่วงครึ่งหลัง ตั้งใจดูมากกกก
เลยพอรู้เรื่องขึ้นมาหน่อย
ว่าไป หนังของเจ๊คนนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนะครับ
เพราะพอถึงตอนจบ โอว์ จี๊ดจริงๆ
(อย่างไรก็ดี ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าไอ้ที่ข้าพเจ้า "เข้าใจ" ว่าจี๊ดน่ะ ...."เข้าใจ" ตรงกับที่ผกก. จะสื่อรึเปล่า? 555)

- ส่วนหนังอื่นๆ ที่ได้ดูในช่วงวัน - สองวันนี้ก็มีเรื่อง
- Battle in Heaven อืมม์ งงนิดหน่อยว่าทำไมในใบรายการเขียนเป็นเรต PG (ความจริงน่าจะ R หรือ NC-17 นะ, ไม่รู้เหมือนกัน) อย่างไรก็ดี ตัวหนังเก๋มากกกกก กับการใช้เสียงเพลง Contrast กับเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ ทำให้เรารู้สึกกดดันไปกับเนื้อเรื่องเกือบตลอดเวลาเลย

สรุป ชอบเรื่องนี้ฮ่ะ

- Tsunami Short Film
ชอบเรื่องของคุณปุ่นมากสุดครับ รองมาก็ของคุณเจ้ย (เป็นหนังเรื่องแรกของคุณเจ้ยที่ชอบจริงๆ จังๆ 555)
ส่วนเรื่องของปราโมทย์ชอบน้อยสุด (ความจริง ชอบตัวเรื่องนะครับ แต่ตัดคะแนนที่ยาวเกินเหตุ :D)

- Czech Classic Animation
น่ารักดีนะ
ไม่น่าเชื่อเลยว่า บางเรื่องสร้างมาเกือบ 50 ปีแล้ว!!!!!!


โดย: it ซียู วันที่: 21 ตุลาคม 2548 เวลา:0:12:19 น.  

 
อืมมม...ว่าแล้วก็อยากอยู่กรุงเทพบ้าง


โดย: ShadowServant (ShadowServant ) วันที่: 21 ตุลาคม 2548 เวลา:3:15:39 น.  

 
ยังไม่มาอีกอัพหลอออออ.....


โดย: ก. IP: 221.128.68.47 วันที่: 21 ตุลาคม 2548 เวลา:5:04:44 น.  

 
อ่า อยากไปดู 4ง่ะ แต่ไม่มีใครไปเป็นเพื่อนอ่า จริงๆแล้วยังทำงานมะเสร็จสักทีแหละ โทรไปชวนเพื่อนนะ มันบอกเดี๋ยวก็ออกเป็นแผ่นเองแหละ ก็ไม่รู้จะจริงเป่า แต่ช่างเหอะ เพราะถ้ามันออกจะยืม พูดถึงยืม เคยยืมหนังไปเรื่องนึงอ่า ยังไม่ได้เลย ที่เกี่ยวกับนรในสิงคโปร์อ่า อยากดูๆๆๆ เทอมหน้าถ้าวันไหนไปรังสิต ติดมาฝากด้วยน้า รักนะจุ๊บๆ


โดย: อะโลฮ่า เธอราปี้ IP: 58.10.175.187 วันที่: 21 ตุลาคม 2548 เวลา:18:38:19 น.  

 
มาว่าถึงเรื่อง "4" (มีเปิดเผยเนื้อเรื่อง)

ปัญหาหนึ่งที่พี่ประสบแต่คิดว่าต่อคงไม่เป็นคือพี่เป็นคนดูหนัง HandHeld ไม่ได้ครับ

ดูแล้วจะอ้วก

สงสัยติดมาตั้งแต่เกม PC ยุคแรกอย่าง ดูม เล่นได้สักนานก็เก่งแล้ว (มีวิธีแก้ไหมอ่ะ)

ต่อไปดูสารคดีข้างบ้านที่ไบโอกับพี่ปุ่นเอามาฉายที่อนุสรณ์สถาน พี่ดูเรื่องกลับบ้านไปได้แค่ไม่ถึง 1/3 เรื่อง ก็เกิดอาการวิงเวียนชวนอ้วกเป็นอย่างมาก

ตอนดูเรื่อง "4" แรก ๆ ก็ไม่เป็นไรนะครับ พอสักเข้าฉากที่ตัวละครหญิงกลับไปงานศพแค่นั้นแหละ โอ้ย อยากจะอ้วก ส่งผลให้ดูอะไรก็ไม่ได้น่ากลัว ไม่ได้หลอน

แต่ถึงแม้อยากจะอ้วกแค่ไหนก็ตาม (เดี๋ยวตามแบบฉากที่เธอกระดกวอดก้าเกินไป) ก็ทนดูจนจบ แล้วพบว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่ากลัวมากก็คือการใช้เสียง Ambience เช่นเสียงหมา (ทำไมหมามันเยอะจังน่ะ หมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์แต่สุดท้ายก็ตายเพราะหมา) เสียงอีกา ประกอบกับภาพในรัสเซียที่ไม่ชวนให้ทัศนาเลย

ภาพโคลนตม หมอกสีขาว ชวนให้คิดประเทศนี้มีอะไรดีหนอ

หลาย ๆ ไดอาล็อกกัดรัฐบาลเจ็บปวดมาก เช่นฉากที่คุยกันสามคนตอนแรกแล้วตัวละครหัวเถิกจัดหาน้ำแร่มาให้ประธานาธิบดีกิน ภาพกับไดอาล็อกมันคอนทราสท์กับตอนหลังดี หรือบางฉากที่คุณป้าที่ชอบแอบมากรี๊บวอดก้าเอาหัวหมูโยนไปให้หมูกิน

แม้แต่พวกเดียวกัน ก็กินกันได้

ฉากอีตุ๊กตาผีนี้อีก โอ้ย ๆ จะอ้วกอยู่แล้ว ยิ่งดยิ่งชวนอ้วก 55555

สำหรับพี่ เพราะด้วยความอยากอ้วกวิงเวียนปวดหัว เลยเฉย ๆ กับหนังเรื่องนี้ (แต่ว่ากันตามรายละเอียดมันชวนหลอนจริง ๆ น่ะ ไม่ต้องมีผี ไม่ต้องใช่อะไรมาก ก็ได้ความรู้สึกกูมาตกนรกเล่นหรอ)

ว่าแล้ว The Wayward Cloud เจอกัน เจอตาอ้วนคนหนึ่งก็เข้าไปทักมันหน่อยน่ะ 5555



โดย: I will see U in the next life. วันที่: 21 ตุลาคม 2548 เวลา:19:30:03 น.  

 
ป.ล. ฉากเปิดเรื่องที่ว่าสยองสุดล่ะ

ป.ล. 2 แอบหลับไปได้หลายงีบ ตื่นมาทีไร ชวนช๊อคกับป้า ๆ จริง ๆ โดยเฉพาะตอนที่ป้า ๆ แกโชว์ของกัน โอ้ย ป้าครับ ผมเซ็กซ์เสื่อมไปอีกนานเลย


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 21 ตุลาคม 2548 เวลา:19:33:04 น.  

 
เทศกาล World Film

กรี๊ดแตกสุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

1. Freak Orlando ที่มีฉากคลาสสิกทุก 5 นาที ไม่ต่ำกว่า 30 ฉาก

2. Angel's Fall หนังที่ดูแล้วหลับไปเลย แต่ชอบมาก

ไม่มีเวลาอัพบล็อกเลยง่า...


โดย: merveillesxx วันที่: 22 ตุลาคม 2548 เวลา:5:03:50 น.  

 
มาอัพไวๆน้ะอยากอ่านๆ...


โดย: ก. IP: 203.121.153.190 วันที่: 22 ตุลาคม 2548 เวลา:6:26:52 น.  

 
เช็คหลังไมค์ด้วยเน้อ


โดย: ... (grappa ) วันที่: 22 ตุลาคม 2548 เวลา:11:06:30 น.  

 
หลังจากดูหนังอย่างปกติสุขมาหลายวัน
ในที่สุดวันนี้ ผมก็เจอกับความ "เฮี้ยน" ของเทศกาลหนังจนได้ครับ ....เริ่มจากหนังเรื่องแรก

- 'Turn Left at the End of the World' อันนี้เป็นความเฮี้ยน ที่เกิดจากตัวเองนิดหน่อย นั่นคือ มัวแต่โอ้เอ้ นั่งเล่นคอมพ์จนลืมดูนาฬิกา ...ไปๆ มาๆ ดูนาฬิกาอีกครั้ง อ้าว ตายห่า 12.30 แล้ว กว่าจะขึ้นรถไฟฟ้า กว่าจะวิ่งไปถึงโรงหนัง ปาไป 13.08 น. แล้วครับ แต่ตอนนั้น ก็คิดว่า คงไม่เป็นไรมั้ง เพราะปกติ กว่าหนังจะฉายก็เลทไปประมาณสิบนาทีอยู่แล้ว

แต่.... วันนี้ ด้วยความเฮี้ยน หรืออะไรก็มิอาจทราบได้ ทำให้พอเข้าโรงหนัง หนังฉายแล้วครับ ...โอว์ พระเจ้าจอร์จ ข้าพเจ้าเชื่อในความเฮี้ยนของเทศกาลหนังครั้งนี้จริงๆ

แต่... ปัญหายังไม่หมดแค่นั้น
ด้วยความที่ผมจ่ายตั๋วราคาถูก (50 บาท) หรืออะไรก็มิอาจทราบได้ ทำให้ไม่มีพนักงานบริการผมเลยแม้แต่คนเดียวครับ ....โรงก็มืดๆ ไอ้เราก็สายตาไม่ค่อยดี ทำให้มองอะไรไม่เห็นเลยแม้แต่นิด (เน้นว่า ไม่เห็นจริงๆ คือมองแล้วเบลอไปหมด ไม่สามารถระบุได้ว่าตรงไหนคือที่นั่ง ตรงไหนคือทางเดิน) กว่าจะคลำทาง หาที่นั่งเจอ ก็เสียเวลาไปอีกเกือบสามนาที

สรุป ช่วงแรกๆ ของหนังเรื่องนี้ เลยดูด้วยอารมณ์หงุดหงิดอย่างแรง (เซ็งสุดๆ)
---------------------------------------
ต่อมา พอถึงเวลาดูเรื่อง 4 ความเฮี้ยนก็ยังไม่จบครับ
- หนังเรื่อง '4' เป็นหนังเฮี้ยนๆ ของคนสามคนที่มีพฤติกรรมประหลาดๆ

- ส่วนผม เป็นบุคคลผู้ดูหนังเรื่อง '4' ข้างๆ คนประหลาดๆ ที่มีพฤติกรรมเฮี้ยนๆ สามคน !!!!

พูดง่ายๆ ให้เป็นภาษาคนหน่อย ก็คือ ชายสอง หญิงหนึ่งที่นั่งข้างผม มัน (ขออภัยที่ต้องใช้สรรพนามคำนี้) ส่งเสียงรบกวนสมาธิผมตลอดเวลานั่นเอง ...แบบประมาณไม่ว่าตัวละครในเรื่องจะพูดอะไร ก็หัวเราะดังลั่นโรงซะอย่างงั้น (เน้น ว่าดังมากๆๆๆๆๆ) ทั้งๆ ที่บางฉากมันไม่ขำเอาซะเลย ก็ยังหัวเราะได้ (คือ ขนาดทั้งโรงเงียบกริบ แต่อีคนกลุ่มนี้ ก็ยังหัวเราะโดยไม่สนใจใครได้ ฮึ่ม มันน่าตบ น่าถีบจริงๆ) ทำให้ ในที่สุด ช่วงแรกๆ ผมเลยดูหนังเฮี้ยนๆ เรื่องนี้ ด้วยความไม่สนุกเอาเสียเลย (ฮึ่มๆๆๆๆ)
(เพราะในใจ มัวแต่สาปแช่ง อุทิศส่วนกุศลให้อีสามคนข้างๆ อยู่นั่นแหละ :D)

กว่าจะทำใจได้ ก็ปาไปครึ่งเรื่องละ
เฮ้อ ... เชื่อแล้วแหละ ว่าเทศกาลหนังครั้งนี้ "เฮี้ยน" จริงๆ (เฮี้ยนทั้งหนังและบรรยากาศรอบข้าง)

---------------------------------------
ส่วนคห. สำหรับหนังทั้งสองเรื่อง (SPOILER!!!!)
1. Turn Left at the End of the World
- หนังเรื่องนี้ น่าจะเรียกได้ว่าเป็นหนังที่เล่า "เป็นเรื่องเป็นราว" มากที่สุดแล้วครับ (จากบรรดาหนังในเทศกาลทั้งหมด ที่ผมมีโอกาสได้ดู)

- ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก หนังค่อนข้างเล่าได้ "เรียบๆ" "ง่ายๆ" "ตามครรลองคลองธรรม" และ "ไม่โลดโผน" นั่นเอง

- ตัวหนัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวสองครอบครัว ที่มาจากต่างที่ ต่างถิ่น (ครอบครัวหนึ่งมาจากอินเดีย, และอีกครอบครัวมาจากโมร็อกโค) ...แต่ในที่สุด ก็มารวมกันอยู่ในถิ่นที่เดียวกัน (นั่นคือ หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลมากๆๆๆๆ แห่งหนึ่ง ในประเทศอิสราเอล)

- ซึ่งด้วย "ความต่าง" ของทั้งสองครอบครัว (ทั้งต่างเชื้อชาติ, ต่างศาสนา, ต่างอายุ) จึงทำให้เรื่องราวฮาๆ ประหลาดๆ (และบางฉาก ก็แอบเศร้าเคล้าน้ำตา) ได้บังเกิดขึ้น

- ชอบหนังเรื่องนี้ในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากที่เล่นกับความต่างทางวัฒนธรรม ยกตัวอย่างเช่น ฉากที่ "นิโคล" (สาวรุ่นเชื้อสายโมร็อกโค) พยายามตีซี้กับ "ซาราห์" (หญิงวัยเดียวกันแต่เป็นคนอินเดีย) ด้วยการถามว่า พ่อเธออ่านหนังสือ "กามาสุตรา" เหรอ? มันคือหนังสือที่พวกผู้ชายเค้าอ่านกันใช่ไหม?!!!!!, หรือจะเป็นฉากที่บรรดาแม่ๆ ของสองสาวเถียงกันเรื่องสบู่ของฝรั่งเศสและอังกฤษ อันนั้นก็ฮามากๆ

- แต่จริงๆ ถ้าจะว่าไป ประเด็นเรื่องพูดภาษาต่างกัน, วัฒนธรรมต่างกัน มันก็ค่อนข้างซ้ำนะครับ ...หนังหลายเรื่องก็เล่นกับประเด็นเหล่านี้มาแล้ว (ทั้งหนังเอเชียเรื่องล่าสุดอย่าง About Love, หนังฮอลลีวู้ดอย่าง Lost in Translation หรือแม้กระทั่งหนังยุโรปอย่าง Head-On) อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับในฝีมือผกก. อย่าง Avi Nesher จริงๆ ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวง่ายๆ ให้ดูนุ่มนวลและดูสละสลวยเป็นอย่างมาก

- เราจะเห็นว่า ผกก. ค่อยๆ เล่าเรื่องไม่โลดโผน เน้นการทำความรู้จักกับแต่ละตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไป ...ซึ่งนั่น ทำให้ ในที่สุด เราก็หลงรักตัวละครในเรื่องขึ้นมาจริงๆ :D (โดยเฉพาะ นิโคล อิอิ)

- ชอบคนที่เล่นเป็นนิโคลมากกกกกครับ เธอเล่นได้เป็นธรรมชาติดี ...ดูแล้วก็อดร้องเพลงนี้ไม่ได้ "หายใจเข้าก็เฮ้อเธอ... เฮ้อเธอ" อิอิ

- ส่วนคนที่เล่นเป็น Simone ก็สวมบท "ยั่ว" ได้ดีเช่นกัน ...บางฉาก ถึงขั้นขโมยซีนตัวเอกอย่างนิโคลและซาราห์เลยทีเดียว

- นอกจากนี้ ส่วนที่ชอบอีก ก็คือ ประเด็นความต่างระหว่างวัย ...หนังแสดงให้เห็นว่าแม่ (ไม่ว่าจะแม่ของซาราห์, นิโคล หรือแม่ของใครๆ) ต่างก็รักและห่วงลูก ไม่อยากให้ลูกออกนอกลู่นอกทางทั้งสิ้น , ซึ่งผิดกับลูก ที่ชอบออกนอกลู่นอกทางเสมอ (ด้วยคิดว่าตัวเองโตพอ หรืออะไรประมาณนั้น) ซึ่งบทสรุป ส่วนใหญ่ก็มักลงท้ายด้วยคำว่า "สิ่งที่พ่อแม่พูด บ่นมาทั้งหมดน่ะ คือ เรื่องจริง" (เช่น ในเรื่องนี้ ตอนจบ นิโคลก็ปฏิเสธสัมพันธ์กับอาจารย์หนุ่มอย่าง Asaf เป็นต้น)

- เรื่องราวในตัวหนัง เข้าใจว่ามีแอบกัดระบบทุนนิยมด้วยนิดหน่อย (เช่นจากการสไตรค์ของคนงาน, หรือจะเป็นอารมณ์ "เห่อ" คนอังกฤษ ที่จะมาแข่งคริกเก็ตกับชาวยิว)

- อย่างไรก็ดี ถึงแม้หนังจะเรียบๆ ง่ายๆ แต่ตอนท้ายก็แอบมีหักมุมนิดหน่อย ...จากตอนแรกที่ซาราห์จะบ๊าย บายนิโคล (เพราะนิโคลจะไปเข้า army?) กลับตาลปัตรกลายเป็นอีกอย่างหนึ่งไปซะงั้น ซึ่งฉากนี้ ก็ทำให้ผมอึ้งๆ ไปนิดหน่อย (เพราะไม่คิดว่าผกก. จะหักมุมแบบนี้ ...แต่พอเปลี่ยนเรื่องเป็นแบบนี้ ก็ดีไปอีกแบบ :D)

- ชอบคำพูดในตอนจบมาก... ที่ซาราห์บอกว่า "แม้ว่าเราจำต้องแยกจากจากครอบครัว (เพราะซาราห์จะไปเข้า army , ส่วนแม่นิโคลตาย) แต่ในที่สุด ชะตาก็ได้ลิขิตให้เราสองกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน"

ฮือๆ ซาบซึ้งไปกับ "เพื่อนสนิท" สองคนนี้จริงๆ


2. 4
- แม้ว่าจะดูหนังอาถรรพ์เรื่องนี้ ด้วยอารมณ์ "บ่จอย" เล็กน้อยถึงปานกลาง แต่กระนั้น เพียงแค่ฉากแรก หนังก็ทำเอาผมถึงกับอึ้ง ตะลึง ตึ่ง ตึง แล้วครับ

- เพราะภายใต้ฟ้ามืดที่เงียบสงัด ...ภายใต้พื้นขมุกขมัวที่มีสุนัขนอนแผ่หราอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงดังก้องกัมปนาทมาหลอกหลอนผมเสียอย่างงั้น (หลอนมากจริงๆ เพราะอีคนข้างๆ มันดันหัวเราะ ฮึ่มๆๆๆๆ พูดแล้วก็โกรธไม่หาย)

- หลังจากนั้น หนังก็แผ่ขยายความเฮี้ยนไปเรื่อยๆ กับการเล่าเรื่องของคนประหลาดๆ? สามคน ซึ่ง "สยอง" อย่างแรง

- เห็นด้วยกับคุณแมกเวยที่ว่า "ฉากที่ผู้ชายที่เป็น Piano-Tuner เข้าไปในห้องที่มีกลอง แล้วก็คุยกับผู้ชายคนหนึ่ง (ใครก็ไม่รู้ ?????) แล้วผู้ชายคนนี้ก็ล้วงไปใน “ตู้” แต่ละอัน เริ่มจากตู้เลี้ยงปลา (ตอนนี้ยังเฉยๆ) ตู้เต่า (เริ่มสังหรณ์ใจ) ตู้ไส้เดือน (กลัวมาก) และตู้งู (ฉี่จะราด)

โอว์ ฉากนั้น บรรยากาศสยองสุดๆ เพราะตอนแรก เราแทบไม่เห็นคู่สนทนาของ piano-tuner เลย แถมยังไม่พอ อีตาผู้ชายบ้าๆ คนนั้น ยังพูดจาและทำพฤติกรรมสยองขวัญอีกด้วย (และฉากที่สยองๆ ฉากนี้ ก็เป็นอีกฉากที่สามสหายนรกข้างผม "หัวเราะ" อีกเช่นเคย
) (แต่ตอนนี้ เริ่มทำใจกับสามสหายนรกนี้ได้แล้วแหละครับ)

- นอกจากหนังจะมีบรรยากาศประหลาดๆ แล้ว ภายใต้เรื่องราวที่เราตามติด ก็ยังมีเรื่องราวประหลาดๆ อื่นๆ ? ให้ได้ครุ่นคิดอีกด้วยครับ -- ทั้งการโคลนนิ่ง (ที่คนในเรื่อง เค้าเล่าว่ามันมีมาหลายสิบปีแล้ว), ทั้ง round piglet, หรือจะเป็นวิถีการดำรงชีวิตในรัสเซีย ก็ล้วนแล้วแต่น่าคิดทั้งสิ้น

- รู้สึกว่าหนังจะแอบกัดประเทศตัวเองอยู่หลายฉากเหมือนกันครับ ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาที่ว่า "การที่ประเทศนี้ มีข้อห้ามในหลายๆ สิ่ง แต่เรื่องที่ห้ามๆ เหล่านี้ กลับกลายเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ที่นี่ ที่เดียว!" , ฉากกรุงมอสโควและหมู่บ้านผี ที่มีบรรยากาศแตกต่างกันเป็นอย่างมาก (เพราะในขณะที่กรุงมอสโควมีแต่ความศิวิไลซ์ , หมู่บ้านผีกลับต้องอดๆ อยากๆ ....มีเพียงหญิงชราที่อยู่รอดด้วยการขายตุ๊กตาผี อาศัยอยู่เท่านั้น) , หรือจะเป็นฉากที่พูดเรื่องกลวิธีการได้มาซึ่งน้ำแร่ ก็เป็นการ (แอบ) กัดที่แสบๆ คันๆ ใช้ได้ทีเดียว (ถึงว่า ถึงโดนแบนในรัสเซีย :D)

- พอช่วงครึ่งหลัง เมื่อหนังตามติดพฤติกรรมของหญิงสาว ไปยังหมู่บ้านประหลาดโลก ช่วงนั้นสยองสุดๆ ครับ (เห็นด้วยกับที่ทุกๆ ท่านว่ามาทุกประการ)

- ไม่ชอบตุ๊กตาผีเลยให้ตายสิ ทำไมมันถึงหน้าตาน่าเกลียด น่ากลัวอย่างนั้นนะ

- ยัยแก่บ้า แห่งหมู่บ้านมรณะ ก็มีพฤติกรรมแปลกๆ มากกกกกกก ดูฉากนี้ แล้วนึกถึงบ้านของ อลุมจี ในเรื่อง You I Love (แต่เรื่องนั้น พ่อแม่ และลุงของอลุมจี ยังไม่เพี้ยนถึงขนาดนี้ ใน '4' นี่ เรียกได้ว่า เพี้ยนและประหลาดมากเกินกว่า 'จอร์จ' จะบรรยายจริงๆ :D)

- ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถึงมีแต่ "ผู้หญิงชรา" หรือมันจะเป็นการสะท้อนถึงสังคมที่ถูกละทิ้ง??? ไม่รู้เหมือนกัน

- เห็นด้วยกับคุณแมกเวยที่บอกว่า "ในเรื่องนี้หมามีบทบาทสำคัญมาก" ทั้งหมาที่เพ่นพ่านในฉากเปิด - ปิด, ทั้งหมาที่รุมทึ้งตุ๊กตาผี, หรือจะเป็นคำพูดของชายประหลาดโลกที่บอกว่า "อย่าเตะหมา หมาเป็นเพื่อนที่ดีของคน"

หรือนี่จะเป็นการใช้ "หมา" เพื่อเห่า (และหัวเราะ) ให้กับความเส็งเคร็งของระบอบระเบียบในรัสเซีย / และใช้หมา เพื่อเห่าให้กับคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เคยสนใจใยดีใน "คนชรา" เลย? .....

(แต่ถ้าคนชรามีพฤติกรรมเป็นแบบหญิงชรานรกเหล่านั้นก็ไม่ไหวนะครับ แหะๆ)


โดย: it ซียู วันที่: 22 ตุลาคม 2548 เวลา:17:14:56 น.  

 
ผมคิดว่าหนังเรื่อง "4" มีกลิ่นความเหนือจริงคลุ้งอยู่มิน้อยนะ ดู ๆ ไปเหมือนอยู่ในฝันยังไงยังนั้น

ตอนดูผมก็สงสัยเหมือนคุณ it ซียู เลยว่า เฮ้ยหมูบ้านนี้มีผู้ชายคนเดียวเองหรอว่ะ แล้วก็มีป้า ๆ (ที่ชอบโชว์ของ) กับสาววัยเอ็กซ์อีกสองคน

ผมให้ฉาก โยนหัวหมูให้หมูกิน เป็นฉากสยองที่สุดละครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 22 ตุลาคม 2548 เวลา:17:46:03 น.  

 
ได้ไปดูมาแค่ 2 เรื่องเองค่ะ ควงน้อง "จิง..อะดิ๊" ไปดูมา เรื่องแรก Not on the lips เข้าไปสัก 10 นาที คุณน้องที่มาด้วยก็บอกว่า ...พี่..ผมขอลา เราก็เลยขอลามานอกโรงด้วยคนนึงอ่ะค่ะ เสร็จแล้วตอนค่ำๆ ถึงไปดู Battle in heaven ต่อ .. โอ้โหย สุดยอด อึ้ง ตะลึงลาน ชอบมาก ถ่ายภาพสวยมาก ประเด็นเยอะดีด้วย หนังมันดำเนิเรื่องโอเคเลยอ่ะ ออกมาแล้วถึงกับว่าจะไปหางานเก่าๆ ของผกก. คนนี้ เพราะพลาดไปน่ะคะ พรุ่งนี้คงได้ไปดูอีก 1 เรื่องเพราะต้องไปทำข่าวงานแจกรางวัลด้วย แล้วคงปิดท้ายด้วยหนังของคุณพี่ไช่ ..ต่ออีก 1 รอบในวันจันทร์


โดย: Fly to the sky วันที่: 23 ตุลาคม 2548 เวลา:0:33:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.