http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
18 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
A History of Violence – ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์แห่งความรุนแรง

โดย merveillesxx



วงการภาพยนตร์ในยุคหลังสหัสวรรษใหม่นั้น ผู้กำกับแต่ละคนล้วนมีหนังที่เป็น “ตัวแทน” โต้ตอบหรือแสดงทัศนะต่อเหตุการณ์ 9/11 (11 กันยายน 2001) ไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล ฮาเนเก้ กับหนังที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามอย่าง Hidden, แซลลี่ พ็อตเตอร์ กับหนังที่ดึงพลังของศิลปะทุกแขนงมาใช้อย่าง Yes หรือกระทั่ง “มนุษย์ต่างดาว” ใน War of the Worlds ของสตีเว่น สปีลเบิร์กก็เลิกผูกมิตรกับมนุษย์แต่หันมาถล่มโลกแทน

ผู้กำกับแคนาเดี้ยนชื่อดังอย่างเดวิด โครเนนเบิร์ก ก็มีหนัง 9/11 เป็นของตัวเองเช่นกัน แต่ A History of Violence ของเขาพูดโดยตรงถึง “ความรุนแรง” โดยในแง่หนึ่งมันเป็นความรุนแรงเชิง “ประวัติศาสตร์” และที่สำคัญนี่เป็นหนังตลาด!




1. ความรุนแรง (Violence)

1.1 ความรุนแรงแบบโครเนนเบิร์ก (Cronenbergian Violence)

ถ้าใครติดตามหนังของโครเนนเบิร์กมาตลอด คงจะเจออะไร “เหวอๆ” ในหนังของเขาเสมอ (อย่างน้อยที่สุดก็คือ ฉาก “หัวระเบิด” ในหนังเรื่อง Scanners) กล่าวโดยสรุปก็คือ เขาใช้ “ความรุนแรง” นำเสนอสิ่งที่เขาต้องการสื่อถึงคนดู โดยเฉพาะผลกระทบของเทคโนโลยีและความวิปริตในจิตใจมนุษย์

แต่ทว่าเมื่อมาทำหนังเกี่ยวกับความรุนแรงจริงๆ กลับกลายเป็นว่า A History of Violence เป็นหนังที่ดูง่ายและ ปกติจนน่าแปลกใจ และถึงจะไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่ามันเป็นหนังที่รุนแรงน้อยที่สุดของโครเนนเบิร์ก แต่ที่แน่ๆ ก็คือ หนังเรื่องนี้ใช้ความรุนแรงในระดับที่มัน “จำเป็น” ต้องใช้

เพราะโครเนนเบิร์กต้องการที่จะลบล้างมายาคติแห่งความรุนแรงออกไป ในหนังแอ็คชั่นเมื่อเราเห็นคนถูกยิงตายเราจะคิดว่า “ตัวละคร” ตัวหนึ่งหายออกไปจากจอแล้ว แต่ในหนังเรื่องนี้เมื่อมีใครสักคนถูกยิง มันหมายถึงมี “คน” คนหนึ่งถูกยิง และเขาก็ “ตาย” ต่อหน้าต่อตาเรา


1.2 ความรุนแรง = ไวรัสริง

ในขณะที่เนื้อเรื่องส่วนของทอม สตอลดำเนินไป พล็อตที่เดินคู่กันก็คือ แจ็ค (ลูกชายของทอม) และการทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนในโรงเรียน ส่วนหลังนี่เองที่ทำให้ผมรู้สึกว่าความรุนแรงก็คือ โรคระบาดร้ายแรงชนิดหนึ่ง

เมื่อพ่อของแจ็คยิงโจรตายคาร้านและกลายเป็นฮีโร่ แจ็คก็ “อ้างอิง” วีรกรรมของพ่อเป็นต้นแบบและ “ประกาศสิทธิ” ที่จะเอาคืนคนที่มาทำร้ายตนก่อน และผลก็คือแจ็คอัดไอ้หมอนั่นจนเข้าโรงพยาบาล

จากเรื่องของพ่อ มาสู่เรื่องของลูกชาย ถ้าลองคิดเล่นๆ ต่อไปว่าเด็กๆ ที่มุงดูแจ็คในวันนั้นก็เป็นพวก “ไอ้ขี้แหย” ที่ถูกรังแกเหมือนกัน เด็กพวกนั้นก็จะเอาแจ็คมาเป็น “ฮีโร่” ส่วนสิ่งที่แจ็คทำก็คือ “วีรกรรม” และคราวต่อไปพวกเขาก็จะแก้แค้นอย่างสาสมกับไอ้พวกชอบแกล้ง! …นี่แหละครับ การก่อกำเนิดของวงจรไวรัสริงแห่งความรุนแรง

ผมคิดว่าตอนที่น่ากลัวที่สุดของหนังคือตอนที่ทอมตะโกนใส่แจ็คว่า “บ้านเราไม่ได้แก้ปัญหาด้วยความรุนแรงนะ” แต่แจ็คสวนกลับทันทีว่า “ไม่ใช่ บ้านนี่แก้ปัญหาด้วยการยิงคน!” …จริงอยู่แจ็คอาจจะพูดออกไปโดยไม่ทันคิด แต่อย่าลืมนะครับว่าเวลาคนยิงกันตายน่ะ ไม่มีใครเคยคิดเกิน 2 วินาทีหรอก

และสุดท้ายสิ่งที่แจ็คพูดก็เป็นจริง เพราะในที่สุดเขาก็ได้ “ยิงคน”




2. ประวัติศาสตร์ (History)

2.1 ประวัติศาสตร์แห่งครอบครัว

ประวัติศาสตร์นั้นคือเรื่องราวที่เคยเกิดในอดีต และแม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนมันก็ยังจะคงอยู่

แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ประวัติศาสตร์ใน “สายตา” ของมนุษย์ เพราะเราไม่เคยจำเรื่องดีๆ ได้เกิน 2 เดือน แต่เรื่องชั่วๆ (ไม่ว่าจะของตัวเราหรือของคนอื่น) เราจะจำได้ตลอดชีวิต! เหมือนกับประโยคที่อีดี้ (ภรรยาของทอม) พูดว่า “โอ๊ย เดี๋ยวพอมีข่าวใหม่ๆ พวกเขาก็จะลืมเรื่องของทอมเองแหละ”

ใช่ครับ ชาวบ้านอาจจะลืมเรื่องที่ทอมเป็นฮีโร่ แต่ถ้าข่าวที่ว่าทอมเคยเป็น “นักฆ่า” ถูกบอกต่อไปทั่วทั้งหมู่บ้านล่ะก็ ไม่มีใครลืมลงแน่นอน และในทางกลับกันทอมก็ไม่เคยลืมว่าตัวเองเป็นนักฆ่า เพราะสัญชาติญาณของนักฆ่านั้นยังฝังรากลึกอยู่ในตัวเขา

จากนั้นเองสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปก็คือ ประวัติศาสตร์ของตระกูล “สตอล”

ครอบครัว “สตอล” นั้นอาจจะไม่มีอยู่จริง (เพราะทอมอุปโลกน์นามสกุลนี้ขึ้นมาเอง) แต่สิ่งที่เกิดขึ้น “จริง” ก็คือ… ครอบครัวนี้มีผัวเป็นนักฆ่า, เมียก็แต่งงานกับนักฆ่าโดยไม่รู้ตัว ส่วนลูกชายก็ยิงคนตายตั้งแต่อายุ 17 ปี

แต่คนที่โชคร้ายที่สุดคือ หนูน้อยซาร่าห์ครับ เพราะเธอจะกลายเป็นเด็กสาวที่มีพ่อเป็นนักฆ่า มีแม่ที่เอานักฆ่ามาทำผัว และมีพี่ชายที่เคยฆ่าคนตาย!

คงไม่ต้องบอกมั้งครับว่าประวัติศาสตร์ “บทใหม่” ของครอบครัวสตอลนั้นน่าเศร้าขนาดไหน …แต่มันก็ไม่มีวันลบเลือนไปครับ เหมือนกับที่หนังเรื่อง Yes บอกเราว่า “ไม่ว่าสิ่งที่คุณทำมันจะเล็กน้อยเพียงใด มันก็จะทิ้งหลักฐานไว้เสมอ”


2.2 ประวัติศาตร์ของชาติพันธุ์

การที่ฉากหลังของ A History of Violence นั้นคือประเทศอเมริกา (ทั้งที่หนังถ่ายทำที่แคนาดา และจริงๆ แล้วโครเนนเบิร์กก็ไม่เคยไปถ่ายหนังในอเมริกาเลย) ก็พอจะสะท้อนได้ว่าหนังต้องการพูดถึงการใช้ความรุนแรงของชนชาวอเมริกัน

สิ่งที่เป็นตัวแทนของความรุนแรงที่เด่นชัดในหนังก็คือ “ปืน” เพราะตัวละครทุกตัวล้วนเข่นฆ่ากันด้วยปืน แต่สิ่งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่สุดก็เห็นจะเป็น “ปืนในบ้าน” ของครอบครัวสตอล ที่ทำให้แจ็คได้หัดยิงคนตั้งแต่อยู่ไฮสกูล

แต่ถึงแจ็คจะไม่ได้ยิงผู้ร้ายที่มารังควานครอบครัว ผมก็เชื่อว่ามีแนวโน้มที่เขาจะได้ใช้มันอยู่ดี เพราะไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งเขาจะคว้าปืนติดตัวไปแล้วก็กราดใส่ไอ้เลวที่เขาเคียดแค้นมันมาตลอด 3 ปีเต็มในชีวิตมัธยมปลาย

รู้สึกคุ้นๆ กับเหตุการณ์นี้ใช่มั้ยครับ…ใช่แล้ว! มันก็คือเหตุการณ์โศกนาฏกรรมโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ที่ไมเคิล มัวร์เอาไปสร้างสารคดี Bowling for Columbine จนโด่งดัง ส่วนกัส แวน แซงต์ก็เอาไปทำหนัง Elephant จนคว้าปาล์มทองมาได้

Bowling for Columbine บอกกับเราว่าคนอเมริกันน่ะมีปืนไว้ในบ้านตัวเองเป็นเรื่องปกติ และจริงๆ แล้วเราอาจถือได้ว่าอเมริกาเป็นชาติที่ดำเนินมาคู่กับ “ปืน” เพราะคนผิวขาวก็ไล่ฆ่า “อินเดียนแดง” ด้วยปืน ต่อจากนั้นคนขาวก็ต้องมีปืนเพื่อป้องกันพวก “นิโกร” และมาตอนนี้พวกเขาก็ยิ่งต้องกำปืนในมือไว้แน่น เพราะพวกเขากลัวพวก “แขก” ก่อการร้าย!

แต่แท้จริงแล้ว A History of Violence ก็เป็นหนังที่มีคุณสมบัติเหมือน Hidden คือการเป็น “หนังสากลโลก” เพราะปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติใน Hidden กับความรุนแรงใน A History of Violence ก็เป็นประเด็น “ร่วม” ของทุกประเทศ และโครเนินเบิร์กเองยังให้สัมภาษณ์ว่า “ผมเชื่อว่าทุกประเทศน่ะก่อร่างสร้างชาติตัวเองมาด้วยความรุนแรงทั้งนั้นแหละ!”

เช่นนั้นแล้วเราอาจกล่าวได้หรือไม่ว่ามนุษย์นั้นเป็น “ชาติพันธุ์” แห่งความรุนแรงอย่างแท้จริง




3. โฉมหน้าแห่งความรุนแรง

คุณผู้อ่านคิดเหมือนผมมั้ยครับว่า “ตัวร้าย” ในหนังเรื่องนี้เป็นตัวละครที่ดู “หน้า” ก็รู้แล้วว่าร้าย (ทั้งโจรสองคนตอนต้นเรื่อง, ตัวละครของเอ็ด แฮร์ริส และวิลเลี่ยม เฮิร์ท) แต่ตัวละครอย่างทอม สตอล (จะเรียกเขาว่า “พระเอก” ได้มั้ย?) ล่ะครับ ใบหน้าของเขาบ่งบอกอะไรบ้าง

ต้องสารภาพกันตรงๆ เลยครับว่าผมทึ่งกับการแสดงของวิกโก้ มอร์เตนเซ่น (เฮียอารากอร์นจาก The Lord of the Rings) ในหนังเรื่องนี้มาก ในขณะหนึ่งเขาคือ “ทอม” ผู้แสนดี แต่ในวินาทีถัดมาใบหน้าของเขาก็กลายเป็น “โจอี้” นักฆ่าเลือดเย็นได้ในทันที ผมว่าทอมนี่แหละครับคือตัวละครที่ “ร้ายที่สุด” และสร้างความรุนแรงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงชนิดที่มองเห็น (ฆ่าคน) หรือไม่มองเห็น (ผลกระทบต่อลูกเมียของเขา) ก็ตาม

ผมจะลองคิดในแง่ดีแล้วกันครับว่า การที่วิกโก้ มอร์เตนเซ่นไม่ได้เข้าชิงออสการ์ในสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมคงเป็นเพราะคณะกรรมไม่ได้ดู “ฉากสุดท้าย” ของหนังเรื่องนี้ (หาใช่เพราะ A History of Violence ได้ชื่อว่าเป็นหนังของ “เดวิด โครเนนเบิร์ก”) มันเป็นฉากที่ดีมากครับ ไม่รู้ว่ามอร์เตนเซ่นเล่นขนาดนั้นได้อย่างไร

“ใบหน้า” ของทอมในตอนจบของเรื่องนั้นสอดรับกับสิ่งที่โครเนินเบิร์กตั้งใจไว้เลยครับ เพราะโครเนนเบิร์กไม่เพียงนำเสนอแค่ความรุนแรง แต่เขาต้องการสื่อถึง “ผลของความรุนแรง” ด้วย

สีหน้าของทอม และสมาชิกครอบครัวสตอลในฉากสุดท้ายนี่แหละครับคือการแสดงถึงผลของความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์





บทความอ่านเพิ่มเติม

1. สกู๊ป A History of Violence ใน BIOSCOPE ฉบับที่ 48 โดย คุณไกรวุฒิ จุลพงศธร

2. สกู๊ป A History of David Cronenberg ใน PULP ฉบับที่ 27, 28, 29 โดย คุณอลงกรณ์ คล้ายสีแก้ว

3. บทวิจารณ์ A History of Violence ในเวบผู้จัดการ โดย คุณธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี
//www.manager.co.th/entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000024475

4. บทวิจารณ์ A History of Violence ใน DDT ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ โดย คุณชาคร ไชยปรีชา

5. บทวิจารณ์ A History of Violence ใน Flicks (หน้าปก My Boyfriend is Type B) โดย อ.ประวิทย์ แต่งอักษร

6. บทวิจารณ์ A History of Violence ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ โดย อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา (ขออภัย-ผมจำไม่ได้ว่าอยู่เล่มไหน แต่เป็นสองฉบับติดกัน ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์)

7. //www.historyofviolence.com/



Create Date : 18 มีนาคม 2549
Last Update : 18 มีนาคม 2549 3:30:09 น. 17 comments
Counter : 3638 Pageviews.

 
ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลย
อยากดูฉากจบที่ว่า

อาจารย์ธเนศ เขียนถึงหนังเรื่องนี้ด้วยเหรอ
เด๋วไปหาอ่านจ้า

เห็นสโลแกนขึ้นมา ดีใจ
คิดว่าจะพูดถึงหนังไทยเสียอีก


โดย: grappa วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:8:02:11 น.  

 
พี่ได้ดูหนังเรื่องนี้เช่นกัน มุมมองของพี่ (เกี่ยวกับสื่อและความรุนแรง) พี่ได้เขียนไว้ในบล็อกแล้ว

หากมองประเด็นอื่น อืม!!! พี่เห็นด้วยกับการสะท้อนภาพผลกรรมของความรุนแรงออกมา ปกติหนังส่วนใหญ่จะสะท้อนออกมาในรูปของมายาคติที่ว่า การฆ่าคนเป็นเรื่องธรรมชาติ ฆ่าแล้วก็จบ คนฆ่าไม่ได้รู้สึกรู้สาเลย อย่างหนังซีรีย์เจมส์ บอนด์ ที่พวกตัวลิ่วล้อถูกสังหารไปนั้น เจมส์ บอนด์เอง ไม่เคยมีจิตกลับมาสำนึกว่าเขาได้ฆ่าคน ๆ หนึ่งตายไปแล้ว เขาได้ฆ่าสามี ฆ่าพ่อของเด็ก ฆ่าคนสำคัญของครอบครัวหนึ่ง ๆ ตายไป

เขามีหน้าที่ฆ่า ฆ่า และฆ่า

การที่คนเราจะไร้ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ มันเป็นการมองคนอื่นว่าไม่ใช่คน เป็นการลดค่าความเป็นมนุษย์ มองว่าคนอื่นต่ำกว่าเรา มองลึกลงไปว่ามันเป็นเพียงวัตถุหนึ่งที่มีไว้ให้เราฆ่า ซึ่งปัญหานี้มันเป็นปัญหาของโลกสมัยใหม่ แล้วสื่อก็ทำการผลิตซ้ำออกมาเสมอ

มีตัวพระเอกก็ต้องมีตัวร้ายเป็นของคู่กัน

แต่หนังเรื่องนี้กลับพลิกมายาคตินี้ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่มิใช่เพียงตัวปัจเจกคนฆ่ารู้สึก แต่มันขยายไปถึงคนในครอบครัวที่ซึมซับความรุนแรงนั้นเข้าไปทีละน้อย ๆ

ตอนสุดท้ายของเรื่อง แม้จะไม่ได้คลี่คลายความรู้สึกให้ใสกระจ่าง แต่อย่างน้อยก็พอรู้ได้ว่า ครอบครัวนี้ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:11:13:53 น.  

 
ตอบ พี่ grappa

แหะๆ คงเขียนถึงหนังไทยโดยรวมไม่ได้หรอกครับ เพราะช่วงหลังมานี่แทบไม่ได้ดูหนังไทยเลย แถมหนังไทยที่ตัวเองชอบ คนก็ด่าว่ามัน "ไม่ใช่" หนังไทยอีกแน่ะ (ฮา)

ที่เอาประโยคของคุณเป็นเอกมาขึ้นสโลแกน เพราะรู้สึกว่ามันโดนใจมากน่ะครับ จริงๆ แล้วพี่ต้อมยังพูดต่ออีกว่า "ทุกๆ ปีเราจะเอาขยะไปขายที่เมืองคานส์"

อยากให้พี่ได้ดู A History of Violence มากเลยครับ (หนังอาจจะอยู่อีกไม่นานนัก)

หนังเรื่องนี้ได้รับเรท R ส่วน "ภาพ" ในฉากจบเรื่องนี้อาจจะเป็นเรท G แต่ผมว่า "ความรู้สึก" มันคือ NC-17

แต่นี่อาจจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมเท่านั้น เพราะขณะดูหนังเรื่องนี้ที่ลิโด้ แฟนคู่ข้างหน้าผมก็ยังสามารถนอนซบไหล่กันได้ (???) ผมไม่เข้าใจพฤติกรรมนั้นเลยครับ ให้ตายสิ

----------------------------

ตอบ พี่ดอง

แล้วจะเข้าไปอ่านในบล็อกนะจ๊ะ

ผมรู้สึกว่า A Hidtory of Violence นำเสนอความรุนแรงที่ "มองไม่เห็น" ได้รุนแรงกว่าความรุนแรงที่มองเห็นเสียอีก (โอเค เราจะละฉาก "บันไดสะเทือน" ออกไปก่อน ฮ่าๆๆๆๆ)

ผมชอบซับพล็อตของเรื่อง ซึ่งก็คือเรื่องของลูกชายพระเอก มากๆเลยครับ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ "ใกล้ตัว" มากๆ (ด้วยสาเหตุมั้งที่ทำให้ Elephant ติดอันดับ 20 หนังที่ชอบที่สุดในชีวิต) ถ้าหนังไม่มีส่วนนี้อาจจะชอบหนังน้อยลงมาก

รู้สึกว่าโครเนนเบิร์กเก่งมากครับที่คุมโทนของหนังได้ทั้งตลอดเรื่อง บอกได้เลยว่าโครเนนเบิร์กกำกับหนังเรื่องนี้แบบ "อยู่หมัด"

จริงๆ ผมว่าอย่างน้อยโครเนนเบิร์กก็น่าจะชิงออสการ์ผู้กำกับยอดเยี่ยมบ้างนะเนี่ย


โดย: merveillesxx วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:15:26:57 น.  

 
คุณเมอร์
ไปดู Constant Gardener ยัง
ชอบเรื่องนี้มาก
อยากให้คุณเมอร์ หยิบมาย่อยให้อ่านหน่อย
รออ่านนะ


โดย: EVIL=LIVE IP: 58.8.161.231 วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:16:26:18 น.  

 
ดีมากค่ะ หนังเรื่องนี้

Viggo Mortensen สลัดคราบสุภาพบุรุษผู้เคร่งขรึมจาก The Lord of the Rings
ออกไปได้หมดสิ้น ทำให้เราเชื่อว่าตัวละคร "Tom Stall" กระทำสิ่งที่น่ากลัวนั้นไป
เพราะเหตุใด?

ส่วนตัวละครร้ายตัวอื่น ๆ เช่น Ed Harris และ Villiam Hurt ออกมาไม่กี่ฉากแต่ก็เล่น
ได้เลือดเย็นดี Harris สวมบทบาทแบบนี้ได้เก่งจริง ๆ ค่ะ


โดย: Tai-Sarunya วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:17:28:42 น.  

 
ตอบ คุณ EVIL=LIVE

ผมยังไม่ได้ดู อีแต๋น การ์เดนเนอร์ เลยฮะ ขนาด "เด็กหอ" ผมยังไม่ได้ดูเลย (เอฟเฟกต์จากการสอบ FINAL)

ช่วงนี้หนังน่าดูเยอะมากเลยครับโดยเฉพาะ Capote (เข้าที่ house RCA เท่านั้น) และ Immortel (หนังจินตนาการสุดล้ำที่มีป้าชาร์ล็อต แรมปลิ้งร่วมด้วย / เข้าจำกัดโรง)

--------------------------------

ตอบ คุณ Tai-Sarunya

ตอนแรกผมไม่ชอบอารากอร์นเลยฮะ หมั่นไส้เขามากๆ (เพราะสาวๆ กรี๊ดเยอะนั่นเอง)

แต่เรื่อง A History of Violence นี่ต้องยอมครับ (ถึงมีหน้าแกจะเหี่ยวไปหน่อยก็ตาม ...เอ๊ะ ก็ปาเข้าไป 48 แล้วนี่นะ)

ผมว่าหนังเรื่องนี้เล่นดีทุกคนเลยครับ รวมถึงตัวลูกชายด้วย (แหม อยากถูกเด็กคนนี้ "ยิง" จัง...อุ๊ย พูดอะไรออกไปเนี่ย )


โดย: merveillesxx วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:17:50:13 น.  

 
ฉันอยากไปดู Capote

แต่ตอนนี้อยู่เชียงใหม่อีกแล้ว ขนาด Invisible Wave มันยังไม่เข้าเลยอ่ะ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 19 มีนาคม 2549 เวลา:10:24:46 น.  

 
เห็นด้วยครับ ว่า วิกโก้ เล่นดีจริงๆ
โดยเฉพาะฉากสุดท้าย
เห็นแล้ว ต้องยกนิ้วให้เลย

ป.ล.
- อย่างไรก็ดี ถ้าเทียบกับหนังที่พูดในประเด็นคล้ายๆ กัน (คือ พูดในประเด็นของความรุนแรง) อย่าง Hidden

ผมกลับชอบหนังเรื่องนี้น้อยกว่า Hidden ครับ คือ รู้สึกว่า Hidden มีเสน่ห์ของความเคลือบแคลงมากกว่า , มีการใส่สัญลักษณ์อย่างแยบยลมากกว่า

ต่างจาก A History of Violence ที่หลายครั้ง ตัวเองรู้สึก (เอาเอง) ว่า หนังใส่สัญลักษณ์ได้ "ตรงไปตรงมา" ผิดฟอร์ม ผกก. อย่างโครเนนเบิร์ก เป็นอย่างมาก ....แบบประตู ที่เป็นสัญลักษณ์ของการเปิด - ปิดสู่โลกใบใหม่ -- รู้สึกมันใส่มาอย่างจงใจ และดูยัดเยียดอย่างบอกไม่ถูก ...สรุปก็คือ ชอบหนังเรื่องนี้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น (ให้เกรดได้มากสุดแค่ A ต่างจาก Hidden ที่ชอบในระดับ A++++)

- อยากดู capote เหมือนกันครับ แต่ฉายแค่ที่เฮ้าส์โรงเดียว ขี้เกียจถ่อสังขารไปจัง


โดย: it ซียู IP: 203.156.89.3 วันที่: 19 มีนาคม 2549 เวลา:17:29:18 น.  

 
ชอบฉากสุดท้ายมากกกกกกกกกกก


โดย: nanoguy (nanoguy ) วันที่: 19 มีนาคม 2549 เวลา:18:28:49 น.  

 
คุณนพดล มาตอบคำถามเรื่อง wind-up bird
ที่แมกเวยxx ไปถามไว้ที่บล็อกพี่เรียบร้อยแล้วจ้า
มาแจ้งข่าว


โดย: grappa วันที่: 19 มีนาคม 2549 เวลา:21:35:45 น.  

 
เป็นเรื่องนึงที่ตอนอ่าน pulp ล่ะมั้ง แล้วอยากดู(ที่มีคู่กะเรื่อง hiddenอ่ะ) ไม่กล้าอ่านเพราะอยากดูก่อน


โดย: quin toki วันที่: 19 มีนาคม 2549 เวลา:22:08:14 น.  

 


Donnie Darko (2001, Richard Kelly)

เมื่อวานเพิ่งได้ดูหนังเรื่อง Donnie Darko (2001, Richard Kelly, A+++++++++) ไปครับ ชอบมากๆ เลยครับ อยากเขียนถึงด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่ไหวครับ เพราะผมดูไม่รู้เรื่องครับ (ฮา)


ตัวอย่างความเสียสติในโลกอินเตอร์เน็ตครับ (ไม่น่าเชื่อเนาะ ยังมีคนแบบนี้อยู่ในโลก)
//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=27352

-------------------------------

ตอบ พี่ดอง

ขนาดหนูอยู่กรุงเทพยังไม่ได้ดู Capote เลยค่ะ

เคยไปเชียงใหม่แค่ครั้งเดียวเอง (ไปตอน ม.6 ปัจฉิมนิเทศ) แล้วแบบว่าโรงเรียนก็ทำประหยัดให้นั่งรถไฟชั้น 3 ไป ...โอย ไม่เอาอีกแล้วววววว

-------------------------------

ตอบ คุณ it ซียู

ถ้าเทียบ A History of Violence กับ Hidden แล้ว ผมชอบในระดับพอๆ กันครับ

แต่ผมว่ามันน่าทึ่งอ่ะครับ ที่โครเนนเบิร์กทำหนังเรียบๆง่ายๆ แบบนี้แต่มันก็ออกมาดี ที่สำคัญประเด็นมันไม่ได้ง่ายตามหนังอ่ะสิเนี่ย ...ผมว่าหนังแบบนี้ทำยากนะ (ในขณะที่ใน Hidden นั้น ฮาเนเก้ก็พิสูจน์ว่าเค้ายังรักษาแนวทาง "เฉพาะตัว" ได้อย่างเหนียวแน่น)

-------------------------------

ตอบ พี่ grappa

เข้าไปอ่านแล้วจ้า ดีใจจังที่ Wind-Up จะมีแปลออกมาด้วย (แต่คงอ่านกันตาเหลือกเลยแฮะ)

--------------------------------

ตอบ คุณ quin toki

บทความคู่ Hidden + A History of Violence อยู่ใน BIOSCOPE ฉบับ 48 หน้าปก Harry Potter จ้า ขื่อบทความคือ "ซ่อนเร้นในปัจเจก...หมายเหตุความรุนแรง" เขียนโดยคุณไกรวุฒิ จุลพงศธร เป็นบทความที่ผมชอบมากเลยครับ (โดยเฉพาะอันรวมฉากเด็ดหนัง ไมเคิล ฮาเนเก้ ฮ่าๆๆๆๆๆ)


โดย: merveillesxx วันที่: 20 มีนาคม 2549 เวลา:0:30:43 น.  

 
มาอ่านแบบข้ามๆ เพราะกลัวสปอยล์ตัวเอง


Capote เข้าเฮ้าส์ที่เดียวเหรอ ลิโดไม่เข้าได้ไงอ้ะ? ถ่อไปไม่ไหวม้างงงงง

เอ..เหมือนๆ เมเจอร์มีโปรโมชั่นหนังออสการ์มาเข้าครบชุดไม่ใช่รึ? ลองเช็คดูดีกว่า

แต่เดือนนี้พลาดหนังหลายเรื่องที่อยากดูเลยง่ะ ทำไมหนังดีๆ มาเข้าช่วงเดียวกับที่จะมีงานหนังสือเนี่ย?


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 20 มีนาคม 2549 เวลา:10:34:10 น.  

 
ผมก็ชอบเรื่องเล่าสารพัดของคุณ merveillesxx เช่นกัน แอบไปอ่านขอความรู้เป็นประจำ

แลกลายเซ็นกันตรงนี้นะครับ

โดย: นพดล เวชสวัสดิ์ IP: 58.8.245.49 วันที่: 20 มีนาคม 2549 เวลา:0:26:39 น.

ก็อบอีกคำตอบของคุณนพดล มาให้อ่าน


โดย: grappa วันที่: 20 มีนาคม 2549 เวลา:23:01:39 น.  

 

หนังที่ได้ดูวันนี้



1. The Constant Gardener (2005, Fernando Meirelles, A+)

ปกติไม่เคยชอบขี้หน้า Rachel Weiz เลย (โดยเฉพาะยิ่งดู The Shape of Things แล้วยิ่งเกลียดเธอ) แต่ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าเธอสวยมาก เรื่องนี้เธอเหมือนนางฟ้า...

ส่วน Ralph Fiennes ก็เล่นดีมาก ในที่สุดเค้าก็ล้างภาพจิตๆ ของตัวเองได้แล้ว (เย้)

The Constant Gardener อาจจะหนังที่พูดถึงประเด็นโลกที่สาม / การคอร์รัปชั่น ได้อย่างถึงแก่น แต่สำหรับผมแล้วประเด็นที่ยิ่งใหญ่ของหนังคือ "การตามหาความรักทางจิตวิญญาณ"

หนังเรื่องนี้อาจจะมีชื่อไทยว่า "รักยิ่งใหญ่จากหญิงคนหนึ่ง" (ล้อกับชื่อเพลง "รักยิ่งใหญ่จากชายคนหนึ่ง" ของ โบ-สุนิตา)

ตอนจบของหนังซึ้งมาก คิดถึงตอนพิมพ์แล้วยังอยากร้องไห้เลย


2. Immortal (2004, Enki Bilal, A-)

ดูที่โรง EGV Metropolis ทั้งโรงมีอยู่ 4 คน ...แต่จะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้าคุณเป็นคนที่ดูหนังที่ House บ่อยๆ (ฮา)

ชอบทรงผมของ ชาร์ล็อต แรมปลิ้ง ในหนังมาก


3. V for Vendetta (2005, James McTeigue, A-)

หนังเรื่องนี้เอาไปฉายหน้าทำเนียบคงเหมาะดี (ส่วนบ้านเราตอนนี้เป็น T(i) for Thaksinomics)


4. My Boyfriend is Type-B (2005, Choi Suk-Won, B+)

มีประโยคนึงที่ชอบจากหนังคือ "ความรักจะทำให้เรามีความสุขหนึ่งครั้ง แต่จะทำให้เราเจ็บไปอีกพันครั้ง"

แต่ถ้าผมเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ผมจะเปลี่ยนเป็น "ความรักจะให้เรามีความสุขครั้งหนึ่ง แต่มันจะทำให้เราทุกข์ไปตลอดชีวิต"

---------------------------

ตอบ พี่สาวไกด์

Capote เข้าแต่ house ที่เดียวจริงๆ จ้า เพราะรู้สึกว่าทางโรงหนังจะซื้อมาเองเลย

ปีนี้คงไม่ไปงานหนังสือแล้วล่ะ หนังสือดองเต็มบ้านแล้ว


ตอบ พี่ grappa

ขอบคุณจ้าที่เอามาให้อ่าน

วันนี้ไปดู The Constant Gardener ก็เจอชื่อคุณนพดล อีกล่ะ (คุณนพดลแปลซับหนังเรื่องนี้)



โดย: merveillesxx วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:1:04:25 น.  

 
วันนี้พึ่งไปดู Where the truth lies มา
แมกเวยxx ดูหรือยัง


โดย: grappa วันที่: 23 มีนาคม 2549 เวลา:22:10:40 น.  

 
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A4202979/A4202979.html


ความคิดเห็นที่ 5

อยากดู ชอบ Maria Bello

จากคุณ : jangs - [ 18 มี.ค. 49 11:19:52 ]






ความคิดเห็นที่ 6

วิจารณ์ดีจังคะ
ไปดูแล้ว ฉากสุดท้ายติดตามาก

จากคุณ : mousse-series - [ 18 มี.ค. 49 11:25:26 ]






ความคิดเห็นที่ 7

ข้อมูลน้อง merveillesxx ปึ้กมากๆเลยครับ (แถมด้วย reference อีก)

เวลา พี่เขียนถึงหนัง พี่ก็เขียนแบบสบายๆ แต่ของน้อง...สุดๆไปเลย ดีครับ

จากคุณ : ตี๋หล่อมีเสน่ห์ - [ 18 มี.ค. 49 12:39:09 ]






ความคิดเห็นที่ 8

จขกท ชื่อ อ่านว่าไรอะ
เมอ-วีล-เลส-20 หยอ?

^^?

จากคุณ : tatsu - [ 18 มี.ค. 49 12:49:27 A:61.91.69.109 X: TicketID:112182 ]






ความคิดเห็นที่ 9

อ้าว จบแล้วเหรอ

คือ ชอบคุณ merveillesxx วิเคราะห์มากๆ ครับ และปกติเห็นเขียนยาวกว่านี้ จะมีต่อป่าวเนี่ย

เห็นด้วยว่าวิกโก้แสดงสุดจะบรรยายเลยครับ ไม่รู้คณะกรรมการออสการ์ตาบอดหรือไงที่ไม่เลือกให้เข้าชิง แต่ก็นั่นแหละนะ จะเอาอะไรกับออสการ์

จากคุณ : kitty_boo_end - [ 18 มี.ค. 49 12:57:11 ]






ความคิดเห็นที่ 10

.............ยังไม่ได้ดูเลย อยากดูจัง ไม่กล้าอ่านมาก กลัวเจอสปอย นี่อินวิซซิเบิล เวฟ ก็พลาดไปเรื่องนึงแล้ว เฮ่อ

จากคุณ : joblovenuk - [ 18 มี.ค. 49 12:57:14 ]






ความคิดเห็นที่ 11

เขียนดีจังแฮะ อ่านเพลินเลยครับ
เห็นอย่างนี้แล้วก็เซ็งคอลัมนิสต์หนังบางคน
ที่เอาแต่เล่าเรื่อง ๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็บอกว่าตัวเองเป็นนักวิจารย์

เอาคุณไปเขียนแทนเวิร์คกว่ามากเลยครับ

จากคุณ : คนไทยในต่างมุม - [ 18 มี.ค. 49 13:20:15 ]






ความคิดเห็นที่ 12

ตอบคุณ jangs

งั้นรีบไปดูเลยครับ เพราะเรื่องนี้ มาเรีย เบลโล่ เธอเล่นดีมาก นี่คือการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตการแสดงของเธอเลยครับ (ถ้าผมจำไม่ผิดเธอเข้าชิงลูกโลกทองคำด้วย)

------------------------

ตอบ คุณ mousse-series

หนังเรื่อง A History of Violence ได้รับเรท R ส่วนภาพในฉากจบคงเป็นเรท G แต่ผมว่าความรู้สึกมันคือ NC-17 ครับ

---------------------------

ตอบ พี่ตี๋หล่อมีเสน่ห์

ขอบคุณมากครับ

-----------------------------

ตอบ คุณ tatsu

อ่านว่า "เมอ-เลว-เลส" (ภาษาปะกิด) หรือ "แมก-เวย" (ภาษาฝรั่งเศส) ก็ได้จ้ะ

-----------------------------

ตอบ คุณ kitty_boo_end

ไม่มีต่อแล้วจ้า มีแค่นี้แหละ

สมัยก่อนเวลาเขียนผมพยายามจะยัดทุกประเด็นที่ตัวเองคิดออกลงไปครับ ซึ่งมันก็ออกมาเป็นบทวิจารณ์ยาว 8 หน้า อะไรแบบนี้ แต่มาตอนนี้ผมคิดว่าบางประเด็นเราปล่อยให้ผู้อ่านคิดเองดีกว่า (ฉากเช่นเรื่องนี้ ผมก็ไม่เขียนถึงเรื่อง "ฉากบันไดสะเทือน" เพราะทุกคนเข้าใจมันได้ครับ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ)

ผมว่าออสการ์ไม่ได้ตาบอดหรอกครับ แต่ปีหน้าสัญลักษณ์ของออสการ์จะมี "ถั่ว" ติดอยู่ที่ตา

--------------------------------

ตอบ คุณ joblovenuk

โห ไม่ได้คุยกันนานเลย คุณจ๊อบสบายดีนะครับ

เสียใจด้วยที่พลาด Invisible Waves แต่ห้ามพลาด A History of Violence นะครับ ดูแล้วค่อยมาอ่านก็ดีครับ

-----------------------------

ตอบ คนไทยในต่างมุม

ขอบคุณมากครับ

จากคุณ : merveillesxx - [ 18 มี.ค. 49 15:40:10 ]






ความคิดเห็นที่ 13

สำหรับเรา หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูสนุกที่สุดในปี 2005 เพราะมันมีอะไรให้คิดตามเยอะเหลือเกิน เห็นด้วยกับน้อง mer ว่าผู้กำกับเก่งตรงที่ทำหนังสะท้อนสังคมที่ซับซ้อนให้ออกมาเป็นหนังตลาดยิงกันเลือดกระฉูดได้

เอาตั้งแต่ชื่อเรื่อง คำว่า History of Violence ปกติมันจะหมายถึง คนที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับความรุนแรง แต่พอได้ดูจริงๆเราว่ามันหมายถึงความเป็นมาของความรุนแรงในสังคมมนุษย์มากกว่า

นอกจากประเด็นที่น้อง mer เขียนไปแล้ว เรายังมีข้อติดค้างหลายอย่าง
1. ชายหนุ่มที่ยิงเด็กตอนต้นเรื่องนั้น หน้าคล้าย Viggo Mortensen เหลือเกิน
2. เราไม่แน่ใจว่าตอนจบหมายความว่าอะไร คนเราควรยอมรับว่าความรุนแรงเป็น Human Nature หรือเพิกเฉยไม่รับรู้ หรือสุดท้ายแล้วมันจะถูกส่งต่อไปสู่คนรุ่นหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ใครรู้ก็ช่วยสงเคราะห์เราหน่อย (เราไม่ได้อยู่เมืองไทย คงหาอ่าน reference ของน้อง mer ไม่ได้)

จากคุณ : ha-meow - [ 18 มี.ค. 49 20:20:15 ]






ความคิดเห็นที่ 14

merveillesxx ... ห่างหายเขียนเรื่องหนังไปนาน ก็ยังเยี่ยมไม่ตกจริงๆ ขอสงสัยชื่อบ้างได้มั้ยครับ อ่านมานานอยากรู้ว่าชื่อนี้มีความหมายว่าอะไรครับ

...ขออนุญาตแสดงความเห็นข้อ 2 ของคุณ ha-meow นะครับ

...ตอนจบคงไม่ได้บอกให้เมินเฉย แต่บอกว่า ความรุนแรงท้ายที่สุดแล้วมันเปลี่ยนชีวิตคนๆหนึ่งและเปลี่ยนครอบครัวนั้นอย่างไร จากครอบครัวเปี่ยมสุข --> ครอบครัวที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่เพียงเท่านั้นการ identifeid พ่อซึ่งมีความรุนแรงก็ทำให้ลูกสามารถมีความรุนแรงต่อๆไปได้อีก

จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 18 มี.ค. 49 21:39:56 ]






ความคิดเห็นที่ 15

ตอบ คุณ ha-meow

1. ตอนแรกก็คิดว่าตัวร้ายหนุ่มนั่นเป็น flashblack ของทอม สตอลครับ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แฮะ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตัวร้ายหนุ่มทำก็พอจะบอกเราเป็นนัยๆ ครับว่า แต่ก่อนนั้นทอม สตอล "ใช้ชีวิต" อย่างไร


2. ฉากจบผมคิดว่าคือการแสดงถึง "ความรุนแรงที่มองไม่เห็น" ครับ และทุกคนก็ตกเป็น "เหยื่อ" ของมัน

การที่หนังทิ้งฉากสุดท้ายไว้แบบนั้น มันทำให้เราต้องจินตนาการต่อไปว่าครอบครัวสตอลจะเป็นอย่างไรต่อไป แน่นอนครับว่าพวกเขาคงไม่มีความสุขนัก

-----------------------------

ตอบ คุณผมอยู่ข้างหลังคุณ

ใช่ฮะ ผมไม่ได้เขียนถึงหนังเกือบ 3 เดือนแน่ะ แบบว่าเทอมนี้มันเรียนสติแตกมากง่ะ

ส่วนที่มาของชื่ออ่านที่นี่ได้จ้ะ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=webmaster&month=04-2005&date=12&group=3&blog=5

จากคุณ : merveillesxx - [ 18 มี.ค. 49 22:12:36 ]






ความคิดเห็นที่ 16

คงรอ DVD ค่ะ เนื่องจากไม่ค่อยจะไปดูหนังในโรงสักเท่าไรเพราะรู้สึกเสียเวลาอ่ะค่ะ คิดว่ายังไงคงไปซื้อที่ลูกแมวแน่นอน ชอบ Maria ตั้งแต่ ER แล้ว(เสียดายที่ไม่สงเอยกับ Carter)

แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 49 12:24:30

จากคุณ : jangs - [ 19 มี.ค. 49 12:19:16 ]







ความคิดเห็นที่ 17

อะโห "ลุง" นานๆ กลับมาทีเล่นซะยาวเลยนะ อิ อิ อิ...

จากคุณ : Ace striker - [ 20 มี.ค. 49 18:01:27 ]


โดย: merveillesxx วันที่: 24 มีนาคม 2549 เวลา:0:11:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.