A History of Violence ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์แห่งความรุนแรง
โดย merveillesxx
วงการภาพยนตร์ในยุคหลังสหัสวรรษใหม่นั้น ผู้กำกับแต่ละคนล้วนมีหนังที่เป็น ตัวแทน โต้ตอบหรือแสดงทัศนะต่อเหตุการณ์ 9/11 (11 กันยายน 2001) ไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล ฮาเนเก้ กับหนังที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามอย่าง Hidden, แซลลี่ พ็อตเตอร์ กับหนังที่ดึงพลังของศิลปะทุกแขนงมาใช้อย่าง Yes หรือกระทั่ง มนุษย์ต่างดาว ใน War of the Worlds ของสตีเว่น สปีลเบิร์กก็เลิกผูกมิตรกับมนุษย์แต่หันมาถล่มโลกแทน
ผู้กำกับแคนาเดี้ยนชื่อดังอย่างเดวิด โครเนนเบิร์ก ก็มีหนัง 9/11 เป็นของตัวเองเช่นกัน แต่ A History of Violence ของเขาพูดโดยตรงถึง ความรุนแรง โดยในแง่หนึ่งมันเป็นความรุนแรงเชิง ประวัติศาสตร์ และที่สำคัญนี่เป็นหนังตลาด!
แต่ทว่าเมื่อมาทำหนังเกี่ยวกับความรุนแรงจริงๆ กลับกลายเป็นว่า A History of Violence เป็นหนังที่ดูง่ายและ ปกติจนน่าแปลกใจ และถึงจะไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่ามันเป็นหนังที่รุนแรงน้อยที่สุดของโครเนนเบิร์ก แต่ที่แน่ๆ ก็คือ หนังเรื่องนี้ใช้ความรุนแรงในระดับที่มัน จำเป็น ต้องใช้
การที่ฉากหลังของ A History of Violence นั้นคือประเทศอเมริกา (ทั้งที่หนังถ่ายทำที่แคนาดา และจริงๆ แล้วโครเนนเบิร์กก็ไม่เคยไปถ่ายหนังในอเมริกาเลย) ก็พอจะสะท้อนได้ว่าหนังต้องการพูดถึงการใช้ความรุนแรงของชนชาวอเมริกัน
แต่แท้จริงแล้ว A History of Violence ก็เป็นหนังที่มีคุณสมบัติเหมือน Hidden คือการเป็น หนังสากลโลก เพราะปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติใน Hidden กับความรุนแรงใน A History of Violence ก็เป็นประเด็น ร่วม ของทุกประเทศ และโครเนินเบิร์กเองยังให้สัมภาษณ์ว่า ผมเชื่อว่าทุกประเทศน่ะก่อร่างสร้างชาติตัวเองมาด้วยความรุนแรงทั้งนั้นแหละ!
ต้องสารภาพกันตรงๆ เลยครับว่าผมทึ่งกับการแสดงของวิกโก้ มอร์เตนเซ่น (เฮียอารากอร์นจาก The Lord of the Rings) ในหนังเรื่องนี้มาก ในขณะหนึ่งเขาคือ ทอม ผู้แสนดี แต่ในวินาทีถัดมาใบหน้าของเขาก็กลายเป็น โจอี้ นักฆ่าเลือดเย็นได้ในทันที ผมว่าทอมนี่แหละครับคือตัวละครที่ ร้ายที่สุด และสร้างความรุนแรงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงชนิดที่มองเห็น (ฆ่าคน) หรือไม่มองเห็น (ผลกระทบต่อลูกเมียของเขา) ก็ตาม
ผมจะลองคิดในแง่ดีแล้วกันครับว่า การที่วิกโก้ มอร์เตนเซ่นไม่ได้เข้าชิงออสการ์ในสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมคงเป็นเพราะคณะกรรมไม่ได้ดู ฉากสุดท้าย ของหนังเรื่องนี้ (หาใช่เพราะ A History of Violence ได้ชื่อว่าเป็นหนังของ เดวิด โครเนนเบิร์ก) มันเป็นฉากที่ดีมากครับ ไม่รู้ว่ามอร์เตนเซ่นเล่นขนาดนั้นได้อย่างไร
4. บทวิจารณ์ A History of Violence ใน DDT ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ โดย คุณชาคร ไชยปรีชา
5. บทวิจารณ์ A History of Violence ใน Flicks (หน้าปก My Boyfriend is Type B) โดย อ.ประวิทย์ แต่งอักษร
6. บทวิจารณ์ A History of Violence ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ โดย อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา (ขออภัย-ผมจำไม่ได้ว่าอยู่เล่มไหน แต่เป็นสองฉบับติดกัน ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์)
Viggo Mortensen สลัดคราบสุภาพบุรุษผู้เคร่งขรึมจาก The Lord of the Rings ออกไปได้หมดสิ้น ทำให้เราเชื่อว่าตัวละคร "Tom Stall" กระทำสิ่งที่น่ากลัวนั้นไป เพราะเหตุใด?
บทความคู่ Hidden + A History of Violence อยู่ใน BIOSCOPE ฉบับ 48 หน้าปก Harry Potter จ้า ขื่อบทความคือ "ซ่อนเร้นในปัจเจก...หมายเหตุความรุนแรง" เขียนโดยคุณไกรวุฒิ จุลพงศธร เป็นบทความที่ผมชอบมากเลยครับ (โดยเฉพาะอันรวมฉากเด็ดหนัง ไมเคิล ฮาเนเก้ ฮ่าๆๆๆๆๆ)
1. The Constant Gardener (2005, Fernando Meirelles, A+)
ปกติไม่เคยชอบขี้หน้า Rachel Weiz เลย (โดยเฉพาะยิ่งดู The Shape of Things แล้วยิ่งเกลียดเธอ) แต่ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าเธอสวยมาก เรื่องนี้เธอเหมือนนางฟ้า...
ส่วน Ralph Fiennes ก็เล่นดีมาก ในที่สุดเค้าก็ล้างภาพจิตๆ ของตัวเองได้แล้ว (เย้)
The Constant Gardener อาจจะหนังที่พูดถึงประเด็นโลกที่สาม / การคอร์รัปชั่น ได้อย่างถึงแก่น แต่สำหรับผมแล้วประเด็นที่ยิ่งใหญ่ของหนังคือ "การตามหาความรักทางจิตวิญญาณ"
เสียใจด้วยที่พลาด Invisible Waves แต่ห้ามพลาด A History of Violence นะครับ ดูแล้วค่อยมาอ่านก็ดีครับ
-----------------------------
ตอบ คนไทยในต่างมุม
ขอบคุณมากครับ
จากคุณ : merveillesxx - [ 18 มี.ค. 49 15:40:10 ]
ความคิดเห็นที่ 13
สำหรับเรา หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูสนุกที่สุดในปี 2005 เพราะมันมีอะไรให้คิดตามเยอะเหลือเกิน เห็นด้วยกับน้อง mer ว่าผู้กำกับเก่งตรงที่ทำหนังสะท้อนสังคมที่ซับซ้อนให้ออกมาเป็นหนังตลาดยิงกันเลือดกระฉูดได้
เอาตั้งแต่ชื่อเรื่อง คำว่า History of Violence ปกติมันจะหมายถึง คนที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับความรุนแรง แต่พอได้ดูจริงๆเราว่ามันหมายถึงความเป็นมาของความรุนแรงในสังคมมนุษย์มากกว่า
นอกจากประเด็นที่น้อง mer เขียนไปแล้ว เรายังมีข้อติดค้างหลายอย่าง 1. ชายหนุ่มที่ยิงเด็กตอนต้นเรื่องนั้น หน้าคล้าย Viggo Mortensen เหลือเกิน 2. เราไม่แน่ใจว่าตอนจบหมายความว่าอะไร คนเราควรยอมรับว่าความรุนแรงเป็น Human Nature หรือเพิกเฉยไม่รับรู้ หรือสุดท้ายแล้วมันจะถูกส่งต่อไปสู่คนรุ่นหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ใครรู้ก็ช่วยสงเคราะห์เราหน่อย (เราไม่ได้อยู่เมืองไทย คงหาอ่าน reference ของน้อง mer ไม่ได้)
คงรอ DVD ค่ะ เนื่องจากไม่ค่อยจะไปดูหนังในโรงสักเท่าไรเพราะรู้สึกเสียเวลาอ่ะค่ะ คิดว่ายังไงคงไปซื้อที่ลูกแมวแน่นอน ชอบ Maria ตั้งแต่ ER แล้ว(เสียดายที่ไม่สงเอยกับ Carter)
อยากดูฉากจบที่ว่า
อาจารย์ธเนศ เขียนถึงหนังเรื่องนี้ด้วยเหรอ
เด๋วไปหาอ่านจ้า
เห็นสโลแกนขึ้นมา ดีใจ
คิดว่าจะพูดถึงหนังไทยเสียอีก