Afterschool : ความรุนแรงแบบไวรัล
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
หากพูดถึงหนังที่ว่าด้วยเหตุการณ์รุนแรงในโรงเรียนแล้ว หนังเรื่อง Elephant (2003) ของ กัส แวง แซงต์ คงผุดขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ ถึงแม้ว่าตัวงานเองจะไม่ได้มีความเป็นออริจินอลอย่างแท้จริง เพราะใช้ไอเดียของหนังชื่อเดียวกัน* ปี 1989 ของ อลัน คาร์ก มาอีกต่อหนึ่ง อย่างไรก็ดี การที่ Afterschool เป็นหนังสัญชาติอเมริกันแท้ๆ จึงทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับหนังเรื่องดังกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
ที่จริงแล้ว Afterschool ไม่ได้เกี่ยวกับการยิงกันในโรงเรียน แต่จุดที่มันคล้ายกับ Elephant คือการเล่าเรื่องความรุนแรงผ่านกิจวัตรประจำวันของเหล่าเด็กนักเรียน นอกจากนั้นหนังยังปรับตัวเองให้ทันสมัยขึ้นด้วยการแทรกประเด็นเรื่องอินเตอร์เน็ตเข้าไป จนชวนให้เรานึกถึง All About Lily Chou-Chou อยู่กลายๆ
เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ว่าด้วย โรเบิร์ต เด็กวัยมัธยมปลายที่พ่อแม่ส่งมาอยู่โรงเรียนประจำ ตามสไตล์ของหนังประเภทนี้ที่พระเอกจะต้องเป็นเด็กแปลกแยกไม่ค่อยมีเพื่อน แต่โรเบิร์ตมีสิ่งที่ต่างออกไปคือเขาชอบดูคลิปแรงๆ ตามอินเตอร์เน็ต ในวันหนึ่งขณะที่โรเบิร์ตกำลังถ่ายวิดีโอเล่นในโรงเรียน เขาก็บันทึกภาพนักเรียนสาวสองคนที่ตายจากการเสพยาเกินขนาดได้โดยบังเอิญ
Afterschool เป็นหนังยาวเรื่องแรกของ อันโตนิโอ แคมโปส เขาเป็นชาวนิวยอร์คโดยกำเนิด บ้าดูหนังมาตั้งแต่เด็ก เรียนจบทางด้านภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค และมีผลงานหนังสั้นที่กวาดคำชมมามากมาย แคมโปสทำ Afterschool ตอนอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น โดยหนังได้เข้าประกวดในสาย Un Certain Regard ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2008
ผู้กำกับหนุ่มให้สัมภาษณ์ว่าคนทำหนังที่มีอิทธิพลต่อเขาอย่างสูงคือ ไมเคิล ฮานาเก้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่หนังเรื่องนี้จะมีบรรยากาศเย็นชาแบบฮานาเก้เกือบตลอดทั้งเรื่อง หนังดำเนินไปอย่างเรียบนิ่ง ไม่มีการใช้เพลงประกอบแต่อย่างใด เปรียบประหนึ่งผิวน้ำที่ดูสงบนิ่ง แต่ผู้ชมก็รู้อยู่แก่ใจว่ามีบางอย่างกำลังรอการปะทุปะทังขึ้นมา
คนทำหนังอีกคนที่แคมโปสชื่นชอบคือ เฟรดเดอริก ไวส์แมน ผู้กำกับสารคดีชาวอเมริกันที่เน้นการสังเกตซับเจ็คอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้น Afterschool จึงมีกลิ่นอายของสารคดีอยู่บ้างในแง่การลอบสังเกตความเป็นไปของเด็กๆ ในโรงเรียน หลายฉากหลายตอนของหนังถูกถ่ายทำด้วยวิธีแบบลองเทค เช่น ฉากบนโต๊ะอาหาร หรือการพูดคุยระหว่างพระเอกกับอาจารย์ที่ปรึกษา แต่การใช้ที่ทรงพลังที่สุดอยู่ในฉากการตายของสองนักเรียนสาว มันทั้งน่าอึดอัดและสะเทือนขวัญอย่างสมจริง
นอกจากนั้นแคมโปสยังกำหนดภาษาภาพยนตร์เฉพาะตัวให้กับหนังของตัวเองอีกด้วย เขาเลือกถ่ายภาพแบบจอกว้างในอัตราส่วน 2.35 : 1 (ซึ่งปกติจะใช้กับหนังที่เน้นภูมิทัศน์ในแนวกว้าง เช่น ฉากสู้รบใน The Lord of the Rings) หลายครั้งที่เขาจัดให้ตัวละครไปกองรวมอยู่ที่ด้านใดด้านหนึ่งของเฟรมอย่างจงใจ, ภาพถ่ายให้ใบหน้าหรือศีรษะของตัวละครหลุดจากเฟรม รวมไปถึงการโฟกัสภาพแบบชัดตื้นในหลายฉาก**
เทคนิคภาพยนตร์ทั้งหมดที่กล่าวมาสื่อถึงภาวะไม่สมดุลของตัวละครในเรื่อง ทั้งบรรดานักเรียนที่ตื่นตระหนกกับการตายของเพื่อน, อาจารย์ที่ต้องลุกขึ้นมาตรวจตราอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย, พ่อแม่ของสองสาวที่ยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของลูก แต่ที่หนักหน่วงอย่างที่สุดก็คือ โรเบิร์ต ที่เป็นพยานหนึ่งเดียวของโศกนาฏกรรมครั้งนี้
นอกจากภาษาหนังที่แพรวพราวแล้ว ประเด็นของ Afterschool ก็น่าสนใจเช่นกัน อย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดหนังกำลังพูดเรื่องวัฒนธรรมสมัยใหม่ของ YouTube และไวรัลวิดีโอ (วิดีโอที่ต่อส่งต่อกันไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นของฮิตขึ้นมา) หนังเปิดฉากด้วยภาพน่ารักๆ ของแมวที่กำลังเล่นเปียโน ก่อนจะตามด้วยภาพนักเรียนตบกันในโรงเรียน, ซัดดัม ฮุสเซน ถูกแขวนคอ ตามด้วยหนังโป๊ที่หญิงสาวถูกฝ่ายชายบีบคอบังคับให้พูดต่อหน้ากล้องว่า “แม่คะ หนูยอมถูกเอาเพื่อเงินค่ะ”
สิ่งที่น่าขบคิดประการแรกคือเรื่องของความจริงในคลิปเหล่านี้ อย่างคลิปหนังโป๊ในตอนเปิดเรื่องเราไม่อาจแน่ใจได้เลยว่ามันคือเรื่องจริงหรือการแสดงปลอมๆ กันแน่ แต่ที่แน่นอนคือ โรเบิร์ตรู้สึกมีอารมณ์ตื่นเต้นไปกับมัน ดังนั้นในฉากโรเบิร์ตไปพบสองสาวกำลังกระอักเลือดเจียนตาย และเดินเข้าไปหาพวกเธออย่างช้าๆ เราก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกันว่าเขาช็อคกับสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า หรือกำลังตื่นเต้นดีอยู่ในใจลึกๆ หรือเป็นความรู้สึกทั้งสองอย่างปะปนระคนกัน
เรื่องของความจริงถูกเสียดสีอย่างเจ็บแสบ เมื่อโรเบิร์ตถูกมอบหมายให้รับผิดชอบวิดีโอไว้อาลัยสองนักเรียนที่เสียชีวิตไป เขาตัดต่อคลิปด้วยภาพของนักเรียนที่สารภาพว่าไม่รู้จักทั้งสองคนนัก, เด็กหนุ่มที่ดีใจที่ทั้งคู่ยอมให้ออกเดทด้วย, อาจารย์ใหญ่ที่ขอเทคใหม่เพราะพูดไม่ดีพอ และตบท้ายด้วยภาพบันไดซึ่งเป็นสถานที่ที่พบศพของผู้ตาย หลังจากฉายคลิปให้อาจารย์ดู โรเบิร์ตก็ถูกด่าอย่างไม่เหลือชิ้นดี
คลิปไว้อาลัยถูกทำใหม่ด้วยฝีมือของคนอื่น มันเต็มไปด้วยถ้อยคำสรรเสริญจากเหล่าเพื่อนฝูง (ซึ่งผ่านการตัดต่อมาแล้ว) และเพลงประกอบแสนซาบซึ้ง มองในแง่หนึ่งวิดีโอของโรเบิร์ตอาจดูเพี้ยนพิลึก แต่นั่นก็เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเขาต่อการตายของเพื่อน แต่ที่สุดแล้วมันก็ต้องถูกจำกัดจากอาจารย์ ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจในนามของความดีงาม*** อำนาจที่เพียงพอต่อการบิดเบือนความเป็นจริง
วิดีโอไวรัลยังถูกนำมาขยายเรื่องความรุนแรงในสถานศึกษาด้วยเช่นกัน โดยถึงแม้แคมโปสจะไม่ได้เรียนในโรงเรียนประจำเหมือนตัวละครในเรื่อง แต่เขาให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองสามารถสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดในโรงเรียนของเหล่าชนชั้นกลาง และเขาก็รู้สึกรับไม่ได้กับซีรี่ส์อย่าง Gossip Girl หรือ NYC Prep ที่เน้นแต่ชีวิตอันเลิศหรูของนักเรียนในเรื่อง
คลิปเด็กตบกันในโรงเรียนไม่ได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แม้แต่ในอเมริกาหรือนิวยอร์คก็มีเรื่องประเภทนี้เช่นกัน หลายฉากที่เราเห็นโรเบิร์ตกับเพื่อนๆ นั่งดูคลิปเหล่านี้ประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องปกติ แถมยังกดดูซ้ำๆ อีกด้วย และในที่สุดเมื่อโรเบิร์ตเกิดเรื่องชกต่อยกับเพื่อน เหตุการณ์ในวันนั้นก็ถูกอัพขึ้นบนอินเตอร์เน็ตจนได้
เชื่อว่าในไม่ช้าคลิปของโรเบิร์ตก็จะถูกส่งต่อให้เพื่อนๆ ในโรงเรียนแห่งนี้ดูกันถ้วนหน้า ไม่ว่าอาจารย์จะตามลบสักเท่าไร คลิปนี้ก็อาจจะถูกโพสต์ขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน รวมถึงการแพร่กระจายด้วยกระแสปากต่อปาก, การส่งต่อในรูปของฟอร์เวิร์ดเมล และการแชร์ต่อๆ กันไปบนหน้าของเฟสบุ๊ค สิ่งนี้ทำให้เราตระหนักได้ว่าเราเองสามารถเป็นส่วนหนึ่งกระบวนการส่งต่อความรุนแรงได้อย่างง่ายดาย ด้วยการคลิกเม้าส์เพียงไม่กี่ที
และไม่ว่าจะคลิปไหนๆ ก็ดูเหมือนจะลักษณะร่วมกันคือ มีใครสักคนมือไวหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ยืนมุงกันแน่นิ่ง และไม่มีใครคิดจะเข้าไปห้าม สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของหนังคือตอนที่โรเบิร์ตค้นพบว่ามีคนอัพคลิปตอนที่สองสาวกำลังจะตาย โดยการถ่ายจากอีกมุมหนึ่ง นั่นแปลว่ามีคนเห็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับโรเบิร์ต แต่เขาคนนั้นก็ไม่ได้คิดเข้ามาช่วยแต่ประการใด
ดังนั้นหัวใจของหนังไม่ได้อยู่ที่ว่าหญิงสาวสองคนนั้นตายเพราะอะไร หรือใครที่อยู่เบื้องหลังการตายของพวกเธอ แต่สิ่งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงมากกว่าคือ การที่ใครสักคนเพิกเฉยต่อการตายของมนุษย์ด้วยกัน และนั่นอาจนับเป็นความรุนแรงขั้นสูงสุดที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้
หมายเหตุ
* สามารดูหนังเรื่อง Elephant ของ อลัน คาร์ก ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=0cwvGeYjLjI
** การโฟกัสภาพแบบชัดตื้น (Shallow focus) คือการถ่ายภาพให้วัตถุที่อยู่เบื้องหน้า (Foreground) และเบื้องหลัง (Background) มีความคมชัดไม่เท่ากัน
*** อาจจะนอกเรื่องไปหน่อย แต่สำหรับประเด็น ‘ผู้กุมอำนาจในนามของความดีงาม’ ล่าสุดที่ผมเพิ่งเจอคือจากละครเรื่อง ‘จงกลกลิ่นเทียน’ ในช่วงท้ายที่เจ้าย่า (ทาริกา ธิดาทิตย์) ไม่ยอมให้ เจ้าบัวคำแก้ว (เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ) กลับเข้าร่างของตัวเอง แต่ให้ เทียนกันยา (อิศริยา สายสนั่น) อยู่ในร่างของเจ้าบัวคำแก้วต่อไป ด้วยเหตุผลที่ว่าฝ่ายหลังเป็นคนดี ในขณะที่ฝ่ายแรกเป็นคนเห็นแก่ตัวเอง แม้เจ้าย่าจะเป็นผู้คงคุณธรรมสูงส่ง แต่ก็ควรบันทึกไว้ด้วยว่านี่คือการใช้อำนาจอย่างเผด็จการ
Polytechnique
สำหรับท่านที่สนใจหนังที่ว่าด้วยความรุนแรงในโรงเรียน อีกเรื่องหนี่งที่ไม่ควรพลาดคือ หนังแคนาดาเรื่อง Polytechnique (2009, Denis Villeneuve) โดยหนังเรื่องนี้สร้างจากเหตุการณ์ฆาตรกรรมหมู่ในปี 1989 ที่มอนทรีอัล เมื่อชายคนหนึ่งบุกเข้าไปยิงนักศึกษาหญิงจนเสียชีวิต 14 คน
หนังโดดเด่นด้วยบรรยากาศแบบนิ่งเนิบและภาพขาวดำ และเนื่องจากฆาตกรตัวจริงอ้างว่าตัวเองทำไปเพราะต่อต้านพวกเฟมินิสต์ (เขาจึงเลือกยิงแต่ผู้หญิง) หนังจึงแทรกประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างสองเพศเข้าไปด้วย แต่ดูเหมือนจะทำอย่างจงใจเกินไปสักนิด อย่างไรก็ดี อีกประเด็นที่น่าสนใจมากของหนังคือชีวิตหลังจากเหตุการณ์นั้นของผู้รอดชีวิตบางคน
Create Date : 20 เมษายน 2553 |
Last Update : 20 เมษายน 2553 22:25:59 น. |
|
25 comments
|
Counter : 7711 Pageviews. |
|
|
|