http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
มกราคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 มกราคม 2548
 
All Blogs
 
2046 – รถไฟสายอดีต

โดย merveillesxx



จากความยาว 129 นาที (ซึ่งมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ของหว่องกาไว) ผมก็เริ่มสงสัยแล้วว่าหนังเรื่องนี้ของเขา ต้องมีอะไร 'พิเศษ' หลังจากที่ทำให้เรามึนตึ้บกับอาการ 'พูดไม่ชัด' ของ In The Mood For Love ...ความยาวขนาดนี้ของหนังทำให้ผมคิดว่าหนังอาจจะพูดอะไร ‘ชัด’ ขึ้น

ก็ทั้งถูกและไม่ถูก หนังยังมีส่วนที่เล่าไม่ชัดเหมือนเคย แต่อาจจะน้อยกว่า ITMFL (อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องมานั่งเถียงกันแล้ว พระเอกนางเอกได้เสียกันหรือเปล่า–ฮา) แต่สิ่งที่ตามมาคือการลำดับเวลาที่เหมือนรถไฟเหาะตีลังกาทีเดียว พูดให้ง่ายหนังเรื่องนี้ก็เหมือนกับเลโก้ที่เราจะต้องมานั่งต่อกันเองหน้าโรงหนัง ไม่เพียงแต่เรื่องของ ‘ลำดับ’ แต่รวมถึง ‘เรื่องราว’ ด้วย

ไม่แปลกเลยถ้าใครจะว่าหนังเรื่องนี้มันซ้ำซาก ย้ำคิดย้ำทำ เอาของเก่ามาหากิน หรือจะอะไรก็ตาม เพราะมันล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยและเคยเห็นในอดีต ตัวละครทั้งหลายพาเหรดมาให้เราดูกันไม่รู้จบ (แม้แต่เลสลี่ จาง แม้ตัวจะมาไม่ได้ แต่เราก็สัมผัสได้) พล็อตเรื่องยังคงเชื่อมโยงกับ Days of Being Wild และ ITMFL เปรียบดั่งบทสรุปของไตรภาคแห่งยุค 60

ภาพเดิมๆ ภาพที่เราคุ้นเคย ถูกฉายซ้ำอย่างต่อเนื่อง เหมือนยั่วล้อเราเล่นให้นึกถึงอดีต (หรือประมาณว่า ‘เอ..ฉากนี้อยู่ในเรื่องไหนนะ’) ประโยคบางประโยคถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สิ่งเหล่านี้มิได้ใส่มาเพื่อโชว์ภาพงามบาดตาเท่านั้น ผมคิดว่าภาพใน 2046 ถือเป็น ‘โมทีฟ’* ชนิดหนึ่งที่ร้อยเรียงเรื่องราวทั้งหมดเข้าสู่จุดร่วมเดียวกัน เราจะเห็นจุดนั้นชัดเจนที่สุดในภาพสุดท้ายของหนัง

หนังเรื่องนี้เหมือนเราถูกจับโยนไปในดินแดนที่ไม่รู้จัก เรากำลังนั่งอยู่ในรถไฟ มันกำลังขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ เราจ้องมองไปที่หน้าต่าง มองผู้คนรอบเมือง สังเกตความเคลื่อนไหวของพวกเขา ...แต่สิ่งที่ไม่รู้คือรถไฟสายนั้นกำลังมุ่งหน้าไปทิศทางใดกันแน่ ...อดีต หรือ ปัจจุบัน? ...เรารู้สึกได้เพียงว่ามันแสนจะวกวน

เช่นเดียวกับทุกตัวละครใน 2046 พวกเขาล้วนแต่สับสน ถูกโยงใย ผูกมัด ร้อยรัด อยู่กับกาลเวลา ต่างพยายามดิ้นรนจากจุดที่เป็นอยู่ บ้างก็มุ่งหน้าสู่อนาคตเพื่อลบล้างอดีต บ้างก็เอาอดีตมาสร้างปัจจุบันยังไปที่อนาคต ...โจวมู่หวันคือจุดศูนย์กลางของเรื่อง เขาคือจุดเริ่มต้นของการติดอยู่ในอดีต และในที่สุดอนาคตของเขาก็สร้างอดีตที่รวดร้าวให้กับผู้อื่น

หว่องกาไว ก็คงเช่นกันระหว่างที่กำกับหนังเรื่องนี้ เขาคงคิดว่า ได้เวลานำโปสการ์ดแต่ครั้งก่อนมารวมเล่ม...พร้อมกับวางโปสการ์ดใบสุดท้าย คงถึงเวลาขึ้นเล่มใหม่เสียที

เหลียงเฉาเหว่ยยังคงให้การแสดงที่หายห่วง เขาทำให้เราเห็นได้ว่า มนุษย์อ่อนแอต่ออดีตเพียงใด และมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาได้มากขนาดไหน จางจื่ออี้ก็เป็นตัวละครที่มีมิติก็ที่จะทำให้โจวมู่หวันค้นพบบทสรุปของตัวเองในที่สุด (ล่าสุดทั้งสองได้รางวัลนักแสดงนำชาย-หญิงจาก Hongkong Film Critic Awards ไปแล้วเรียบร้อย) ส่วนเฟย์ หว่อง นั้นนิยามสั้นๆ ได้ว่าเธอคือ Portrait ผู้หญิงในโลกของหว่องกาไว ...โลกเดียวดายอย่างโรแมนติก

สิ่งที่โดดเด่นมากๆ ในหนังคือภาพโลกอนาคตที่ไม่อาจแน่ใจว่าจะได้เห็นในโลกภาพยนตร์เร็วๆนี้อีก (ใครจะทำรองเท้าหุ่นยนต์ได้สวยขนาดนั้น??) นี่เป็นภาพที่หลอมละลายโสตสัมผัสของผมได้มากที่สุดในรอบหลายปีมานี้ อีกส่วนก็คือเพลงประกอบของหนังที่เรียกได้ว่ามาถึงจุดสัมบูรณ์ของเพลงในหนังหว่องกาไวแล้ว ทั้งเพลงลาติน (ที่ผมฟังแล้วรู้สึกไพเราะ เฉพาะในหนังของเขาเท่านั้น) รวมถึงโอเปร่าบาดจิตบาดใจ

ฉากจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่อาจเรียกว่าทรงพลัง แต่สะเทือนเข้าไปถึงจิตใจของผมมากๆ (นับตั้งแต่คราวที่ค้นพบทุ่งหญ้าสีเขียวใน All About Lily Chou-Chou เมื่อปีก่อน) ซ้ำยังตอกย้ำและสรุปความรวมของหนังได้อย่างรุนแรง และมันยิ่งกระหน่ำซ้ำเมื่อเราคิดย้อนกลับไปที่ฉากเปิดเรื่อง...พอหนังจบแล้วผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงไม่ชอบหนังเรื่องนี้ ... ผมคิดว่า 2046 คือหนังสนองนี้ด (Need) ของหว่องกาไวและเหล่าผู้คนที่ติดอยู่ในโลกของเขา

ถ้าหากว่าคิดว่าเรื่องมันซ้ำซาก ก็คงถูก และต้องเป็นเช่นนั้น เพราะแม้ความจริงหนังจะปูทางมาด้วยการใช้'อนาคต' (รวมถึงฉาก CG สุดล้ำ) แต่ผมและโจวมู่หวัน (รวมถึงหว่องกาไว) ก็ค้นพบว่าแท้จริงมันคือ 'อดีต'

โจวมู่หวันยังคงเพ่งพิศอยู่ที่กระจนบานเดิม
เช่นเดียวกับผมที่มองผ่านกระจกรถไฟที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่น**

กล่าวกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างใน 2046 ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ...สิ่งนั้นถึงรวมถึง ‘อดีต’
ดังนั้นการไปสู่ 2046 ไม่ใช่การไปสู่อนาคต ...แต่เป็นการไปในทิศตรงกันข้ามกัน

โจวมู่หวันในปี 1969 ...ไม่ว่าจะ 10 ชั่วโมงผ่านไป 100 ชั่วโมงผ่านไป หรือ 1000 ชั่วโมง เขาก็จะยังอยู่ใน 2046 ตลอดไป

ด้วยความสัตย์จริง ผมลำเอียงต่อการชื่นชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ...เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ยังติดอยู่ในดินแดน 2046

มันเป็นเรื่องแปลกมาก ที่หลังจากชมภาพยนตร์จบ ผมเปิดโทรศัพท์มือถือของตัวเองดู ผมพบว่ามี missed call จากแฟนเก่าที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ... ภาพดินแดน 2046 ในสมองผมเริ่มเด่นชัด รถไฟกำลังออกวิ่งอีกครั้ง...

สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครกลับออกมาจาก 2046 ได้ หากจะมีก็คงเป็นเพียงหนึ่งเดียว ...จะเป็นใครนอกจากหว่องกาไว

หว่องกาไวปล่อยให้พวกเขาเหล่านั้นคงอยู่ ณ ดินแดนแสนไกล ดินแดนที่ไม่มีใครเข้าถึง พวกเขาจะยังกระซิบความลับกับรูต้นไม้ไปชั่วกัปชั่วกัล

ต่อจากนี้ไป...ตัวละครของหว่องกาไวคงจะไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว...



*อ่านเรื่องของ ‘โมทีฟ’ ได้ใน Bioscope ฉบับที่ 25 คอลัมน์ symbolic corner

**อิงจากประโยคในท้ายเรื่อง In The Mood For Love “ชายผู้นั้นยังคงจดจำกาลเวลาที่สูญสลายหายไป เปรียบดั่งเพ่งพิศมองบานกระจกที่ปกคลุมด้วยฝุ่น อดีตนั้นคือสิ่งมองเห็นได้ แต่มิอาจสัมผัส และสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน” (ถอดความเป็นภาษาไทยโดย merveillesxx)

***อ่านเรื่องของหนัง 8 เรื่องของหว่องกาไวได้ที่ Wong Kar Wai’s Anthology – แด่…โลกของหว่องกาไว //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3250571/A3250571.html

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
//www.ocean-films.com/2046 (Official French site)
//www.wkw2046.com/ (The official international site)
//www.2046.jp/ (Official Japanese site)
//www.monkeypeaches.com/2046.html
//www.wongkarwai.net/




ต่อยอดประเด็นของ 2046 (ใครยังไม่ได้ดู มิควรอ่าน)
**SPOILER**





หนังเรื่องนี้เจ็บปวดมากสำหรับผม เพราะหน้าฉากของมันคือ หนังโลกอนาคต แม้ว่าจากเรื่องย่อเราจะรู้อยู่แล้วว่ามันคือ อดีต แต่ผมก็ไม่ได้คาดว่า ในชีวิตจริงที่ไม่ใช่นิยาย โจวมู่หวัน(เหลียงเฉาเหว่ย) ที่แม้ว่าเขาจะพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา แต่เขาก็มิอาจสลัดอดีตนั้นหลุดจากตัวได้

...นั่นทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจในฉากจบเป็นอย่างมาก ฉากนั่งรถใน Happy Together เขายังมีเหอเป่าหวัง (เลสลี่ จาง) ใน In the mood for love เขายังมีโซวไหล่เจิน (จางมั่นอวี้) แต่ใน 2046 ณ ปีเวลาที่ผ่านพ้นไปยังปี 1969 เขานั่งอยู่ในรถคนเดียว ...เขาจะยังกอดรัดอดีตแห่งช่วงเวลาที่สูญหายแห่งนั้น ไปตลอดกาล ซึ่งตรงกับคำพูดที่หว่องกาไวเคยพูดเอาไว้

"การที่รักแล้วต้องเจ็บปวด และบาดแผลจากความรักที่ไม่มียาใดรักษาได้ แม้แต่เวลาที่ว่ารักษาได้ทุกอย่าง หัวใจที่แตกสลายก็ยังเป็นข้อยกเว้น"

จุดนี้มันสอดรับกับธีมทุกอย่างที่หนังสื่อมา ภาพในแต่ละฉากที่ไปสอดคล้องกับหนังที่ผ่านๆมาของหว่องกาไว มันก็คือ 'อดีต' การให้ตัวละครพูดประโยคซ้ำๆ ก็ย้ำทีมของการ 'ยึดติดกับอดีต' ผมจึงเรียกว่ามันเป็น 'โมทีฟ' ชนิดหนึ่ง

แล้วจำได้มั้ยครับว่าประโยคที่หนังย้ำหนักหนาคืออะไร ...
"คนสมัยก่อนเวลาเขามีความลับสำคัญที่ไม่อยากให้ใครรู้
พวกเขาจะขึ้นไปบนภูเขา หาต้นไม้สักต้น...เจาะรูบนต้นไม้
และกระซิบบอกความลับทั้งหมดของตัวเองลงไป
เสร็จแล้วก็เอาดินเหนียวอุดไว้
ความลับของเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้"

ดังนั้นเสียงผู้คนในตอน end credit ก็คือเสียงเหล่าผู้คนที่ยึดติด เขาจะยังกระซิบความลับกับต้นไม้ต่อไป ...แล้วทีนี้ลองนึกไปถึงฉากเปิดเรื่องครับ หุ่นแอนดรอยด์ (เฟย์ หว่อง) ก็ทำสิ่งนั้นอยู่เช่นกัน

นั่นคือ ไม่ว่าจะผู้คนในยุคสมัยใดก็ตาม เขาก็ยังติดอยู่ในวังวนแห่งกาลเวลาต่อไป ...หว่องกาไวปล่อยให้พวกเขาอยู่ที่แห่งนั้น ที่ๆเรียกว่า 'โลกของหว่องกาไว' นั่นเอง

ดังนั้น 2046 จึงเหมือน 'สุดขอบโลก'
การที่เราไปเห็นสุดขอบโลกโดยไม่เคยเห็นส่วนอื่นของโลก เราคงมิสามารถดื่มด่ำกับความสวยงามของมันได้เป็นแน่แท้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงควรจะหางานของเขาทั้ง 7 เรื่องมาดูก่อนที่จะไปดู 2046 ครับ

หว่องกาไวพาเรามายังสุดขอบโลกแล้ว โลกใบใหม่ของเขากำลังรอเราอยู่ครับ...




เพิ่มเติม
- คุณไกรวุฒิ (Bioscope) ให้ข้อสังเกตว่าฉากเปิดเรื่องของ 2046 ชื่อของตัวละครจะวิ่งไปมาซ้าย-ขวา แต่ล้วนอยู่ในกรอบของจอภาพยนตร์ทั้งสิ้น นี่อาจจะเป็นหนึ่งในร้อยต้นตระกูลโมทีฟในหนังเรื่องนี้ และนี่เป็นการบอกใบ้ให้เรารู้ว่ารถไฟคันนี้ไม่ได้วิ่งไปไหนไกลนัก

- ฉาก end credit นอกจากประเด็นเรื่อง 'เสียง' ของผู้คนแล้ว สังเกตดีๆ จะมีภาพวาดขึ้นมาด้วย บางคนบอกว่านั่นคือตอนจบที่สมบูรณ์แบบของนิยาย 2047 ในส่วนนี้ผมสังเกตไม่ทัน จึงขอข้ามไปครับ

- ฉากที่เก๋มากๆ คือ 'บริวเณความหนาวเย็นสูงสุด 1224-1225' ก็คือ วันที่ 24 และ 25 เดือนธันวาคม อันเป็นวันคริสต์มาสอีฟและคริสต์มาสนั่นเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการย้ำคิดย้ำทำในหนังเรื่องนี้ เพราะมีคืนวันคริสต์มาสในหนังบ่อยเหลือเกิน

- ฉากจบตอกย้ำความเจ็บปวด นอกจากด้วย 'ภาพ' แล้ว ก็ยังใช้ 'คำพูด' ประกอบด้วย นั่นคือการเอาประโยคในตอนต้นเรื่องมาซ้ำอีกครั้ง แต่กลับตัดประโยคสุดท้ายออกไป ...เพราะไม่มีใครได้กลับมาจาก 2046 จริงๆ

- 2046 & 2047
ค.ศ. 2046 จะเป็นสุดท้ายที่ฮ่องกงจะ 'ไม่เปลี่ยนแปลง' ไบ่หลิงอาศัยอยู่ในห้อง 2046 ท้ายสุดเธอก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง เธอไม่อาจตัดใจจากเขา และเธอต้องการกลับไปเป็น 'เหมือนเดิม'

2047 คือปีที่ฮ่องกงต้องเปลี่ยนแปลง
โจวมู่หวันไม่เปลี่ยนแปลง เขาเฝ้ายึดติดกับอดีตของ 'ตัวเอง' ต่อไป (ฟังดูแล้ว เหมือนประเทศใหญ่ๆ สักประเทศนึง-ว่ามั้ย?)
แต่...เขาเปลี่ยนแปลงต่อไบ่หลิง
2047 เปลี่ยนแปลงต่อ 2046

ประโยคที่ว่า "ไม่มีอะไรคงอยู่ชั่วนิรันดร์ไม่เว้นกระทั่งคำมั่นสัญญา" ไม่ได้ปรากฏชัดเจนจากปากตัวละคร
แต่มันสื่อผ่านตัวละครและห้องทั้งสอง

หากเราจะแทนค่า
2046 = ฮ่องกง
2047 = จีน (แผ่นดินใหญ่)
นี่ก็อาจไม่ใช่นัยยะทางการเมืองที่ชัดเจน แต่เป็นจดหมายอำลาต่อฮ่องกงของหว่องกาไว
...ฮ่องกงกำลังจะเปลี่ยนไป
...หว่องกาไวต้องการความเปลี่ยนแปลง
เพราะเขากำลังจะสร้างโลกใบใหม่แล้ว*

*หว่องน่าจะโกอินเตอร์เต็มตัว เพราะหนังเรื่องต่อไปของเขา The Lady from Shianghai จะพูดเป็นภาษาอังกฤษ


Create Date : 23 มกราคม 2548
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2548 23:18:52 น. 23 comments
Counter : 7289 Pageviews.

 
เต็มที่เลยคับ


โดย: x.y.u. IP: 202.183.233.14 วันที่: 24 มกราคม 2548 เวลา:21:38:09 น.  

 
อยากดูจังครับ .... ถ้าไม่เลื่อนฉาย เดือนหน้าคงมีโอกาสได้ดู แล้วจะมาบอกครับ ว่าชอบหรือไม่ชอบ


โดย: it ซียู วันที่: 26 มกราคม 2548 เวลา:12:00:26 น.  

 
ดูเรื่องนี้แล้วฉันนึกถึงตัวเอง นึกถึงอะไรหลายๆ อย่าง มันสะท้อนความกลวงโหลที่อยู่ข้างใน

โลกที่หมุนไปข้างหน้า แต่ยังมีคนย่ำอยู่กับที่
เศร้าเนอะคุณ merveillesxx

ฉันชอบไดอาล็อคของเรื่องนี้, ไม่รู้สิ หลายๆ อย่างมันติดหัว.. ดูอีกรอบฉันคาดว่าจะพูดได้ทุกประโยคที่ตัวละครพูดแล้วนะเนี่ย
:)

ชอบที่คุณ merveillesxx เขียน ขอบคุณคะ


โดย: MeeMeaw วันที่: 26 มกราคม 2548 เวลา:12:13:50 น.  

 
คิดว่าคนประเภทไหนที่จะชอบดูหนังแบบนี้ เป็นพวกชอบคิดมาก หมกมุ่นเกินไปรึเปล่า
คนอกหักช้ำรักไปดูแล้วจะยิ่งไปกันใหญ่ ทำไมถึงทำหนังออกมาได้ขนาดนี้ หว่องกำลังคิดอะไรอยู่

แต่ก็ชอบหนังเรื่องนี้มาก แม้ว่าบางทีมันทำให้เราคิดมากเอามันมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ทำให้เศร้า........มันเป็นการทรมานบันเทิงจริงๆเลย


โดย: 2089 IP: 203.150.217.112 วันที่: 27 มกราคม 2548 เวลา:0:07:34 น.  

 
ตามลิ้งค์มาจาก Seven Of Nine ค่ะ

บล็อคนี้มีอะไรน่าสนใจให้อ่านเพลินๆ เยอะดีจัง ไว้จะค่อยๆ อ่านนะคะ


โดย: vee vee' IP: 203.150.107.213 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:3:25:55 น.  

 
ได้อ่านงานเขียนของคุณทั้งก่อนและไปดูหนัง
2046 คุณเขียนอะไรที่เกี่ยวกับหนังดีมากนะคะ (ไม่อยากเรียกว่าบทวิจารณ์ )
จำได้ว่าตอนดู IMDFL ชอบฉากจบ ที่โจวมู่หวัน
กระซิบอะไรกับโพรงไม้ แล้วก็มีบทกวี บทที่คุณเขียนถึงขึ้นมา อยากได้บทกวีนี้เป็นภาษาอังกฤษน่ะ คุณ merveillesxx โค้ดมาจากไหนคะ อยากได้จัง
ชอบ 2046 นะคะ ยิ่งอ่านพบที่คุณเขียนบอกว่าเรื่องนี้โจวมู่หวัน นั่งอยู่ในรถคนเดียว
บทสรุปของหนังเรื่อง ว่าอย่างไรดี
เศร้า แต่งาม ดีไหม


โดย: grappa IP: 61.90.15.26 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:21:07:59 น.  

 
"He remembers these vanished years.
As though looking through a dusty window pane, the past is something he could see but not touch.
And everything he sees is blurred and indistinct."

"ชายผู้นั้นยังคงจดจำกาลเวลาที่สูญสลายหายไป เปรียบดั่งเพ่งพิศมองบานกระจกที่ปกคลุมด้วยฝุ่น
อดีตนั้นคือสิ่งมองเห็นได้ แต่มิอาจสัมผัส และสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน"

ถอดความเป็นภาษาไทยโดย merveillesxx


โดย: merveillesxx วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:18:44:41 น.  

 
"การเปลี่ยนแปลง--ที่ไม่เปลี่ยนแปลงในความทรงจำ"

กับความลับในหัวใจ ถ้าเราพูดผ่าน รูต้นไม้ แล้วอุดดินปิดรูขังเอาไว้
ความลับนั้น ก็จะอยู่ในนั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ถ้าเราซื่อตรงต่อความรู้สึกของหัวใจตัวเอง กล้าที่จะบอกผ่าน รูหัวใจ ของใครคนนั้น
เราอาจจะเห็น ดอกไม้บาน หรือ ใบไม้โรย
เป็นความเปลี่ยนแปลงกับอะไรบางอย่างในชีวิตเรา ซึ่งจะ มี และ อยู่ จริงในความทรงจำ ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และรับรู้ได้ทุกคราว เมื่อเราไปเยือนที่ 2046.

จากคุณ : นับลิบ : nublib@ego.co.th - [ 25 มค. 2005 22:19:19 ]

//bioscopemagazine.com/review/index-in.php?id=14177


โดย: merveillesxx วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:18:58:31 น.  

 
ขอบคุณนะคะคุณ merveillesxx
ขออนุญาติจดภาษาอังกฤษ ไปนะคะ


โดย: grappa IP: 61.91.110.246 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:21:07:45 น.  

 
2046 ฉบับปูซานฯ สวย...แต่ไม่กลมกลืน
นันทขว้าง สิรสุนทร
วิจารณ์บันเทิง
//www.bangkokbiznews.com/jud/sat/20041004/news.php?news=column_15130039.html

การเดินทางของผมในการไปดูหนังที่ปูซาน ฟิล์ม เฟสติวัล เกือบ 20 เรื่องในเวลา 5 วันนั้น ดูจะสั้นกว่าการเดินทางของ จ้าวโม่วหวัน(เหลียงเฉาเหว่ย) มากมายหลายเท่านัก

เนื่องเพราะการเดินทางของเขานั้น เป็นการเดินทางของจิตใจที่ไม่เคยจบสิ้น แต่การเดินทางของผมเพื่อภารกิจนี้ มีเวลาจบสิ้นแค่ 5 วัน...

หนังเรื่อง "2046" ซึ่งถูกเลือกให้เป็นหนังเปิดเทศกาล โดยเป็นคนละเวอร์ชั่นกับที่เคยฉายในคานส์ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และด้วยความที่มาร์เก็ตติ้งดี บวกกับการที่ทีมนักแสดงรู้จักไปโปรโมทตัวเองตามที่ต่างๆ นั่นเลยทำให้ 2046 กลายเป็นหนังที่ตั๋ว sold out เร็วที่สุดในบรรดาหนังกว่า 200 เรื่องที่มีให้ดูในเทศกาลหนังของปูซานฯ ปีนี้ (ใครอยากทราบรายละเอียด กรุณาอ่านได้ใน ET ฉบับล่าสุดของนสพ. biz week)

2046 ฉบับ ปูซานฯ ถูกจัดฉายที่ outdoor theatre ในค่ำวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีผู้คนแห่กันเข้าไปดูหลายพัน เรียกว่าเบียดกันพอได้อุ่น และเนื้อแนบเนื้อไม่พอให้รู้สึกหนาว...

หลังจาก หว่อง คาร์-ไว ขึ้นไปสร้างบรรยากาศ so so ด้วยการกล่าวอะไรที่เป็น "ทางก๊าน ทางการ" กลับเป็น เหลียง เฉาเหว่ย ที่เก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำจากการพูดอะไรที่ตรงไปตรงมา กล้าแสดงทัศนะที่ไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์ของตัวเอง

บรรยากาศของ outdoor theatre ก็เหมือนกับที่โรงหนังลูมิเยร์ ฝรั่งเศสนั่นแหละ คือผู้คนมาออแน่น และหลายคนรอบัตรที่จะตกมาถึงมือ หากมีใครสละสิทธิ์..

หลังจากดู 2046 เสร็จ ใครบางคนอาจรู้สึกว่า 2046 เป็นภาค 2 ของ In the Mood For Love และ อาจจะเป็นภาค 3 ของ Days of Being Wild หรือหากเราจะลองนับเรื่องนั้นเป็นปฐมบท หว่องกาไว 2046 ก็อาจจะถือเป็นไตรภาคในการแสดงอารมณ์ที่หลงใหลในทศวรรษที่ 60 มาก และน่าสังเกตว่าแม้ชีวิตสังคมในยุคนั้นจะสวยงาม(ดุจเพลงประกอบของหนังก็ไม่ปาน) แต่ความหวาดหวั่นในอนาคตของฮ่องกง เริ่มปรากฏขึ้นในใจของ หว่อง เสียแล้ว

มีข้อมูลยืนยันว่า หว่องกาไว เริ่มถ่ายทำ 2046 ในเวลาเดียวกันกับที่เขากำกับ In The Mood For Love การเดินทางอันยาวนานของการสร้างหนังเรื่อง 2046 ส่งผลให้ชื่อของนักแสดงหลายท่านผ่านเข้าออกในหนังตลอดมา ครั้งที่เขาเริ่มประกาศสร้าง ชื่อของ ธงไชย แมคอินไตย ก็ปรากฏในหนังเรื่องนี้ในฐานะหนึ่งในดารานำ (แต่ในเวอร์ชั่นนี้ ป้าเบิร์ดออกมาแค่ 3 วินาที)

ผมเห็นด้วยกับคุณศิวาภรณ์ พงษ์สุวรรณ โปรดิวเซอร์หนังคนหนึ่งของบ้านเราว่า 2046 มีรูปลักษณ์ด้านภาพที่ต่อเนื่องมาจาก In the Mood For Love ส่วนร่องรอยของตัวละครนั้นบางส่วนก็สืบเนื่องมาจาก Days of Being Wild เรายังคงได้พบกับ จ้าวโม่วหวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) และ ซูไหล่เจิน (จางม่านอวี้ และ กงลี่) และตัวละครใหม่ๆ มากมาย

หนังเล่าเรื่องราวความรักของคนหลายคู่ เช่นความสัมพันธ์ของ จ้าวโม่วหวัน กับ ไบ่หลิง (จางจื่ออี๋), ทัก กับ หวังจิงเหวิน (เฟย์หว่อง), จ้าวโม่วหวัน กับ ซูไหล่เจิน (ก่งลี่) รวมไปถึงเรื่องรักในโลกอนาคตจากนิยาย 2046 ที่ จ้าวโม่วหวัน เขียนขึ้น เรื่องราวหลากหลายทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่ง ถูกเล่าทับซ้อนกันจนรวมเป็นหนึ่งเดียว หนังเล่าเรื่องตัดสลับไปมาทั้งในส่วนของตัวละครต่างๆที่มีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกันและต่างยุค แม้จะต้องใช้ความจดจำในเรื่องราวพอสมควร แต่กระนั้นสิ่งที่หนังมอบให้แก่เราก็คือ ความทรงจำของความรู้สึกที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป

แม้ว่า ยกไจ๋ (เลสลี่จาง) จะตายจากไปใน Days of Being Wild แต่เราได้พบกับเขาอีกครั้งในส่วนหนึ่งของตัว จ้าวโม่วหวัน ในห้วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตเยี่ยงเพลย์บอย หลังจากที่พลาดรักจาก ซูไหล่เจิน และหนึ่งในบรรดาสาวที่เขายุ่งเกี่ยวด้วยคือ ไบ่หลิง (จางจื่ออี๋) ความสัมพันธ์ของเขาและเธอไม่ต่างจากภาพจำลองของ ยกไจ๋ กับ มิมิ (หลิวเจียหลิง) ใน Days of Being Wild ไบ่หลิงรักเจ้าอย่างหมดใจ เขาเองก็ชอบเธอมากแต่ไม่ได้ “รัก”

เธอจากเขาไป แม้ว่าเขาเองจะรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องนี้ไม่น้อย แต่ใช้เวลาไม่นานมันก็เลือนหาย ต่างจากความรักและความคะนึงที่เขามีต่อ ซูไหล่เจิน (จางม่านอวี้) หญิงคนรักที่เคยพบและพรากกันไป ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายในเวลาที่เขาใช้ชีวิตเยี่ยงนักพนันในบ่อน เขาได้พบกับ ซูไหล่เจิน อีกคนหนึ่ง (กงลี่) ซึ่งคราวนี้เขาไม่ยอมที่จะให้เหตุการณ์เป็นเหมือนอดีตอีก…

2046 เคยเป็นชื่อห้องในโรงแรมที่ จ้าวโม่วหวัน ใช้เป็นที่เขียนนิยายและที่นัดพบกับ ซูไหล่เจิน ใน In the Mood For Love แต่พอมาเรื่องนี้ เขาไม่มีโอกาสได้พักในห้องดังกล่าว เพราะมันถูกจับจองโดย ไบ่หลิง ส่วนเขาข้ามไปพักห้อง 2047 แทน

จ้าวโม่วหวัน ใช้เลข 2046 เป็นปีที่รถไฟขบวนพิเศษนี้ จะจอดเทียบท่าในโลกอนาคตอันเป็นเรื่องราวในนิยายเรื่องใหม่ของเขา คราวนี้เขาไม่เขียนเรื่องกำลังภายในแล้ว เขาสนใจจะเขียนเรื่องอนาคต หากเรื่องราวในโลกอนาคตนั้นช่างไม่ต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเลย หนังเรื่องนี้จึงเหมือนเพลงรำพันของใครสักคนที่อยากจะพร่ำบอกถึง สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจและไม่มีวันเลือนหาย

สิ่งที่เห็นได้ชัดจากงานของหว่อง คาร์-ไว ในเรื่องของ 2046 ก็คือ เนื้อหาที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น แต่มันใช่แน่หรือ..ถ้าเราจะบอกว่าเนื้อหาดูสลับซับซ้อนมากขึ้น อันที่จริง

ถ้าเอาหนังของเขามามองร่วมกันในหลายๆ จุด ความซับซ้อนของ 2046 ดูเบาบางมากเมื่อเทียบกับ days of being wild กระทั่งอาจจะธรรมดาเมื่อเทียบกับ in the mood for love เพราะว่าความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ หนังของหว่อง ใช้วิธีการตัดสลับ ไม่ใช่สร้างซับซ้อนให้เกิดขึ้น

ผมปรารถนาดู 2046 ด้วยความอยาก...

แต่ดูเสร็จแล้ว ก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า 2046 มีอะไรที่เพิ่มขึ้นจากงานชิ้นก่อนๆ ของ "นกไร้ขา" แห่งวงการหนังบ้าง

ความสวย...นั่นเองที่เพิ่มและพอกพูน

แต่มันทับทวีคูณในรูปรอยที่ซ้ำซาก ไม่กลมกลืนและไม่สอดคล้อง...

ผมไม่ได้ยินแน่ๆ เพราะระหว่างเดินฝ่าลมหนาวของเวลา 22.40 น.ที่ปูซานฯ (และเดินสวนกับคนแปลกหน้าในระยะ 0.05 เมตร) มีเสียงบ่นอื้ออึงถึงความน่าอึดอัดของคนดูบางกลุ่มต่อ 2046

หรือบางที...หว่อง คาร์-ไว อาจต้องปรับเปลี่ยน

หรือ...ไม่ต้องปรับเปลี่ยน ?

(ข้อมูลส่วนหนึ่งจากคานส์อ้างอิงจากบทความจุดประกาย เขียนโดย ศิวาภรณ์ พงษ์สุวรรณ)


โดย: merveillesxx วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:21:04:11 น.  

 
ขอถามหน่อยสิว่าทำมหนังของหว่องกาไวทำไมเน้นถึงเรื่องกินล่ะ


โดย: lillie IP: 203.149.7.250 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:16:05:03 น.  

 
ไม่รู้นะคะ..ว่าจะคิดได้ถูกรึเปล่า
แต่อยากจะบอกบ้าง เพราะจี๊ดใจกับฉากนี้มากค่ะ
ฉาก 1224-1225 ฉากที่ทักกอดหุ่นเฟย์หว่อง แล้วต้องติดเทปพันแผลทั้งตัว
...โอย..
มันทำให้เราคิดได้ว่า เราจะโอบกอดคนที่ไร้ความรู้สึกได้อย่างไรโดยที่ไม่หลงเหลือบาดแผลไว้ให้เจ็บแสบ...

จี๊ด..มาก..ค่ะ


โดย: FeministFey IP: 203.150.217.117 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:22:18:06 น.  

 
//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=14539

น้อง merveillesxx ครับ พี่ดู 2046 แล้ว…ฮือๆ
ดูเสร็จแล้วกลับบ้านไม่ได้เลยฮะ ไม่อยากรีบกลับ มันเหงาเกินไป พี่ต้องเดินช็อปปิ้งทำให้ตัวเองเหนื่อยจนถึงตี 1 หวังว่าเข้าบ้านแล้วจะได้นอน ปรากฎก็ยังไม่นอน เลยมาเขียนกระทู้นี้

ในฐานะนักวิจารณ์ พี่ก็เข้าใจว่าทำไมคนทั่วไปถึงชอบ 2046 น้อยกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ของหว่องกาไว สาเหตุหลักก็คือ ความซ้ำซากของประเด็น ของสไตล์ และเนื้อเรื่องที่เยิ่นเย้อในพาร์ตของจางจื่ออี้

แต่โดยส่วนตัวแล้ว พี่ชอบและอินกับหนังเรื่องนี้มากกว่าหนังอีกหลายเรื่องของหว่องนะครับ อาจเป็นเพราะนี่เป็นหนังเรื่องแรกของหว่องที่ดูในโรงภาพยนตร์ด้วย และพี่ก็ไม่ได้อินอะไรกับ In the Mood for Love มากนัก เพราะพี่ไม่เคยแต่งงานแล้วไปมีชู้กับใคร (แต่ก็พอเข้าใจและเห็นใจความรู้สึกของตัวละคร)

พี่คิดว่าฉากเปิดของ 2046 น่าสนใจมาก เพราะเป็นการต่อกับฉากจบของ In The Mood for Love อย่างดิบดี นั่นก็คือ การเปิดที่ ‘รู’ ซึ่งใน In The Mood for Love ก็คือ รู หรือ ช่องรอยแตกของอิฐที่นครวัฏ ส่วนใน 2046 เป็นรู หรือ ช่องปล่อยความลับในรถไฟสายนี้

โดยปกติ พี่ไม่ชอบจางจื่ออี้เลยครับ ไม่ว่าเธอจะเล่นเรื่องไหนก็ไม่เห็นจะชอบเธอ ตอนเห็นเธอในครึ่งเรื่องแรกของ 2046 ก็ไม่ชอบเธอ เพราะเธอก็ยังทำอะไรที่คาดเดากันได้และตื้นเขินด้านการแสดง แต่พอดูเธอจนจบ กลับกลายเป็นว่า นี่เป็นตัวละครที่พี่อินที่สุดครับ และเป็นตัวละครที่พี่สงสารที่สุดด้วย

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่จมกับอดีต ทุกคนต่างมีชนักปักหลังเป็นอดีตที่โบยตีตัวอยู่เสมอ เพียงแต่ว่า แต่ละคนมีวิธีรับมือมันต่างกัน

-เหลียงเฉาเหว่ย และ ก่งลี่ อาจใช้วิธีเดียวกัน นั่นคือ ไม่เปิดใจให้ใครอีกต่อไป (“เมือ่ไรก็ตามที่คุณทิ้งอดีตไปได้ ตามหาผมนะ เหลียงเฉาเหว่ยบอกกับก่งลี่ แต่ท้ายที่สุดเขาคิดว่าเขาบอกกับตัวเอง)
ชอบเหลียงเฉาเหว่ยในหนังเรื่องนี้มาก ทั้งๆที่คาแรคเตอร์มีสิทธิ์ซ้ำกับ In The Mood For Love แต่เขาสร้างรายละเอียดที่แตกตางออกไปได้น่าสนใจ
ชอบก่งลี่สุดๆ (เธอกลับมาแล้ว) เพียงแค่ฉากร้องไห้ฉากนั้น ไม่รู้เธอเล่นได้ยังไง คือ นอกจากที่เธอจะร้องไห้ได้สวยและน้ำตาเยอะมากแล้ว หลังจากน้ำตาไหล เธอก็ปล่อยโฮ และแสดงสีหน้าที่ “ไม่สามารถบรรยายได้อีกแล้ว” มันมีทั้งความทุกข์ ความสุข ความแค้น รอยยิ้ม ความฉลาด ความหวัง ความไม่มั่นใจ ความมั่นใจ อยู่ในใบหน้านั้น เรียกได้ว่า ‘ตายไปเรย’

-หลิวเจียหลิงเลือกวิธีที่แตกต่างออกไป อย่างที่หนังให้คำจำกัดความว่า “ถ้าเราปฏิเสธคำปฏิเสธได้ เราก็เดินหน้าต่อไปได้” นั่นก็คือ หลิวเจียหลิงก็เลยไม่ยอมรับความจริงไปเลย หลอกตัวเองไปวันๆ และท้ายที่สุด แม้เธอจะโดนฆ่าตายไปแล้ว เธอก็กลับมาหลอกตัวเองให้มีชีวิตใหม่ได้
ฉากที่หลิวเจียหลิงร้องไห้แล้วยิ้มในรถไฟภายในเทคเดียว ถือเป็นฉากที่โชว์ฝีมือเธอสุดๆ

-ส่วนจางจื่ออี้นั้น เธอเป็น ‘คนที่ไม่มีอดีต’ แต่นับจากหนังเรื่องนี้จบไป เธอก็จะเป็นคนที่มีอดีตเช่นกัน จริงอยู่ที่รักแรกของเธอมันจบลงไม่สวยงาม แต่ความเลวร้ายกว่านั้นก็คือ มันได้ดึงเอาความไร้เดียงสา ความเฟรช ความหวังและพลังไปจากตัวผู้หญิงคนนี้หมดสิ้น (ดูฉากนี้แล้ว นึกถึงเรื่อง Damage ถ้าจำไม่ผิดนะครับ จะมีฉากที่มิแรนด้า ริชาร์ดสัน ด่าสามีว่า YOU TAKE MY YOUTH)

ฉากที่เธอกลับมาเอาเงินให้เหลียงเฉาเหว่ย ตอนแรกที่พี่เห็นฉากนี้รู้สึกน่าเบื่อมาก แต่เมื่อฉากนี้ไปจบลงที่ห้องนอนของเธอ แล้วเธอก็พูดกับเหลียงเฉาเหว่ยว่า “มันจะเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรือ?” แต่คำตอบของเหลียงเฉาเหว่ยกลับกลายเป็นว่าเขาไม่พูดอะไรแล้วเดินจากไปเลย นั่นเป็นสิ่งที่พี่เจ็บปวดมากเหลือเกินฮะ

การดูหนังเรื่องนี้ทำให้รู้ว่า คำถามบางคำถามไม่มีคำตอบให้เราหรอก ชีวิตมันไม่แฟร์ และเราก็ไม่ได้ทุกอย่างที่เราอยากได้ พี่เคยคิดจะใช้คำถามนี้เหมือนกันครับ “มันจะเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรือ?” (กับทุกๆเรื่องในชีวิตน่ะครับ ในชีวิตเรามักมีช่วงเวลาแห่งความสุขในความทรงจำ แล้วยามที่เราท้อแท้ เราได้แต่นึกไปว่า มันจะเป็นเหมือนเดิมไมได้หรือ?)
แต่ 2046 ก็สอนให้รู้ว่า ไม่ต้องถามออกไปหรอก คำตอบรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว

บางทีน้องจางจื่ออี้อาจรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วเช่นกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามและถือว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ควรกอดมันไว้แน่นๆ ทั้งๆที่รู้ว่ากอดไปก็เจอแต่ความว่างเปล่า

ส่วนประเด็นเรื่อง ความรัก กับเวลา ที่น้อง mervi ได้นำเสนอไป พี่ก็ค่อนข้างชอบมากครับ
จากคุณ : คุณเต้ : - [ 09 กพ. 2005 02:47:04 ]


โดย: merveillesxx วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:23:25:06 น.  

 
กับหนัง 2046, Reconstruction (หรือกระทั่ง Last Life in the Universe) ผมค่อนข้างมีความรู้สึกร่วมกับมันมาก เพราะพระเอกในหนังเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของตัวผมทั้งสิ้น (ยกเว้นใบหน้าและความหล่อเหลา อันนี้ไกลห่างอย่างสิ้นเชิง)

ผมคือโจวมู่หวัน ก็เพราะผมเป็นคนฝังลึก-จมปลักอยู่กับอดีต แต่ 2046 ไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่นั้น เพราะในส่วนของไบ่หลิง (จางจื่ออี้) นั้นบอกกับเราว่า 'คนทีอยู่กับอดีต ก็จะสร้างอดีตให้กับคนอื่นต่อไป'

เช่นเดียวกับ Reconstruction ที่ทำให้ผมต้องนึกย้อน-ตรวจสอบตัวเองว่าเคยนอกใจใครหรือเปล่า 2046 ก็ทำให้ผมคิดว่าตัวเองเคยไป 'สร้าง' กับอดีตให้คนอื่นหรือไม่

ผมนั่งอยู่บนรถไฟ เอาแต่เฝ้ามองกระจก และไอน้ำบนนั้น แต่บางทีรถไฟของผมอาจจะไปชนใครเข้าโดยผมไม่รู้ตัวก็เป็นได้

นึกถึงประโยคจากหนัง Scent of Love (ความจริงผมเกลียดหนังเรื่องนี้มาก) "ผู้มีหัวใจอันเจ็บปวด มิอาจรับหรือให้ความรักแท้แก่ผู้อื่น"


โดย: merveillesxx วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:23:26:25 น.  

 
//www.manager.co.th/entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9480000020374

2046 : หว่องกาไวกับห้องแห่งความลับ
โดย ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี
9 กุมภาพันธ์ 2548 19:24 น.

2046 ชื่อหนังเรื่องล่าสุดของ หว่องกาไว - - ที่ในที่สุดก็เป็น “ตัวเลข” จริงๆ เสียที หลังจากที่เขาเล่นกับมันมาหลายครั้งแล้ว

ตัวเลขในหนังของหว่องแทนความหมายได้มากมาย ผมเคยชอบใจประโยคที่ 223 (ทาเคชิ ทาเนะชิโร) พูดไว้ในหนัง Chungking Express ซึ่งผมจำได้เลาๆ ว่า เขาเลิกกับแฟนสาวชื่อเมย์ในวันเอพริล ฟูล (1 เมษายน) เขาคิดว่าเธอคงล้อเล่น จึงคิดเล่นตลกกับตัวเองบ้าง ด้วยการซื้อสับปะรดกระป๋องที่จะหมดอายุภายในวันที่ 1 พฤษภาคม เหตุผลเพราะเธอชื่อ เมย์ (แปลว่า พฤษภาคม), เมย์ชอบกินสับปะรด และวันนี้เป็นวันเกิดของเขา

เขาคิดว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้ว เธออาจเปลี่ยนใจกลับมารักกันอย่างเดิม แต่ถ้าไม่ เขาก็ซื้อสับปะรดสัก 30 กระป๋อง เมื่อล่วงเลยเข้าสู่วันถัดไป รักของเขาก็น่าจะหมดอายุอย่างนั้นบ้าง

หนังของหว่องกาไวส่วนใหญ่มักจะเป็นอย่างนี้ รายละเอียดบางอย่างดูเผินๆ แล้วก็ดูน่ารักน่าชังดี แต่ลงท้ายแล้วมันมักหนีไม่พ้นเป็นเรื่องเศร้า

หว่องอาจไม่ตั้งใจใช้ตัวเลขเพื่อแทนอะไรอย่างจริงจัง แต่โดยรวมๆ แล้ว มันหมายถึงวันเวลาที่ฝังใจ และล่วงเลย อีกทั้งตัวเลขโดยตัวของมันสื่อถึงความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ในแง่นี้ Chungking Express ชัดเจนมาก เพราะแม้แต่ชื่อตัวละครก็ไม่ได้รับการเปิดเผย - เราได้ทราบเพียงรหัสและตัวเลข

ใน 2046 ก็มีอะไรทำนองนี้ ช่วงหนึ่งที่หนังเล่าถึงขบวนรถไฟปริศนาที่ตัวละครเอกใช้เดินทางไปหาความทรงจำอันสูญหาย มีคนบอกเล่าถึงรถขบวนนี้ว่าจะพักอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ตรงส่วนที่ 1224 - 1225 อุณหภูมิจะต่ำกว่าปกติ และผู้โดยสารก็จำต้องกอดกันแน่นๆ

โจวโม่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) เจ้าของเรื่องเล่า บอกกับคนดูว่า 1224 และ 1225 นั้นไม่ต่างอะไรจากวันคริสต์มาส และพระเจ้าก็ไม่กำหนดให้มนุษย์เราอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายในช่วงนี้ เขาจึงตัดสินใจช่วยเหลือให้เด็กสาวคนหนึ่งพ้นทุกข์ (เฟย์ หว่อง) ทั้งๆ ที่ตัวเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะทำแบบนั้นเลย

โจวมีความหลังหนักหนาอยู่ไม่น้อย เขาคงจะเป็นโจวคนเดียวกับที่เคยเป็นชู้รักของซูหลี่เจิน (จางมั่นอวี้) ใน In the Mood for Love และเจ็บปวดกับความสัมพันธ์หนนั้นจนเสียศูนย์ แม้ใน 2046 โจวจะพูดถึงการฝังความลับไว้ในโพรงต้นไม้และใช้โคลนอุดมันเสีย (ซึ่งฉากที่ว่านี้ปรากฏใน In the Mood for Love) แต่มันก็เป็นเพียงคำพูด เพราะเขาเองแม้จะทำแล้ว แต่ก็ยังละลืมอดีตไม่ได้

หมายเลข 2046 ในนิยายของโจวคือสถานที่แห่งหนึ่งที่ยังคงเก็บความทรงจำต่างๆ ไว้โดยไม่หมุนเปลี่ยนไปตามโลก เขาบอกว่าทุกคนเดินทางไปที่นั่น และไม่มีใครได้กลับมาอีก

โจวเองพยายามเดินทางไป 2046 ผ่านนิยายของเขา ภาพของซู่หลี่เจินลอยมาเป็นห้วงๆ ในความคิดคำนึง - เป็นการบอกอย่างตรงๆ ว่าเขายังลืมชู้รักเก่าไม่ได้ ตอนที่ได้เจอกับผู้หญิงคนนึ่งซึ่งมีชื่อว่าซู่หลี่เจินเหมือนกันนั้น (รับบทโดย กงลี่) เขาบอกกับเธอว่า “ถ้าคุณลืมอดีตได้เมื่อไหร่ ก็ออกตามหาผมนะ” แต่โจวก็เฉลยในอีกไม่กี่วินาทีถัดมาว่า เขาไม่ได้บอกประโยคนั้นกับเธอมากเท่ากับบอกแก่ตัวเอง

การจมปลักอยู่กับเรื่องที่ผ่านเลยไปแล้วของโจวไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นคนร้ายกาจกับคนรอบข้างเท่ากับ หยกไจ๋ (ตัวละครของ เลสลี จาง ใน Days of Being Wild) ก็จริง แต่สิ่งที่เขาทำกับไป่หลิง (จางจืออี) นั้นก็เรียกเป็นความเมตตาไม่ได้อีกเหมือนกัน

โจวสอนให้ไป๋หลิงได้เรียนรู้กับความเจ็บปวด ทั้งที่เธอเป็นตัวละครเพียงตัวเดียวในหนังที่บริสุทธิ์และมีลังแห่งอดีตที่ยังว่างเปล่า การที่โจวก้าวเข้ามา (และเดินออกไป) ในชีวิตของเธอ ไม่เพียงจะทำให้ที่ว่างตรงนั้นเต็มขึ้นเท่านั้น แต่เธอจะเริ่มกลายเป็นคนพิการอย่างคนอื่นๆ เขาด้วยในที่สุด

อีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อความคิดของโจวคือสาวบาร์ชื่อ ลูลู่ (หลิวเจียหลิง) โจวพบเธอในบาร์แห่งหนึ่งแล้วเข้าไปทัก เพราะมั่นใจว่าเคยพบกันมาก่อนแล้ว เธอปฏิเสธลูกเดียวว่าไม่จริง หลังจากนั้นโจวก็ได้พบเธออีกในชื่อ มีมี่ - - เธอได้กลายเป็นคนใหม่ไปแล้ว

ลูลู่พูดประโยคที่เหมือนจะเป็นวิธีที่ทำให้เธอรับมือจากความเจ็บปวดของอดีตว่า “เธอเลือกที่จะปฏิเสธคำปฏิเสธ” กล่าวคือ ไม่ยอมรับว่าความปวดร้าวมีอยู่จริง ทันทีที่ร้องไห้ก็จะฝืนหน้ายิ้มขึ้นทันทีเหมือนกัน หลอกตัวเองอย่างแน่แน่วว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร

หว่องกาไวประมวลเอาสิ่งที่เขาเคยพูดไว้ก่อนแล้วในงานชิ้นก่อนๆ มารวมในหนังเรื่องนี้ มีนักวิจารณ์หลายคนเคยพูดถึงภาวะ “ไร้อัตลักษณ์ที่แน่นอน” ของหว่องพร้อมกับยกเหตุผลเรื่องความแปลกแยกของตัวละครไปจนถึงวาระการมอบคืนเกาะฮ่องกงจากอังกฤษให้จีน - มาแล้วมากมายก่อนหน้านี้ และมันก็ยังใช้ได้กับ 2046

โจวมู่หวันไม่เคยหยุดเดินทาง เขาอาจไม่ใช่นกไร้ขาที่หยุดบินเมื่อไหร่ก็แสดงว่าตาย แต่โจวก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหาพื้นที่ส่วนตัวบางแห่ง (ที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่) ที่ตัวเองอยู่แล้วมีความสุขที่สุด เขาอยู่ทั้งในฮ่องกง สิงคโปร์ แม้กระทั่งกัมพูชายังดั้นด้นไปแล้วอ้างว่า “หนังสือพิมพ์ส่งผมไป” รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ใช่ความมุ่งหมายหลัก

น้อยครั้งที่ตัวละครของหว่องกาไวจะได้พบพานกับความสมหวัง ว่ากันตามตรงคือมันเป็นเรื่องของคนผิดหวัง และไม่เคยสลัดสัมภาระนั้นลงจากหลังได้ มันเป็นความเศร้าสลดที่งดงาม ผมไม่เคยเห็นใครพูดประเด็นเดียวกันนี้ได้ดีเท่าหว่องอีกแล้ว

แม้จะไม่ใช่ความจำเป็นสูงสุด แต่การชม 2046 จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นถ้าได้เคยดูงานเก่าๆ ของหว่องกาไวมาก่อนแล้ว ความสนุกไม่ใช่แค่การมาจับโยงว่าหว่องเคยเล่าอะไรไว้ในหนังเรื่องไหนบ้างเท่านั้น ผมว่ามันช่วยในแง่ของการจับสาระสำคัญของหนังได้ชัดเจนมากขึ้นด้วย

อาจารย์มโนธรรม เทียมเทียบรัตน์ที่นับถือ เคยทำนายไว้ว่า 2046 เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตการทำงานของหว่องกาไว ต่อไปตัวละครของเขาคงจะไม่เจ็บปวดหรือเหงาพร่ำเพรื่อกันอีกต่อไปแล้ว ถือได้ว่าเป็นการสิ้นสุดภาวะนี้ของหว่องไปเสียที

ไม่รู้ว่าแกจะทายถูกหรือเปล่านะครับ แต่ผมก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเบื่อแล้วหรือว่าสิ่งที่เห็นใน 2046 นั้นแผ่วไปแล้วนะครับ ตรงข้าม, 2046 ยังคงเต็มไปด้วยพลังการเล่าเรื่องที่สวยงามและอัดแน่น

คงจะดีไม่น้อยถ้ามันจะเป็นฟินาเล่ของเฟสแรกในชีวิตการทำงานของหว่องกาไว


โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.161 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:5:16:10 น.  

 
ได้ดู 2046 สิ่งที่ชอบ เหลือเกิน คือ คำพูด ที่ว่า เธอจะไปกับฉันไหม? แล้วที่เธอไม่ตอบ แล้วสุดท้ายที่ โจวมู่หวันพูดว่า เพราะเธอมีใครคนนั้น อยู่แล้ว ทำให้รู้สึกว่าบางทีบางคำถามเราเอง ก้อถามไปอย่างนั้น ทั้งที่คำตอบเรามีอยู่แล้ว แต่ก้ออยากให้มันชัดเจนขึ้น เพราะคำตอบของคนอีกฝั่ง....
เรื่องนี้ ทาคูยะ เล่นได้ดีมากๆ หลังจากได้ดูทั้งละคร และ หนังที่เค้าแสดง รู้สึกว่า เค้าแสดงได้แบบที่หว่องกาไว เป็น และ อยากให้เค้าเป็น


โดย: mai_052@yahoo.com IP: 61.91.212.152 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:15:35:19 น.  

 
>ขอถามหน่อยสิว่าทำมหนังของหว่องกาไว
>ทำไมเน้นถึงเรื่องกินล่ะ
อันนี้ไม่ใคร่แน่ใจนักนะครับ แต่เท่าที่สังเกต 'การกิน' หรือ 'ฉากรับประทานอาหาร' ในหนังทุกเรื่องของหว่องกาไวเป็นเพียงองค์ประกอบหรือบริบทในสถานการณ์ (ฉาก) นั้นๆ โดยเหล่าตัวละครมักไม่ได้ใส่ใจกับจาน-ชามอาหารที่ตั้งอยู่ข้างหน้าตนมากนัก กล่าวคือ พวกเขาและเธอไม่ได้มีความสุข-อิ่มเอมกับการกิน เพราะคนตรมทุกข์กิน-เพียง-เพื่อ-อยู๋-รอด และรอรับความเจ็บปวดในวันต่อๆไป

ตัวอย่าง เช่น
- 2046 : ฉากโจวมู่หวันกับไป่หลิงกินข้าว ประเด็นหลักอยู่ที่บรรยากาศและบทสนทนาอันน่าอึดอัด
- ITMFL : โจวมู่หวันกับโซวไหล่เจิน ซ้อมละครจับสามีนอกใจ ซึ่งนำมาความเศร้าสูงสุด เธอร้องไห้จนตัวโยน
- Fallen Angel : ระหว่างจ้องมองเธอกิน เขาก็ตกหลุ่มรักเธอ ดวงใจของเขาถูกเธอกลืนกิน (คู่ของ ทาเคชิ คาเนชิโร่ กับ ชาร์ลี หยาง)
- Chungking Express : การกิน-ของกิน-ร้านอาหาร ทำให้ทั้งสองมาพบกัน (ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวที่เป้นปัจจัยแง่บวก)
ฯลฯ


โดย: merveillesxx วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:0:36:10 น.  

 
ไม่พูดถึง "เพลง" ในหนังเรือ่งนี้เหรอครับ ผมดูแล้ว ลอยยยยย ไปตามเพลงเลยนะครับ


โดย: เด็กชายรอยยิ้มโทรศัพท์และน้ำตา วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:14:59:07 น.  

 
เพลงในหนังเรื่องนี้ผมก็ชอบมากๆครับ ฟังแล้วลอยเหมือนกัน แถมบางเพลงบีบให้ใจสลายเลยล่ะ ช่วงที่ดูหนังจบใหม่ๆเปิดวนจนแผ่นสึกเลยครับ

ถ้าชอบแผ่นนี้ น่าจะชอบแผ่นรวมเพลงจากหนังของคิตซ์ตอฟ เคียลอฟสกี้ นะครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:22:43:37 น.  

 
2046 : ให้อะไรมากกว่าที่คิดค่ะ ซึ่งอะไรที่ว่านั้นเราไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้อ่ะ (โดยส่วนตัวไม่ได้ติดตามผลงานของหว่องเท่าไหร่ แต่ที่นี๊ดที่จะดูเรื่องนี้มากเพราะ ทาคุยะ คนเดียวเลย ข้าน้อยขอสารภาพ55)

10 นาทีแรกที่ดู : รู้สึกได้ถึงความสวยงามของเพลงมากๆ

1 ชั่วโมงต่อมา : พยายามทำความเข้าใจกับตัวละครและคำพูดแต่ละประโยคเพื่อไขข้อข้องใจว่าหว่องต้องการสื่ออะไร (และเริ่มเข้าใจเป็นห้วงๆ)

2 ชั่วโมงถัดมา : เริ่มเหนื่อยกับนั่งการดูอัตลักษณ์ที่หว่องสื่อออกมาผ่านตัวละคร (ทั้งๆที่ดูรอบ VIP น่าจะสบาย?)

เฮีอกสุดท้าย 15 นาทีก่อนจบ : ลุ้นว่าสิ่งที่พยายามนั่งดูและทำความเข้าใจมาทั้งหมดนั้นจะถูกต้อง หรือ ตรงกับสิ่งที่หว่องต้องการสื่อหรือไม่(ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเข้าใจถูกมั๊ย แต่ก็พอจะจับประเด็นหลักๆได้)

วินาทีที่หนังจบ : ไม่อยากลุกจากเก้าอี้ ไม่อยากเดินออกไปจากโรงหนัง ไม่อยากทำไรเลยทั้งสิ้น นอกจากนั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น (แต่ไม่ได้เพราะพนักงานเปิดไฟไล่ 5555)

สรุป : หลังจากที่เดินออกจากโรงหนังและตลอดเวลาที่นั่งรถกลับบ้าน เราก็ได้รับรู้ถึง ความสวยงามของโลกแห่งจินตนาการของคนๆหนึ่ง ที่มีทั้งความสุข เศร้า เสียใจ ท้อแม้ ดึงดัน จมปัก เรียกร้อง โหยหา ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว...แต่ทุกอย่างสวยงามมากในแบบของมัน

*แม้มีบางจุดที่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าหว่องต้องการสื่ออะไร แต่ไม่เสียดายเงินเลยที่ได้เดินทางไปกับ 2046



โดย: คิมูระ IP: 203.151.140.112 วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:22:49:09 น.  

 
The reason she didn't answer is not simply that the reactions were delayed, it is simply that she didn't love me...


โดย: one of 2046 crews IP: 67.116.54.90 วันที่: 14 มีนาคม 2548 เวลา:9:27:44 น.  

 
ผมดูหนังเรื่องนี้ในโรงหนังเล็กๆ ที่ฉายระบบดีวีดีอยู่ที่ขอนแก่น ทั้งโรงมีอยู่สิบคนได้
หนังเรื่องนี้เป็นหนังของหว่องการ์ไวเรื่องแรกที่ผมได้ดู หลังจากได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดพี่เอยของเขามามากมาย ก็เลยอยากลองสัมผัสงานของเขาดูบ้าง และก็ได้ยลโฉมหนังเรื่องนี้เรื่องแรก
เห็นด้วยครับกับคุณคิมูระ ที่ว่าดนตรีประกอบสวยงามมาก

ฉากแรกที่เฟย์หว่องกระซิบบอกความลับก็ทรงพลังเหลือเกิน หลังจากนั้นผมก็ลองพยายามตามเรื่อง เก็บเกี่ยวสิ่งที่ตัวละครทำ และพูดกัน แต่หลังจากนั้นผมก็รู้ว่ามันไม่ค่อยได้ผล นอกจากปลดปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์ของหนัง และ มันเหงามาก
คนที่ดูด้วยกันสิบคนตอนนั้น ผมเข้าใจว่าเขาคงไม่ถนัดกับหนังแนวนี้ เลยหลับกันหมดโรง(ฮา) มีผมนั่งดูอยู่คนเดียว
แต่ผมชอบครับ มันได้อารมณ์มากๆ ทุกๆ คนพากันหลับสบาย ส่วนผมก็ปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองไปกับหนัง พอหนังจบ ทุกคนตื่น ลุกเดินออกจากโรงหมด พี่เจ้าของร้านก็รอเข้ามาปิด
ผมก็นั่งอยู่อย่างนั้น จนพี่เขานึกว่าผมหลับเดินมาสะกิดผม

ผมเข้าใจนิยามของคำว่า "เดียวดายอย่างโรแมนติก" แล้วครับ

ปล. หลังจากนั้นผมก็ลองหาหนังเรื่องอื่นๆ ของหว่องการ์ไวมาดู แต่อนิจจา เครื่องเล่นดีวีดีอยู่บ้านดันเจ๊ง ซื้อมาสองเรื่อง แต่ได้ดูจบอยู่เรื่องเดียว คือ Chungking Express แต่ผมก็ยังชอบน้อยกว่า 2046


โดย: ดานัง IP: 203.151.140.111 วันที่: 17 เมษายน 2548 เวลา:1:01:22 น.  

 
จดหมายตอบเพื่อน...
จาก //www.buildboard.com/viewtopic.php?topic=2709&forum=4533&id=1331

-------------------------

ถาม:
ฉ่อง, ถามประโยคในหนังเรื่องนึงหน่อย เหมือนนายเคยเขียนไว้

ที่มันบอกว่า
"ความรักก็เหมือนรถไฟ หรืออะไรซักอย่าง ดังนั้นมันคงไร้ประโยชน์หากว่าเราเจอคนที่ใช่ เร็วไป หรือช้าไป"

ไม่แน่ใจเอามาจากหนังเรื่องไหนอ่ะ คุ้นๆว่าของหว่องกาไหว่หรือเปล่า
มันเลือนลางในความทรงจำมาก แต่เหมือนเคยเห็นนายเขียนไว้ในเฉลิมไทยมั้ง

ถ้านึกออกก็ช่วยบอกประโยคที่ถูกต้องให้หน่อยละกัน
ถ้าไม่ออก ก็ไม่เป็นไร

คือแม่งแบบว่า ทำไมชีวิตช่วงนี้พอเทียบเท่าขึ้นปีสาม พอรู้จักคนเยอะขึ้น พวกคนที่สมัยก่อนเคยไปชอบเขาเองจนเลิกชอบไป ช่วงนี้ดันพลิกผันกลับมาหา แต่มันสายไปแล้ว เฮ้อ แม่งเลยรุ้สึกผิดว่ะ

เลยนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมา มันใช่จริงๆ
เร็วไปหรือช้าไป มันช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ...

จะให้ทำไงได้วะ ความรู้สึกคนมันไม่ได้จะสั่งให้รู้สึกเหมือนเดิมได้นะ

ขอตั้งซักกระทุ้ละกันว่ะ คนอื่นๆก็คิดซะว่ามาฟังกูระบายผ่านๆละกัน
หรือใครมีอะไรแนะนำก็บอกด้วยละกัน

* * * * *

ตอบ:
ประโยคนี้มาจากหนังเรื่อง 2046 (2004, หว่องกาไว, A++++++++) มันบอกไว้ว่า...

"ความรักเป็นเรื่องของจังหวะเวลา จึงไร้ประโยชน์หากเราเจอคนที่ใช่เร็วหรือช้าเกินไป"

ตอนนึงของ 2046 ที่ตลกมาก แต่ก็น่าเศร้ามาก
(ไม่ใช่ตอนจบ หรือจุดหักมุมของหนัง น่าจะไม่ SPOILER นะ)
ตัวละครชายหนุ่ม (ทาคูยะ คิมูระ) ดันไปหลงรักหุ่นแอนดรอยด์สาว (เฟย์ หว่อง) ทั้งๆที่มีคนเตือนเขาแล้วว่า "อย่าไปหลงรักเธอเข้าเชียวล่ะ เพราะเธอน่ะเป็นหุ่นยนต์ แล้วเธอก็ตอบสนองช้า"

ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจบอกรักหุ่นยนต์สาว แล้วก็พูดว่า "หนีไปกับผมเถอะ" แต่แล้วเธอกลับไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมา หลังเฝ้ารอคอยในห้วงแห่งความเงียบงัน เขาจึงตัดสินใจที่จะจากโลกนั้นไปแต่เพียงผู้เดียว...

หลายสิบชั่วโมง หลังจากนั้น
หุ่นแอนดรอยด์ตนนั้น ...ร้องไห้
บางทีในสมองกลของเธอตอนนั้นอาจจะมีคำตอบให้แก่เขาแล้วก็ได้
แต่เขาไม่ได้อยู่ ณ ตรงนั้นเสียแล้ว

น่าเศร้านะ

ตามที่เราเข้าใจ หว่องกาไวกำลังเปรียบเทียบเหตุการณ์ในโลกอนาคตแบบนี้กับ เหตุในชีวิตจริงของพวกเรา
บ่อยครั้งเสียงจากหัวใจก็ให้คำตอบกับเราช้าเกินไป
จนต้องเอื้อนเอ่ยคำว่า "สายเกินไป"
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

โดยรวมแล้ว 2046 พูดถึงเหล่าตัวละครที่ต้องเจ็บปวดกับ 'จังหวะความรัก' ที่ผิดเวลา บางคนยึดติดอยู่กับอดีต บางคนเฝ้าฝันข้ามไปไกลถึงอนาคตที่ย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง

ดังนั้น 2046 จึงเป็นหนังที่ทำร้ายจิตใจเรามากที่สุดในรอบหลายปี
ดูจบแล้ว ไม่มีน้ำตาสักหยด
แต่นั่งค้างนิ่งอึ้งอยู่ในโรงหนังสกาล่าเกือบ 15 นาที
กลัวเหลือเกินว่าฉากจบของหนังเรื่องนี้ จะเป็นภาพชีวิตในอนาคตของเรา
กลัวความรัก กลัวชีวิต กลัวทุกสรรพสิ่ง และที่สำคัญคือกลัวใจตัวเอง

เฮ้อ พูดแล้วมันเศร้า

สารภาพตามตรงว่าช่วงนี้เราอยู่ใน ''ภาวะหัวใจพองโต"
แต่พูดถึงหนังเรื่องนี้แล้ว ความเศร้าก็เข้ามาเกาะกุมในใจ
ถ่วงก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายไม่ให้ลอยสูงขึ้น...จนมากเกินไป
ขอบคุณนะที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา



โดย: merveillesxx วันที่: 12 พฤษภาคม 2548 เวลา:1:21:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.