|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
10 ละครเวทีแห่งปี 2009
โดย merveillesxx
ปี 2009 เป็นปีที่ได้ดูละครเวทีเยอะเหมือนกัน ทั้งโรงเล็กโรงใหญ่โรงแมสโรงอินดี้โรงลับแล สิริรวมแล้วเกือบๆ 100 เรื่อง ...ต่อไปนี้คือละครเวทีที่เราชอบที่สุดในปี 2009 ไล่อันดับจาก 10 ไป 1 นะจ๊ะ
 10. นารีสมรส (กำกับโดย ธนวัต กตาธิกรณ์)
เป็นละครเวทีที่เสี่ยงชีวิตไปดูอย่างมาก เพราะเล่นกันลับแลมากที่้ห้องโทรมๆ แห่งหนึ่งในจุฬา เป็นละครแบบที่ผู้กำกับเขาอยากทำก็ทำเลย อันที่จริงแล้วละครเรื่องนี้มีข้อบกพร่องนู่นนี่อยู่ตลอดทาง แต่เราชอบที่ผู้กำกับเขาเลือกประเด็นเลสเบี้ยน ซึ่งมันไม่ค่อยเห็นบ่อยในวงละครเวที (หรือศิลปะทุกแขนง) ของบ้านเรา ในขณะที่เรื่องเกย์พูดกันบ่อยมาก เนื้อเรื่องของละครก็เจ็บปวดมากพูดถึงคนรักสองคน ที่คนหนึ่งเลือกทำตามแรงปรารถนาของตัวเอง แต่อีกคนเลือกจะทำตามความต้องการของสังคม ซึ่งบทประพันธ์เดิมมันคงดีอยู่แล้ว แต่ผู้กำกับ-นักแสดงก็ถ่ายทอดได้ดี อ้อ รู้สึกว่าตอนที่ทำละครเรื่องนี้ผู้กำกับจะอยู่ปีสามเองกระมัง
 9.แม่นาค เดอะ มิวสิเคิล (กำกับโดย สุวรรณคดี จักราวรวุธ)
ขอย้ำว่าหมายถึงเวอร์ชันของดรีมบ็อกซ์นะ ไม่ใช่เวอร์ัชันฝั่งรัชดา (อันนี้ปวดตับเกินจะบรรยาย) สิ่งที่ชอบคือ การตีความของแม่นาคเวอร์ชันนี้ที่เหมือนจะรื้อความเชื่อหรือความรับรู้ของเราที่มีต่อแม่นาคที่เคยสะสมมาทั้งหมดลง แม่นาคในละครเรื่องนี้ไม่มีเป็นผีร้ายน่ากลัว ไม่ต้องเหาะได้ ไม่ได้ฆ่าใครมั่วซั่ว แต่เธอแค่ "ยังไม่พร้อมยอมตาย" เท่านั้นแหละ แต่มันยิ่งใหญ่มากในความรู้สึกเรา แล้วละครฉากสุดท้ายก็ตั้งคำถามได้ดีมากกว่าคนหรือผีที่น่ากลัวกว่ากัน นอกจากนั้นยังต้องขอกราบแทบเท้าการร้องเพลงของทุกคน โดยเฉพาะน้ำมนต์นี่ฟังแล้วขนลุกทุกวินาที ส่วน น็อต วรฤทธิ์ ก็ละในฐานที่เข้าใจกัน (แต่เขาก็พยายามแล้วล่ะ) รูปที่เลือกมาคือฉาก climax ที่สะพาน ซึ่งเป็นฉากที่ทำให้เราทึ่งจนลืมไปเลยว่านั่งเก้าอี้อยู่!
 8. Run (กำกับโดย กฤษณะ พันธุ์เพ็ง)
เราขอจำกัดความว่า Run เป็นละครที่สนุกและแร่ดอย่างไร้ความบันยะบันยังแล้วกัน (แร่ดในที่นี้เป็นคำชม) มันว่าด้วยคู่เกย์สองคนที่เจอกันในฟิตเนส และความสัมพันธ์ขึ้นๆลงๆ ของพวกเขา ละครมันมีมุขนู่นนี่ตลอด ดูสนุกมาก เราชอบตอนที่เขาเปิดเสียงจากหนังเกาหลี (หรืออะไรสักอย่าง) แล้วนักแสดงก็ขยับปากตาม แล้วทำได้เป๊ะและฮามากๆ หรือช่วงที่ ปานรัตน กริชชาญชัย เข้ามารับเชิญในบทพิธีกรก็ตลกมาก อย่างไรก็ดี เราชอบบทสรุปของละครเรื่องที่ว่า บางทีเราต้องเลือกวิ่งไปคนละทางกับคนที่เราผูกพัน เพื่อมีชีวิต 'ของเรา' ต่อไป (อา ทำไมลงท้ายเศร้าจังล่ะ)
 7. นางนาก เดอะ มิวเซียม (กำกับโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์)
เป็นละครอีกเรื่องหนึ่งที่สนุกมากๆ ของปีนี้ มันเป็นละครพลังสูงรุนแรง และทำเราหัวเราะเกือบหัวใจวายตาย (ในขณะเดียวกันก็ลุ้นให้นักแสดงไม่ลมจับเสียก่อนเล่นจบ) ชอบฉากการปะทะกันของ เกรียงไกร ฟูเกษม กับ ปานรัตน เกือบทุกฉาก ส่วนคุณอรอนงค์ ไทยศรีวงศ์ ที่รับบทนางนากก็เล่นได้เฉียบขาดมาก ทั้งน่ารัก ทั้งน่ากลัว ทั้งฮา ทั้งหลอน ได้หมด เรายังชอบการตีความของผู้กำกับด้วย โดยมันคือการสะท้อนถึงการที่ผู้คนหาใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบจากเรื่องราวของตำนานแม่นาค (อันเป็นประเด็นฮ็อตของวงการเวทีปี 2009) ซึ่งในแง่หนึ่งมันไม่อาจไม่ใช่เรื่องผิด แต่อีกแง่หนึ่ง นั่นก็เป็นข้อหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของคนที่(อยาก)ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินหรือผู้กำกับ
 6. ช่อมาลีรำลึก (กำกับโดย ปานรัตน กริชชาญชัย)
ปกติชอบการแสดงของปานรัตนมากๆ อยู่แล้ว พอรู้ว่าเธอจะกำกับละครเป็นของตัวเองก็ดีใจมาก ซึ่งก็ออกมาผิดคาดนิดนึง ตอนแรกนึกว่าฮาหลุดโลก (เหมือนกับบทที่เธอได้รับบ่อยๆ) แต่ปรากฏว่าละครมีเนื้อหาจริงจังนิดนึง ว่าด้วยสองสาวทึนทึก (หวังว่าคำนี้จะไม่ดูหยาบคายเกินไปนะ) เจ๊ช่อ กับ ตุ๊กติ๊ก ผู้หญิงสองคนนี้คุยกันไปทั้งเรื่อง ซึ่งบทสนทนามันครอบคลุมทั่วจักรวาลเลย ทั้งเรื่องความเป็นเมีย ความเป็นแม่ ความเป็นมนุษย์ ฯลฯ ยิ่งดูไปก็ยิ่งอิน เท่าที่จำได้ตอนที่ชอบมากๆ คือตอนที่ ตุ๊กติ๊ก พูดเรื่องของการอยู่คนเดียว ว่าตกลงแล้วมนุษย์เรามันจะอยู่คนเดียวไม่ได้จริงหรือ ส่วนตอนท้ายๆ ที่เป็นพล็อตเจ๊ช่อไปเที่ยวทะเล แล้วเริ่มหาทางให้ชีวิตตัวเองก็ชอบ ต้องขอชมตรงนี้ว่า คุณเยาวลักษณ์ เมฆกุลวิโรจน์ เล่นได้ดีมาก (รอบที่เราดูคุณบ่วยพลาดเหยียบเปลือกหอยประกอบฉาก แต่ก็เล่นต่อไปอย่างสมบูรณ์แบบ)
 5. จานบิน (กำกับโดย วรัญญู อินทรกำแหง)
อันนี้เป็นละครที่ได้ดูในงานอ่าน "สันติภาพ" ซึ่งเป็นการอ่านละครราว 15 นาทีหลายๆ เรื่องเป็นแพ็คเกจ วันนั้นได้ดูไปประมาณ 10 กว่าเรื่อง และชอบเรื่องนี้ที่สุด ละครเรื่องนี้ว่าด้วยชายหนุ่มกับหญิงสาวที่คุยกันเรื่องมนุษย์ต่างดาว เราค่อนข้างชอบละครเรื่องนี้มาก อาจด้วยเพราะการอ้างอิงกับหลายสิ่งที่เราชอบเป็นดั้งเดิมอยู่แล้ว เช่น เรื่องของมนุษย์ต่างดาว (เราเป็นสาวก The X-Files) หรือ เพลง Star Man ของ David Bowie การแสดงของละครยังน่าสนใจมาก เปรียบไปแล้วคงเหมือนมีหลายกระบวนยุทธในไม่กี่นาที มีตั้งแต่จริงจัง ซีเรียส ปัญญาอ่อนคิกขุ ไปจนถึงเล่นงิ้ว! ซึ่งนักแสดงหญิงของเรื่อง ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์ ก็เอาอยู่ทั้งหมด อีกสิ่งที่ชอบคือ การพูดถึงสันติภาพของมันที่แปลกกว่าชาวบ้านเขาดี คือพูดถึงการดำรงอยู่ของความเชื่อของกลุ่มคนที่เชื่ออะไรไม่เหมือนกระแสสังคมหลัก ซึ่งคนที่ถูกเพื่อนด่าเสมอว่าคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านอย่างเราย่อมอิน ฮ่าๆ
ป.ล. รูปประกอบเรื่อง "จานบิน" เอามาจากบล็อกของ Filmvirus จ้ะ
 4. Silent Scream: Journey to the Dream of a Murderer (กำกับโดย วสุรัชต อุณาพรหม)
ละครเรื่องนี้ (จริงๆ ทางผู้จัดทำเขาอยากเรียกว่าเป็น "การแสดง" มากกว่า) แค่คอนเซ็ปต์ก็ชนะเลิศแล้ว มันว่าด้วยชีวิตของมาร์ธา จากนิยายเรื่อง The Misunderstanding ของอัลแบต์ กามูส์ (ซึ่งเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เราชอบมาก) โดยผู้กำกับตั้งคำถามว่ามาร์ธาจะมีชีวิตอยู่อย่างไรหลังจากที่เธอกับแม่ฆ่าพี่ชายไปแล้ว และแม่ก็ดันฆ่าตัวตายตามไป ซึ่งเรื่องราวถูกนำเสนอผ่านการแสดงเดี่ยวของ ภัทรสุดา อนุมานราชธน (เป็นนักแสดงหญิงคนโปรดอีกคนของเรา) ครึ่งแรกออกไปทางสื่อสารด้วยท่าทาง (physical theatre) ซึ่งสารภาพว่าไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่อย่างที่ชื่อเรื่องเขาบอกไว้ว่านี่เป็นเดิืนทางสู่ความฝัน (ของฆาตกร) ส่วนครึ่งหลังหลอนมาก เป็นช่วงที่มาร์ธาคุยกับหุ่นกระบอก ที่เดาว่าเป็นตัวแทนของแม่ แล้วมีฉากที่ติดตาเรามากๆ คือเธอล้วงมือเข้าไปในจิ๋มแม่ตัวเองแล้วมีลูกแอปเปิ้ลออกมา! อีกสิ่งที่น่าชื่นชมมากๆ ของละครเรื่องนี้คือ พวกภาพเคลื่อนไหวประกอบที่เป็นหน้าแม่มาร์ธาลอยไป ยิ่งหลอนเข้าไปอีก
 3. Begin Again (กำกับโดย Nana Dakin)
ปีนี้คณะ B-Floor ครบรอบ 10 ปี และมีละคร 4 เรื่อง พูดได้เต็มปากเลยว่าทั้งสี่เรื่องอยู่ในระดับมาสเตอร์พีซ เราสังเกตเอาเองว่าแบ่งเป็นสองกลุ่มด้วยกันคือ ละครที่พูดถึงประเด็นทางสังคมอย่างสุดๆ (สันดานกา / Begin Again) กับอีกกลุ่มที่ค่อนข้างเป็นงานทดลองมากๆ แล้วพูดถึงการดำรงของตัวเอง-ความเป็นปัจเจก (Something Else / Displacement) อย่างเรื่อง Begin Again คือการพูดถึงผู้คนที่อยู่ผิดที่ผิดทาง เช่น หญิงสาวที่ไม่ยอมรับการกดขี่จากชนชั้นสูง, สาวใช้ชาวพม่า ไปจนถึงผู้อพยพชาวโรฮิงญา เราชอบที่คณะ B-Floor มักจะกล้าพูดประเด็นร่วมสมัยอยู่เสมอ และสำหรับเรื่องนี้เราว่ามันเศร้ามาก เพราะคนบางคนอาจไม่มีที่แห่งหนที่ถูกต้องของตัวเอง และต้องเริ่มต้นเดินทางใหม่อยู่เรื่อยไป (มันทำให้เรานึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่อง Bashing ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังที่เราชอบที่สุดในชีวิต) อีกสิ่งที่ติดตามากๆ คือ ตัวร้ายดัดจริตรัศมีอำมหิตรุนแรงสองคน (ปูเป้-ศศพินทุ์ กับ นักแสดงอีกคนที่ผมจำชื่อไม่ไ่ด้ ขอโทษด้วยครับ) ซึ่งเล่นได้น่าตบมาก
 2. Displacement ผิดที่ผิดทาง (กำกับโดย จารุนันท์ พันธชาติ + ดุจดาว วัฒนปกรณ์)
ได้ข่าวโปรเจ็คต์นี้ครั้งแรกก็ตื่นเต้นมาก เพราะเป็นการร่วมงานกับของคุณจารุนันท์ + คุณดุจดาว ซึ่งเป็นนักแสดงหญิงที่เราชอบมาก (อีกแล้ว) ต้องสารภาพก่อนว่าสาเหตุที่ละครเรื่องนี้ติดอันดับสูง เพราะเพิ่งดูไปเมื่อเดือนธันวาคมนี้เอง อย่างไรก็ดี เป็นการแสดงที่ดูแล้วตื่นเต้นตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม (ฮา) ความเก๋ของ Displacement คือการเล่นกับความไม่เป็นระเบียบ การแสดงมี 5 ชุดย่อยด้วย ซึ่งนักแสดงก็จะให้ผู้ชมเลือกเลยว่าอยากดูอันไหนก่อนหลัง (คิดได้ไงเนี่ย) เราว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายแล้วก็ยากพอดูทีเดียว ส่วนฉากที่ชอบมากๆ คือตอนที่ตัวละครขว้างปาของใส่กัน แล้วอยู่ดีๆ ก็เล่นมุขของกระเด็นแบบสโลวโมชั่นมาทางคนดู หรือฉากที่ดุจดาวร้องคาราโอเกะก็ฮามากๆ อ้อ อีกสิ่งที่ชอบคือ มันจะมีเพลงประหลาดๆ ขึ้นมาเป็นพักๆ แล้วทั้งสองคนก็ต้องเต้นท่าตลกๆ ซึ่งเวลาได้ดูคนสวยทำอะไรน่าเกลียดๆ มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของเรา
 1. ความรักและเงินตรา (Love & Money) (กำกับโดย อัจจิมา ณ พัทลุง)
ตอนที่ดูละครเรื่องนี้จบใหม่ๆ ไม่ได้รู้สึกชอบมากถึงขนาดว่าจะเป็นละครแห่้งปี แต่สุดท้ายแล้วนี่เป็นละครที่ติดตรึงอยู่ในหัวสมองและความคิดของเรามากที่สุด โดยละครเรื่องนี้เล่าถึง 6 ตัวละครที่มีความสัมพันธ์ไปมา ละครจะไม่ได้บอกอย่างชัดเจน แต่คนดูต้องโยงใยมันเอาเอง เอาจริงๆ แล้วถึงละครอาจจะพูดคอนเซ็ปต์เรื่องมนุษย์กับทุนนิยม แต่เราไม่ได้อินตรงนั้นมาก สิ่งที่เราชอบคือ ความเป็นมนุษย์ในละครเรื่องนี้ที่ซับซ้อน เปราะบาง น่าหลงใหล แต่ก็น่ากลัวไปพร้อมกัน
นี่คือละครที่ไม่มีฉากแบบระเบิดพลัง (catharsis) เลย แต่มีอย่างน้อยๆ 4 ฉากใน Love & Money ที่จะเป็นฉากคลาสสิกในวงการละครเวทีบ้านเราไปอีกนาน หนึ่ง-ตอนที่ภัทรสุดาในบทเจ้านาย ปะทะกับ คานธี อนันตกาญจน์ ในฐานะลูกน้อง สอง-ฉากในผับของภัทรสุดากับ ศุภสวัสดิ์ บุรณเวช ที่ยั่วยวนและน่าขยะแขยงไปพร้อม สาม-ฉากที่คานธีกับ ภาวินี สมรรคบุตร ทะเลาะกันในโรงพยาบาล ฉากนี้เป็นฉากที่เราดูแล้วกลัวมากๆ ทั้งที่นักแสดงทั้งสองไม่ได้ระเบิดอารมณ์หรือตะโกนใส่กันเลย เปรียบประหนึ่งมันคือสงครามย็นที่เนื้อในคือสงครามโลก และสี่-ฉากสุดท้าย ซึ่งเป็นฉากโมโนล็อก (5 นาทีได้กระมัง) ของภาวิณี ว่าด้วยจักรวาลหรืออะไรสักอย่าง จำได้ว่าตอนที่ดูไม่รู้เรื่องอะไรอีกต่อไปแล้ว สมองจะระเบิดตายเสียตรงนั้นให้ได้ นึกออกอย่างเดียวคือ นักแสดงเล่นเข้าไปได้ไง
ทั้งนี้ได้ข่าวว่า ละครเรื่อง Love & Money จะทำการ re-stage เร็วๆ นี้ ก็คิดว่าจะไปดูอีกรอบแ่น่นอน
MER AWARDS 2009 for stage play
Stage Play of the Year: Love & Money
Theatre Troupe of the Year: B-Floor (for 4 great performances; San-Dan-Ka, Something Else, Begin Again and Displacement)
Performance of the Year: Pavinee Samakkabutr and Pattarasuda Anuman Rajadhon in 'Love & Money'
Guilty Pleasure of the Year: วิมานมายา (นิเทศ จุฬา)
Drag Me to Hell of the Year: Matchmaker เนื้อคู่คุณอยู่ไหน? (วารสาร ธรรมศาสตร์)
Create Date : 10 มกราคม 2553 |
Last Update : 10 มกราคม 2553 7:29:03 น. |
|
10 comments
|
Counter : 5164 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: ดอง IP: 58.9.169.163 วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:9:21:07 น. |
|
|
|
โดย: แฟนผมฯ IP: 142.103.23.32, 202.134.119.218 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:11:38:03 น. |
|
|
|
โดย: Peacher IP: 124.120.190.157 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:15:56:23 น. |
|
|
|
โดย: beautiespoo วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:3:28:09 น. |
|
|
|
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:10:08:04 น. |
|
|
|
โดย: MyByC IP: 161.200.211.208 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:22:19:43 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:8:30:22 น. |
|
|
|
โดย: เด็กม.ปลาย IP: 203.144.144.164 วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:2:11:21 น. |
|
|
|
โดย: LoveOnly วันที่: 3 พฤษภาคม 2554 เวลา:17:59:00 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เราฮารางวัลลากฉันลงนรกไปเหอะ