10 หนังแห่งปี 2009
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
ต่อไปนี้คือ 10 หนังที่ผมชอบที่สุดในปี 2009 ครับ
10. Inglourious Basterds (2009, Quentin Tarantino, USA)
หลังจากเราไม่ค่อยปลื้ม Deathproof ของแกเท่าไร พอดูหนังเรื่องนี้เข้าไปก็ต้องกลับมาซูฮกเฮียเควนตินอีกครั้ง อย่างแรกเลยคือ มันโคตรสนุก แค่ฉากเปิดมาก็ระทึกสุดๆ แล้ว หรือฉากโรงหนังในตอนท้ายที่ดูแล้วอารมณ์ขึ้นถึงจุดสุดยอด ถ้ามองในเชิงเขียนบทพี่แกก็เก่งจริงๆ ที่สามารถร้อยเรียง (หรือจริงๆ คือเมคขึ้นมา) เรื่องของประวัติศาสตร์สงครามโลกกับภาพยนตร์ได้บรรเจิดขนาดนี้ นัยยะที่สื่อออกมามันรุนแรงมาก เมื่อคนที่ใช้ภาพยนตร์เป็นสื่อขยายอำนาจ ต้องถูกทำให้สิ้นอำนาจด้วยภาพยนตร์ ขอพูดแบบเวอร์ๆ ว่าเควนตินได้ถึงจุดสูงสุดของการใช้พลังของสื่อภาพยนตร์แล้ว
Note: Inglourious Basterds เข้าฉายโรงปกติ / มีดีีวีดีลิขสิทธิ์ไทยขายแล้ว
9. Mundane History (2009, Anocha Suwichakornpong, Thailand)
สิ่งที่น่าทึ่งมากในหนังเรื่องนี้คือ การเล่าผ่านตัวละครเล็กๆ แต่สามารถขยายใหญ่ไปถึงเรื่องระดับจักรวาล จากเรื่องของพ่อลูกที่ไม่ลงรอยกันในบ้านหลังหนึ่ง นำไปสู่เรื่องของครอบครัว, การเมือง, การเกิด-การตาย-การแตกดับ ไปจนถึงคำถามที่แสนเจ็บปวดแต่เราหนีไม่พ้นว่า "มนุษย์นั้นเกิดมาเพื่ออะไร" เทคนิคที่น่ายกย่องในหนังคือการตัดต่อแบบการไม่เรียงลำดับเวลา การเล่าเรื่องแบบไม่คลี่คลายอะไรทั้งสิ้น ประหนึ่งองก์ที่สามของหนังหายไป ส่วนตัวแล้วสิ่งที่กระทบใจที่สุดคือตอนที่พระเอกพูดว่า "เป็นไปได้มั้ย ที่เราจะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีอดีต" และท้ายสุดราวกับหนังจะคำตอบเราว่ามนุษย์แค่เกิดมาก็มีอดีตและความทุกข์แล้ว
Note: Mundane History (เจ้านกกระจอก) ฉายในเทศกาลหนังเวิลด์ฟิล์ม ส่วนกำหนดฉายปกติ โปรดติดตามกันต่อไป
8. Milk (2008, Semih Kaplanoglu, Turkey)
Milk เป็นหนังเจ็บปวดมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีที่แล้ว มันมีสองพล็อตหลักๆ ควบคู่กันไป คือลูกชายที่เริ่มระแคะระคายว่าแม่กำลังจะมีผู้ชายใหม่ หนังไม่ได้กล่าวโทษตัวละครใด และไม่มีฉากแม่ลูกถกเถียงกัน ซึ่งยิ่งสร้างความรวดร้าวเข้าไปอีก พล็อตอีกส่วนคือ ความฝันของพระเอกที่อยากจะเป็นกวี ฉากหนึ่งที่ติดตามากคือ ตอนที่เพื่อนของพระเอกส่งบทกวีให้อ่าน แต่กล้องก็ทิลต์ต่ำลงมาจับภาพเสื้อผ้าและรองเท้าที่แปดเปื้อนจากการทำงานเหมือง Milk ยังเป็นภาคก่อนหน้า (prequel) ของหนังเรื่อง Egg ที่ว่าด้วยลูกชายผู้ไม่ยอมไปงานศพของแม่ ซึ่ง Milk ก็ทำให้เราเข้าใจตัวละครนี้อย่างสุดจิตสุดใจ
Note: Milk ฉายในเทศกาลหนังเวิลด์ฟิล์ม / มีดีวีดี (แผ่นนอก) ขายแล้ว
7. A Mischievous Smile Lights Up Her Face (2009, Christelle Lheureux, France)
นี่อาจจะไม่ใช่หนังที่สร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ชม แต่มันเป็นหนังมีเทคนิคและการเล่าเรื่องที่พิสดารที่สุดเรืองหนึ่ง ผู้กำกับฉายภาพหนุ่มสาวคู่หนึ่งอยู่ในป่า ชายหนุ่มเดินไปมา พร้อมกับบรรยายเรื่องราวจากหนังเรือง The Bird ของ Alfred Hitchcock พร้อมกันนั้นก็มีเสียงบรรยากาศจากหนังต้นฉบับใส่เข้ามาด้วย ไม่ว่าจะเสียงกรีดร้อง เสียงฝูงนกบ้าคลั่งกระพือปีก ผู้กำกับยังยั่วล้อกับเราด้วยการให้ชายหนุ่มเล่าๆ หยุดๆ หรือหันไปหยอกเล่นกับเพื่อนสาวเสียอย่างนั้น นี่เป็นหนังที่ต้องใช้ต้องตามอง - หูฟัง - หัวสมองคิดตาม โดยสรุปมันคือการระเบิดทางจินตนาการที่ท้ายทายอย่างสุดขั้ว
Note: A Mischievous Smile Lights Up Her Face ฉายในเทศกาลหนังเวิลด์ฟิล์ม
6. Melancholia (2008, Lav Diaz, Philippines)
หนังฟิลิปินส์เรื่องนี้มีความยาวถึง 8 ชั่วโมง แต่มันไม่น่าเบื่อแม้แต่นิด นี่คือการเดินทางสู่ความหดหู่โศกาเกินบรรยาย ตัวละครสามตัว โสเภณี - แมงดา - แม่ชี เดินเตร็ดเตร่อยู่ในชนบทแห่งหนึ่ง ก่อนหนังจะเปิดเผยว่าพวกเขาเป็นหนุ่มสาวที่ได้รับบทกระทบจากเหตุรุนแรงทางการเมือง พวกเขาสูญเสียคนที่รักไป จนต้องบำบัดตัวเองด้วยการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนอื่น (!) ส่วนหนังในพาร์ตหลังเป็นฉากแฟล็ชแบ็คถึงคนรักของนางเอกที่ต้องหนีป่า (เหมือนยุคเดือนตุลาบ้านเรา) หนังของดิแอซมักตั้งกล้องนิ่ง แช่ค้างไว้นับสิบนาที เพื่อให้เราซึมซับความทรมานของตัวละคร พร้อมประจักษ์ว่าความทุกข์ของมนุษย์นั้นไม่มีการตัดต่อแต่อย่างใด
Note: Melancholia ฉายในเทศกาล Death in the Land of Melancholia : Lav Diaz Retrospective
5. Stealth (Comme des voleurs) (2006, Lionel Baier, Switzerland)
เป็นหนังที่เข้าไปดูในโรงโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็เซอร์ไพรส์มาก โครงสร้างของหนังเก๋ตรงที่สำรวจเรื่องตัวตนทางเชื้อชาติและเพศสภาพไปพร้อมกัน พระเอกสงสัยว่าตัวเองจะมีเชื้อโปแลนด์ ในขณะเดียวกันเพศสภาพของเขาก็กลับไปมาระหว่างผู้ชายกับเกย์ นี่คือเรื่องยุคโลกาภิวัตน์ที่เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะถือสัญชาติและเพศสภาพมากกว่าหนึ่ง หนังยังเพิ่มความขัดแย้งให้พระเอกตบตีกับพี่สาวตลอดเวลา ซึ่งเราชอบการแสดงของตัวละครพี่สาวมากๆ (ดูแล้วนึกถึง โทนี่ คอตเล็ตต์ เวลาสติแตก) แล้วพล็อตของพระเอกกับพี่สาวก็สะท้อนแนวคิดของสถาบันครอบครัวในแบบที่ไม่มีวันเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
Note: Stealth ฉายในเทศกาลหนังตลก / มีดีวีดี (แผ่นนอก) ขายแล้ว
4. Letter to A Child (2008, Vlado Skafar, Slovenia)
ปกติเป็นคนที่ไม่อินกับสารคดีมากนัก แต่สารคดีเรื่องนี้ดูแล้วร้องไห้หนักที่สุดในชีวิตการชมภาพยนตร์เลยก็ว่าได้ ทั้งที่มันปรุงแต่งน้อยมาก หนังวางโครงสร้างด้วยการไล่สัมภาษณ์คนไปเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่ เด็กอนุบาลผู้ไร้เดียงสา, เหล่าวัยรุ่นกับความว้าวุ่นในชีวิต, คู่แฟนที่กำลังจะวางแผนแต่งงาน, หญิงสาวที่ใคร่ครวญเรื่องการมีลูก, พ่อแม่รู้สึกว่าชีวิตมีค่าเมื่อลูกน้อยกำเนิดขึ้นมา, พ่อแม่ที่สูญเสียลูกไปถึงสองคน, คู่สามีภรรยาวัยชราที่นั่งรอวันตาย ไปจนถึงชายสูงอายุที่ไม่มีอะไรหลงเหลือในชีวิตอีกต่อไปแล้ว หนังเรื่องนี้คือตั้งคำถามคล้ายๆ กับ Mundane History แต่เจ็บปวดกว่าว่า "มนุษย์เกิดมามาทำไม ในเมื่อเราต้องพบการสูญเสียมากมาย และสุดท้ายสิ่งที่รอเราอยู่ก็คือความตาย"
Note: Letter to A Child ฉายในเทศกาลหนังเวิลด์ฟิล์ม
3. Everyone Else (2009, Maren Ade, Germany)
บางทีถ้าคุณอยากดูหนังสงครามโลก อาจไม่ต้องหันไปมองไหนไกล แต่ลองสังเกตความสัมพันธ์ของคุณกับคนรัก เพราะนั่นแหละคือสงครามโลกชั้นดี หนังเรื่องนี้เล่าถึงคู่รักหนุ่มสาวที่อยู่ในบ้านพักสวยงาม พล็อตเรื่องมีแค่นั้นจริงๆ ไม่มีฆาตกรโรคจิต หรือนางเอกไม่ได้ไปเจอศพ ความมหัศจรรย์ของ Everyone Else คือการเล่าถึงความสัมพันธ์ของคนรักในกึ่งรูปแบบหนังระทึกขวัญ การกระทำทุกอย่างเป็นเพียงกิจวัตรสามัญธรรมดา แต่คือการนำไปสู่ความเข้มข้นทางจิตวิทยา เปรียบได้ว่านี่คือหนังที่พูดถึงผิวน้ำอันนิ่งสงบที่มีคลื่นใต้น้ำรุนแรงก่อตัวอยู่ข้างใต้ แต่หนังจะไม่มีวันให้คุณเห็นคลื่นนั้นอย่างชัดแจ้ง
Note: Everyone Else ฉายในเทศกาลบางกอกฟิล์ม
2. I Killed My Mother (2009, Xavier Dolan, Canada)
ชื่อหนังอาจดูน่ากลัว แต่ยืนยันอีกทีว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีการฆ่าแม่แต่อย่างใด แต่เล่าถึงลูกชายเกย์หนุ่มกับแม่ที่โรคฮิสทีเรียลงตับทั้งคู่จนเหมือนจะฆ่ากันตายตลอดเวลา พระเอกของเรื่องชิงชัง เกลียด รำคาญ เหยีดหยาม และด่าทอแม่ของตัวเอง ดังนั้นถ้าพูดในแง่นี้แล้ว เราทุกคนก็เคยปฏิบัติการมาตุฆาตด้วยกันทั้งนั้น บางทีความสัมพันธ์แบบแม่ลูกนี่กระมังที่เป็นภาพแทนของความสัมพันธ์แบบรัก-เกลียดได้ดีที่สุด (ในฉากหนึ่งลูกประชดถามว่า "แม่จะทำยังไงถ้าผมตายวันนี้" แล้วเดินจากไป แม่ตอบเบาๆ กับตัวเองว่า "แม่ก็จะตายพรุ่งนี้") สิ่งที่น่าแสยงใจคือ เราดูหนังเรื่องนี้จบลง เรารู้สึกผิด เราตระหนักว่ารักแม่้เพียงใด แต่เราก็ยังจะเข่นฆ่าผู้เป็นมารดาของเราต่อไป
Note: I Killed My Mother ฉายในเทศกาลบางกอกฟิล์ม
1. (500) Days of Summer (2009, Marc Webb, USA)
บางทีนี่อาจจะเป็นหนังที่สะท้อนภาพของคนที่เลิกรากับคนรักได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง ในห้วงเวลาแห่งความสับสน ภาพความทรงจำเก่าๆ จะย้อนคืนกลับมา และมันจะไม่ได้ถูกเล่าอย่างถูกต้องตามลำดับเวลา ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาเป็นห้วงความคิด หากว่าแต่ละภาพเหตุการณ์นั้นกลับชัดเจนจนน่าสะเทือนใจ
หนังเล่าถึง ทอม ชายหนุ่มที่ถูกสาวแนว/อาร์ต ซัมเมอร์ บอกเลิก และคิดถึงช่วงเวลาที่ใช้กับเธอ 500 วัน หนังโดดเด่นด้านเทคนิคที่จัดจ้าน ฉากมิวสิเคิล แอนิเมชั่น เพลงฮิตทุกยุคสมัยตั้งแต่ยุค 60 ยันปัจจุบัน แต่เทคนิคเหล่านั้นไม่ได้ถูกใส่มาเพื่อความโก้เก๋อย่างเดียว หลายฉากที่ลูกเล่นเหล่านั้นทำให้หนังกระทบใจคนดูอย่างรุนแรง อย่างฉากแบ่งจอภาพความคาดหวัง/ความเป็นจริงของชายหนุ่ม ซึ่งอาจเป็นการใช้ Split Screen ที่ทรงพลังที่สุดครั้งหนึ่งในโลกภาพยนตร์
แม้จะเป็นหนังที่ฉูดฉาด แต่การสะท้อนภาพเรื่องความสัมพันธ์หนังก็ทำได้สมจริงจนน่าขึ้นลุก ฉากทอมกับซัมเมอร์คุยกันม้านั่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด มันพิสูจน์ให้เห็นว่าหนังรักไม่จำเป็นต้องเพ้อเจ้อหวือหวา บทสนทนาเพียงง่ายๆ แต่หากผู้สร้างให้สติความคิด และการใส่เลือดเนื้อให้กับตัวละคร สิ่งเหล่านั้นยอมมีชีวิตจริงๆ ขึ้นมาได้
มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ชมหลายคนจะเกลียดขี้หน้าตัวละครของซัมเมอร์ แต่หนังทำให้เราตระหนักได้ในเหตุผลของเธอ ผู้กำักับของเรื่อง มาร์ค เว็บบ์ กล่าวไ้ว้ว่า "เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะเข้าใจตัวละครซัมเมอร์ และอยากให้เธอพบเจอกับสิ่งดีๆ เพราะนั่นเป็นสัญญาณของการจบความสัมพันธ์ที่แท้จริง" มันอาจทำได้ยากในชีวิตจริงของเรา แต่อย่างน้อยที่สุดซัมเมอร์ได้รับสิ่งนั้นจากผมแล้ว
Note: (500) Days of Summer ไม่ได้เข้าฉายในไทย / ดีวีดีลิขสิทธิ์ไทยมีกำหนดวางขายเดือนกุมภาพันธ์
MER MOVIE AWARDS 2009
Film of the Year: (500) Days of Summer
Short Film of the Year : After the Empire (2008, Elodie Pong, Switzerland, 14 mins) / ของเหลวที่หลั่งจากกาย (2009, รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค, 41 mins)
Scene of the Year: The bench scene in (500) Days of Summer
Performance of the Year: Birgit Minichmayr from "Everyone Else" / Christoph Waltz from "Inglourious Basterds"
Guilty Pleasure of the Year: Bruno
Drag Me to Hell of the Year: ความสุขของกะทิ
Honorable Mention (Alphabetical order): A Lake, Blind Pig Who Wants to Fly, The Box, Cheri, Dogtooth, Karaoke, Kinatay, La Pivellina, The Living World, Revolutionary Road, Ricky, Robert Zimmermann Is Tangled Up in Love, Thirst, The White Ribbon, The Wrestler
สถิติบ้าๆบอๆ
ดูหนังโรงทั้งหมด: 155 เรื่อง ดูคนเดียว: 153 ดูคนเพื่อน: 2 ดูกับกิ๊ก: 0 ดูกับแฟน: 0
Create Date : 23 มกราคม 2553 |
|
15 comments |
Last Update : 23 มกราคม 2553 10:51:02 น. |
Counter : 4511 Pageviews. |
|
|
|