(500) Days of Summer : ห้าร้อยวันฉันรักเธอ
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
หมายเหตุ:
1. ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 95 (ตุลาคม 2552)
2. บทความนี้ไม่ใ่ช่บทวิจารณ์ แต่เป็นสกู๊ปนะจ๊ะ
ห้าร้อยวันฉันรักเธอ
เรื่องอาจเริ่มจากเราสองคนเจอกันในลิฟต์, ร้านกาแฟ หรืองานปาร์ตี้สักแห่ง ตอนแรกเรายังไม่กล้าคุยกันเท่าไรหรอก แต่บังเอิญว่าเราดันมีเพลงโปรดเพลงเดียวกัน พวกเราเลยหาเรื่องมาคุยกันได้ เราแลกเบอร์โทรศัพท์กัน และพอได้คุยกันมากขึ้นก็ยิ่งพบว่าเราสองคนนี่ช่างเหมือนกันเสียเหลือเกิน เราชอบเพลงแนวเดียวกัน มีผู้กำกับคนโปรดคนเดียวกัน มีสถานที่โปรดแห่งเดียวกัน เรียกได้ว่าเราสองคนคลิกกันได้ทุกเรื่อง ในที่สุดเราตัดสินใจจะเป็นมากกว่าเพื่อน เพราะเราต่างมั่นใจว่าเป็น ‘คนที่ใช่’ ของกันและกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาเริ่มไม่รับโทรศัพท์ของเรา หรือบ่ายเบี่ยงที่จะคุยด้วย (แถมเรายังไม่ได้เจอหน้ากันมาสองเดือนแล้ว) เมื่อเราคาดคั้นเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้น คำตอบก็เหมือนหลุดมาจากมิวสิกวิดีโอหรือหนังรักวัยรุ่น เขาบอกว่าเรา ‘ไม่ใช่’ สำหรับเขา และอยากให้กลับไปเป็นเพื่อนกัน เราขอร้องอ้อนวอนให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่มันก็ไม่เป็นผล เราสับสนด้วยความช็อค โกรธ และเสียใจ เรานั่งคิดหาคำตอบว่าเราผิดพลาดตรงไหน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งหาไม่เจอ สิ่งที่ปรากฏในหัวสมองกลับเป็นภาพวันเวลาเก่าๆ ที่เรากับเขาใช้ร่วมกัน ภาพเหล่านั้นฉายขึ้นมาเป็นห้วงๆ ไม่ปะติดปะต่อ แต่มันก็ชัดเจนจนน่าสะเทือนใจ...
เรื่องราวข้างบนนี้ฟังดูแล้วช่างซ้ำซาก แต่มันก็เคยเกิดขึ้นกับทุกคนนั่นแหละ และหนังเรื่อง (500) Days of Summer ก็มีเนื้อเรื่องไม่หนีจากนี้สักเท่าไร หนังว่าด้วย ทอม (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์) ชายหนุ่มที่ทำงานในบริษัทการ์ดอวยพร เขาตกหลุมรัก ซัมเมอร์ (โซอี้ เดสชาแนล) เพื่อนร่วมงานสาวทันทีที่เห็นเธอ ที่ทำงานของทอมยกก๊วนกันไปปาร์ตี้คาราโอเกะ เขากับซัมเมอร์ก็เลยได้ร้องเพลงคู่กัน ทั้งสองเริ่มทำความรู้จักกัน แล้วก็กิ๊กกันในที่สุด อีตาทอมนี่ก็คิดเออเองว่าเธอคนนี้จะเป็นคู่แท้แน่ๆ แต่แล้ววันหนึ่งสาวเจ้าก็บอกว่าเราเลิกเจอกันเถอะ ทอมเลยเฮิร์ตสุดๆ และนั่งคิดย้อนถึงเวลา 500 วันที่ใช้ชีวิตกับซัมเมอร์
อาจฟังดูเหมือนแค่หนังโรแมนติกคอเมดี้อีกเรื่องหนึ่ง แต่ (500) Days of Summer ถือเป็นหนังฮ็อตที่สุดของปีนี้แน่นอน เริ่มด้วยการฉายที่เทศกาลหนังซันแดนซ์แล้วได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม นักวิจารณ์ชมกันสนั่น (โรเจอร์ อีเบิร์ต ให้หนัง 4 ดาวเต็ม, นิตยสาร Entertainment Weekly ให้เกรด A) ล่าสุดหนังติด 1 ใน 250 หนังยอดนิยมในเวบ imdb.com ไปแล้วเรียบร้อย ทั้งที่หนังเป็นผลงานเรื่องแรกของผู้กำกับ มาร์ค เว็บบ์ ส่วนคนเขียนบทอย่าง สก็อตต์ นิวสแตดเตอร์ และ ไมเคิล เอช เวเบอร์ ก็มีเครดิตจากแค่...เอ่อ The Pink Panther 2
บางทีความพิเศษของ (500) Days of Summer อาจอยู่ที่คำโปรยบนโปสเตอร์ที่ว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องรัก (love story) แต่มันคือเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก (story about love)”
นี่ไม่ใช่หนังรักธรรมดา
ความโดดเด่นของ (500) Days of Summer มีอย่างน้อย 2 อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือ มันเป็นหนังที่ ‘ฮิป’ สุดๆ ด้วยสไตล์อันจัดจ้านของมัน ไล่ตั้งแต่มีฉากขาวดำ, มีเสียงบรรยายกวนโอ๊ยตลอดเรื่อง, มีการแบ่งจอภาพ (spilt screen) ไปจนถึงฉากมิวสิเคิลและแอนิเมชั่น!
หลายคนมองว่านี่เป็นอิทธิพลจากการที่เว็บบ์เคยกำกับมิวสิกวิดีโอมาก่อน แต่เจ้าตัวก็ขอแย้ง “คนมักมองว่าผู้กำกับที่เคยทำงานเอ็มวีจะสนใจแต่งานด้านภาพเท่านั้น แต่ผมสนใจเรื่องตัวละคร, การพัฒนาบท, การแสดง หรือการทำความเข้าใจกับนักแสดงมากกว่า”
เว็บบ์อธิบายถึงฉากเต้นในหนังว่า “เราพยายามให้เห็นถึงความรู้สึกของตัวละครมากกว่าความเป็นจริงตามสถานการณ์ อย่างในฉากนี้ทอมแฮปปี้ในความสัมพันธ์ของเขากับซัมเมอร์ เขารู้สึกว่าโลกกำลังยิ้มไปกับเขา รู้สึกว่าอยากจะออกมาเต้นกลางถนน เราก็เลยเลือกที่ถ่ายทอดออกมาอย่างที่เห็น”
กอร์ดอน-เลวิตต์ เสริมประเด็นนี้ว่า “ภาพยนตร์เป็นสื่อที่ดีในการถ่ายทอดมุมมอง/ความรู้สึกของตัวละคร เพราะหนังคือเรื่องของความเป็นส่วนตัว (subjective) ฮอลลีวู้ดทุกวันนี้พยายามทำให้เราลืมว่ากำลังดูหนังอยู่ พวกเขาชักจูงว่าเรากำลังดูความจริง สิ่งที่ผมชอบใน (500) Days ก็คือการที่มันย้ำตลอดเวลาว่า ‘เฮ้ นายกำลังดูหนังอยู่นะ’”
ความโดดเด้งอย่างที่สองของหนังอยู่ที่การไม่เล่าเรื่องตามลำดับเวลา หนังเปิดฉากด้วยการเลิกกันของทอมกับซัมเมอร์ แล้วย้อนไปตอนที่ทั้งคู่ยังคบกัน แล้วก็ข้ามไปเล่าถึงทอมหลังจากเลิกกับซัมเมอร์ โครงสร้างของหนังสลับไปมาแบบนี้ไปเรื่อยๆ
นิวสแตดเตอร์ หนึ่งในผู้เขียนบทยอมรับว่า เรื่องราวของ (500) Daysมาจากประสบการณ์การเลิกรากับแฟนเก่า และทอมก็เป็นตัวแทนของเขาอย่างกลายๆ “หนังเล่าผ่านมุมมองของทอม ซึ่งคล้ายกับการที่เราเข้าไปอยู่ในหัวสมองของเขา หนังค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว การเขียนเรื่องจึงเหมือนกับไดอารี่มากกว่าบทหนัง พวกเราลองลิสต์เหตุการณ์สำคัญของการคบกัน เช่น เดทครั้งแรก จูบครั้งแรก จากนั้นก็ลองเอามันมาเรียงดู”
เวเบอร์เล่าต่อว่า “ที่เราต้องสลับเหตุการณ์ไปมา เพราะเราเชื่อว่านี่คือวิธีที่คนจดจำความสัมพันธ์ของตัวเอง คงไม่มีใครจำมันได้ในแบบเส้นตรงหรอกครับ แต่ถึงเราจะไม่ได้ใช้โครงสร้างบทแบบ 3 องก์เหมือนหนังทั่วไป แต่เราก็วางแผนไว้เลยว่านาทีที่ 30 หรือ 80 คนดูควรรู้สึกอย่างไร”
นี่ไมใช่หนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วไป
โดยปกติแล้วหนังโรแมนติกคอเมดี้มักมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนดูเพศหญิง หนังประเภทนี้จึงหมกมุ่นอยู่กับความต้องการของสาวๆ เช่น อยากมีแฟน, อยากแต่งงาน (ดู The Proposal หรือ The Ugly Truth เป็นตัวอย่าง)
“หนังพวกนี้พูดถึงการบรรลุความต้องการของผู้หญิง แต่มันไม่ได้สะท้อนอารมณ์ที่แท้จริงของผู้ชายเลย ดังนั้นเราจึงต้องมีหนังที่พูดถึงความโรแมนติกและความสัมพันธ์ในมุมมองของผู้ชายบ้าง แต่ฮออลลีวู้ดไม่เคยสนใจจะทำหนังพวกนี้ให้คนดูผู้ชายหรอก” เว็บบ์แสดงความเห็น
“อีกสิ่งที่หนังโรแมนติกคอเมดี้ต้องมีคือเรื่องราวสุดพิสดารตามแนวคิดแบบ high concept ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งหลอกลวงและสร้างความเข้าใจผิด ในหนังของเราจะไม่มีอะไรแบบนั้นเลย เพราะมันคือเรื่องของคนจริงๆ ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ธรรมดาสามัญที่สุด”
ถึงแม้ (500) Days จะดูเอาใจกลุ่มคนดูผู้ชายมาก แต่มือเขียนบทอย่างเวเบอร์ก็ยันยันว่านี่คือหนังที่ดูได้ทั้งชายและหญิง เขาเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวว่า “น้องสาวของผมอายุ 20 กว่า เธอดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบมาก เธอไม่เคยรู้เลยว่าโลกมีหนังแบบนี้ด้วย เธอไม่เคยดูหนังของ แคเมรอน โครว์ ด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเด็กรุ่นเธอเติบโตมาแบบไร้สมดุลก็เพราะหนังโรแมนติกคอเมดี้ยุคนี้นั่นแหละ”
นี่ไม่ใช่หนังอินดี้
ด้วยความที่ (500) Days เป็นลูกรักของเทศกาลหนังซันแดนซ์ แถมยังอยู่ในชายคาของ Fox Searchlight (ที่มีหนังดังในสังกัดอย่าง Little Miss Sunshine, Juno และ Slumdog Millionaire) หนังจึงถูกประทับตรา ‘หนังอินดี้’ ไปโดยปริยาย
“ผมแปลกใจเหมือนกันที่เราถูกมองแบบนั้น ถึงแม้เราจะทำหนังกับสตูดิโอเล็ก แต่สตูดิโอที่ว่าก็มีเจ้าของเป็นค่าย Fox เชียวนะ ผมคิดว่าคำว่าอินดี้มันออกจะเฟคๆ นะ ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่ามันแปลว่าอะไรเหมือนกับคำว่าโพสต์โมเดิร์นนั่นแหละ และกลายเป็นว่าคำนี้ถูกใช้ในเรื่องของสุนทรียะมากกว่าเรื่องเงินทุนไปแล้ว” เว็บบ์ให้สัมภาษณ์
“ถ้าเลือกได้ผมอยากให้หนังตัวเองอยู่นหมวด ‘ป็อป’ เสียมากกว่า แต่ก็น่าเสียดายที่คำว่า ป็อปหรือวัฒนธรรมป็อป กลายเป็นสิ่งไม่ดีในสายตาหลายๆ คน แต่สำหรับผม คำว่าป็อปหมายถึงการเข้าถึงได้ง่าย แต่มันก็สามารถทรงพลังได้ด้วย”
และนี่ไม่ใช่หนังว่าร้ายผู้หญิง
จะว่าไปแล้ว (500) Days ดูเป็นหนัง ‘แม้นแมน’ อยู่เหมือนกัน เพราะผู้กำกับ-คนเขียนบทก็ชายล้วน หนังเล่าจากมุมมองของพระเอกที่เพิ่งถูกแฟนสาวทิ้ง แถมยัยซัมเมอร์นี่ดันเป็นผู้หญิงประเภทอาร์ตตัวแม่อีกต่างหาก อ้าว แล้วนี่คนดูจะไม่เกลียดนางเอกเอาเหรอเนี่ย?
นิวสแตดเตอร์ให้ความเห็นว่ามุมมองของพระเอกก็ใช่จะถูกต้องนัก “หนังเล่าผ่านความทรงจำของทอม ซึ่งเป็นผู้ชายประเภทที่ดูหนังมากไป ฟังเพลงบริทป็อปมากไป แล้วก็ดันตีความตอนจบของหนัง The Graduate ผิดด้วย เขาอยู่ในภาวะที่ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และยังหาคำตอบไม่เจอ”
ด้วยความที่ซัมเมอร์เป็นตัวละครที่ค่อนข้างมีความเฉพาะตัวมาก เว็บบ์บอกว่าเดสชาแนลเป็นตัวเลือกที่ใช่ที่สุด “มันเป็นเรื่องง่ายมากที่ตัวะครนี้จะถูกเกลียด เราเลยต้องหาใครสักคนที่มีวิญญาณและความเป็นมนุษย์มากพอที่จะทำให้คนดูอยู่ข้างเธอได้บ้าง” เขาตั้งข้อสังเกตอีกว่า “ถึงซัมเมอร์จะแปรปรวนชนิดเดาใจได้ยาก แต่ที่จริงแล้วเธอก็ตรงไปตรงมากับทอมเสมอ”
ทางด้านเดสชาแนลก็ไม่ขอพูดอะไรถึงตัวละครของเธอ “ฉันทำส่วนของฉันดีที่สุดแล้ว จากนั้นก็ส่งตัวละครตัวนี้ต่อกับคนดู เพราะมันเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขา นี่เป็นความสัมพันธ์อันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างผู้ชมกับศิลปินค่ะ”
เว็บบ์สรุปถึงหนังของเขาว่า “ผมว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ดูหนังจบแล้วเราจะเริ่มเข้าใจตัวละครของซัมเมอร์ และหวังให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเธอ สำหรับผมนั่นคือสัญญาณของการจบความสัมพันธ์กับใครสักคนได้อย่างแท้จริง”
ชุดอุปกรณ์เสริมจาก (500) Days of Summer
* อัลบั้มซาวด์แทร็ก ได้รับเสียงชื่นชมไม่แพ้ตัวหนัง เพราะมีเพลงเด็ดๆ ของทุกยุคสมัย (Simon & Garfunkel ยัน Regina Spektor) และขาดไม่ได้กับเพลงของวง The Smiths ซึ่งเป็นเพลงโปรดร่วมกันของทอมและซัมเมอร์
* หนังสั้น Sid & Nancy หนังมีฉากเด็ดที่ซัมเมอร์อ้างถึงความสัมพันธ์ของคู่พังค์ร็อคในตำนานคู่นี้ ว่าแล้วเว็บบ์ก็เลยทำหนังสั้นล้อหนังเรื่อง Sid & Nancy เสียเลย แต่ความเก๋อยู่ที่เดสชาแนลเล่นเป็นซิด ส่วนกอร์ดอน-เลวิตต์ แต่งหญิงเป็นแนนซี่! (ดูได้ที่ //movies.msn.com/cinemash)
* มิวสิกวิดีโอ Why Do You Let Me Stay Here? เว็บบ์ทำเอ็มวีตัวนี้ขึ้นมาในช่วงหนังเข้าโรง โดยใช้เพลงของวง She & Him (วงของเดสชาแนล) โดยพล็อตประมาณว่าทอมมาปล้นแบงค์ที่ซัมเมอร์ทำงาน แต่อยู่ดีๆ ทั้งคู่ก็เต้นรำกันซะงั้น (ดูใน YouTube ค้นด้วยคำว่า 500 Days of Summer - Bank Dance)
* โปสเตอร์ต่างๆ นานา หนังเรื่องนี้มีโปสเตอร์มากมายหลายแบบเหลือเกิน แถมทาง Fox Searchlight ยังให้คนทางบ้านร่วมโหวตโปสเตอร์ที่จะใช้เป็นทางการด้วย
มีคนรักก็ย่อมมีคนชัง
ถึงแม้ (500) Days of Summer จะได้รับคำชมอย่างล้นหลาม แต่นักวิจารณ์บางคนก็ไม่ชอบหนังเรื่องนี้นัก นาธาน ลี (อดีตนักวิจารณ์จาก Village Voice) เขียนว่า “เป็นหนังที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดเด็กแนวที่ไม่อินกับหนังของ นอร่า เอฟรอน ทั้งที่จริงแล้วตัวหนังก็ไม่ต่างอะไรกับหนังที่แสดงโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน” ส่วน ริชาร์ด คอร์ลิสส์ แห่งนิตยสาร TIME เหน็บการใช้เพลงของหนังที่กวาดเรียบตั้งแต่เพลงยุค 60 ยัน 00 ว่า “เหมือนนักการเมืองที่เรียกคะแนนนิยมด้วยการจูบเด็กทุกคนโดยไม่เกี่ยงชาติพันธุ์และศาสนา”
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553 |
|
17 comments |
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 9:00:29 น. |
Counter : 8288 Pageviews. |
|
|
|
* พอดีเห็นว่าแผ่นลิขสิทธิ์ของหนังออกแล้ว ก็เลยเอาบทความนี้มาลงนะครับ
* ช่วงนี้ก็ยังคงยุ่งกับงานสอนหนังสือเช่นเคยครับ ก็อาจจะอัพบล็อกช้าหน่อยนะจ๊ะ