The Last Samurai ซามูไร คนสุดท้าย หรือซามูไรที่จะคงอยู่ ชั่วนิรันดร์
โดย merveillesxx
(คำเตือน - บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง)
The Last Samurai (2003) คือผลงานการกำกับล่าสุดของเอ็ดเวิร์ด ซวิค (ผู้กำกับที่มักจะทำหนังเกี่ยวกับ สงครามระดับปัจเจก ดังเช่นงานที่ผ่านๆมาอย่าง Glory, Courage Under Fire และ The Siege) อันว่าด้วยญี่ปุ่นในสมัยการปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration) อันเป็นยุคที่กระแสวัฒนธรรมตะวันตกไหลบ่าเข้าสู่แดนอาทิตย์อุทัย ยุคที่จักรพรรดิต้องการนำประเทศเข้าสู่สังคมสมัยนิยม (modernity) ยุคที่เกิดความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออก ยุคที่ละทิ้งดาบแต่หันมาจับปืน และเป็นยุคที่ซามูไรเป็นส่วนเกินของการพัฒนาประเทศ!
แม้ซวิคจะกล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้มาจาก Seven Samurai (อากิระ คุโรซาว่า, 1954) แต่ดูเหมือนเนื้อหนังนั้นจะไปคนละทางกัน เพราะ The Last Samurai กล่าวถึง ซามูไร ในชนิดที่เรียกว่า งดงาม จนเกือบจะเกินจริง จึงไม่แปลกหากหนังจะทำเงินถล่มทลายในญี่ปุ่น (ถึงขนาดมีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการเฉพาะของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับ นางฟ้าซามูไร อย่าง Kill Bill)
แต่ในหน้าหนังที่เป็นหนังตลาดนั้น หนังก็ยังมีคุณค่าให้เราจดจำและไม่เลือนลืมในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องของ วีรบุรุษ
วีรบุรุษในหนังคงจะเป็นใครมิได้นอกจากคัทสึโมโต้ (เคน วาตานาเบ้ - เข้าชิงลูกโลกทองคำสาขาดาราสมทบชาย) ผู้นำกลุ่มชนซามูไรกลุ่มสุดท้ายในญี่ปุ่น ที่มิยอมจำนนอยู่ใต้อาณัติของชาติตะวันตก กลับใช้ดาบสู้ฝ่าฟันกระสุนปืนอย่างมิเกรงกลัว
คัทสึโมโต้เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์แรงกล้า ยึดมั่นในเกียรติแห่งซามูไรที่มีหน้าที่ รับใช้ จักรพรรดิด้วยความซื่อสัตย์ เห็นได้จากตอนที่อัลเกร็น (ทอม ครูส) ถามว่า จักรพรรดิส่งคนมาฆ่าท่านหรือ เขากลับตอบว่า หากจักรพรรดิเพียงสั่งมา ข้ายอมตายได้ทุกเมื่อ
คัทสึโมโต้หยั่งรู้ว่าหากปล่อยให้ชาติตะวันตกเข้ามาครอบงำประเทศ ญี่ปุ่นจะต้องสูญเสียอัตลักษณ์แห่งประเทศไป ซามูไรอย่างพวกเขาจึงเป็นตัวแทนแห่งภาค ตะวันออก ที่ต้องฝืนฝ่ากระแสอำนาจที่ถาโถมเข้ามาสู่ประเทศ แต่ในสายตาผู้อื่นการกระทำนั้นเสมือนเป็นการ แข็งข้อ ต่อจักรพรรดิ ถึงกระนั้นเขาก็มิยอมแพ้ที่จะทำการ สื่อสาร ไปยังจักรพรรดิ ว่าความประสงค์ของตัวคืออะไร เขามอบ ดาบ อันเป็นชีวิตและจิตวิญญาณให้แก่จักรพรรดิ
แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับ อีกนัยหนึ่งคือไม่กล้าพอที่จะรับ
ในขณะเดียวกันคัทสึโมโต้ยังต้องสวมบทบาทเป็น ผู้นำ ของหมู่บ้าน ที่มีสมาชิกเหล่า ลูกบ้าน ที่ร่วมอุดมการณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเขา ต้องดูแล ปกปักรักษา เป็นที่พักพิงใจ เป็นดั่งศาสดา
หากเปรียบกับเรื่อง Hero (จางอี้โหมว, 2002) ถ้าให้คัทสึโมโต้คัดตัวอักษรจีน อักษรนั้นคงปรากฏคำว่า ใต้หล้า นั่นคือเขามีความห่วงใยในผู้คนที่อยู่ในการปกครองดูแล มิใช่แค่เพียงในหมู่บ้าน แต่รวมถึงประชาราษฎร์ชาวญี่ปุ่นทุกคนที่กำลังจะถูกตะวันตกกลืนกิน
ด้วยผู้นำที่คงฐานะ วีรบุรุษ เมื่อเราพิจารณาแล้วจะพบว่าเหล่าคนที่อยู่ใต้หล้าของคัทสึโมโต้นั้นล้วนเป็นวีรบุรุษทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทากะ, โนบุทาดะ, ยูจิโอะ หรือแม้แต่อัลเกร็น
ทากะ (โคยูกิ) น้องสาวของคัทสึโมโต้ เธอต้องแบกความเศร้าที่สูญเสียสามีไป ต้องแบกรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกๆทั้งสองเพียงลำพัง แถมยังต้องแบกภาระคอยดูแลอัลเกร็น-ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนฆ่าสามีของเธอ! เราจะเห็นได้ว่าในช่วงแรกเธอมีความอึดอัดใจไม่น้อยในสภาวะเช่นนั้น (เธอโอดครวญกับคัทสึโมโต้ว่าไม่อาจทนเห็นหน้าอัลเกร็นในบ้านอีกต่อไปแล้ว) แต่ในภายหลังเมื่อ เวลา อันเป็นเครื่องมือช่วยรักษาเยียวยาแผลในใจได้เคลื่อนกาลผ่านไป จิตใจ ของเธอจึงเริ่มที่จะเปิดออกจนก่อตัวงอกเงยเป็น ความรัก
อัลเกร็นกล่าวขอโทษที่พรากสามีจากเธอไป เธอตอบว่า I accept your apology, he did his duty and you did your duty เป็นคำยืนยันว่าเธอได้เข้าถึงการ ให้อภัย และเข้าใจใน กฎเกณฑ์แห่งภาระหน้าที่ อย่างแท้จริง นั่นคือเธอได้บรรลุ หน้าที่ ของเธอแล้ว หน้าที่ของภรรยา หน้าที่ของแม่ หน้าที่ของคนในปกครองและหน้าที่ของคนรัก
โนบุทาดะ-ลูกชายของคัทสึโมโต้-ผู้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์แห่งซามูไร (เห็นได้จากตอนที่เขาเข้าเมืองและไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองยึดดาบ จนต้องถูกตัดผม) เขาเลือกที่สละวินาทีสุดท้ายของชีวิตให้แก่พ่อบังเกิดเกล้า ยอมถ่วงพวกทหารไว้เพื่อให้พ่อปลอดภัย เขากล่าวกับพ่อว่า Father, let me stay. It is my time. ความตายของเขาจึงเป็นเกียรติ เกียรติที่ได้มาเพราะ ความเสียสละ
ยูจิโอ (ฮิโรยูกิ ซานาดะ) คืออีกคนหนึ่งที่ถือในเกียรติแห่งซามูไร (เขาไม่พอใจที่เห็นฝรั่งอย่างอัลเกร็นถือดาบไม้) เขาคือนักรบที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับคัทซึโมโต้จนถึงลมหายใจสุดท้าย ความตายของเขาจึงไม่เสียเปล่าเพราะมันแลกมาซึ่ง การเกิดใหม่ ของประเทศชาติ เช่นเดียวกับซามูไรทุกคนในกองทัพของคัทสึโมโต้ ทุกคนมีส่วนร่วมในเกียรตินี้ ไม่เว้นกระทั่งบ๊อบ (ซามูไรเงียบที่คอยตามติดอัลเกร็น) ที่สละชีวิตตัวเองเพื่ออัลเกร็น
แม้แต่อัลเกร็นก็คงถือว่าเป็นผู้ที่อยู่ใต้หล้าของคัทสึโมโต้ หากไม่ใช่ในทางอำนาจ แต่คัทสึโมโต้ถือเป็นผู้นำทางจิตใจของเขา นำเขาไปสู่แสงสว่าง เขาจึงตอบแทนด้วยการแปรเปลี่ยนตัวเองเป็น ซามูไร ที่ร่วมสู้รบในสมรภูมิ เป็น ผู้นำสาร ที่นำสารสุดท้ายไปสู่จักรพรรดิ และเป็น ผู้ช่วยปลิดชีวิต คัทสึโมโต้ด้วย
กล่าวได้ว่าคัทสึโมโต้กับตัวละครที่กล่าวมามีความสัมพันธ์กันใน แนวดิ่ง คือ คัทสึโมโต้ถือเป็นผู้นำที่อยู่เหนือตัวละครเหล่านั้น แต่มีความสัมพันธ์กันใน แนวนอน คือ ทุกคนล้วนแต่เป็น วีรบุรุษ ด้วยกันทั้งสิ้น
คัทซึโมโต้เป็นศูนย์กลางของผู้อื่นเพราะเขามีความกล้าหาญ, ความจงรักภักดี, ความสัตย์ซื่อ, ความรับผิดชอบ ซึ่งก็คือ วิถีแห่งบูชิโด อันมิใช่วิถีปฏิบัติ แต่เป็น วิถีชีวิต
และหนึ่งในวิถีแห่งบูชิโดก็คือ การพลีชีพกับสิ่งที่ถูกต้อง
เมื่อการสื่อสารกับจักรพรรดิล้มเหลว ความหวังทุกอย่างดูจะสิ้นหวัง คัทซึโมโต้จึงตัดสินใจที่จะสละชีวิตให้แก่ประเทศชาติด้วยการทำสงครามกับเหล่าทหารที่มีกำลังมากกว่า และยากที่จะเอาชนะได้
หลังจากสู้รบมาจนถึงจุดสุดท้าย กองทัพของคัทซึโมโต้สิ้นสลาย ในสมรภูมิเหลือเพียงเขากับอัลเกร็น เขาตัดสินใจให้อัลเกร็นช่วยใช้ดาบ-อันเป็นจิตวิญญาณแห่งซามูไร-ปลิดชีวิตเขา เขาหวังว่า ความตาย ของเขาจะช่วยให้ สาร ที่ต้องการสื่อไปยังจักรพรรดิสัมฤทธิ์ผล
ซึ่งน่าจะใกล้ความจริงเพราะอย่างน้อยทหารที่อยู่ในสมรภูมินั้นก็โค้งตัวแนบดินเพื่ออาลัยแก่วาระสุดท้ายของเขา
ในขณะคัทซึโมโต้กล่าวว่า I will miss our conversation คนดูก็กล่าวกับเขาว่า We will miss your conversation ในขณะที่คัทสึโมโต้หลั่งเลือด คนดูก็หลั่งน้ำตา ใกล้ห้วงสุดท้าย คัทสึโมโต้มองไปที่ดอกซากุระบาน กล่าวว่า They are all perfect คนดูก็อยากจะกล่าวกับเขาว่า To me, youre perfect ความตายของเขาจึงเป็นความตายที่ ทรงเกียรติ และ งดงาม
และคัทสึโมโต้จะเป็น The Last Samurai ที่ไม่ใช่ ซามูไร คนสุดท้าย แต่จะเป็นซามูไรที่ คงอยู่ชั่วนิรันดร์
วางปืนแล้วหันมาจับดาบ วิเคราะห์ตัวละคร นาธาน อัลเกร็น
นาธาน อัลเกร็น (ทอม ครูส) คือนายทหารอเมริกันที่มีบาดแผลในจิตใจมาจากเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวอินเดียนแดง (อันแสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้ก็วิพากษ์ประเด็นนิสัยป่าเถื่อนของอเมริกันชนไว้เช่นกัน) จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาไร้ซึ่งเกียรติ ละทิ้งซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปล่อยให้ห้วงชีวิตตกต่ำไปตามกระแสกาลเวลา ยึดติดกับอดีต-ภาพหลอน-มายา จวบจนเขาได้เข้าไปสู่โลกใบใหม่ โลกที่ไม่เคยรู้จัก โลกที่มีขนบธรรมเนียม-ประเพณี-วัฒนธรรมต่างจากที่ที่เขามาโดยสิ้นเชิง ที่แห่งนั้นคือหมู่บ้านซามูไรของคัทสึโมโต้ ที่ที่เขากล่าวว่ารู้สึกได้ถึง อำนาจ บางอย่างตั้งแต่วันแรกพบ
จากช่วงระยะเวลายาวนานที่อัลเกร็นอยู่ในที่แห่งนั้นเขาจึงรับ ซึมซับ บางสิ่งบางอย่าง อันเป็นด้านที่ทำให้จิตใจอันอ่อนโยนของเขากลับคืนมา เราเห็นเขายิ้ม เห็นเขาหัวเราะ เห็นเขาหยอกล้อกับเด็ก เห็นว่ามีด้านที่ละเอียดอ่อน มีการโอนอ่อนถึงภาวะแวดล้อมรอบข้าง (เช่น การที่ถอดรองเท้าเข้าบ้านในตอนหลัง) เราจึงรู้ได้ว่าความจริงแล้วเขาก็ เคย เป็นคนที่มีจิตใจปกติ
ดังนั้นหน้าฉากของหนังที่ดูเป็นหนังสงคราม แต่ความจริงแล้วแก่นสารของหนังน่าจะเป็น การเดินทางแห่งจิตใจ ของอัลเกร็นเสียมากกว่า เขาต้องการค้นหาสิ่งที่หายไป สิ่งที่เขาทิ้งไว้ในสงครามอินเดียนแดง
สิ่งหนึ่งที่เขาค้นพบก็คือ ความรัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวอย่างทากะ ที่ทำให้เขาเปลี่ยนฐานะจาก จำเลยรบ เป็น จำเลยรัก หรือความรักต่อหมู่บ้านที่ทำให้เขาตัดสินใจร่วมรบกับคัทสึโมโต้ เขาให้เหตุผลว่า พวกนั้นจะมาทำลายสิ่งที่ฉันรัก บางทีคนเราก็ควรจะมีสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ไม่ให้หลุดลอยหลงทางไป และสำคัญคือเขาเรียนรู้ที่จะรักศักดิ์ศรีของตัวเอง อันเป็นคุณค่าแท้จริงของมนุษย์
อีกสิ่งที่อัลเกร็นค้นพบน่าจะเป็นวิถีของซามูไร นั่นคือ วิถีแห่งบูชิโด วิถีซึ่งสอนว่า ซามูไรไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อพ่ายแพ้ สิ่งที่ซามูไรต้องเอาชนะก็คือจิตใจของตนเอง เขาจึงค้นพบว่าสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจก็คือ ความรู้สึกผิด และ บาปในใจ ทั้งหลาย เขากล่าวขอโทษทากะที่ฆ่าสามีของเธอ เขาร่วมรบกับคัทสึโมโต้เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาฆ่านายพลคัสเตอร์เพื่อหยุดเสียงกรีดร้องของชาวอินเดียนแดงในใจ และที่สำคัญเขาเรียนรู้ที่จะเป็นซามูไร
ท้ายสุดเขาเลือกจะตอบแทนคัทสึโมโต้อันเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่ทำให้เขาค้นพบแสงสว่าง ด้วยการเป็น ผู้นำสาร ไปสู่จักรพรรดิ เขาละทิ้งภาระของคนขาว (whitemens burden) แต่เลือกที่จะช่วยให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากเงื้อมมือของชาติตะวันตก เลือกที่บอกจักรพรรดิว่าคัทสึโมโต้ มีชีวิตอยู่ อย่างไรมากกว่าที่จะบอกว่า ตาย อย่างไร (เป็นนัยว่าจักรพรรดิควรจะอยู่อย่างไร เพื่อให้ประเทศชาติดำรงอยู่ต่อไปได้) และทำให้จักรพรรดิตระหนักได้ว่าเราต้องไม่ลืมว่าเราคือใคร และมาจากไหน (We cant forget who we are and where come from)
อัลเกร็นจึงเป็นผู้ที่สืบทอดตำแหน่งซามูไรคนสุดท้ายจากคัทสึโมโต้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ท้ายที่สุด เสียงกรีดร้องในจิตใจของอัลเกร็นเงียบหายไป แทนที่ด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ น้ำตาหยุดหลั่งริน รอยยิ้มเข้ามาแทนที่
เขาค้นพบความสงบในวาระสุดท้าย ไม่กี่คนที่จะพบมัน
สิ่งที่เขาค้นหาเป็นอย่างสุดท้ายก็คือ
ครอบครัว นั่นเอง
Create Date : 19 มีนาคม 2548 |
Last Update : 19 มีนาคม 2548 17:06:02 น. |
|
29 comments
|
Counter : 14177 Pageviews. |
|
|
|
ปล. วิจารณ์ไม่เป็น พูดได้เท่าที่ดูและรู้สึกน่ะค่ะ
=)