http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
19 มีนาคม 2548
 
All Blogs
 
The Last Samurai – ซามูไร ‘คนสุดท้าย’ หรือซามูไรที่จะคงอยู่ ‘ชั่วนิรันดร์’

โดย merveillesxx



(คำเตือน - บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง)

The Last Samurai (2003) คือผลงานการกำกับล่าสุดของเอ็ดเวิร์ด ซวิค (ผู้กำกับที่มักจะทำหนังเกี่ยวกับ “สงครามระดับปัจเจก” ดังเช่นงานที่ผ่านๆมาอย่าง Glory, Courage Under Fire และ The Siege) อันว่าด้วยญี่ปุ่นในสมัยการปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration) อันเป็นยุคที่กระแสวัฒนธรรมตะวันตกไหลบ่าเข้าสู่แดนอาทิตย์อุทัย ยุคที่จักรพรรดิต้องการนำประเทศเข้าสู่สังคมสมัยนิยม (modernity) ยุคที่เกิดความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออก ยุคที่ละทิ้งดาบแต่หันมาจับปืน และเป็นยุคที่ซามูไรเป็นส่วนเกินของการพัฒนาประเทศ!

แม้ซวิคจะกล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้มาจาก Seven Samurai (อากิระ คุโรซาว่า, 1954) แต่ดูเหมือนเนื้อหนังนั้นจะไปคนละทางกัน เพราะ The Last Samurai กล่าวถึง “ซามูไร” ในชนิดที่เรียกว่า “งดงาม” จนเกือบจะเกินจริง จึงไม่แปลกหากหนังจะทำเงินถล่มทลายในญี่ปุ่น (ถึงขนาดมีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการเฉพาะของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับ “นางฟ้าซามูไร” อย่าง Kill Bill)

แต่ในหน้าหนังที่เป็นหนังตลาดนั้น หนังก็ยังมีคุณค่าให้เราจดจำและไม่เลือนลืมในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องของ “วีรบุรุษ”

วีรบุรุษในหนังคงจะเป็นใครมิได้นอกจากคัทสึโมโต้ (เคน วาตานาเบ้ - เข้าชิงลูกโลกทองคำสาขาดาราสมทบชาย) ผู้นำกลุ่มชนซามูไรกลุ่มสุดท้ายในญี่ปุ่น ที่มิยอมจำนนอยู่ใต้อาณัติของชาติตะวันตก กลับใช้ดาบสู้ฝ่าฟันกระสุนปืนอย่างมิเกรงกลัว

คัทสึโมโต้เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์แรงกล้า ยึดมั่นในเกียรติแห่งซามูไรที่มีหน้าที่ “รับใช้” จักรพรรดิด้วยความซื่อสัตย์ เห็นได้จากตอนที่อัลเกร็น (ทอม ครูส) ถามว่า “จักรพรรดิส่งคนมาฆ่าท่านหรือ” เขากลับตอบว่า “หากจักรพรรดิเพียงสั่งมา ข้ายอมตายได้ทุกเมื่อ”

คัทสึโมโต้หยั่งรู้ว่าหากปล่อยให้ชาติตะวันตกเข้ามาครอบงำประเทศ ญี่ปุ่นจะต้องสูญเสียอัตลักษณ์แห่งประเทศไป ซามูไรอย่างพวกเขาจึงเป็นตัวแทนแห่งภาค “ตะวันออก” ที่ต้องฝืนฝ่ากระแสอำนาจที่ถาโถมเข้ามาสู่ประเทศ แต่ในสายตาผู้อื่นการกระทำนั้นเสมือนเป็นการ “แข็งข้อ” ต่อจักรพรรดิ ถึงกระนั้นเขาก็มิยอมแพ้ที่จะทำการ “สื่อสาร” ไปยังจักรพรรดิ ว่าความประสงค์ของตัวคืออะไร เขามอบ “ดาบ” อันเป็นชีวิตและจิตวิญญาณให้แก่จักรพรรดิ … แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับ อีกนัยหนึ่งคือไม่กล้าพอที่จะรับ

ในขณะเดียวกันคัทสึโมโต้ยังต้องสวมบทบาทเป็น “ผู้นำ” ของหมู่บ้าน ที่มีสมาชิกเหล่า “ลูกบ้าน” ที่ร่วมอุดมการณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเขา ต้องดูแล ปกปักรักษา เป็นที่พักพิงใจ เป็นดั่งศาสดา

หากเปรียบกับเรื่อง Hero (จางอี้โหมว, 2002) ถ้าให้คัทสึโมโต้คัดตัวอักษรจีน อักษรนั้นคงปรากฏคำว่า “ใต้หล้า” นั่นคือเขามีความห่วงใยในผู้คนที่อยู่ในการปกครองดูแล มิใช่แค่เพียงในหมู่บ้าน แต่รวมถึงประชาราษฎร์ชาวญี่ปุ่นทุกคนที่กำลังจะถูกตะวันตกกลืนกิน

ด้วยผู้นำที่คงฐานะ “วีรบุรุษ” เมื่อเราพิจารณาแล้วจะพบว่าเหล่าคนที่อยู่ใต้หล้าของคัทสึโมโต้นั้นล้วนเป็นวีรบุรุษทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทากะ, โนบุทาดะ, ยูจิโอะ หรือแม้แต่อัลเกร็น

ทากะ (โคยูกิ) น้องสาวของคัทสึโมโต้ เธอต้องแบกความเศร้าที่สูญเสียสามีไป ต้องแบกรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกๆทั้งสองเพียงลำพัง แถมยังต้องแบกภาระคอยดูแลอัลเกร็น-ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนฆ่าสามีของเธอ! เราจะเห็นได้ว่าในช่วงแรกเธอมีความอึดอัดใจไม่น้อยในสภาวะเช่นนั้น (เธอโอดครวญกับคัทสึโมโต้ว่าไม่อาจทนเห็นหน้าอัลเกร็นในบ้านอีกต่อไปแล้ว) แต่ในภายหลังเมื่อ “เวลา” อันเป็นเครื่องมือช่วยรักษาเยียวยาแผลในใจได้เคลื่อนกาลผ่านไป “จิตใจ” ของเธอจึงเริ่มที่จะเปิดออกจนก่อตัวงอกเงยเป็น “ความรัก” … อัลเกร็นกล่าวขอโทษที่พรากสามีจากเธอไป เธอตอบว่า “I accept your apology, he did his duty and you did your duty” เป็นคำยืนยันว่าเธอได้เข้าถึงการ “ให้อภัย” และเข้าใจใน “กฎเกณฑ์แห่งภาระหน้าที่” อย่างแท้จริง นั่นคือเธอได้บรรลุ “หน้าที่” ของเธอแล้ว หน้าที่ของภรรยา หน้าที่ของแม่ หน้าที่ของคนในปกครองและหน้าที่ของคนรัก…

โนบุทาดะ-ลูกชายของคัทสึโมโต้-ผู้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์แห่งซามูไร (เห็นได้จากตอนที่เขาเข้าเมืองและไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองยึดดาบ จนต้องถูกตัดผม) เขาเลือกที่สละวินาทีสุดท้ายของชีวิตให้แก่พ่อบังเกิดเกล้า ยอมถ่วงพวกทหารไว้เพื่อให้พ่อปลอดภัย เขากล่าวกับพ่อว่า “Father, let me stay. It is my time.” ความตายของเขาจึงเป็นเกียรติ เกียรติที่ได้มาเพราะ “ความเสียสละ”

ยูจิโอ (ฮิโรยูกิ ซานาดะ) คืออีกคนหนึ่งที่ถือในเกียรติแห่งซามูไร (เขาไม่พอใจที่เห็นฝรั่งอย่างอัลเกร็นถือดาบไม้) เขาคือนักรบที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับคัทซึโมโต้จนถึงลมหายใจสุดท้าย ความตายของเขาจึงไม่เสียเปล่าเพราะมันแลกมาซึ่ง “การเกิดใหม่” ของประเทศชาติ เช่นเดียวกับซามูไรทุกคนในกองทัพของคัทสึโมโต้ ทุกคนมีส่วนร่วมในเกียรตินี้ ไม่เว้นกระทั่งบ๊อบ (ซามูไรเงียบที่คอยตามติดอัลเกร็น) ที่สละชีวิตตัวเองเพื่ออัลเกร็น

แม้แต่อัลเกร็นก็คงถือว่าเป็นผู้ที่อยู่ใต้หล้าของคัทสึโมโต้ หากไม่ใช่ในทางอำนาจ แต่คัทสึโมโต้ถือเป็นผู้นำทางจิตใจของเขา นำเขาไปสู่แสงสว่าง เขาจึงตอบแทนด้วยการแปรเปลี่ยนตัวเองเป็น “ซามูไร” ที่ร่วมสู้รบในสมรภูมิ เป็น “ผู้นำสาร” ที่นำสารสุดท้ายไปสู่จักรพรรดิ และเป็น “ผู้ช่วยปลิดชีวิต” คัทสึโมโต้ด้วย

กล่าวได้ว่าคัทสึโมโต้กับตัวละครที่กล่าวมามีความสัมพันธ์กันใน “แนวดิ่ง” คือ คัทสึโมโต้ถือเป็นผู้นำที่อยู่เหนือตัวละครเหล่านั้น แต่มีความสัมพันธ์กันใน “แนวนอน” คือ ทุกคนล้วนแต่เป็น “วีรบุรุษ” ด้วยกันทั้งสิ้น

คัทซึโมโต้เป็นศูนย์กลางของผู้อื่นเพราะเขามีความกล้าหาญ, ความจงรักภักดี, ความสัตย์ซื่อ, ความรับผิดชอบ ซึ่งก็คือ “วิถีแห่งบูชิโด” อันมิใช่วิถีปฏิบัติ แต่เป็น “วิถีชีวิต”

และหนึ่งในวิถีแห่งบูชิโดก็คือ การพลีชีพกับสิ่งที่ถูกต้อง

เมื่อการสื่อสารกับจักรพรรดิล้มเหลว ความหวังทุกอย่างดูจะสิ้นหวัง คัทซึโมโต้จึงตัดสินใจที่จะสละชีวิตให้แก่ประเทศชาติด้วยการทำสงครามกับเหล่าทหารที่มีกำลังมากกว่า และยากที่จะเอาชนะได้

หลังจากสู้รบมาจนถึงจุดสุดท้าย กองทัพของคัทซึโมโต้สิ้นสลาย ในสมรภูมิเหลือเพียงเขากับอัลเกร็น เขาตัดสินใจให้อัลเกร็นช่วยใช้ดาบ-อันเป็นจิตวิญญาณแห่งซามูไร-ปลิดชีวิตเขา เขาหวังว่า “ความตาย” ของเขาจะช่วยให้ “สาร” ที่ต้องการสื่อไปยังจักรพรรดิสัมฤทธิ์ผล … ซึ่งน่าจะใกล้ความจริงเพราะอย่างน้อยทหารที่อยู่ในสมรภูมินั้นก็โค้งตัวแนบดินเพื่ออาลัยแก่วาระสุดท้ายของเขา

ในขณะคัทซึโมโต้กล่าวว่า “I will miss our conversation” คนดูก็กล่าวกับเขาว่า “We will miss your conversation”
ในขณะที่คัทสึโมโต้หลั่งเลือด คนดูก็หลั่งน้ำตา
ใกล้ห้วงสุดท้าย คัทสึโมโต้มองไปที่ดอกซากุระบาน กล่าวว่า “They are all perfect”
คนดูก็อยากจะกล่าวกับเขาว่า “To me, you’re perfect”
ความตายของเขาจึงเป็นความตายที่ “ทรงเกียรติ” และ “งดงาม”

…และคัทสึโมโต้จะเป็น The Last Samurai ที่ไม่ใช่ ซามูไร “คนสุดท้าย” แต่จะเป็นซามูไรที่ “คงอยู่ชั่วนิรันดร์”




วางปืนแล้วหันมาจับดาบ – วิเคราะห์ตัวละคร ‘นาธาน อัลเกร็น’



นาธาน อัลเกร็น (ทอม ครูส) คือนายทหารอเมริกันที่มีบาดแผลในจิตใจมาจากเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวอินเดียนแดง (อันแสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้ก็วิพากษ์ประเด็นนิสัยป่าเถื่อนของอเมริกันชนไว้เช่นกัน) จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาไร้ซึ่งเกียรติ ละทิ้งซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปล่อยให้ห้วงชีวิตตกต่ำไปตามกระแสกาลเวลา ยึดติดกับอดีต-ภาพหลอน-มายา
จวบจนเขาได้เข้าไปสู่โลกใบใหม่ โลกที่ไม่เคยรู้จัก โลกที่มีขนบธรรมเนียม-ประเพณี-วัฒนธรรมต่างจากที่ที่เขามาโดยสิ้นเชิง ที่แห่งนั้นคือหมู่บ้านซามูไรของคัทสึโมโต้ ที่ที่เขากล่าวว่ารู้สึกได้ถึง “อำนาจ” บางอย่างตั้งแต่วันแรกพบ

จากช่วงระยะเวลายาวนานที่อัลเกร็นอยู่ในที่แห่งนั้นเขาจึงรับ “ซึมซับ” บางสิ่งบางอย่าง อันเป็นด้านที่ทำให้จิตใจอันอ่อนโยนของเขากลับคืนมา เราเห็นเขายิ้ม เห็นเขาหัวเราะ เห็นเขาหยอกล้อกับเด็ก เห็นว่ามีด้านที่ละเอียดอ่อน มีการโอนอ่อนถึงภาวะแวดล้อมรอบข้าง (เช่น การที่ถอดรองเท้าเข้าบ้านในตอนหลัง) เราจึงรู้ได้ว่าความจริงแล้วเขาก็ “เคย” เป็นคนที่มีจิตใจปกติ

ดังนั้นหน้าฉากของหนังที่ดูเป็นหนังสงคราม แต่ความจริงแล้วแก่นสารของหนังน่าจะเป็น “การเดินทางแห่งจิตใจ” ของอัลเกร็นเสียมากกว่า เขาต้องการค้นหาสิ่งที่หายไป สิ่งที่เขาทิ้งไว้ในสงครามอินเดียนแดง

สิ่งหนึ่งที่เขาค้นพบก็คือ “ความรัก” ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวอย่างทากะ ที่ทำให้เขาเปลี่ยนฐานะจาก “จำเลยรบ” เป็น “จำเลยรัก” หรือความรักต่อหมู่บ้านที่ทำให้เขาตัดสินใจร่วมรบกับคัทสึโมโต้ เขาให้เหตุผลว่า “พวกนั้นจะมาทำลายสิ่งที่ฉันรัก” บางทีคนเราก็ควรจะมีสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ไม่ให้หลุดลอยหลงทางไป และสำคัญคือเขาเรียนรู้ที่จะรักศักดิ์ศรีของตัวเอง อันเป็นคุณค่าแท้จริงของมนุษย์

อีกสิ่งที่อัลเกร็นค้นพบน่าจะเป็นวิถีของซามูไร นั่นคือ “วิถีแห่งบูชิโด” วิถีซึ่งสอนว่า “ซามูไรไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อพ่ายแพ้” สิ่งที่ซามูไรต้องเอาชนะก็คือจิตใจของตนเอง เขาจึงค้นพบว่าสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจก็คือ “ความรู้สึกผิด” และ “บาปในใจ” ทั้งหลาย เขากล่าวขอโทษทากะที่ฆ่าสามีของเธอ เขาร่วมรบกับคัทสึโมโต้เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาฆ่านายพลคัสเตอร์เพื่อหยุดเสียงกรีดร้องของชาวอินเดียนแดงในใจ และที่สำคัญเขาเรียนรู้ที่จะเป็นซามูไร

ท้ายสุดเขาเลือกจะตอบแทนคัทสึโมโต้อันเป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ที่ทำให้เขาค้นพบแสงสว่าง ด้วยการเป็น “ผู้นำสาร” ไปสู่จักรพรรดิ เขาละทิ้งภาระของคนขาว (whitemen’s burden) แต่เลือกที่จะช่วยให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากเงื้อมมือของชาติตะวันตก เลือกที่บอกจักรพรรดิว่าคัทสึโมโต้ “มีชีวิตอยู่” อย่างไรมากกว่าที่จะบอกว่า “ตาย” อย่างไร (เป็นนัยว่าจักรพรรดิควรจะอยู่อย่างไร เพื่อให้ประเทศชาติดำรงอยู่ต่อไปได้) และทำให้จักรพรรดิตระหนักได้ว่าเราต้องไม่ลืมว่าเราคือใคร และมาจากไหน (We can’t forget who we are and where come from)

อัลเกร็นจึงเป็นผู้ที่สืบทอดตำแหน่งซามูไรคนสุดท้ายจากคัทสึโมโต้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ท้ายที่สุด เสียงกรีดร้องในจิตใจของอัลเกร็นเงียบหายไป แทนที่ด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ
น้ำตาหยุดหลั่งริน รอยยิ้มเข้ามาแทนที่
…เขาค้นพบความสงบในวาระสุดท้าย ไม่กี่คนที่จะพบมัน

สิ่งที่เขาค้นหาเป็นอย่างสุดท้ายก็คือ … “ครอบครัว” นั่นเอง



Create Date : 19 มีนาคม 2548
Last Update : 19 มีนาคม 2548 17:06:02 น. 29 comments
Counter : 14177 Pageviews.

 
คัทสึโม้โต้ สุดยอด! เหมือนเป็นซามูไรจริงๆ เลย ส่วนเด็กผู้ชายที่เล่นเป็นน้องนางเอกก็เก่งมาก...
ปล. วิจารณ์ไม่เป็น พูดได้เท่าที่ดูและรู้สึกน่ะค่ะ

=)


โดย: ฮัน (hunjang ) วันที่: 19 มีนาคม 2548 เวลา:18:10:40 น.  

 
เรื่องนี้ชอบคัสซึโมโต้มาก เล่นได้ยิ่งใหญ่ดี...



โดย: prncess วันที่: 19 มีนาคม 2548 เวลา:20:36:18 น.  

 
โดยส่วนตัว คิดว่า ดาราญี่ปุ่นในเรื่อง ขโมยซีนพระเอกอย่างน้าทอม คุ้ย ไปจนหมดสิ้น

ปล. ไปดูเรื่องนี้ เพราะฮิโรยูกิ ซานาดะ ซึ่งเป็นพระเอกญี่ปุ่นคนแรก ที่หลงรักตั้งแต่เมื่อ ยี่สิบปีที่แล้ว O.o จาก 8 ลูกแก้วอภินิหาร (Satomi Hakken-Den)


โดย: Dabadee วันที่: 19 มีนาคม 2548 เวลา:23:10:01 น.  

 
เรื่องนี้นานแล้ว เห็นพี่เพิ่งหยิบเอามาใส่บล็อก ก็แปลกใจนิดๆนะคะ

นี่ก็เป็นหนัง "วีรบุรุษ" อีกเรื่องที่กิ๊กชอบ

ข้อเสียที่กิ๊กไม่ชอบในเรื่องนี้ที่สุด คงเป็น "ความทะแม่งๆของกลิ่นเอเชีย" นะคะ กิ๊กรู้สึกว่าความเป็นญี่ปุ่นที่ ผกก ถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มนี้มันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ .. คงให้ความรู้สึกเหมือนฝรั่งเค้าทำ anna and the king ของเรามั้งคะ


โดย: +KikKle+ วันที่: 20 มีนาคม 2548 เวลา:11:28:45 น.  

 
อ๋อ คือเรื่องนี้ผมเขียนไว้นานแล้วครับ ตั้งแต่กลางปี 2547 ซึ่งเป็นการดูรอบที่สอง (รอบแรกดูในโรง -- มกราคม 2547 มั้งครับถ้าจำไม่ผิด) เลยเพิ่งเอามาแปะไว้ในบล็อก

แต่โดยปกตินี้ บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์ในบล็อกนี้ไม่อิงกระแสเวลาอยู่แล้วล่ะครับ คือผมไม่ได้ตามดูหนังในโรงเท่าไรหนัง แล้วก็หนังในบล็อกก็ดันมีแต่หนังประหลาดๆด้วย

อย่างไรก็ตาม ของดีย่อมไม่สูญสภาพไปตามกาลเวลาครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 20 มีนาคม 2548 เวลา:12:39:00 น.  

 
เรื่องนี้พระเอกหล่อบาดใจมากครับ อิอิ


โดย: Mint@da{-"-} วันที่: 20 มีนาคม 2548 เวลา:18:17:32 น.  

 
วิจารณ์ดี เด๋วขออ่านทวนอีกรอบ


โดย: yyswim วันที่: 21 มีนาคม 2548 เวลา:15:58:33 น.  

 
>เรื่องนี้พระเอกหล่อบาดใจมากครับ อิอิ
เอ๊ะ หมายถึง ทอม ครูซ หรือ เคน วาตานาเบ้ ล่ะครับเนี่ย ช่วยแถลงไขด่วนนนนนนนนนนน

หนุ่งในหนังที่อยากดูมากๆคือ Memories of Geisha (ร็อบ มาร์แชล) ครับ ที่อยากดูไม่ใช่เพราะสาวๆในหนังหรอก (นะยะ) แต่เพราะมีเคน วาตานาเบ้ แถมยังมีโคจิ ยากุโช อีกต่างหาก สุดยอดพระเอกญี่ปุ่นตั้งสองคนแน่ะ


โดย: merveillesxx วันที่: 21 มีนาคม 2548 เวลา:17:49:59 น.  

 
ชอบหนังเรื่องนี้เหมือนกันครับ แล้วก็ชอบบทความที่เขียนเกี่ยวกับหนังอันนี้ด้วยนะครับ เขียนวิเคราะห์ได้น่าสนใจมากๆเลยครับ

สำหรับผมเอง มองว่าพระเอก ทอม ครูซ ของเราคงมีบาดแผลการเจ็บป่วยทางจิตใจจากการผ่านสงคราม หรือที่เรียกว่า Posttraumatic Stress Disorder ซึ่งจะพบได้ในคนที่ผ่านประสบการณ์ที่รุนแรงในอดีตมา แต่ช่วงหลังเหมือนได้รับการเยียวยาทางจิตใจด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายตามแนวซามูไร

โดยส่วนตัวรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีทั้งพลังแต่ในขณะเดียวกันก็มีความลุ่มลึกสงบสุขุมอยู่ในตัว ชอบความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวในการสู้แบบตัวต่อตัวอย่างซามูไร เห็นภาพการใช้ดาบในเรื่องแล้วรู้สึกว่ามีพลังดีเหลือเกินครับ เหมือนกับว่าดาบที่สำคัญจริงๆแล้วอยู่ที่ใจ ได้ความรู้สึกปรัชญาแนวๆเรื่อง Crouching Tiger Hidden Dragon ครับ นี่คงเป็นปรัชญาของหนังตะวันออกที่น่าลึกซึ้งน่าสนใจทีเดียวครับ

ดูเรื่องนี้แล้วทำให้รู้สึกเหมือนว่า ความสุขสุดท้ายของคนเรา คือ การกลับไปสู่ชีวิตที่เรียบง่ายและใจที่สงบนิ่ง ซึ่งดูมีพลังและน่าเกรงกลัวกว่าอาวุธสมัยใหม่อย่างปืน ซึ่งก็ยังสู้จิตใจที่สงบนิ่งและเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวและคมดาบของซามูไรไม่ได้

ตอนท้ายของหนังดูแล้วรู้สึกเศร้าและหดหู่จังนะครับกับภาพของการเสียชีวิตของเหล่าซามูไรจากอาวุธเทคโนโลยีสมัยใหม่ ยังคงยืนหยัดต่อสู้ในแนวซามูไรอย่างเดิมของตัวเองแม้จะรู้ว่าตัวเองจะต้องแพ้ ดูแล้วรู้สึกสงสารโนบุทาดะและคัทสึมาโต้มากๆเลยล่ะครับ

รู้สึกว่าพลังของหนังช่วงท้ายๆตกไปพอสมควรครับ จากการที่พระเอกทอม ครูซเป็นพระเอกที่เหลือรอดชีวิตมาได้ (อย่างค่อนข้างไม่น่าเชื่อเอามากๆซะด้วยครับ) ทั้งที่ไม่น่าจะรอดชีวิตมาได้เลย คิดอยู่เหมือนกันว่า The Last Samurai ในหนังเรื่องนี้หมายความถึงใคร ซึ่งถ้าเป็นผม ก็รู้สึกว่าน่าจะหมายถึง คัทสึโมโต้และบรรดาเหล่าซามูไรที่เสียชีวิตไปมากกว่าที่จะเป็น ทอม ครูซ ครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ

ป.ล. สำหรับหนังเรื่องนี้ผมว่า คัทสึโมโต้และโนบุทาดะ หล่อและเท่กินขาดเกินกว่า ทอม ครูซ ไปมากๆเลยล่ะครับ


โดย: Tempting Heart วันที่: 22 มีนาคม 2548 เวลา:2:26:04 น.  

 
ไหง เนื้อเรื่องออก แนว ดราม่านะ .. งืม ๆ .. ก็น่าดูอ่าครับ .. แต่กลัวซึ้งเกินเหตุ อ่า.. แบบ จิตใจหวั่นไหวอ่า... เอิ้กส์ๆๆ


โดย: เด็กชายหัวระเบิด IP: 61.90.36.33 วันที่: 24 มีนาคม 2548 เวลา:18:27:12 น.  

 
ชอบตอนสุดท้ายสุดๆครับที่ จักรพรรดิถามพระเอกให้เล่าว่าคัทสึโมโต้ตายยังไง(Could yo tell me how he died) ไม่รู้ว่าผมฟังผิดหรือเปล่านะครับ แต่รู้สึกว่าพระเอกจะตอบว่า I will before I tell you how he lived.


โดย: Gas Turbine is my dream วันที่: 19 เมษายน 2548 เวลา:3:12:12 น.  

 
ตอนเราดูมะได้ชอบเป็นพิเศษ
พออ่านที่คุณเขียนชักอยากดูซำแล้วอ่ะ
คุณแตกต่อความคิดจากหนังได้ดีเหลือเชื่อ
เวลาเราดูหนังจบความคิดฟุ้งกระจาย จมอยู่แต่กับอารมณ์ เลยมะค่อยได้คิดวิเคราะห์อะไร...
อืมมม


โดย: myrmidon วันที่: 24 เมษายน 2548 เวลา:0:08:46 น.  

 
คำพูดที่ได้ยินแล้วซาบซึ้งปนสะเทือนใจของหนังเรื่องนี้คือ คำพูดของจักรพรรดฺญี่ปุ่นที่กล่าวว่า " เราไม่เคยลืมว่าเราเป็นใคร "


โดย: ... IP: 203.151.140.112 วันที่: 8 พฤษภาคม 2548 เวลา:11:49:10 น.  

 
เทห์จางเยย


โดย: LualUA IP: 202.5.88.137 วันที่: 12 มิถุนายน 2548 เวลา:10:53:55 น.  

 
ชอบเรื่องนี้มากๆ สะกดทุกอารมณ์ หนีไปไหนไม่ได้เลย รู้สึกว่าทุกลมหายใจแทบจะหยุดอยู่กับที่ น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ชื่นชมนักแสดงและคนเขียนบท รวมถึงผู้กำกับด้วย เยี่ยมจริงๆ


โดย: minna IP: 61.90.15.119 วันที่: 10 กรกฎาคม 2548 เวลา:0:50:41 น.  

 
มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ(อ้างอิงจากซามูไรกลุ่มสุดท้ายในโลกจริงนะครับ)
1) ในความจริงแล้วการรบครั้งสุดท้ายเนี่ยทหารฝ่ายกบฏเป็นฝ่ายถือปืนเข้าถล่มฝ่ายรัฐบวมที่ถือดาบครับ เพราะฝ่ายกบฏมีการศึกษาจากตะวันตก แต่ฝ่ายรัฐบาลโตกุกาว่าไม่ยอมรับการปฏิรูปใดๆ
2) การรบในครั้งนั้น ทำให้ตระกูลโตกุกาว่าที่ครองญี่ปุ่นในระบบโชกุนต้องลงจากอำนาจหลังจากปกครองมากว่า220ปี โดยมอบอำนาจคืนให้แก่จักรพรรดิ์(พิมพ์ไงหว่า ลืม)แทน
3) ผมมองว่าเป็นหนังที่ทำได้ดี ในระดับหนึ่งสำหรับคนที่อ่าน หรือชอบในวิถีแห่งซามูไรนะครับ ผมไม่รู้เรื่องการแต่งกาย หรือการลำดับเนื้อเรื่อง เพลงอะไรหรอกนะ แต่ผมมองว่าวิถี ที่ผกก สื่อออกมาเจ๋งชิบ
4) หนังเรื่องนี้ทำให้ผมได้รู้ว่า ในหนังมันมากกว่าความบันเทิง เพราะตอนที่tu115เอาเรื่องนี้มาให้ดู เพื่อนผมมันมาถามผมให้ช่วยหน่อย เพราะเห็นผมสนใจเรื่องแบบนี้เป็นทุนเดิม แต่พอมันเล่าถึงรายงานอันที่เจ้าต่อมันทำ อึ้งไปเลยครับ ทำอย่างกะต่อมันเคยอ่านหนังสือแปลกๆแบบผมด้วย(หรือมันอ่านวะนั่น) จากนั้นมาผมก็รู้ว่าหนัง มีมากกว่าที่เห็น ขอเพียงใช้ใจเข้าไปสัมผัส
จบ ยาวและ รายงานกรู้ยังไม่จบเลย โอ้วจบวิชานี้กรูจาไปบวชแล้ว (ph277)


โดย: อะโลฮ่า เธอราปี้ IP: 58.10.175.187 วันที่: 21 ตุลาคม 2548 เวลา:18:15:34 น.  

 
อยากให้เล่าประวัตฺซามูไร รุ่นก่อนๆๆบ้าง


โดย: waqkura IP: 203.188.62.81 วันที่: 26 ธันวาคม 2549 เวลา:23:04:34 น.  

 
เบื่อครับ เป็นหนังที่น่าเบื่อมาก เพราะเรื่องราวการเรียนรู้วิถีคนตะวันออกเรื่องนี้ ผมว่าทำออกมาซ้ำซากเหลือเกิน
ประเด็นการต่อต้านความรุนแรงในสงครามก็เป็นประเด็นเดิม ๆ แล้วแคแร็คเตอร์ของ เข้าทอม ครุยส์ ทั้งยัดเยียด
ทั้งเสแสร้ง โดยเฉพาะการแสดงของพี่ท่าน ถ้าพระเอกไม่ใช่เจ้านี่ ผมว่าผมคงยอมรับหนังเรื่องนี้ได้มากกว่านี้เยอะ
เบื่อมากครับ


โดย: nakklam IP: 124.120.146.148 วันที่: 8 มกราคม 2550 เวลา:17:19:13 น.  

 
sityobulas takadar mutachi


โดย: nobutarta IP: 203.151.155.4 วันที่: 18 มกราคม 2550 เวลา:9:32:38 น.  

 
รักซามูไร


โดย: นักรบผู้เเก่กล้า IP: 203.113.61.104 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:10:34:56 น.  

 
อย่ากวนteen




โดย: นักรบผู้เเก่กล้า IP: 203.113.61.104 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:10:38:22 น.  

 
ไม่หนุกอย่าดูดิไอ้โง่ เชื่อเถอะอย่ากวนteenจำวั้ย


โดย: นักรบผู้เเก่กล้า IP: 203.113.61.104 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:10:40:45 น.  

 
so good


โดย: bank IP: 125.24.54.52 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:11:36:42 น.  

 
ชอมคัทสึโมโต้มากเลย
...ดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกรักประเทศขึ้นมาเลย
ซึ้งจริงๆ


โดย: เฟรม IP: 125.27.242.91 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:10:31:17 น.  

 
สงสารโนบุทาดะ


โดย: เฟรม IP: 125.27.242.91 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:10:32:11 น.  

 
ข้าน้อยเห็นว่าการวิจารณ์ ไม่ควรแทรกความรู้สึกส่วนตัว ว่าชอบหรือไม่ชอบนะขอรับ หากเป็นข้าน้อย ก็จะวิเคราะห์วิจารณ์อย่างคุณเมอ คือการตีความสิ่งที่เขาต้องการสื่อสาร ไม่ใช่มาแสดงความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบอย่างไม่สงวนท่าที ซึ่งอาจนำไปสู่ความวุ่นวายได้


โดย: สาวก (SanJiKicK ) วันที่: 3 มิถุนายน 2550 เวลา:21:16:56 น.  

 
ไม่รู้นะครับว่าเค้าใช้อะไรวิจารณ์ต้องเป็นอะไรยังไง แต่ที่แน่ ๆ ผมดูแล้วดูอีก 7-8 รอบ รู้สึกดีมากครับ หนังสื่อให้เห็นถึงจิตวิญญาณของนักรบญี่ปุ่นตามวิถีบูชิโดได้งดงามมาก โดยเฉพาะช่วงที่พี่ทอมแกคุยกับพระจักรพรรดิ์ กินใจมาก ดูแล้วรู้สึกว่าวิถีชีวิตดี ๆ ในอดีตนั้นมันไม่ค่อยพบแล้วในสังคมญี่ปุ่นที่ตัวใครตัวมันมาก


โดย: Dr.Wan Ta Leng IP: 125.25.77.217 วันที่: 2 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:03:37 น.  

 
เป็นหนังที่ดีมากครับเป็นวิถีเเห่งบูโดชิ


โดย: มาซามูเนะ IP: 203.156.27.109 วันที่: 12 สิงหาคม 2550 เวลา:13:25:24 น.  

 
ช่วงหลังที่ทอมใส่เกราะของ ฮิโรทาโระ แล้ว ขี่ม้าลงเขาเพื่อไปรบ ทั้งทัพม้า และพลเดินเท้า วิ่งลงเขา โห่ร้อง ทำไห้รู้สึกฮึกเหิมมากๆเลยครับ

เสียอยู่อย่างเดียวคือ ฉาก Love ระหว่างทอมกับ ทากะ ไม่ค่อยมีเลย มีนิดเดียวตอน พระเอกจุ๊บปากนางเอก ทีหนึ่ง ก่อนไปรบอ่ะ


โดย: เอกรัตน์ IP: 125.27.228.134 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:13:29:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.