คิมจองอิลตายแล้ว : โลกหลังความตาย(ของท่านผู้นำ)
by merveillesxx
คิมจองอิลตายแล้ว (2013, รัฐพงศ์ ภิญโญโสภณ, A/A-)
ถ้าเทียบกับงานชิ้นที่แล้ว วันที่สหายพายุกลับบ้าน เราก็ค่อนข้างชอบชิ้นที่แล้วมากกว่า ในแง่ชั้นเชิงที่ดูจะมีมากกว่า เรื่อง คิมจองอิลตายแล้ว ดูจะค่อนข้างตรงไปตรงมา อย่างไรก็ดี เราก็ชอบละครเรื่องนี้พอสมควร อาจจะเพราะมันพูดประเด็นที่เราค่อนข้างอิน คือความอึดอัดในตำแหน่งแห่งที่ของตนเองและการหนีออกไปไม่ได้ ตอนดูละครเรื่องนี้ เราจะนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่อง Bashing ที่เป็นหนึ่งในหนังที่เราชอบที่สุดในชีวิตอยู่เนืองๆ
เรื่องราวของ คิมจองอิลตายแล้ว (ไม่รู้ทำไมจะเผลอพิมพ์ชื่อเรื่องเป็น คิมจองอิลต้องตาย ทุกทีเชียว) เล่าถึงงานศพของท่านคิมจองอิล ผัวเมียคู่หนึ่งต้องออกไปร่วมเดินขบวนงานศพ สามีเป็นทหารผู้จงรักภักดีต่อท่านผู้นำ แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวภรรยาที่ร้องไห้ไม่ได้ ละครเรื่องนี้เหมือนแบ่งเป็นสองช่วง สอง genre อย่างกลายๆ (โดยเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผู้สร้างตั้งใจหรือไม่) ช่วงแรกออกไปทาง absurd คือตัวผัวก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เมียร้องไห้ ให้หั่นหัวหอมบ้าง ใช้วิธีเปิดต่อมน้ำตาบ้าง ฯลฯ ช่วงแรกคนดูก็ยังพอขำหึๆ กัน แต่ช่วงหลังก็กลายเป็นละคร dramatic เต็มรูปแบบ ผัวเมียคู่นี้ก็ปะทะกันอย่างรุนแรงในเรื่องความเชื่อกันต่างกัน
ละครเรื่องนี้มีอะไรลักษณะประเภทแบ่งเป็นสองขั้วอยู่ในหลายด้าน อย่างโครงสร้างการเล่าเรื่องที่เหมือนจะมีสองเส้นด้วยกัน คือเส้นเรื่องปัจจุบัน ตัดสลับการตัดเรื่องแฟล็ชแบ็คหรือภูมิหลังของตัวละคร ถ้าจำไม่ผิด วันที่สหายพายุกลับบ้าน ก็มีวิธีการนำเสนอทำนองนี้เหมือนกัน แต่เรื่องนั้นฉากแฟล็ชแบ็คจะทำเป็น situation ไปเลย แต่เรื่องนี้นำเสนอด้วยการให้ตัวละครโมโนล็อก ซึ่งโมโลน็อกตรงนี้น่าสนใจดี ดูเป็นท่ายากพอสมควร เพราะตัวละครทั้งสองต่างเล่าเรื่องของตัวเองไปแบบสลับกันพูด ซึ่งประโยคมันจะไม่ต่อเนื่องกัน วิธีแบบนี้อาจจะทำให้คนดูแปลกแยกกับละคร ตอนแรกเราก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกเล่าแบบนี้ แต่ปรากฏว่าวิธีนี้มันเวิร์คมากในช่วงท้ายของละคร ที่ตัวละครพูด ประโยคเดียวกัน แต่ความหมาย แตกต่าง อย่างสิ้นเชิง แต่เราว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้วิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ดูแปร่งๆ คือ lighting ของเรื่องนี้ที่ดูตัดสลับแบบปุบปับเสียเหลือเกิน
ลักษณะความเป็นสองขั้วยังชัดเจนในแง่คอนเทนต์เรื่อง มันคือการปะทะกันอย่างรุนแรงของ คนหนึ่งที่รักในท่านผู้นำ vs อีกคนที่ไม่ได้รักในท่านผู้นำ หรือ คนหนึ่งที่รักในประเทศแห่งนี้ vs อีกคนที่อยากจะหนีให้พ้นๆ จากประเทศนี้ ซึ่งนี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราติดขัดในละคร นั่นคือเรารู้สึกว่านักแสดงในเรื่องดูเป็น device ของผู้กำกับไปสักหน่อย -แต่ต้องย้ำว่าในรอบที่เราดูนักแสดงก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ค่อนข้างดี- คือดูไม่ค่อยเป็นมนุษย์จริงๆ เท่าไรนัก เกือบ 3 ใน 4 ของเรื่องคำถามคาใจอย่างหนึ่งของเราคือ เอ๊ะ อีผัวเมียคู่นี้ มึงมาแต่งงานกันได้ไงเนี่ย (ฮา) แต่คำถามนี้ก็จางหายไปบ้าง ในฉากท้ายๆ ของละคร ที่ตัวละครทำตัวเป็น device น้อยลง และดูเป็นมนุษย์มากๆ และทำให้เกิดการปะทะของสองขั้วอีกคู่หนึ่ง นั่นคือ เรื่องการเมือง vs เรื่องส่วนตัว แต่น่าเสียดายที่ละครก็ตัดจบลงไปที่จุดนี้ ในแง่หนึ่งก็ดีกับการจบแบบปลายเปิดที่ให้คนดูไปคิดต่อ แต่ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าละครน่าจะยาวกว่านี้ได้อีก (รอบที่ดูยาวประมาณ 45 นาที)
อีกสิ่งที่ขอพูดถึงคือเรื่องโรงละคร เพิ่งเคยมาดู House of Commons Café ครั้งแรก ก็คิดว่าสเปซเอื้อกับการเล่นละครไซส์เล็ก/ปานกลางทีเดียว แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องเสียง เรื่องจากอยู่ติดกับถนนใหญ่ จึงมีเสียงรถราเข้ามาตลอดเวลา (ทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนดูที่โรงละครมะขามป้อม สะพานควาย ที่ปิดไปแล้ว) แถมรอบที่เราดูมีเสียงคนตะโกนคุยกันอีล้งช้งเช้งมาจากไหนไม่รู้ 555 ซึ่งก็มีผลกับการดูละครพอสมควร
เหลือการแสดงอีกสองรอบ 30 และ 31 มีนาคม 2556 เวลา 19.30 ดูรายละเอียดที่ //www.facebook.com/events/521921147842707/
Create Date : 30 มีนาคม 2556 |
Last Update : 30 มีนาคม 2556 15:18:23 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3293 Pageviews. |
|
|
|
|
|