http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
กันยายน 2549
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
24 กันยายน 2549
 
All Blogs
 
A Day on the Planet + Josee, the Tiger and the Fish : หนุ่มหล่อกับสารพัดสัตว์

โดย merveillesxx




หมายเหตุ – ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 56 (ก.ค. 2549) คอลัมน์ Symbolic Corner


คำเตือน : บทความนี้เปิดเผยตอนจบของหนังนะจ๊ะ

ช่วงที่ผมกำลังเขียนบทความชิ้นนี้อยู่ หนังเรื่อง The Fast and the Furious: Tokyo Drift กำลังเข้าโรงพอดี สาเหตุเดียวที่ทำให้ผมอยากไปดูหนังเรื่องนี้ก็คือ ซาโตชิ ทสึมาบูกิ (ถึงแม้เขาจะออกมาเพียงแค่ฉากเดียว เพื่อพูดคำว่า “Go!” ก็ตาม)

เมื่อไรที่พูดถึงซาโตชิ หลายคนก็จะนึกถึงเด็กหนุ่มหน้าตาทะลึ่งทะเล้น สาเหตุคงมาจากการติดภาพของเขาจากหนังเรื่อง Waterboys แต่เมื่อปีที่แล้วเราก็ได้เห็นซาโตชิในบทบาทที่จริงจังขึ้นใน Sayonara Kuro และต้นปีที่ผ่านมา เขาก็เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองญี่ปุ่นสาขานักแสดงนำชายจาก Spring Snow (แต่นอนว่ารางวัลนี้ก็ถูกหนังเรื่อง Always ซิวไป)

ต้องสารภาพเลยว่า ตอนแรกนั้นผมไม่ชอบหนังเรื่อง Spring Snow เอาเสียเลย ผมรู้สึกรำคาญพระเอกในเรื่องนี้มากๆ เขาเป็นพวกคนประเภทปากไม่ตรงกับใจ รักใครก็ไม่พูดออกมา กว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าสายไปเสียแล้ว

แต่แล้วผมก็ไปอ่านเจอความคิดเห็นของคุณ Madeleine ในเวบบอร์ดไบโอสโคปว่า “ตั้งแต่ดูหนังที่ซาโตชิ ทสึมาบูกิเล่นมาทั้งหมด บทบาทของเขาในเรื่อง Spring Snow เป็นบทที่ดิฉันชอบมากที่สุดค่ะ เพราะบทพระเอกที่ทำร้ายผู้คนและทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างตัวเองแบบนี้คงหาได้ไม่ยากนัก” ซึ่งข้อความนี้ทำให้ความคิดที่ผมมีต่อเรื่อง Spring Snow เปลี่ยนไปโดยทันที

นอกจากนั้นแล้วยังมีหนังอีก 2 เรื่อง ที่ซาโตชิแสดงได้ดี จนคว้ารางวัลมาจากหลายเวที และผมก็ชอบมาก นั่นก็คือ A Day on the Planet และ Josee, the Tiger and the Fish





A Day on the Planet

ถ้าใครติดตามวงการหนังญี่ปุ่นสักหน่อย คงคุ้นกับชื่อของ อิซาโอะ ยูกิซาดะ มาบ้าง

ยูกิซาดะเคยเป็นลูกมือของชุนจิ อิวาอิ (All About Lily Chou-Chou) มาก่อน เขาแจ้งเกิดจากหนังวัยรุ่นเลือดร้อนเรื่อง Go และดังสุดๆ จากหนังโกยเงินอย่าง Crying Out Love, in the Center of the World ความน่าสนใจคือ แทนที่เขาจะตามน้ำ ทำหนังรักเรียกคนดูต่อ เขากลับทำหนังย้อนยุคถึงสองเรื่องซ้อน นั่นคือ Year One in the North และ Spring Snow

ที่จริงแล้ว ก่อนจะมาแจ็กพ็อตแตกกับ Crying Out Love ยูกิซาดะเคยทำหนังอินดี้ที่เข้าฉายอย่างเงียบๆ ที่ญี่ปุ่นเรื่อง A Day on the Planet และนี่เป็นหนังของเขาที่ผมชอบมากที่สุด

A Day on the Planet เล่าถึง นาคาซาว่า (ซาโตชิ ทสึมาบูกิ), มิกะ (เรนะ ทานากะ - ที่เรื่องนี้น่ารักขาดใจ) แฟนสาวง้องแง้งของเขา และ เคท (อายูมิ อิโตะ) เพื่อนสาวที่ติงต๊องพอกัน สามคนนี้กำลังขับรถไปยังเกียวโตเพื่อฉลองกับเพื่อนคนหนึ่งที่สอบเข้าปริญญาโทได้

ทางด้านเกียวโตก็มีชายหนุ่มอีก 4 คนที่รออยู่แล้ว มีทั้งเด็กเรียนที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่น, รุ่นน้องขี้แหย แต่หน้าหล่อ, เจ้าแว่นปากร้าย และที่ฮาสุดคือ ลูกพี่ที่หน้าเหมือนสมาชิกวงคาราบาว

หลังจากรวมตัวกันครบแล้ว ทั้ง 7 คนก็เริ่มเมาเละทันที มิกะเริ่มสวมวิญญาณเป็นช่างตัดผมโดยลากผู้ชายในบ้านมาเป็นลูกค้า ส่วนเคทก็เข้าไปอ่อยเจ้าหนุ่มแหยด้วยประโยคว่า “เธอว่ามั้ยเวลาเราเมา เราจะรู้สึกเหมือนอยู่ในไข่เนาะ” (???) จากนั้นพวกผู้ชายก็เริ่มหนีขึ้นชั้นสองไปเล่นเกม ด้านสองสาวก็ปรับทุกข์กันเรื่องความรัก และเมื่อตัวละครหนึ่งขี่จักรยานออกไปซื้อของที่เซเว่น...เขาก็ถูกรถชน…แต่ก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมารับโทรศัพท์แฟนได้! (โถ แฟนรักตายเลยนะเนี่ย)

นี่คือภาพโดยคร่าวๆ ของหนังเรื่องนี้ หนังเต็มไปด้วยเหตุการณ์ยิบย่อยเต็มไปหมด แถมส่วนใหญ่ก็ดูเพ้อเจ้อและเสียสติอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นแบบนี้ไปจนถึงตอนจบ

สาเหตุที่ผมชอบหนังเรื่องนี้ ก็เพราะผมรู้สึกว่าหนังสะท้อนภาพของตัวผมกับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ตัวละครในหนังเป็นนักศึกษาที่ใกล้จะจบมหาลัยเต็มทีเกือบทุกคน มันเป็นวัยที่เป็นรอยต่อระหว่าง ‘ชีวิตขำๆ’ กับ ‘โลกแห่งความเป็นจริง’ และบางทีฉากปาร์ตี้ในหนังก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้ทำอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้

อีกข้อก็คือ หนังเรื่องนี้พูดถึงสองคำสำคัญอย่าง ชีวิต และ เวลา ตามชื่อเรื่องของมัน

1. Planet

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าคำว่า planet นั้นดู ‘มีชีวิต’ มากที่สุดในบรรดาคำที่เราใช้เรียกโลก (ถ้าคำว่า earth ก็นึกถึงพื้นดิน ส่วน globe ก็จะเป็นอะไรกลมๆ) ซึ่งคำนี้ก็เหมาะกับหนังดี เพราะที่จริงแล้วท่ามกลางเสียงหัวเราะอันไร้สติ หนังก็แอบใส่รายละเอียดบางอย่างเข้ามาทีละนิด เพื่อบอกเล่าถึง ‘ชีวิต’ ของทุกคน และในที่สุดเราก็จะรับรู้ว่าพวกเขากำลังมี ‘ปัญหา’

นาคาซาว่าเรียนหนังแต่ไม่เคยทำหนังเลยสักเรื่อง, มิกะเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอรู้จักแฟนหนุ่มดีขนาดไหน หรือบางทีเธออาจจะไม่รู้จักเขาเลยก็ได้, เคทผิดหวังเรื่องความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็ยังมีบางคนที่กำลังระหองระแหงกับแฟน ไปจนถึงคนที่ไม่เคยมีแฟนกับเขาเลย

ฟังดูแล้วมีแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่สำหรับเด็กมหาลัย นี่คือปัญหาโลกแตก!

ในขณะเดียวกันหนังยังตัดไปที่ภาพข่าวสองเหตุการณ์ใหญ่ๆ คือ เรื่องของชายดวงซวยที่ไปติดอยู่ในซอกตึก และปลาวาฬที่ว่ายมาติดอยู่ตรงชายหาด นี่คือสภาพของตัวละครในหนัง เพราะทุกคนคือ ปลาวาฬเกยตื้น ที่กำลังติดอยู่กับอุปสรรคบางอย่าง

นอกจากนั้นคำว่า planet ยังให้ความรู้สึกที่ดู ‘กว้างใหญ่’ ด้วย (เพราะจริงๆ แล้ว planet หมายถึงดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวงอันเป็นบริวารของดวงอาทิตย์) มีอยู่ฉากหนึ่งที่พวกผู้ชายนั่งดูข่าวทีวีเกี่ยวกับสองเรื่องที่ว่า แล้วก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในหลายสถานที่โดยที่เราไม่รู้เนอะ”

มีบางคนเริ่มรู้ตัวแล้วว่า โลกนี่มันมันช่างกว้างใหญ่ และไม่ใช่เขาคนเดียวที่มีปัญหา


2. A Day

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากในนิตยสาร a day ก็คือ อัลบั้มชุด a day ที่แถมมากับหนังสือเป็นพักๆ มันเป็นงานที่ทุกเพลงมีชื่อว่า a day เหมือนกันหมด ศิลปินแต่ละคนจะไปตีความกันเองว่าเขาคิดอย่างไรกับคำๆ นี้

สิ่งที่ยูกิซาดะทำก็คล้ายกัน หนังเรื่องนี้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดภายใน 1 วัน แต่เขาก็แกล้งคนดูด้วยการเล่าสลับเหตุการณ์ไปมา เดี๋ยวเป็นฉากกลางคืนบ้างกลางวันบ้าง จนดูไม่รู้แล้วว่าตกลงตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามกันแน่ มันคล้ายกับที่เคทถามว่า “ฉันสงสัยมากเลยนะว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่าวันนี้เปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้แล้ว”

สำหรับเด็กใกล้จบแล้ว ‘เวลา’ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากสำหรับพวกเขา ทุกคนจะบ่นว่า “โอ๊ย ทำไม 4 ปีมันผ่านไปเร็วจัง นี่ฉันจะเรียนจบแล้วเหรอเนี่ย” (ทั้งที่ปกติเวลานั่งเรียนก็ดูนาฬิกากันไม่ต่ำกว่าสามรอบ) นอกจากนั้นยังต้องตัดสินใจที่จะเริ่มเอาจริงเอาจังกับชีวิต ว่าจะไปเรียนต่ออะไร ทำงานที่ไหน ซึ่งทุกคนก็มักจะเจอปัญหาว่า แล้ว ‘วันไหน’ ล่ะที่ฉันควรจะเริ่มคิดเรื่องแบบนั้น

หนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉายภาพไปไกลถึงวันนั้น หนังจบด้วยการที่ตัวละครทั้งหมดไปที่ชายหาดเพื่อดูปลาวาฬ แต่พอไปถึงก็พบว่ามันหายไปเสียแล้ว

พล็อตส่วนของปลาวาฬนั้น มีตัวละครนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่พยายามจะมาฆ่าตัวตายที่ชายหาด แต่หลังจากเธอเห็นปลาวาฬว่ายลงทะเลไป เธอก็ล้มเลิกความคิด และเดินกลับบ้าน

เหมือนหนังจะบอกกับเราว่าชีวิตมันยังมี ‘ทางเลือก’

พร้อมกับปลาวาฬที่กลับลงทะเลไป ผู้ชายดวงซวยคนนั้นก็หลุดออกมาจากซอกตึกได้ ปัญหาของทุกคนก็เริ่มจะคลี่คลาย พวกเขาเริ่มจะมองเห็นหนทาง เริ่มรู้ว่าควรจะทำยังไงกับมัน

ภาพสุดท้ายของหนังคือ ทุกคนกำลังนั่งอยู่ที่ชายหาด และจ้องมองพระอาทิตย์ขึ้นอย่างช้าๆ เปรียบเสมือนการบอกลาเมื่อวาน และเริ่มต้นชีวิตกับวันใหม่

อย่างที่มิกะบอกไว้ “นี่ไม่ใช่ ‘พรุ่งนี้’ หรอก แต่มันกลายเป็น ‘วันนี้’ ไปแล้ว”





Josee, the Tiger and the Fish

หนังชื่อประหลาดเรื่องนี้ (กำกับโดย อิชชิน อินุโดะ ผู้กำกับญี่ปุ่นอีกคนที่น่าจับตามอง) มีอะไรที่คล้ายกับ A Day on the Planet จนไม่น่าเชื่อ พระเอกก็คนเดียวกัน นักแสดงบางคนก็ไปโผล่ทั้งสองเรื่อง มีการใช้สัญลักษณ์โดยชื่อเรื่องและ ‘ปลา’ เหมือนกัน แถมมันยังพูดถึงเรื่องเดียวกันคือ การดำเนินชีวิตต่อไป

เรื่องนี้ซาโตชิรับบทเป็น ทสึเนะโอะ นักศึกษามหาลัยใกล้จบ (อีกแล้ว) ที่ใช้ชีวิตแบบชิวๆ จีบผู้หญิงคนนู้นทีคนนี้ทีไปเรื่อย จนวันหนึ่งเขาได้พบกับสาวขาพิการนิสัยประหลาด เธอบอกว่าตัวเองชื่อ ‘โจเซ่’ (จิซุรุ อิเควากิ - เธอเล่นเรื่อง A Day on the Planet ด้วย แต่ไม่ได้เข้าฉากกับซาโตชิเลย) เธอชอบไปเก็บหนังสือตามกองขยะมาอ่านที่บ้าน (ชื่อโจเซ่ของเธอก็ได้มาจากนางเอกในนิยายของ ฟรังซัวส์ ซากัน) และเธอก็มีคุณยายคนหนึ่งที่คอยย้ำตลอดเวลาว่า “เธอน่ะมันคือของที่เสียแล้ว”

ทสึเนะโอะแวะไปเยี่ยมโจเซ่ที่บ้านบ่อยๆ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกดีๆ กับเธอ และในที่สุดเขาก็ทิ้งสาวสวยที่เขากำลังกิ๊กอยู่ แล้วก็ย้ายข้าวของมาอยู่กับโจเซ่เสียเลย

ถ้าหากหนังเลือกจะจบที่ตรงนี้ มันก็คงจะดี...


บางทีการที่มีใครบางคนเข้ามาในชีวิตเรา มันก็ส่งอิทธิพลมากจนเราไม่คิดถึง ผู้หญิงอย่างโจเซ่ก็เช่นกัน การเข้ามาของทสึเนะโอะทำให้เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซึ่งตรงนี้เองที่ชื่อหนังบอกกับเราไว้

ช่วงแรกนั้นโจเซ่เธอดุร้าย เกรี้ยวกราด ไม่ไว้ใจคนรอบข้าง (ครั้งแรกที่เจอกัน เธอทักทายทสึเนะโอะด้วยการหยิบมีดขึ้นมาขู่เขา!) เธอไม่ต่างอะไรไปจาก ‘เสือ’ (Tiger)

มีฉากหนึ่งที่ทสึเนะโอะพาโจเซ่ไปดูเสือที่สวนสัตว์ เสือตัวนั้นคำรามใส่ และเธอก็กลัวมากจนต้องคอยจับมือทสึเนะโอะไว้ พอเขาถามว่า “ทำไมถึงให้พามาที่นี่ล่ะ” โจเซ่ตอบว่า “ฉันเคยคิดไว้ว่าถ้าฉันมีคนรัก ฉันจะให้เขาพามาดูสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด”

สิ่งที่โจเซ่กลัวที่สุดก็คือ ภาพที่แท้จริงของตัวเอง ว่าที่จริงแล้วคนที่เอาแต่ปิดกั้นตัวเองอย่างเธอไม่ใช่เสือ แต่เป็นเสือที่ถูกขังอยู่ในกรง


หลังจากคบกันได้ 1 ปี โจเซ่รบเร้าให้ทสึเนะโอะพาไปดูพิพิธภัณฑ์ปลา แต่ปรากฏว่ามันดันปิด เธอร้องไห้อยู่พักนึง ก่อนที่จะบอกเขาว่า “ไปทะเลกันเถอะ ฉันอยากเห็นทะเล”

พอไปถึงทะเล ทสึเนะโอะก็อุ้มโจเซ่ขี่หลังเดินเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ โจเซ่ดูตื่นเต้นมาก เธอร้องโวยวายเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด เธอชี้ให้ทสึเนะโอะเดินไปทางโน้นทางนี้มั่วไปหมด ...ภาพน้ำทะเลระยิบระยับท่ามกลางแดดจ้าในฉากนี้สวยมาก และการใช้กล้องแฮนเฮลด์ก็ทำให้ฉากนี้ดู ‘จริง’ สุดๆ

ตอนอยู่ที่ชายหาด โจเซ่ไม่ได้เห็นปลาสักตัว เธอได้แต่เก็บเปลือกหอย แต่ตอนที่ขับรถหาที่พัก เธอก็บอกให้ทสึโนะเอะเข้าไปที่ ‘โรงแรมวังปลา’ ที่ชื่อเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าห้องของโรงแรมนี้ตกแต่งด้วยบรรยากาศแบบใต้ท้องทะเล (อยากไปกับแฟนบ้างจัง)

หลังจากเมคเลิฟกัน โจเซ่ก็บอกให้ทสึเนะโอะลองหลับตาดู แล้วเธอก็บอกว่า “นั่นแหละคือที่ที่ฉันมา ฉันมาจากใต้ท้องทะเลลึกอันดำมืด”

ตอนนั้นเองที่โจเซ่รู้ตัวว่าทสึเนะโอะได้เปลี่ยนเธอจาก ‘เสือ’ เป็น ‘ปลา’ (Fish) ...เธอเหมือนปลาที่แหวกว่ายจากท้องทะเลขึ้นมาหาแสงอาทิตย์บนผิวน้ำ เธอรู้จักที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง และที่สำคัญเธอได้รู้จักกับความรัก


แต่ในฉากเดียวกันนั้นเอง โจเซ่ก็พูดต่อว่า “หากวันหนึ่งที่เธอไม่ได้อยู่กับฉันอีกแล้ว ฉันก็คงเหมือนเปลือกหอยที่คอยกลิ้งไปเรื่อยๆ ที่ก้นบึ้งทะเล”

แล้วทั้งสองก็เลิกกันจริงๆ...

หนังไม่ได้บอกสาเหตุชัดเจนว่าทำไมทั้งสองถึงเลิกกัน แต่ที่ผมชอบมากก็คือ หนังเลือกจะเล่าว่า หลังจากนั้นชีวิตของทั้งสองเป็นยังไง
ทางด้านทสึเนะโอะ หนังบอกกับเราว่า สุดท้ายเขาก็กลับไปหากิ๊กเก่า แน่นอนว่าคนดูต้องรู้สึกไม่ดีกับเขา แต่ในฉากที่ทสึเนะโอะเดินอยู่กับกิ๊กเก่า (ที่กลายเป็นแฟนคนใหม่) แล้วอยู่ดีๆ เขาก็ทรุดตัวลงไปร้องไห้ ก็บอกกับเราได้เป็นอย่างดีว่าเขาเองก็เสียใจกับการจากโจเซ่มาเหมือนกัน (ฉากนี้ซาโตชิเล่นดีมากๆ)

ส่วนด้านโจเซ่เธอกลับไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวแบบเดิมอีกครั้ง และหนังก็จบด้วยฉากที่โจเซ่กระโจนลงมาจากเก้าอี้ดังพลั่ก (เหมือนครั้งแรกที่ทสึเนะโอะมาที่บ้านเธอ) เพราะวันนี้ไม่มีใครคอยอุ้มเธออีกต่อไปแล้ว

แต่ก่อนหน้านั้น หนังก็มีฉากที่โจเซ่นั่งรถเข็นไปซื้อของที่ตลาดเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำได้เลย

ถึงไม่มีเขา เธอก็ยังอยู่ได้...

โจเซ่จึงไม่ใช่เพียงแค่เปลือกหอยที่จะกลิ้งไปมาอย่างไร้จุดหมาย เธอเป็นเหมือนปลาที่ถึงจะไม่มีขา แต่ก็เวียนว่ายไปในท้องทะเลอย่างไม่รู้จักจบสิ้น



Create Date : 24 กันยายน 2549
Last Update : 24 กันยายน 2549 4:07:12 น. 58 comments
Counter : 8149 Pageviews.

 





เนื่องด้วยสถานการณ์บ้านเมือง และสถานการณ์ของตัวเจ้าของบล็อกเอง (จะสอบไฟนอลแล้ว แต่ยังไม่ได้อ่านหนังสือสักตัว + รายงานท่วมหัวเอาตัวไม่รอด) จึงขอหากินกับของเก่าไปก่อนนะจ๊ะ

และมีเรื่องประกาศ (ขายของ) โดยท่านสามารถพบกับผลงานของ จขบ. ได้ดังนี้

1. Bioscope ฉบับเดือนตุลาคม (เขียนเรื่อง The Host)

2. GM ฉบับเดือนตุลาคม (สัมภาษณ์ - คุยกัน 3 ชั่วโมง เค้าให้ลงสัก 3 บรรทัดก็บุญแล้ว ฮ่าๆๆ)

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

โปรดดูแลตัวเอง...เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

-----------------------------

ประกาศ...

ประกาศจากคณะปฏิรูปการชมภาพยนตร์ในระบอบประพันธาธิปไตย

ฉบับที่ 1/2549

เนื่องด้วยขณะนี้เวบบอร์ดของ bioscope ถูกปิดไปเสียแล้ว ทางคณะปฏิรูปฯ จึงขอเรียนเชิญ มาดาม Madeliene du Scudery มาพูดคุยเรื่องหนังกับ merveillesxx ที่บล็อกนี้ไปพลางๆ ก่อน (แต่ขอให้เพลาๆ แหล่งลิงค์ข้อมูลอันมีประโยชน์ลงสักนิด เพื่อไม่ให้ประชาชนแตกตื่น) จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง

ทั้งนี้ท่านอื่นๆ ก็สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่อง หนัง-เพลง-หนังสือ ได้เช่นกัน

โปรดฟังอีกครั้ง... (ย้อนไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่)


จึงเรียนมาเพื่อทราบ

merveillesxx

เลขาธิการคณะปฏิรูปการชมภาพยนตร์ในระบอบประพันธาธิปไตย


โดย: merveillesxx วันที่: 24 กันยายน 2549 เวลา:4:30:18 น.  

 
แวะมาอ่าน ต้องหามาดูมั้ง ขอบคุณครับ


โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) วันที่: 24 กันยายน 2549 เวลา:6:54:00 น.  

 
ต้องขอขอบคุณน้อง merveillesxx เป็นอย่างยิ่งค่ะที่อุตส่าห์จุดธูปเรียกดิฉันขึ้นมาจากหลุม แถมยังให้ของเซ่นไหว้แก่ดิฉันเป็นรูปของน้อง TSUMABUKI อีกต่างหาก

ข้อความข้างล่างก็อปปี้มาจากเว็บบอร์ด SCREENOUT

//xq28.net/s/viewtopic.php?t=3437&start=3725

ช่วงนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะเขียนถึงหนังเลยค่ะ จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ทำงานก็ไม่มีสมาธิ ดูหนังก็ไม่มีสมาธิ แต่ก็ยังคงออกไปดูหนัง และจะพยายามเขียนถึงหนังบ้างเป็นครั้งคราว เพราะดิฉันคิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถที่จะแก้ไขสถานการณ์ใดๆในชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นได้ การได้ฆ่าเวลาไปกับการอยู่ในโลกของหนังในช่วงนี้ อาจจะช่วยให้ดิฉันผ่านพ้นเวลาช่วงนี้ไปได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการกลัดกลุ้มกับปัญหาที่ตัวเองไม่มีทางแก้ได้

รู้สึกเหมือนช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเองแก่ลงไปสิบปี

หนังที่ได้ดูในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา

1.THE CHILD (2005, JEAN-PIERRE DARDENNE + LUC DARDENNE, A+)

ชอบช่วงครึ่งหลังของเรื่องมาก ที่เน้นไปที่เรื่องของพระเอกกับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ฉากที่ทำให้ดิฉัน “ลุ้น” ที่สุดในหนังเรื่องนี้คือฉากที่พระเอกพยายาม “ให้ความอบอุ่นทางร่างกาย” แก่เด็กหนุ่มอีกคน โฮะๆๆๆๆ


2.WORK HARD, PLAY HARD (2003, JEAN-MARC MOUTOUT, A+)

หนังเรื่องนี้ก็นำแสดงโดย JEREMIE RENIER เหมือนกับ THE CHILD ดิฉันได้ดูหนังสองเรื่องนี้ติดๆกัน และก็รู้สึกว่า JEREMIE RENIER เล่นได้สุดยอดมากๆ ทั้งสองเรื่อง ดิฉันรู้สึกว่าเขาแสดงได้ดีใน THE CHILD แต่บทชายหนุ่มไร้ที่ยึดเหนี่ยวของเขาใน THE CHILD ก็คล้ายคลึงกับบทที่เขาเคยแสดงมาแล้วใน THE THIRD EYE (2002, CHRISTOPHE FRAIPONT, A+) จนแทบจะเหมือนกับว่าเป็นตัวละครคนเดียวกัน ก็เลยทำให้ดิฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นสุดขีดกับการแสดงของเขาใน THE CHILD มากนัก แต่บทของ JEREMIE RENIER ใน WORK HARD, PLAY HARD เป็นบทที่มีบุคลิกแตกต่างจากใน THE CHILD อย่างสิ้นเชิง เพราะในเรื่องนี้เขารับบทเป็นหนุ่มออฟฟิศผมทองหน้าตาใส และดวงตาของเขาดูมีความหวังและดูฉ่ำมากในช่วงต้นๆของเรื่อง มันช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากดวงตาของเขาใน THE CHILD ที่ดูแห้งผากและสิ้นหวังต่อชีวิต

อย่างไรก็ดี บทของ JEREMIE RENIER ในหนังสามเรื่องนี้ก็มีจุดที่เหมือนกัน เพราะทั้งสามเรื่องนี้เขาต่างรับบทเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการหาเลี้ยงชีพอย่างรุนแรง

ถึงแม้เขาจะรับบทเป็นหนุ่มออฟฟิศชนชั้นกลางใน WORK HARD, PLAY HARD เขาก็ได้เรียนรู้ว่า การที่เขาจะได้ทำงานมีเงินเดือนต่อไปนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใดเลย มันต้องแลกกับทั้งความรัก, ชีวิตครอบครัว, มนุษยธรรม การที่เขาจะได้ทำงานต่อไปนั้น มันต้องแลกกับการที่เขาต้องทำให้คนอีก 80 คนตกงานให้ได้

หนังเรื่องนี้พูดถึงความกลัวที่พนง.บริษัทเอกชนหลายคนคงสัมผัสเข้าใจได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือความกลัวที่ว่าตัวเองอาจจะถูกไล่ออกจากงานได้ทุกเมื่อ

ฉากที่ซึ้งที่สุดใน WORK HARD, PLAY HARD คือฉากที่ SUZANNE (MARTINE CHEVALIER) ซึ่งเป็นผู้หญิงวัย 50 กว่าปีต้องไปสมัครงานใหม่ และต้องเจอกับคู่แข่งที่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนอีกหลายคน มันเป็นฉากที่น่าเศร้ามาก ก่อนหน้านี้ดิฉันเคยได้เห็นฉากหญิงสาววัย 20-30 กว่าปีต้องไปเข้าคิวยาวเพื่อสมัครงานในหนังฝรั่งเศสราว 2-3 เรื่อง ดิฉันเคยรู้สึกว่าฉากดังกล่าวมันน่าเศร้ามาก แต่มันอาจจะไม่น่าเศร้าเท่ากับฉากหญิงวัย 50 กว่าปีต้องไปหางานใหม่ทำในหนังเรื่องนี้

คิดว่าประเด็นเรื่องความก้าวหน้าทางอาชีพที่สวนทางกับชีวิตครอบครัว เป็นประเด็นที่พบได้บ่อยมากในหนังหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง CLICK (B+) และเดาว่าคงได้รับการนำเสนอในภาพยนตร์เรื่อง “THE DEVIL แดกปลาร้า” ด้วยเช่นกัน แต่รู้สึกว่า WORK HARD, PLAY HARD หาทางออกให้ตัวละครได้ดี และดีที่หนังเรื่องนี้จบโดยไม่ต้องมีการกล่าวสุนทรพจน์ของพระเอกแบบในหนังเรื่อง IN GOOD COMPANY (2004, PAUL WEITZ, A)


3.DINING TIME (2006, SHIGEAKI IWAI, A)

อันนี้เป็นงาน INSTALLATION ที่ JAPAN FOUNDATION โดยมีการฉายวิดีโอการกินข้าวในรูปแบบต่างๆลงบนโต๊ะกินข้าว 3 โต๊ะ รู้สึกชอบไอเดียนี้มากๆที่มีการดัดแปลง “โต๊ะกินข้าว” ให้กลายเป็นจอภาพยนตร์ได้ด้วย


4.WORLD TRADE CENTER (2006, OLIVER STONE, A)


5.REINCARNATION (2005, TAKASHI SHIMIZU, A)
//www.imdb.com/title/tt0456630/
เห็นด้วยกับคุณอ้วนที่ว่า หนังเรื่องนี้มีแนวคิดบางอย่างคล้าย COLIC เด็กเห็นผี (2006, พัชนนท์ ธรรมจิรา, A+)


6.DRAGON SQUAD (2005, DANIEL LEE, A-)
//www.imdb.com/title/tt0446313/


7.YUMECHIYO (1985, KIRIRO URAYAMA, A-)


8.RE-CYCLE (2006, OXIDE PANG + DANNY PANG, B+)


--ความรู้สึกในช่วงนี้

รู้สึกดีใจมากที่ได้เจอคุณ LUNAR กับคุณเก้าอี้มีพนักที่สมาคมฝรั่งเศสขณะไปดู WORK HARD, PLAY HARD เมื่อวันเสาร์ เพราะถึงแม้เราสามคนจะไม่ได้เจอกันแค่ 1 สัปดาห์ แต่ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามันเป็นหนึ่งสัปดาห์ที่รุนแรงมาก และทำให้ดิฉันรู้สึกราวกับว่าพวกเราไม่ได้เจอหน้ากันมานาน 1 ปี ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นลูกสาวที่พลัดพรากกับคุณพ่อ (คุณ LUNAR) และคุณแม่ (คุณเก้าอี้มีพนัก) ในยามสงคราม (พยายามอุปมาอุปไมยให้ตัวเองดูมีอายุน้อยค่ะ โฮะๆๆๆๆ) และได้กลับมาเจอกันอีกครั้งขณะที่สงครามยังคงดำเนินต่อไป

หลังจากดูหนังเสร็จ ก็เลยไปนั่งคุยกันต่อที่สีลมจนเกือบถึงเที่ยงคืน รู้สึกดีมากๆเลย และทำให้นึกถึงสมัย 5-6 ปีก่อน ที่ดิฉัน, คุณสนธยา กับเพื่อนๆคุณสนธยามักจะมาเจอกันบ่อยๆที่ GOETHE INSTITUTE กับสมาคมฝรั่งเศสเพื่อดูหนัง และหลังจากดูหนังเสร็จ พวกเราก็จะไปนั่งคุยกันต่อที่สีลมจนถึงตีหนึ่งตีสอง

แต่น่าเสียดายที่ร้าน BASKIN ROBBINS ที่สีลม ที่พวกเรามักใช้เป็นสถานที่คุยกันในยามวิกาล กำลังจะปิดกิจการลงเสียแล้วในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ดิฉันก็เลยเล็งๆไว้ว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์ฝนตกขี้หมูไหล และพวกเราได้มาเจอกันที่สมาคมฝรั่งเศสอีก สถานที่ที่พวกเราอาจใช้คุยกันอาจจะเปลี่ยนไปเป็นที่ BURGER KING แทน เพราะรู้สึกว่าที่สาขาสีลมจะปิดตี 3 (หวังว่าเมืองไทยคงไม่มีการประกาศภาวะการ์ฟิลด์ หรืออะไรทำนองนี้ในอนาคตอันใกล้นะ)


--ช่วงนี้นึกถึงประโยคที่คิดว่าตัวเองน่าจะเคยได้อ่านจากนิยายของ “ทมยันตี” แต่จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร บางทีอาจจะเป็นเรื่อง “ล่า” ประโยคนั้นออกมาในทำนองที่ว่า “เวลาที่คนเราหัวเราะ เขาจะรู้ตัวไหมนะว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้หัวเราะ เพราะหลังจากนั้นชีวิตของเขาอาจจะดำดิ่งลงสู่ความมืดมนอนธกาล จนเขาไม่มีความสามารถที่จะหัวเราะแบบเดิมได้อีก”

รู้สึกว่าช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว เป็นหนึ่งในสุดสัปดาห์ที่มีความสุขมาก ได้ดูหนัง+ละครเวทีกับเพื่อนๆที่แสนดี, ได้เขียนถึงเทศกาลหนังโตรอนโต และได้อ่านที่น้อง merveillesxx เขียนถึง THINGS YOU CAN’T TELL JUST BY LOOKING AT HER BREASTS เอ๊ย ไม่ใช่ HER EYES เป็นสุดสัปดาห์ที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสำหรับดิฉัน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกนานเท่าไหร่ที่จะยิ้มและหัวเราะแบบสุดสัปดาห์ที่แล้วได้อีก

“เหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่สามารถหัวเราะแบบเดิมได้อีกต่อไป” ทำให้นึกถึงอีกเหตุการณ์นึงที่เกิดขึ้นกับดิฉันสมัยม.ปลาย มันเป็นเหตุการณ์ที่ดิฉันไม่ได้คิดถึงมานานแล้ว แต่หนังเรื่อง SEASONS CHANGE เพิ่งทำให้ดิฉันหวนรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาได้อีกครั้ง

ใน SEASONS CHANGE มีเนื้อหาช่วงนึงที่พระเอกบอกกับเพื่อนๆว่าเขาไม่สามารถลงแข่งประกวดวงดนตรีกับเพื่อนๆได้ แต่เพื่อนๆของพระเอกก็ดูจะไม่ได้รับความลำบากเดือดร้อนจากการกระทำของพระเอกมากนัก พวกเขาดูเหมือนจะสามารถหามือกลองคนใหม่มาแทนพระเอกได้อย่างง่ายดาย และประสบความสำเร็จในการแข่งขันได้อย่างไม่ยากมากนัก พวกเขาไม่ได้โกรธเคืองอะไรพระเอกสักเท่าไหร่

เหตุการณ์นั้นทำให้ดิฉันนึกถึงประสบการณ์แบบ coming of age ของตัวเองสมัยม.ปลาย ดิฉันยังจำวันนั้นได้ดี วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันกับเพื่อนๆหัวเราะกันอย่างสุดเสียง ตอนกลางวันวันนั้นพวกเราคุยเรื่องโฆษณานีเวียกัน และก็พยายามล้อเลียนโฆษณานี้กันอย่างสนุกสนานในช่วงพักเที่ยง ดิฉันยังจำได้ดีว่า ช่วงพักเที่ยงวันนั้น ดิฉันหัวเราะอย่างรุนแรงเป็นเวลาติดต่อกันยาวนานมากๆ บางทีอาจจะเป็นการหัวเราะที่ยาวนานที่สุดในชีวิตดิฉัน

แต่อยู่ดีๆช่วงบ่าย ดิฉันก็ได้ทราบความจริงว่า เพื่อนสนิทบางคนที่ร่วมหัวเราะกับดิฉันในช่วงพักเที่ยงวันนั้น ไม่ยอมให้ดิฉันกับเพื่อนๆอีกกลุ่มนึงเข้าร่วมทีมกีฬาเดียวกัน (การแข่งขันกีฬาเป็นทีมในครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนวิชาพละศึกษา) ทั้งๆที่สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะอยู่ทีมเดียวกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ดิฉันรู้สึกเจ็บปวดมากๆ ดิฉันกับเพื่อนๆกลุ่มที่โดนทิ้งสามารถหาทีมใหม่ได้อย่างไม่ยากมากนัก การโดนทิ้งในครั้งนั้นไม่ได้สร้างความลำบากทางร่างกายอย่างรุนแรงให้แก่ดิฉันแต่อย่างใด แต่มันทำให้ดิฉันร้องไห้ที่ได้เรียนรู้ว่า คำสัญญาของเพื่อนสนิทเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้เลย

หลังจากนั้นดิฉันก็เลยไม่สามารถหัวเราะแบบสุดเดชอย่างวันนั้นได้อีก เพราะพอเจอเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกอยากหัวเราะอย่างสุดเดชขึ้นมาทีไร ก็จะต้องหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นทุกครั้ง และทำให้เสียงหัวเราะของดิฉันต้องหยุดลงโดยอัตโนมัติทุกครั้ง

ในช่วงเย็นวันนั้น ดิฉันรู้สึกอยากร้องไห้มากๆที่โดนเพื่อนสนิททิ้งทั้งๆที่สัญญากันไว้แล้ว แต่ปรากฏว่า “ISABELLA” ซี่งเป็นเพื่อนผู้ชายอีกคนที่โดนทิ้งเหมือนกับดิฉัน เขากลับไม่มีอาการโศกเศร้าแต่อย่างใดเลย เขาพูดทำนองที่ว่า “มันก็อย่างนี้แหละ” ISABELLA มองว่าการถูกเพื่อนสนิทโกหกหรือการถูกเพื่อนสนิททิ้งมันเป็นเรื่องธรรมดาๆ

ดิฉันงงกับปฏิกิริยาของเขามาก แต่มันก็ทำให้ดิฉันหยุดร้องไห้และเลิกสงสารตัวเอง มันทำให้ดิฉันได้ตระหนักในความจริงที่ว่า ความทุกข์ของดิฉันไม่ได้เกิดจากการที่ดิฉันถูกเพื่อนสนิทโกหกหรือถูกเพื่อนสนิททอดทิ้ง แต่มันเกิดจากการที่ดิฉัน “คาดหวัง” ไปเองว่าเพื่อนสนิทจะต้องไม่ผิดคำสัญญาและจะไม่ทิ้งเรา ถ้าหากดิฉันไม่คาดหวังอย่างนี้เสียตั้งแต่แรก ดิฉันก็จะไม่เป็นทุกข์ และจะมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ

ถ้าหากชีวิตดิฉันเป็นหนัง ดิฉันคิดว่าเหตุการณ์วันนั้นคงจะเป็นเหตุการณ์ประเภทหนึ่งที่ทำให้ดิฉันได้ COMING OF AGE เพราะหลังจากวันนั้น ดิฉันก็เปลี่ยนไป และดิฉันก็ได้คบหากับเพื่อนสนิทกลุ่มเดิมกลุ่มนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ดิฉันพบว่าในภายหลังตัวดิฉันเองก็ทำตัวไม่แตกต่างจากเพื่อนสนิทที่ในหลายๆครั้งก็โกหกหรือผิดคำสัญญาต่อเพื่อนสนิทด้วยกันเอง ดิฉันไม่ได้ดีไปกว่าเขาแต่อย่างใดเลย

(ถ้าหากในอนาคตดิฉันทรยศด้วยการแย่งผัวใครในเว็บบอร์ด SCREENOUT ก็ขอให้ถือว่าดิฉันได้เตือนท่านไว้ล่วงหน้าแล้วนะคะ ฮ่าๆๆๆๆ)


และถึงแม้ดิฉันจะไม่สามารถหัวเราะแบบเดิมได้อีกแล้วตลอดชีวิตนี้ แต่บทเรียนที่ดิฉันได้รับในวันนั้นก็ทำให้ดิฉันมีความสุขในชีวิตเพิ่มขึ้นอีกมาก เพราะดิฉันได้เรียนรู้ที่จะไม่คาดหวังให้คนอื่นพูดจริงหรือรักษาคำสัญญาต่อเราอีก เมื่อดิฉันไม่คาดหวังอย่างนั้นเสียตั้งแต่แรก ดิฉันก็เลยไม่เป็นทุกข์

เหตุการณ์นี้ยังทำให้นึกถึงละครโทรทัศน์ชุด “นางพญากระบี่มาร” ที่นำแสดงโดยกงฉือเอินด้วย รู้สึกว่าในละครเรื่องนั้น กงฉือเอินจะสอนลูกศิษย์ว่า “เราต้องทรยศผู้อื่น ก่อนที่ผู้อื่นจะทรยศเรา” แต่ดิฉันไม่ได้ยึดถือคำสอนของละครฮ่องกงมาเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตหรอกค่ะ ดิฉันคิดแต่เพียงแค่ว่า “เราต้องคาดการณ์ล่วงหน้าไว้เสมอว่าผู้อื่นจะทรยศเรา และพร้อมจะให้อภัยเขา ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ”

รู้สึกชอบมากที่หนังเรื่อง SEASONS CHANGE ช่วยทำให้ดิฉันรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วเหตุการณ์ใน SEASONS CHANGE มันก็แตกต่างจากเหตุการณ์ในชีวิตดิฉันมากพอสมควรเหมือนกัน

ขอแถมด้วยมิวสิควิดีโอเพลง LOVE, TRUTH & HONESTY ของ BANANARAMA ที่เนื้อหาน่าจะเข้ากับข้อความข้างต้น ดูมิวสิควิดีโอได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ค่ะ
//www.youtube.com/watch?v=D4Nv2OzTzoQ


ข้อคิดเรื่อง “เราไม่รู้ตัวหรอกว่าการหัวเราะของเราในครั้งนี้ อาจจะเป็นการหัวเราะครั้งสุดท้ายในชีวิตเรา” ยังทำให้ดิฉันได้ฉุกคิดอีกด้วยว่า หลายครั้งที่ดิฉันมีความสุข ดิฉันมักจะลืมนึกเสมอว่า ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอนเลย ความสุขสุดๆที่เรามีอยู่ในตอนนี้ มันอาจจะมลายสลายหายไปในพริบตาได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เรามีความสุข ก็ขอให้เราทำใจไว้ล่วงหน้าไปพร้อมๆกันว่า เราอาจจะไม่มีทางมีความสุขอย่างนั้นอีกเลยก็ได้ในวันรุ่งขึ้น

Make the best of what's given you
Everything will come in time
Why deny yourself?
Don't just let life pass you by
Like winter in July

ประโยคข้างบนมาจากเพลง WINTER IN JULY ของวง BOMB THE BASS ค่ะ เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ดิฉันชอบที่สุดในชีวิต

อ่านเนื้อเพลง WINTER IN JULY ได้ที่
//brainwashed.com/btb/lyrics_unknown.html

ฟังเพลงนี้+ดูมิวสิควิดีโอเพลง WINTER IN JULY ได้ที่
//www.youtube.com/watch?v=NVSwDTq57KU


โดย: M.Scudery Worships Martin Wittwer IP: 61.7.156.146 วันที่: 24 กันยายน 2549 เวลา:20:47:42 น.  

 

หนังที่ได้ดูวันนี้




Stalker (1979, Andrei Tarkovsky, A+)

ไม่เคยดูหนังของคาร์คอฟสกี้เลย เพิ่งได้ดูเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แต่ก่อนหน้านี้ก็พอจะรู้ถึงแนวทางหรือลักษณะเด่นในหนังของเขามาบ้าง และก็ชอบหนังหลายๆ เรื่องที่มีลักษณะ "สืบทอดจิตวิญญาณ" ของทาร์คอฟสกี้ โดยเฉพาะ The Return (2003, Andrei Zvyagintsev, A+) และ 4 (2004, Ilya Khrzhanovsky, A+)



The Return ที่ได้รางวัลสิงโตทองคำจากเวนิซ



"4" หนังเฮี้ยนสุดขั้วโลกที่ได้รางวัลใหญ่จากร็อตเทอร์ดาม


ดู Stalker จบแล้วก็ได้แต่อึ้ง เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหนังเรื่องนี้พูดถึงอะไรกันแน่ โลกความฝัน? โลกความจริง? โลกแห่งจิตวิญญาณ? มนุษย์ต่างดาว? ศาสนา? การเปลือยจิตใจมนุษย์? หนังวิพากษ์สังคมเรื่องโรงงานนิวเคลียร์? (มีอยู่ท้ายๆเรื่อง) หนังว่าด้วยพลังจิต? หรือแม้แต่ตัวพระเอกเองก็น่าสงสัยว่าเป็น คนสติแตก หรือ ผู้ทรงภูมิปัญญากันแน่ แต่หากให้สรุปสั้นๆ หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นการปะทะกันอันยิ่งใหญ่ของวิทยาศาสตร์และศิลปะ (ตัวละครในหนังเองก็มี "นักฟิสิกส์" กับ "นักเขียน")



2001: A Space Odyssey

ด้วยความที่ Stalker มีความเป็นหนังไซไฟ-จิตวิญญาณ ก็เลยนึกถึงหนังอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา ก็คือ 2001: A Space Odyssey (1986, Stanley Kubrick, A+) ในทั้งสองเรื่องมนุษย์ต่างถูกหลอกหลอนด้วยบางสิ่งบางอย่าง (ป่า / ห้วงอวกาศ) แต่ตรงนี้ก็แอบคิดว่า Stalker อาจดูเก๋ากว่า 2001 นิดนึงตรงที่ทาร์คอฟสกี้สามารถเนรมิต "ป่า" (ซึ่งมีอยู่จริงตามธรรมชาติ) ให้ชวนพิศวงได้ถึงขนาดนั้น (พื้นที่ป่าในเรื่องเป็นโรงงานไฟฟ้าที่ถูกทิ้งร้าง) ในขณะที่ 2001 เป็นการ "เซ็ต" ฉากขึ้นมา แต่ก็โดดเด่นในด้านปลดปล่อยจินตนาการ

(แต่ขอสารภาพว่าดูแล้วเกือบเผลอหลับทั้งสองเรื่อง ฮ่าๆๆ)



Father & Son

พูดถึงหนังรัสเซียแล้ว อยากดูหนังรัสเซียเรื่องนึงมากๆ แต่ยังไม่ได้ดูสักที นั่นก็คือ Father & Son (2003, Alexander Sokurov) ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ที่เคยดูหนังตัวอย่างหนังเรื่องแล้ว พ่อ-ลูกในหนังเรื่องนี้ดูเกย์ๆ ยังไงไม่รู้

ปล. ขอบคุณคุณ "เก้าอี้มีพนัก" ที่เอื้อเฟื้อ DVD เรื่อง Stalker มาให้นะจ๊ะ



-- เข้าไปดูเวบหนังเรื่อง "13 เกมสยอง" แล้วชอบมากๆ ส่วนเรื่อง "12 เกมสยาม" ก็อยากดูมากๆ เพราะน้องอเล็กซ์โตขึ้นแล้วหล่อขึ้นเยอะเลย แหะๆ

//www.13beloved.com

ขอเสนอให้หนังเรื่อง "14 เกมสยิว" (??) เชิญ เสก โลโซ มาเล่นด้วย (เพราะพี่เสกเค้าร้องเพลง "เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอนอายุ 14")


โดย: merveillesxx วันที่: 24 กันยายน 2549 เวลา:22:50:09 น.  

 
เอ้อ ชอบไอ้พระเอกคนนี้มาก ตั้งแต่เรื่อง Water boy อ่ะ หาแห้งมาก

14 สยิว ก็น่าสนนะ ให้เสกเป็นเหยื่อ


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 24 กันยายน 2549 เวลา:23:40:01 น.  

 

ตอบ พี่แมดเดอลีน

-- ดีใจจังที่จุดธูปอัญเชิญพี่แมดมาสำเร็จ

-- ชอบชื่อหนัง THINGS YOU CAN’T TELL JUST BY LOOKING AT HER BREASTS มากๆ

-- อ่านเรื่องที่ถูกเพื่อนกันไม่ให้เข้ากลุ่มของพี่แล้วก็นึกถึงการกระทำของตัวเองเหมือนกัน เพราะสมัย ม.ปลาย เวลาจับกลุ่ม ผมก็ล็อบบี้เพื่อนๆ ไม่ให้คนบางคนเข้ากลุ่มเหมือนกัน ในกรณีที่คนๆ นั้นจะนำความชิบหายมาให้กับกลุ่ม (เช่น อู้งาน, self เกินเหตุ, มีแนวโน้มจะตบตีกับสมาชิกในกลุ่ม ฯลฯ)

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเองเป็นคนดีเลิศเลออะไร สมัยม.ปลาย เวลาทำงานกลุ่มก็ทำตัวเป็นปรสิตเกาะชาวบ้านเค้ากินอยู่บ่อยๆ

จนมีวันหนึ่ง อยู่ดีๆ อาจารย์ประจำชั้นพูดว่า "เชื่อครูเถอะ เด็กสาธิตจุฬาน่ะ เวลาเข้ามหาลัยไปแล้วจะเป็นลีดเดอร์ เป็นผู้นำกันทุกคน นี่แหละคือเอกลักษณ์ของเด็กโรงเรียนเรา" ตอนนั้นนั่งฟังก็งง ไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ

หารู้ไม่ว่ามันจะเป็นจริง...

เข้ามหาลัยประเดิมงานแรกวิชา Int. Science จับกลุ่ม 10 คนทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ไม่มีไอ้หน้าไหนคิดจะเริ่มทำอะไรสักอย่างเลย (เพราะมันรอให้คนอื่นเริ่ม) สุดท้ายผมก็เลยต้องสถาปนาตัวเองหัวหน้ากลุ่ม แล้วก็คิดหัวข้อเอง

พอเรียกพวกมันที่เหลือมาช่วย ก็โผล่หัวมาไม่เกิน 3 คน โทรไปตามก็อ้าง ติดธุระ ไม่สบาย ปวดหัว ปวดประจำเดือน และสารพัดเหตุผล จนสุดท้ายผมรำคาญ ก็เลยลุยเดี่ยวทำคนเดียวไปเลย (จนเสร็จกลุ่มแรกของมหาลัย -- ไม่น่าเชื่อ) แล้วตอนท้ายก็เก็บเงินมันคนละ 50 บาทเป็นค่าอุปกรณ์ (จริงๆ อยากจะเก็บสักคนละ 200 เป็นต้นทุนค่าเสียประสาท แต่เดี๋ยวพวกมันหาว่างก) ตอนท้ายก็จำหน้าจำชื่อพวกมันเอาไว้แม่นๆ งานหน้าจะได้ไม่หลงจับกลุ่มกับพวกมันอีก

เหตุการณ์นี้สอนให้รู้ว่า

1. เวลามีงานกลุ่ม หากใครสักคนลุกขึ้นมาทำตัวเป็นลีดเดอร์ คนๆ นั้นคือ คนที่ซวยที่สุด

2. มหาลัยนั้นเป็นโลกกว้าง ทำให้ได้เจอคนมากมาย และทำให้ได้เจอคนที่เล๊วเลวกว่าเรา จนคนเลวๆ อย่างเราทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาทำงาน (ตามคำทำนายของอาจารย์ที่สาธิตจุฬาเด๊ะๆ)

จากนั้นชะตากรรมของผมก็เป็นหัวหน้ากลุ่มมาตลอด พร้อมกับเรียนรู้ว่าในการทำงานกลุ่มนั้นระบบ "เผด็จการ" มันช่างประเสริฐจริงๆ

เมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อนสนิทก็เล่าให้ฟังว่า ได้ทำการ "ตัดชื่อ" คนในกลุ่มคนนึงออก เนื่องจากเธอคนนี้ไม่เคยมาช่วยงานกลุ่มเลย ปรากฏว่าเพื่อนผมถูกยัยคนนี้เดินเข้ามาชี้หน้าด่า

เพื่อนผมก็เลยมาบ่นระบายกับผมเป้นการยกใหญ่ พร้อมกับถามผมว่าเธอทำถูกมั้ยที่ตัดชื่อคนๆ นั้นออก เธอใจร้ายไปหรือเปล่า

ผมตอบว่าไม่ผิด และสนับสนุนให้เพื่อนผมตัดชื่อยัยนั่นต่อไป พร้อมกับแนะนำไปว่าถ้าวันไหนถูกอีบ้านั่นเข้ามาหาเรื่องอีก ให้เพื่อนๆ ช่วยเอากล้องมือถือถ่ายวิดีโอเอาไว้ แล้วเอาคลิปไปประจานลงเน็ท

ผมบอกกับเพื่อนว่า ให้เลิกใส่ใจยัยคนนี้ซะ แล้วคิดเสียว่า "ถึงไม่มีมัน ชีวิตชั้นก็อยู่ได้"

"ถึงไม่มีมัน ชีวิตชั้นก็อยู่ได้" เป็นประโยคที่ผมใช้อยู่เสมอๆ เวลาจะตัดใครสักคนออกไปจากสารบบของตัวเอง ผมคิดว่าเพื่อน/คนรู้จัก บางทีก็เหมือนไฟล์คอมพิวเตอร์ บางคนเราก็ add เข้าโฟลเดอร์ my favorite แต่บางคนก็สมควรจะลบทิ้งลง recycle bin และถ้าร้ายแรงมาก เราก็ต้องทำการ empty recycle bin เสีย (อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าชีวิตนี้เคย empty recycle bin กับคนไม่เกิน 2-3 คนนะ)

อาจดูเป็นแนวความคิดที่โหดร้าย และ dehumanization แต่ผมเชื่อแบบนั้น




Eureka

อนึ่ง ช่วงนี้ผมรู้สึกชอบหนังเรื่อง Eureka (2000, Shinji Aoyama, A++++++) มากขึ้นเรื่อยๆ หนังเรื่องนี้แสดงถึงความเจ็บปวดทางจิตใจของมนุษย์ได้อย่างรุนแรง เช่น พระเอกที่หนีออกจากบ้านไปถึง 2 ปี ส่วนเด็กอีกสองคนก็กลายเป็นใบ้ไปเลย แต่ถ้าลองคิดๆ ดูแล้วสิ่งที่ทำร้ายตัวละครในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เหตุการณ์จี้รถบัส แต่เป็นมนุษย์ด้วยกันเองมากกว่า

อย่างไรก็ตาม นอกจากหนังเรื่องนี้จะบอกกับเราว่า "สิ่งที่ทำร้ายเรามากที่ได้ก็คือมนุษย์ด้วยกันเอง" แต่ในอีกด้านหนึ่งหนังก็แสดงว่ามนุษย์เราไม่ได้เพียงทำร้ายกันเท่านั้น แต่ยังช่วยเยียวยารักษาแผลใจด้วยกัน (ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยจะเชื่อนัก แต่หนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้น่าเชื่อดี และที่สำคัญคือไม่เลี่ยน)




Attenna

หนังที่พูดถึง "ความเจ็บปวดเกินทน" ของมนุษย์อีกเรื่องหนึ่งที่ชอบมากๆ ก็คือ Antenna (2004, Kazuyoshi Kumakiri, A+) หนังเรื่องเล่าถึงครอบครัวหนึ่งที่น้องสาวหายตัวไปอย่างลึกลับ จนทำให้พ่อฆ่าตัวตาย แม่กลายเป็นพวกบ้าลัทธิประหลาด พี่ชายก็เข้าชมรม S&M ส่วนน้องชายก็บอกว่าตัวเองติดต่อกับพี่สาวที่หายไปได้ทางเสาอากาศ (พล็อตแบบนี้เข้าทางผมสุดๆๆๆๆๆๆ) พูดง่ายๆ หนังเรื่องนี้พูดถึง "ความล่มสลายของสถาบันครอบครัว"

หนังเรื่องนี้อาจจะมีตอนจบที่ทื่อๆ งงๆ ไปหน่อย แต่ผมชอบ ไม่อยากให้หนังพูดมากพร่ำเพ้ออะไรไปมากกว่านี้

หนังทั้งสองเรื่องพูดเรื่องเดียวกัน คือการเยียวยาระหว่างมนุษย์ แต่รู้สึกชอบ Eureka มากกว่า เพราะ Attenna เป็นการเยียวยาของคนในครอบครัว แต่ Eureka เป็นเรื่องของ "คนแปลกหน้า" ซึ่งนี่คงเป็นเหตุผลที่หนังต้องยาวเกือบ 4 ชั่วโมง



Hole in the Sky (Sora no ana)

Kazuyoshi Kumakiri เคยทำหนังเรื่อง Hole in the Sky (2001) ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้เลย อยากดูมากๆ (รู้สึกพี่แมดเดอลีนจะเคยดูแล้ว)

บทสัมภาษณ์ Kazuyoshi Kumakiri
//www.midnighteye.com/interviews/kazuyoshi_kumakiri.shtml


โดย: merveillesxx วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:0:12:24 น.  

 

เล่นเกมกับเวบไซต์รางวัลโนเบล??

เวบไซต์ของโนเบลมีเกมเพื่อการศึกษาด้วยครับ โดยแบ่งตามสาขา ดังนี้ : ฟิสิกส์ (เลเซอร์) เคมี (โพลิเมอร์) การแพทย์ (หูชั้นใน) วรรณกรรม (Lord of the Files) สันติภาพ (นิวเคลียร์) เศรษฐศาสตร์ (เกม the Heckscher-Ohlin World)

สนใจไปที่
//nobelprize.org/educational_games/


เห็นว่าพี่แมดเดอลีนชอบนิยายเรื่อง Lord of the Files ของ William Golding (ยังไม่มีโอกาสได้อ่าน หรือดูหนังเลย) เลยเอามาฝาก ผมยังไม่ได้เล่นนะครับ ถ้าใครเล่นแล้วเป็นไง ก็บอกกันบ้าง

//nobelprize.org/educational_games/literature/golding/index.html


ดูกันเล่นๆ - รายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมทั้งหมด
//nobelprize.org/nobel_prizes/literature/laureates/

รู้จักอยู่ไม่กี่คนเอง แต่รายชื่อคนเหล่านี้ เวลาอ่านผลงานของพวกเขา ผมมักจะหลับ (ฮา)

ถ้าใครสนใจเรื่องนักเขียนโนเบล (หรือ "นักเขียนท่านๆ") อ่านได้ในหนังสือ "โลกวรรณกรรม" เขียนโดย วิวรณ์


โดย: merveillesxx IP: 203.209.104.55 วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:2:04:00 น.  

 
^
^
พิมพ์ผิด

Lord of the Flies


โดย: merveillesxx IP: 203.209.104.55 วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:2:18:34 น.  

 
HBD
ไว้เจอกันแล้วจะให้ Ntarive เน้อ

มากรี๊ดรูปทชึมาบูกิ
และยินดีที่คุณ แมดเดอลีน มาแสดงความเห็นที่นี่

คุยกับ GM ที่สามชั่วโมง
มันรวมกินข้าวและถ่ายรูปด้วยน่อ 555


โดย: grappa วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:8:40:54 น.  

 
แวะมา HBD ด้วยคนครับ


โดย: it ซียู IP: 202.57.156.217 วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:14:33:28 น.  

 
ต่อ HAPPY Birthdayนะจ๊ะ ปีนี้21 ขวบแล้ว มีความสุขมากๆๆนะจ๊ะ


โดย: ae เองนะ IP: 192.150.249.114 วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:14:58:01 น.  

 
... สุขสันต์วันเกิดครับ มีความสุขมากๆกับวันใหม่ๆที่จะผ่านเข้ามา และ มีความสุขกับการดูหนังมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะรออุดหนุนผลงานนะครับ


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:15:10:07 น.  

 
สุขสันต์วันเกิดค่ะ
มีความสุขทุกวันนะคะ^^



...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:16:43:49 น.  

 
สุขสันต์วันเกิด !! เดี๋ยวเอาของฝาก (ซื้อ) และของขวัญไปให้....


โดย: halation IP: 202.5.87.137 วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:17:05:13 น.  

 
สุขสันต์วันเกิดนะเมอร์ฯ

ขอให้มีสุขภาพกายใจที่แข็งแรง

อย่าลืมทำอะไรดีๆ เป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเองนะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:19:17:27 น.  

 

สุขสันต์วันเกิดนะครับ พี่เมอร์ :3


โดย: Nighty IP: 58.8.34.68 วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:19:55:12 น.  

 
สุขสันต์วันเกิดค่ะ ขอให้สุขภาพกายสุขภาพใจแข็งแรง มีพลังสู้ชีวิตค่ะ


โดย: ลูกสาวโมโจโจโจ้ (the grinning cheshire cat ) วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:20:20:52 น.  

 
เข้ามาอวยพรวันเกิดครับ
ขอให้มีความสุขตลอดปีตลอดชาติ

พูดถึง ซาโตชิ ทสึมาบูกิ อีกหน่อยดีกว่า
ผมจำขึ้นมาได้ว่าชอบเขาก่อนหน้า Waterboys อีก แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ เป็นละครที่ฉายทาง itv น่ะครับ (สมัยยังติดทีวี) เกี่ยวกับพี่น้องที่ทำร้านอาหารน่ะ ...สูตรรัก ข้าวห่อไข่ เปล่าหว่า

อยากดู Attenna


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:21:07:05 น.  

 
อีกนิด

ซาวน์แทร็ก The Hours นี่ผมก็ชอบ - ไม่สิหลงเลยแหละ เพียงแต่ไม่มีไว้ในครอบครองเท่านั้น อาศัยฟังในหนังหลาย ๆ รอบแทน

จริงอย่างที่คุณเมอร์ฯ ว่าอ่ะ เวลาฟังซาวด์แทร็กเรื่องนี้ เหมือนร่างกายถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ จริง ๆ


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:21:09:34 น.  

 
^
^ ใช่แล้วค่ะ
สูตรรักข้าวห่อไข่
ชอบมาก

ฝากลิงก์ไว้หนึ่งอัน
//www.petitiononline.com/thaicoup/petition.html


โดย: grappa วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:22:10:15 น.  

 

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามา HBD นะจ๊ะ


ตอบ คุณเจ้าชายไร้เงา

ชอบเรื่อง "สูตรรักข้าวห่อไข่" มากๆ เหมือนกัน ตอนนั้นติดงอมแงมเลย ขนาดจะไม่ยบอมไปรับน้องมหาลัย เพราะอดดูละครเรื่องนี้เลยล่ะ

ช่วงปี 2546 เป็นช่วงที่มีความสุขมาก กับการดู J-series ตอนนั้นมีซีรี่ย์ดีๆ ติดกันสองเรื่องเลยคือ "ซูเปอร์สตาร์ถามหารัก" (ที่ลีโอพุฒ พากย์เสียงเป็น โทโมยะ นากาเสะ นั่นแหละ) และ "สูตรรักข้าวห่อไข่"

ข้อมูลของ สูตรรักข้าวห่อไข่
//www.japankiku.com/drama/lunch.html

เวบ official ของ Satoshi Tsumabuki
//www.horipro.co.jp/hm/tsumabuki/

เคยเขียนถึง Tsumabuki ไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อน
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=merveillesxx&group=1&month=12-2004&date=29&blog=25


Attenna (หมายถึงหนังญี่ปุ่นนะ ไม่ใช่มิวสิกวิดีโอ) นี่ดูแล้วจะรู้สึกว่าครอบครัวตัวเองอบอุ่นขึ้นเยอะ ฮ่าๆๆ


โดย: merveillesxx IP: 203.209.110.111 วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:22:46:11 น.  

 

พูดถึง Satoshi Tsumabuki แล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่าอยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ




69 Sixtynine (2004, Lee Sang-il)

หนังเรื่องนี้นำแสดงโดย Satoshi Tsumabuki และ Masanobu Ando (คิริยาม่า - ตัวร้ายสุดเท่ในหนังเรื่อง Battle Royale) หนังเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ "ตลก 69" ของเป็นเอก รัตนเรือง แต่อย่างใด แต่ชื่อเรื่องส่อมากๆ (เอ๊ะ หรือเราคิดไปเอง)


โดย: merveillesxx IP: 203.209.110.111 วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:23:06:29 น.  

 
แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะจ๊ะคุณต่อ วันเกิดดีจริงๆเลย ... โผล่มาแถวๆวันรัฐประหาร"ทักจัง"ซะงั้น
เวลาร่วมปีที่ผ่านมา เมย์รู้สึกขอบคุณต่อจังเลย ขอบคุณสำหรับบล็อกที่อ่านสนุกบล็อกนี้ ขอบคุณสำหรับ emotions มันส์ๆของการเม้าท์ในทุกๆแมตช์ของเรา ขอบคุณที่ต่อรักหนัง เพลง หนังสือ แล้วก็ขอบคุณจังหวะชีวิตที่ทำให้ anythings มาพบกับ something นะ

ปล.เห็นจั่วหัวบล็อกแล้วมันจั๊กกะจี้คลื่นสมอง อิอิอิ แหม ต่อยังอยากรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ให้คนที่ต่อรักอยู่อีกเหรอจ๊าาาา โอ...แล้วถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆนี่ต่อต้องเลือกเสียตัวในวันเกิดนะ (เหมือนในการ์ตูนตาหวานอ่ะ) โรแมนติกสุดๆเลยนะต่อ เคิ่กๆๆๆๆๆ

ปล again. เห็นต่อไม่สบายอยู่บ่อยๆ ก็อยากให้แข็งแรงขึ้นอีกนิดสำหรับการเรียนที่กำลังจะ go inter ไปอยู่ที่ไหนซักแห่งนะจ๊ะ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวอาการภูมิแพ้ที่เหลือทนของชีวิตจะกำเริบเสิบสานขึ้นมาได้นะค้าาา

take care นะ จุ๊บๆๆ


โดย: May's april snow IP: 202.28.68.6 วันที่: 25 กันยายน 2549 เวลา:23:51:48 น.  

 

Birthday Call

(พิมพ์สดๆ หลังจากวางโทรศัพท์ไป 15 วินาที ขออภัยหากพิมพ์ผิด)


เบอร์ที่ไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของฉัน และฉันก็ตอบรับมันโดยไม่คิดอะไร

"แฮปปี้เบิร์ธเดย์"

นั่นคือคำแรกที่ฉันได้ยิน แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้ยิน นานเท่าไรแล้วที่ฉันไม่ได้ยินเสียงนี้ นานเท่าไรแล้วที่ฉันไม่ได้ยินคำว่าแฮปปี้เบิร์ทเดย์จากเธอ ครั้งสุดท้ายที่เธอพูดคำนี้กับฉันคือเมื่อไร หรือฉันควรจะถามว่าคำพูดสุดท้ายของเราคือคำว่าอะไร และผ่านมานานเท่าไร

หลังสิ้นสุดประโยคนั้น เธอและฉันหลงเหลือไว้เพียงความเงียบ ฉันรู้ดี ฉันรู้จักเธอดี ฉันรู้ทันทีว่าเธอกำลังไม่แน่ใจว่าวันนี้ใช่วันเกิดของฉันหรือเปล่า ความสงสัย ความไม่มั่นใจ ความคลางแคลงกำลังครอบคลุมตัวเธอ เธอกำลังรอเสียงตอบรับของฉัน เพื่อยืนยันถึงความแม่นยำของความทรงจำของเธอ

ในวินาทีหนึ่ง ฉันเสียใจ เธอลืมวันเกิดของฉันเสียแล้ว แต่ฉันควรจะคาดหวัง คาดคั้น คาดหมาย อะไรกับเธอ เธอลืมกระทั่งสิ่งที่เคยพูดไว้กับฉัน สิ่งที่เคยสัญญาไว้กับฉัน และหากจะพูดให้ตรงกับความจริงไปกว่านั้น เธอคงลืมฉันไปแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา

จากวินาทีสู่วินาที ก่อนที่ความคิดของฉันกำลังจะเดินทางย้อนทวนกระแสกาลอีกครั้ง ฉันดึงดันให้ตัวเองอยู่กับเวลาตามที่เข็มนาฬิกาแสดงให้เห็นแก่สายตา ห้วงเวลาเพียงสั้นๆ นั้น กลับยาวนานเพียงพอที่ทำให้ฉันตั้งสติ และพูดสิ่งที่ควรจะพูดออกไป

"ขอบคุณนะ"

ฉันตอบกลับไปสั้นๆ

ถ้าหูฉันไม่แว่ว ฉันได้ยินเสียงลมหายใจของเธอ ลมหายใจที่บอกถึงความปลอดโปร่งโล่งอก อย่างแรกก็คือเธอโล่งอกที่จำวันเกิดฉันไม่ผิด อย่างที่สองคือ เธอโล่งอกที่ฉันไม่พูดอะไรมากมายไปกว่าคำว่าขอบคุณ ฉันเพียงตอบรับกับสถานการณ์ปัจจุบันตรงหน้า ไม่ได้ขุดค้นอดีตกาลมาโยนใส่เธอเหมือนที่เคยทำ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันมีคำถามมากมาย ไม่ว่าจะคำถามเกี่ยวกับ "ฉัน" คำถามเกี่ยวกับ "เธอ" หรือคำถามเกี่ยวกับ "เรา" แต่เพราะว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉัน ฉันจึงควรจะมี "ความสุข" ตามที่เธออวยพร ตามที่เธอขอร้อง ตามที่เธอหวัง ตามที่เธออยากให้เป็น หรืออะไรก็ตาม

เธอวางสายจากฉัน และฉันก็วางสายจากเธอ เราวางสายกันในเวลาอันรวดเร็ว นี่คงเป็นบทสนทนาที่ใช้เวลาน้อยที่สุดตั้งแต่เรารู้จักกันมา น้อยจนไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่าเป็นการ "คุยโทรศัพท์"

หลังจากวางสาย ฉันไม่แน่ใจว่าจะมีความสุขหรือเปล่า รู้แต่เพียงว่าคงอีกนานกว่าที่เราจะได้คุยกันอีกครั้ง และคงมีช่วงความยาวไม่ต่างจากวันนี้เท่าไร คงต้องรอให้ถึงวันเกิดปีหน้าของฉันกว่าเราจะได้คุยกันอีกครั้ง

เพราะฉันเองก็ลืมวันเกิดของเธอไปแล้ว


โดย: merveillesxx IP: 203.209.105.251 วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:0:28:41 น.  

 
แฮปปี้เบิร์ทเดย์นะคะ

เคยดู Father & son แต่ยังดูไม่จบค่ะ บรรยากาศช่วงต้นเรื่องมันดูแปลกๆ มัวๆเบลอๆ แสงฟุ้งๆไงไม่รู้ เลยเอาเรื่องอื่นมาดูแทน



โดย: renton_renton วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:7:19:18 น.  

 
HBD


โดย: strawberry machine gun วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:9:13:07 น.  

 
HBD ค่า แหม เราเกิดวันเดียวกันเลยค่ะ เพิ่งมาเห้นชื่อในบลอค มีความสุขมากๆนะคะ


โดย: Fly to the sky วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:10:46:35 น.  

 
Josee, the Tiger and the Fish

เรื่องนี้ทำให้ผมนั่งร้องไห้กับเพื่อนสุดๆ ในตอนจบ ไม่มีใครหรอกที่แยกจากกันโดยไม่เจ็บปวดทั้ง 2 ฝ่าย หนังบอกสัจธรรมตรงนี้ได้ดีมากๆ ครับ


Happy Birth Day ครับ ขอให้มีความสุขมากๆ เลยนะครับ


โดย: เข็มขัดสั้น วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:11:08:42 น.  

 


เข้ามา HBD โดยเฉพาะเลยค่ะ
สุขภาพแข็งแรง มีความสุขกับสิ่งที่ทำนะคะ
และขอให้ได้ไปดูคอนเสิร์ตอายูจังที่ญี่ปุ่นเร็วๆด้วยค่ะ อิอิ






โดย: มาริอา วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:15:57:28 น.  

 
สุขสันต์วันเกิดครับ


โดย: being's lover วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:16:54:10 น.  

 
HAPPY BIRTHDAY ด้วยค่ะ

ขอให้สวยวันสวยคืนนะคะ จะได้เสียตัวไวๆ ฮ่าๆๆ


โดย: M.Scudery Worships Dagmar Keller IP: 58.8.194.60 วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:17:34:02 น.  

 
มีใครจะไปดู ทองปาน ที่ธรรมศาสตร์ หอเล็ก ในวันเสาร์นี้บ้างอ่ะ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:20:25:11 น.  

 

วันเกิด...ฉัน

(กรุณาเปิดเพลง "วันเกิด" ของ โยคีเพลย์บอย ประกอบ)

วันเกิดปีนี้แปลกดี เพราะได้รับการอวยพร HBD มากกว่าปีก่อนๆ ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครมา HBD เท่าไร เพราะ 25 กันยา จะเป็นช่วงที่ทุกคนสอบ ขนาดตัวผมเองยังลืมวันเกิดตัวเองบ่อยๆ แต่ปีนี้ที่ธรรมศาสตร์สอบช้า (เพราะเลื่อนเปิดเทอม) ช่วงนี้ก็ยังเรียนตามปกติ อยู่ดีๆ วันนี้เพื่อนๆ ในกลุ่มเลยเอาเค้กมาเซอร์ไพรส์ ก็รู้สึกดี

เมื่อคืนก็ได้รับทั้ง SMS และโทรศัพท์ HBD มากมาย ทั้งจากเพื่อน, รุ่นพี่, รุ่นน้อง, เพื่อนเก่า, แฟนเก่า ฯลฯ เสียงของบางคน แม้จะวางโทรศัพท์ไปแล้วก็เหมือนกับว่าเสียงของเขายังคงดังก้องอยู่ในห้วงสำนึกของตัวเอง เมื่อคืนก็เลยหมดเวลาไปการนั่งนิ่งๆ และคิดทบทวนอะไรบางอย่างเสียนาน กว่าจะรู้ตัวก็คือตอนที่นึกขึ้นได้ว่าต้องส่งรายงานวันศุกร์นี้แล้ว >_<



เรื่องน่าหงุดหงิดใจสุดๆ

อยู่ดีๆ ที่มหาลัยก็เลื่อนวันสอบวิชานึงจาก 5 ต.ค. เป็น 7 ต.ค. ซึ่งสร้างความสับสนงุนงงให้กับนศ.เป็นอย่างยิ่ง (ขนาดอาจารย์ประจำวิชาก็ยังไม่รู้เรื่อง) โดยทางมหาลัยหรือคณะก็ไม่ได้ให้เหตุผลชัดเจนว่าทำไมต้องเลื่อน (หรือเขาอยากให้สอบวันเสาร์ รถจะได้ไม่ติด??)

สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงเหตุการณ์ของ คปค. นั่นคือ การเลื่อนวันสอบ (ตามอำเภอใจ) มันก็ไม่ต่างอะไรจากการฉีกรัฐธรรมนูญ และประชาชน (นักศึกษา) ก็เป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ที่ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมต่อไป



คำพูดที่ชอบสุดๆ

"ความรักคือการหลอมรวม แต่คนเราไม่อาจหลอมรวมกันได้ นั่นคือเรื่องน่าเศร้าของการมีเซ็กส์ เราทะลุทะลวงร่างกัน แต่มันไม่มีความหมายอะไรเลย"

เป็นคำพูดของ Bruno Dumont ผู้กำกับเรื่อง Twentynine Palms และ Flandres ที่กำลังฉายที่ลิโด้ (อ่านเรื่องของเขาได้ใน PULP เล่มใหม่)

คำพูดนี้อธิบายได้ดีว่าทำไมเซ็กส์ในนิยายของ ฮูรากิ มูราคามิ มันถึงช่างเจ็บปวดเหลือเกิน



อยากได้สุดๆ

กำลังอยากได้ 3 อย่างนี้สุดๆ ใครจะซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดก็ไม่ว่ากันนะ (ฮ่าๆๆ)




1. DVD หนังเรื่อง Celine And Julie Go Boating (1974, Jacques Rivette)

หนังของผู้กำกับ french new wave ที่ชอบทำหนังย๊าวยาว (เรื่องนี้ยาว 192 นาที) นี่เป็นเรื่องโปรดของคุณแมดเดอลีน





2. อัลบั้มรวมฮิตชุด Legacy – The Best of Mansun ของวง Mansun

Mansun เป็นวงบริทป็อปที่อายุไม่ยืนนัก (1996-2003) และก็ไม่ค่อยดังด้วย แต่วงนี้เคยมีซิงเกิ้ล I Can Only Disappoint U ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงที่ผมชอบที่สุดในชีวิต

อัลบั้มชุดที่มีเวอร์ชั่นพิเศษที่แถม DVD ด้วย

อ่านที่ //www.gigwise.com/news.asp?contentid=20559




3. DVD คอนเสิร์ต Touring The Angel: Live in Milan ของ Depeche Mode

อยากได้เพราะชาตินี้คงไม่มีวันที่ Depeche Mode จะมาเล่นคอนเสิร์ตในบ้านเรา

อ้อ เผื่อใครยังไม่รู้ คอนเสิร์ต Robbiw Williams เค้าแคนเซิลไปแล้วนะจ๊ะ



เรื่องฮาๆ ที่เพิ่งค้นพบ

1. เพลงของ GYM (กอล์ฟ + ไมค์ + ยามะพี) เพราะดี (ได้ฟังเฉพาะเพลงเปิดตัว)


2. รายการเพลง RS ยังคงเป็นสิ่งคลายเครียดชั้นดี ในรายการพวกนี้เราจะพบกับ

2.1 วงร็อคชื่อ "เล้าโลม" ที่เห็นได้ชัดว่าคือการ "เจาะตลาดภูธร" เพลงดังของวงนี้คือ "เพื่อนกับแฟนแทนกันไม่ได้" มีท่อนเด็ดคือ "อย่าเอาคำว่าเพื่อนมาแทนคำว่าหมดใจ" (คิดได้ไงเนี่ย) และอย่าดูถูกไปวงนี้กำลังมีคอนเสริ์ตใหญ่

2.2 วง Black Vanilla ซึ่งก็คือ วงเล้าโลม ในเวอร์ชั่นอัพเกรดที่ไว้เจาะตลาดกรุงเทพ (ทั้ง 4 คนเป็นเด็กธรรมศาสตร์จ้ะ หน้าตาดีทั้งวงเลยมั้ง)

2.3 ได้รู้ว่าในโลกนี้มีวงที่ชื่อว่า "พริกไทย" (??????)

2.4 ได้รู้ว่า RS กำลังโปรโมตนักร้องใหม่ชื่อ Notto (น็อตโตะ) เธอคือ พดด้วง เวอร์ชันอัพเกรด (หากคุณไม่รู้จักว่าพดด้วงคืออะไร เป็นคนหรือเปล่า ก็อย่าใส่ใจไปเลย)

ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าต้องเป็นนักร้องสาวแนว j-pop แต่เพลงเปิดตัวของเธอชื่อ "ปลดกระดุม" ซึ่งมีท่อนฮุคว่า "ปลดกระดุมหน่อย ช่วยปลดกระดุมหน่อย" (ฮ่าๆๆๆๆๆๆ)

สิ่งที่อึ้งคือ ทีเซอร์แนะนำตัวของเธอคนนี้ บอกกับเราว่าเธอมีความสามารถร้องเพลงโอเปร่าได้ ...ลองคิดภาพตามนะครับ เด็กผู้หญิงคนนึงที่ร้องโอเปร่าได้ ต้องมาร้องเพลงประเภท "ปลดกระดุมหน่อย ช่วยปลดกระดุมหน่อย" เปรียบเทียบก็คงเหมือนนักวิจารณ์หนังที่อยากเขียนถึงหนังของอภิชาติพงศ์ แต่ถูกใบสั่งให้เขียนถึงหนังเรื่อง "โกยเถอะโยม" อะไรแบบนั้นแหละ

2.5 ได้รู้ว่า RS กำลังจะมีนักร้องใหม่เป็นคู่ดูโอสาว สไตล์ j-pop (อีกแล้ว) ชื่อวง Neko อะไรสักอย่างนี่แหละ ดูคอสตูมของวงนี้แล้วฮามาก นี่คือวงที่ cult ที่สุดของยุค 2006!

ไม่แน่ใจว่าความ cult ของวงนี้จะทำลายความ cult ของท่า "ด๊า-ดี-ด๊า ยูเอฟโอ" ของ ราฟฟี่-แนนซี่ หรือ ท่า "เกี่ยวกระหวัดขาท้าฟ้าดิน" ของ Bazoo ได้หรือไม่ แต่วงนี้กำลังทำให้ โฟร์-มด กลายเป็นนักร้องรางวัลแกรมมี่ อวอร์ด (ฮา)


3. ละครเรื่อง "เหยื่อมาร" ของช่อง 3 คือบทสรุปของ "ไตรภาคไซบอร์ก" อันประกอบด้วย

3.1 นางฟ้าไซเบอร์

3.2 หุ่นยนต์บ้านไร่ (หรือ เจ้าสาวบ้านไร่)

3.3 หุ่นยนต์มาร (หรือ เหยื่อมาร)

ถ้าผมรับบทเป็นจินตหรา สุขพัฒน์ (ตัวร้ายในเรื่อง) ผมจะรู้สึกเกรงกลัวนางเอกของเรื่องเป็นอย่างมาก เพราะดูเธอไม่ยี่หระใดๆ ทั้งสิ้นกับการที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย

เข้าใจว่านางเอกของละครเรื่องนี้กำลังเป็นผู้บุกเบิกศิลปะการแสดงแบบ "น้อยได้มาก" ของวงการละครไทย หลังจากที่แนวคิดแบบ "มากได้มาก" ครอบงำวงการนี้มาตลอด


โดย: merveillesxx IP: 203.209.110.24 วันที่: 26 กันยายน 2549 เวลา:23:32:40 น.  

 

โอเคนะคะ ไหนๆ ก็พูดถึง RS แล้ว ดิฉันก็ขอบ่นๆ ถึงวงการเพลงต่อเลยนะคะ (ต้องเปลี่ยนสรรพนามหน่อยนะ ไม่งั้นเม้าท์ไม่มันส์)

1. ดิฉันซื้อ VCD คอนเสิร์ต The Beat มาค่ะ (ที่เป็นป้าติ๊นา กับลุงเจ-เจตริน คอนเสิร์ตที่เกย์ไปดูเยอะๆ น่ะ) ดิฉันพบว่าแกรมมี่ทำ VCD ได้ห่วยแตกมากๆ เลยค่ะ คิดดูนะคะ นมป้าตินาแตกๆๆๆๆๆๆๆ เป็นพิกเซลเลยค่ะ (ดีนะคะที่จูจู้พี่เจไม่แตกๆๆๆเป็นเสี่ยงๆๆๆด้วย) ดิฉันไม่เข้าใจเลยค่ะว่าแกรมมี่ไม่รู้จักนวัตกรรมดิจิตอลยุคโบราณที่เรียกว่า DVD เหรอคะเนี่ย

2. ดิฉันเบื่อเพลงของ ลิเดีย (Lydia) มากเลยค่ะ ดิฉันคิดว่ามันคือสิ่งที่น่ารำคาญมากที่สุดในโลก พอๆกับพวกชอบคุยโทรศัพท์ในโรงหหนัง, พวกชอบเปิดหูฟังดังๆ ในรถใต้ดิน ดิฉันคิดว่าไม่มีอะไรจะหลอกหลอนไปกว่าเสียงรันทวนจวญใจของพี่แบงค์ วง Clash แล้วนะคะ (เพื่อนดิฉันบอกว่าฟังแล้วอึไม่ออก) แต่ดิฉันพบสิ่งที่สุดยอดกว่าแล้วค่ะ ตอนนี้ดิฉันกำลังคิดว่าระหว่างเพลงของ ลิเดีย กับของ Mr.D (ย้ำว่า Mr.D นะคะ ไม่ใช่ Mr.Z อันหลังนี่ดิฉันชอบค่ะ) ดิฉันควรจะเลือกอะไรดี หรือดิฉันควรจะเลือกฆ่าตัวตาย

---------------------------

ตอบ พี่ M.Scudery

>ขอให้สวยวันสวยคืนนะคะ จะได้เสียตัวไวๆ ฮ่าๆๆ
แหะๆ ขอแต่อันหลังได้มั้ยอ่ะ


ตอบ พี่ I will see U in the next life

คงไม่ได้ไปอ่ะ ต้องทำรายงาน แต่ซื้อ VCD ทองปาน ไว้นานแล้ว ยังไม่ได้ดูเลย

----------------------------------

พอดีไปเจอคำถาม 50 ข้อนี้ ในเวบบอร์ด Screenout แล้วรู้สึกว่าฮาดี เลยขอทำบ้าง เพราะถึงแม้ตัวเองจะไม่ใช่เกย์ แต่ก็มีคนหาว่าเป็นเกย์บ่อยๆ และคิดว่าตัวเองก็มีความเกย์อยู่ในตัวล่ะมั้ง

1. คุณอายุเท่าไหร่ตอนรู้ว่าเป็นเกย์
ตั้งแต่เปิดบล็อก ก็มีแต่คนถามว่า "เป็นเกย์รึป่าว" และมีเกย์เข้ามาแอดใน MSN อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 คน หลังๆ เลยต้องโพสต์รูปตัวเองบ่อยๆ เป็น "ยันกันเกย์"

2. คุณเคยมีเซ็กซ์กับผู้หญิงไหม
มีเพียงในจินตนาการทุกๆ 22 วินาที

3. คุณ out กับใครเป็นคนแรก
เกิดขึ้นตอนพรีเซนต์งานหน้าห้อง แล้วไม่มีใครฟัง เลยต้อง out

4. คุณ out กับคนที่บ้านไหม
เวลาคุยโทรศัพท์ผมจะปลดปล่อยตัวเอง

5. คุณอยากมีลูกไหม
เป้นสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดพอๆ กับทักษิณกลับมาเป็นนายก

6. คุณมีเพื่อนเกย์หรือเพื่อน straight มากกว่ากัน
ผมเป็นคนดวง "กะเทยอุปถัมภ์"

7. คุณ out ตอนยังเรียนอยู่หรือเปล่า
ตอนนั้นไม่ค่อยได้พูดกับใคร อยู่กับ discman มากกว่า

8. เพื่อนสนิทที่สุดของคุณเป็นเกย์เหมือนกันหรือเปล่า
ไม่มี "เพื่อนสนิทที่สุด" รู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น

9. ถ้าใช่ คุณเคยมีเซ็กซ์กับเขาไหม
sex is the quickest way to ruin a friendship

10. คุณอยากเดทกับผู้ชายตัวสูงกว่าหรือเตี้ยกว่า
ไม่ชอบเดินกับคนสูงกว่า สมัย ม.4 เคยจีบผู้หญิงสูง 175 รู้สึกแย่มากๆ / ผู้ชายที่เข้ามาหามักจะเตี้ยกว่า

11. เคยใช้เซ็กซ์ทอยหรือเปล่า
บทวิจารณ์เรื่อง Vibrator เป็นเรื่องแรกที่ในลงนิตยสาร

12. เคยมีเซ็กซ์กับคนสองคนพร้อมกันไหม
ยังไม่ถึงขั้นนั้น เคยแต่คบคนสองคนพร้อมกัน

13. เคยแต่งหญิงหรือเปล่า
เคย ตอนเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ต้องทำพรีเซนเทชั่นเป็นโฆษณาล้อโออิชิ ชุด "หลอดดูด" ต้องรับบทเป็นนักเรียนญี่ปุ่น (!?) ต้องใส่กระโปรงด้วย และวันนั้นไปถ่ายโฆษณากันที่สวนลุมพินี ซึ่งสร้างความแตกตื่นให้กับลูกเล็กเด็กแดงแถวนั้นเป็นอันมาก

14. คุณจะเดทกับ drag queen ไหม
อยาก drag the queen

15. คุณเป็น top หรือ bottom หรือทั้งสองอย่าง
มักสอบได้คะแนน TOP ห้อง ในวิชานอกคณะ จนถูกเด็กคณะอื่นรังเกียจ

16. เคยมีเซ็กซ์กับคนต่างชาติไหม
เคยตามหน้านิตยสาร และหน้าจอคอมพิวเตอร์

17. คุณมีซีดีเพลงของ cher กี่แผ่น
ไม่มีเลย แต่ชอบเพลง Believe มากๆ

18. บอกชื่อของรักแรกคุณมา
"ขอไวท์บอร์ดครับ"

19. ยังคุยกับเขาอยู่หรือเปล่า
ไม่ได้คุยกันมา 4 ปีแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ

20. ‘ขนาด’ สำคัญหรือไม่
มีน้อย ใช้น้อย ค่อยบรรจง

21. อะไรที่ turn on คุณมากสุด
"ขาว" เท่านั้นที่ครองโลก

22. อะไรที่ turn off คุณมากสุด
เสียงของพี่แบงค์ วง clash และ ลิเดีย

23. เคยถูกคุกคาม/ทำร้ายเพราะความเป็นเกย์หรือเปล่า
ถูกเกย์จีบใน MSN บ่อยมากๆๆๆๆ / เคยถูกเพื่อนผู้ชายซบไหล่ในแท็กซี่ เพื่อนมาบอกทีหลังว่า "ตอนนั้น แกตัวแข็งทื่อเหมือนผีดิบเลย ฮ่าๆๆๆ" เลยมานั่งคิดทีหลังว่าสมัย ม.6 ที่ซบไหล่แฟนในแท็กซี่ เค้าจะรู้สึกแบบเดียวกับเราหรือเปล่า

24. อะไรคือบุคลิกที่เก๊เกย์ที่สุดของคุณ
ปากจัด เม้าท์แตก ชอบด่าผู้หญิง และอวัจนภาษาลีลายิมนาสติก

25. คุณเคยไปร่วมงานพาเหรดของเกย์ไหม
ที่มหาลัยก็มีแล้ว ไม่ต้องไปไหนไกล โดยเฉพาะแถวคณะบัญชี

26. คุณจะแต่งงานไหม ถ้าแต่งได้
มันคงเป็นฝันร้ายของอีกฝ่าย คิดว่าก่อนจะแต่งงานได้ต้องซ่อมปั๊มน้ำและทำไข่เจียวให้เป็นก่อน

27. คุณอยากรวยและฉลาดหรือหนุ่มและหล่อ
รวยและฉลาด เพราะทุกวันนี้ไม่หล่ออยู่แล้ว และก็แก่ขึ้นเรื่อยๆ

28. คุณกันคิ้วหรือเปล่า
ไม่เคย แต่อยาก "กันและกัน" (ฮิ้ว)

29. คุณตัด/โกนขนตามร่างกายไหม
มักถูก "ตัดความสัมพันธ์" น่ะ

30. เคยมีเซ็กซ์กับคนมากกว่าหนึ่งคนในวันเดียวกันไหม
มีเซ็กส์กับคนๆ เดียวมากกว่าหนึ่งวันน่าจะง่ายกว่า

31. เคยมีเซ็กซ์หมู่หรือเปล่า
มันคือความฝันในส่วนลึกของคนทุกคน

32. คุณเคยเดทกับอดีตแฟนของเพื่อนสนิทหรือเปล่า
เคยเดทแต่กับเพื่อนสนิทของอดีตแฟน เพราะต้องการแก้แค้นแฟนเก่า แต่ไม่สำเร็จ

33. คุณจะโหวตให้ ฮิลลารี่ คลินตัน ไหม ถ้าเธอลงสมัครเป็นประธานาธิบดี
รู้แต่ว่าจะเลือก จอห์น แคร์รี่ ในปี 2004 เพราะเขาจะให้เกย์แต่งงานกันได้ และที่สำคัญคือจะถอนกำลังสหรัฐออกจากอิรัก

34. คุณต้องการความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวหรือเปล่า
เคยเชื่อว่า Polygami is cultural แต่แอบหวังจะเจอใครสักคนที่ทำให้เรากลับไปเชื่อแนวคิด Monogami อีกครั้ง (พิมพ์แล้วเขินจัง)

35. คุณเชื่อในรักแท้มั้ย
รักแท้ดูแลไม่ได้ เอ๊ย ไม่ใช่... เชื่อ แค่คิดว่ามันไม่มีอยู่จริง และถ้ามันมีจริง มันคงน่ากลัวมากๆ

36. คุณมีรอยสักมั้ย
มีแต่รอยแผลในใจ ("นี่หรือคือการตอบแทน...ของคนที่รักและไว้ใจ")

37. คุณเจาะหูหรือเปล่า
ไม่เคย แต่อยากเจาะไข่แดง

38. คุณจะคบหากับคนที่ชอบสูบบุหรี่ไหม
เกลียดบุหรี่มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ไม่เชื่อแล้วว่าการสูบบุหรี่ทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อม เพราะเพื่อนที่สูบบุหรี่ทุกคน หน้าตาดี และได้เมียสวย

39. คุณตรวจเลือดทุกๆ 6 เดือนหรือเปล่า
ทำแต่ขูดหินปูน ไม่กล้าตรวจกลัวเป็นโรค "เลือดจาง" (เลือดดีจาง เลือดชั่วเข้ม)

40. คุณรู้จักใครที่ตายเพราะโรคเอดส์ไหม
Derek Jarman (ผู้กำกับอาร์ตแตก ชาวอังกฤษ และเป็นเกย์)

41. คุณรู้จัก Stonewall หรือเปล่า
มันคืออะไรง่ะ รู้จักแต่สโตนเฮดจ์

42. สถานที่ที่แปลกที่สุดที่คุณเคยตื่นขึ้นมา
ซอยลาดพร้าว 100 กว่าๆ (นั่งหลับเลยป้ายนั่นเอง)

43. สถานที่ที่แปลกที่สุดที่คุณเคยมีเซ็กซ์
หอไอเฟล (เป็นบทหนังที่คิดเล่นๆ ตอนฟังอาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง)

44. ช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณกำลังจะมาถึงหรือผ่านไปแล้ว
น่าจะกำลังจะมาถึง เพราะนับถอยพลังวันทำลายพรหมจรรย์ตัวเองอยู่

45. หนังโป๊เรื่องโปรด?
จำชื่อเรื่องไม่ได้แต่ที่มันแถมฟรีเวลาซื้อหลายๆ แผ่นในเวบ boomvcd.com (ปิดไปแล้ว) หรือเรื่องอะไรก็ได้ที่มีฉาก "ราดหน้า"

46. คุณรักใครอยู่ในขณะนี้หรือเปล่า
ครั้งสุดท้ายที่รู้จักคำว่า รัก คือตอนอายุ 17 ส่วนหลังจากนั้นคำว่ารักล้วนเป็นอะไรที่ artificial / อยากรักตัวเองในทางที่ถูกมากกว่านี้ / รักพ่อแม่ หมา และเพื่อนๆ (ไหงเพื่อนอยู่หลังหมาวะ)

47. คุณเคยหลงรักผู้ชายแท้ๆ หรือผู้หญิงบ้างไหม
เป็นประจำ และตลอดเวลา

48. ถ้าเคย คุณมีเซ็กซ์กับเขาหรือเปล่า
เวลาเรียนผมจะไปนั่งข้างหลังเขา แล้วมีเซ็กส์ทางเทเลพาธี เขาจะได้ไม่เสียการเรียน

49. คุณเคยไปหาดนู้ดไหม
เคยเห็นแต่ในช่องเคเบิ้ลทีวี

50. คุณเคยคบหากับใครเพื่อเงิน หรือความมั่นคง แทนความรัก หรือมิตรภาพบ้างไหม
เคยมีแต่กลับกัน และค้นพบว่าการเลี้ยงคนด้วยเงินเป็นหนึ่งในความคิดที่โง่ที่สุดของมนุษยชาติ


โดย: merveillesxx IP: 203.209.110.24 วันที่: 27 กันยายน 2549 เวลา:0:49:50 น.  

 

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
กรี๊ดดดดดดดด
กรี๊ดดด

DVD หนังเรื่อง Hell (2005, Danis Tanovic, A+++++) ออกแล้วจ้า (ออกร้านพี่คนนั้นนะ ส่วนแผ่นไทยมันหายเงียบไปเลย คงไม่มีออกมาแล้ว ฮือๆๆ)




สัปดาห์นี้ยังมี

-- หนังญี่ปุ่นเรื่อง Scrap Heaven (2005, Lee Sang-Il) นำแสดงโดยสุดหล่อ Joe Odagiri และเกือบสวย Chiaki Kuriyama (Lee Sang-Il เคยกำกับ 69 เรื่องที่โพสต์รูปไว้ข้างบนนั่นแหละจ้ะ)

-- คอลเลคชั่นหนังของ Stanley Kwan (ซึ่งเป็นเกย์) อยากได้เรื่อง Centre Stage (1992) มากๆ เพราะเรื่องนี้ จางมั่นอวี้ ได้ best actress จากเบอร์ลินด้วย


โดย: merveillesxx IP: 203.209.110.24 วันที่: 27 กันยายน 2549 เวลา:1:07:45 น.  

 

กรี๊ดดดด อีกที คืนนี้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันแล้ว

รายชื่อหนังใน 4th World Film Festival น่าดูมากๆ

ดูได้ที่บล็อกของคุณ visuallyyours

//visuallyyours.exteen.com/20060925/entry


อันนี้คือหนังเรื่อง I don't want to sleep alone ของไฉ้หมิงเลี่ยง (จิ๊กรูปมาจากบล็อกนั้นแหละ)







โดย: merveillesxx IP: 203.209.110.24 วันที่: 27 กันยายน 2549 เวลา:2:21:38 น.  

 
อยากดู 69 Sixtynine เช่นกันครับ
ตอนแรกเห็นชื่อเรื่อง แล้วเอ่อ...มีพระเอก 2 คน
นึกว่ามันมาแนวโม๊กแพร่บ เอ๊ย! โบร๊กแบ๊ค
ที่ไหนได้...

ช่วยไชโยกับ DVD เรื่อง Hell

นอนล่ะจะสว่างแล้ววว


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 27 กันยายน 2549 เวลา:4:05:48 น.  

 
จ๊าก!! ต่อ...ขอโทษนะ ลืมวันเกิดต่อไปเลยอ้ะ

Happy Birthday ย้อนหลังหลายวันเลย ขอให้มีความสุขมากๆนะ เเล้วค่อยคุยกัน อย่า-เพิ่ง-งอน-นะ


โดย: VeRA IP: 210.246.160.4 วันที่: 27 กันยายน 2549 เวลา:8:46:39 น.  

 
ขอเข้ามาขำเรื่องคห. เกี่ยวกับค่ายเพลงย่านลาดพร้าวด้วยคน เหอๆ ถูกใจจริงๆ เลย เพราะรู้สึกว่า นับวัน ค่ายนี้ก็จะมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ให้เห็นกันเต็มไปหมด เช่น วงแบล็ค วานิลลา เจ้าของเพลงฮิต(?)อย่าง "จีบฉันที" ทั้งอัลบั้ม มีอยู่แค่ 5 เพลง !!!

ตอนแรกก็งงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ไปๆ มาๆ ก็ถึงบางอ้อว่า มันเป็นเพราะ "นโยบายลดต้นทุนการผลิต" นั่นเอง ...โดยนับจากนี้ อาร์เอสจะผลิตงานเพลงที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ep (extended play) ออกมาวางจำหน่ายแทนอัลบั้มเต็ม !!! (ส่วนอัลบั้มเต็มที่มีประมาณ 10 - 12 เพลง จะมีไว้เฉพาะพวกอัลบั้มพิเศษๆ และศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ เท่านั้น)

อืม....

ส่วนเจ๊ไซบอร์ก ว่าไปก็ขำดีนะ ดูกี่เรื่องๆ เจ๊แกก็พูดยังกะท่องอาขยานอยู่เหมือนเดิม
แถมสีหน้าก็ช่างไร้อารมณ์สุดๆ ราวกับมาดอนน่าที่ฉีดโบทอกซ์มากเกินไป จนไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าได้ ยังไงอย่างงั้นเลย เหอๆ


ป.ล. ชอบเพลงของ gym เหมือนกันครับ จนตอนนี้คนรอบข้างเริ่มแปลกใจว่า อีนี่เปลี่ยนรสนิยมการฟังเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?

ก็แหม ใจคอจะให้หนูฟังแต่ symphony no.5 in c minor ของ beethoven ทั้งปีทั้งชาติหรือไงคะ คนเราก็ต้องเปลี่ยนกันบ้างเนอะ โฮะๆๆๆๆ (เอ๊ะ อะไรกัน?)


โดย: it ซียู IP: 202.57.156.249 วันที่: 27 กันยายน 2549 เวลา:9:46:48 น.  

 
อ้าว เพิ่งรู้ว่าเกิด
happy birthday ด้วยนะครับ ขอให้มีความสุขมากๆ
ดูหนังอย่างพอเพียง ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายบ่อยๆ


โดย: visuallyyours IP: 58.8.105.6 วันที่: 27 กันยายน 2549 เวลา:9:52:07 น.  

 
ป.ล. 2 เกือบลืม
ไม่รู้เป็นไง เวลาฟังเพลง "จีบฉันที" ของ black vanilla ทีไร ชอบฟังท่อน "ช่วยมาจีบ มาจีบฉันที" เป็น
"เธอ..ช่วยมาถีบ มาถีบชั้นที มาถีบ มาถีบชั้นที...ชะเง้อรอนานแล้วว" ตลอดเลย เหอๆ

ไม่รู้ตัวเองหูเพี้ยน วิทยุพัง หรือจิตสำนึกพาไปกันแน่? เหอๆ


โดย: it ซียู IP: 202.57.156.249 วันที่: 27 กันยายน 2549 เวลา:9:58:41 น.  

 
น้องต่อผู้น่าสงสาร เจอคำถามเกี่ยวกับเกย์เสียทุกอาทิตย์

โอ้ว....

ป.ล. คงไม่มีใครมาซับน้ำตาอีกนะ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 27 กันยายน 2549 เวลา:17:48:15 น.  

 

สุขสันติ์วันเกิดครับ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง มีเพื่อนฝูงที่พึ่งพากันได้ ถ้าเป็นเรื่องรัก ขอให้มีรักแบบประทับใจ ซู่ซ่าทั้งปี มีความสุขมากๆนะคร้าบ

ผมเข้ามาแอบอ่านหลายหนแล้ว อ่านเอาประเทืองข้อมูล เพราะขี้เกียจไปดูหนังคนเดียว กลุ่มเพื่อนไม่มีใครชอบดูหนังสักคนครับ

ขำครับ ขำทั้งคำถามและคำตอบ ในคำถาม 50 ข้อในเวบบอร์ด Screenout โอว์ ใครน๊อ ช่างสรรหาคำถาม โฮะโฮะ


โดย: yyswim วันที่: 28 กันยายน 2549 เวลา:8:23:10 น.  

 



ayumi hamasaki ARENA TOUR 2006 A ~(miss)understood~ DVD box set

เกิดอะไรขึ้นกับอายูมิของช้านนนน~~~


ไปดู Earthcore กับ 12 มาแล้ว ชอบมากๆ เดี๋ยวจะกลับมาเล่าให้ฟังนะ


โดย: merveillesxx IP: 203.209.110.240 วันที่: 29 กันยายน 2549 เวลา:0:08:24 น.  

 
อยากดู 12 จัง
นี่ใกล้สอบจริงเหรอเนี่ย มีเวลาดูอะไรๆเพียบเรยยยย

สุขสันต์วันเกิดย้อนหลัง หรือไม่ก็ล่วงหน้าเลยละกันจ้า


โดย: quin toki วันที่: 29 กันยายน 2549 เวลา:3:36:46 น.  

 


โดย: iy{r] ;kil6- IP: 203.113.17.134 วันที่: 29 กันยายน 2549 เวลา:9:46:56 น.  

 


สุขสันต์วันเกิดคะ


โดย: รักการ์ตูนทิงทัย วันที่: 30 กันยายน 2549 เวลา:0:42:56 น.  

 
จาก //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A4735665/A4735665.html

ความคิดเห็นที่ 4

ชอบบทบาทของทซึมาบูกิใน Spring Snow
มาก
บทคุณหนูผู้ชาย เอาแต่ใจตัวเอง หยิ่งทะนง
และหลงตัวเอง
บทแบบนี้มีแต่เขาเท่านั้นที่เล่นได้ดี

Slow Dance ที่เพิ่งผ่านพ้นไปทางไอทีวี
เขาก็เล่นดีนะ

จากคุณ : grappa - [ 24 ก.ย. 49 07:18:02 ]






ความคิดเห็นที่ 5

จากที่ดูแล้ว ทั้งสามเรื่อง Jozee เป็นเรื่องโปรดของเราเลยค่ะ ชอบที่ Jozee เข้มแข็งมาก จนเหมือนจะมากกว่าพระเอก ที่เป็นคนดีหรือคนใจอ่อนกันแน่ ประทับใจหลายๆฉาก อยากมีคนไปดูเสือด้วยจัง อิอิ
ขอบคุณที่เอามาให้อ่านนะคะ

จากคุณ : ทำไมต้องล็อกอิน - [ 24 ก.ย. 49 11:45:47 ]






ความคิดเห็นที่ 6

สองเรื่องนี้ ซื้อมาดูพร้อมกันเลยค่ะ ชอบ Jozee มากว่า สำหรับเข้าใจง่ายกว่าน่ะค่ะ

ทั้งสองเรื่องเป็นหนังที่ดูแล้วไม่บันเทิงเท่าไรเลยนะคะ สงสัยจะดูหนังแบบนี้ไม่ค่อยเป็น ดีที่ได้อ่านรีวิวของจขกท.ในไบโอฯ หลังดู ค่อยรู้เรื่องมากหน่อย

จากคุณ : omi-jang - [ 24 ก.ย. 49 13:58:39 ]






ความคิดเห็นที่ 7

เคยดู A Day on the Planet อ่ะค่ะ
ก้อมาเข้าใจมากขึ้นหลังจากอ่านในไบโอฯ ค่ะ


จากคุณ : renton_renton - [ 24 ก.ย. 49 18:59:38 ]






ความคิดเห็นที่ 8

>>อยากมีคนไปดูเสือด้วยจัง อิอิ<<

อยากมีเหมือนกันจ้ะ ฮ่าๆๆๆ

แต่ชอบฉากพาไปดูปลา มากกว่าดูเสือนะ ฉากที่ทะเลนี่สุดยอดมากๆ พอหนังจบแล้วกลับมาดูใหม่ เศร้ามากมาย

จากคุณ : merveillesxx - [ 24 ก.ย. 49 21:45:38 ]






ความคิดเห็นที่ 9

ชอบ Josee, the Tiger and the Fish โดยเฉพาะที่พระเอกร้องไห้ตอนท้ายเรื่อง

จากคุณ : เจ้าหญิงแห่งดาวรักขม - [ 24 ก.ย. 49 23:14:10 ]


โดย: merveillesxx IP: 203.209.101.113 วันที่: 30 กันยายน 2549 เวลา:15:18:39 น.  

 
โปสเตอร์หนังเรื่องนี้ของไฉ้หมิงเลี่ยงทำเอาตะลึงตึงตึงอยากดูขึ้นมาทันควัน..
69 ก็อีก....

(สาบานได้ว่าไม่ได้อยากดูเพราะชื่อเรื่องหรือใบปิดหน้าหนังจริงจริ๊งงงงงง)

ดู Haru no yuki (Spring Snow) จบด้วยความงุนงง แน่นอนงงเพราะไม่รู้เรื่อง (ญี่ปุ่นล้วนไม่มีซับ)ก็เป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนอื่นๆที่ทำให้ไม่รู้ก็ยังมีอีกมาก กลับไปบ้านหาดูข้อมูลถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายของ Mishima Yukio

มิน่าถึงไม่รู้เรื่องง่ะ

แต่ซาโตชิแสดงเรื่องนี้ได้ดีจริงๆนะคะ ถ้าคนธรรมดาอย่างเราๆอ่านบทแล้วเราคงไม่คิดจะเลือกซาโตชิมาแสดงหรอก ติดแต่ภาพหนุ่มปกติๆ แต่เมื่อได้รับเลือก ซาโตชิก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก

แต่ยังไง...ก็ยังขอรักซาโตชิแบบพื้นๆธรรมดาๆใน Orange Days มากที่สุดค่ะ

อ้อ...จู่ๆก็คิดถึงคุณพี่โอดางิริ โจ ขึ้นมา ทราบว่าคุณเจ้าของบล๊อคแอบชื่นชอบคุณพี่แกในทางไม่บริสุทธิ์ใจ อิอิ
ไม่ทราบว่าเคยดู cmญี่ปุ่นของพี่โจแกหรือยังคะ?
ตลก รั่ว น่าดู
ยังเป็นเรื่องลึกลับสำหรับเรามาจนถึงทุกวันนี้ว่าทำไมคนหล่อๆอย่างพี่โจถึงชอบทำอะไรรั่วๆและติสต์แตก

ป.ล. ไม่ทราบจะติดต่อกับคุณแมดฯอย่างไร ขอแอบทิ้งข้อความไว้ที่นี่นะคะ
ชื่นชอบคุณแมดฯมากๆมาตั้งแต่คุณแมดฯโพสต์อภิมหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์นอกกระแสในเฉลิมไทย อ่านหมดมั่งไม่หมดมั่งแล้วแต่เนื้อที่สมองในตอนนั้นจะเอื้ออำนวย

แต่...วันนี้อยากจะขอเสียมารยาทกับคุณแมดฯนิดนึง คือว่า...คุณแมดฯเป็นบอทหรือเปล่าคะ?
พิศวงในความสามารถของสมองในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์ เพลง หนังสือ ข่าวกอซซิปคนดัง เบื้องหลังและที่มาของงานศิลปะ ฯลฯ ของคุณแมดฯมาก ไม่เท่านั้น...คุณแมดฯยังสามารถสละเวลามาพิมพ์ข้อมูลจำนวนมากขนาดนั้นมาเล่าให้ชุมชนในอินเตอร์เนตฟัง

คุณแมดฯสุดยอดมากค่ะ


โดย: RUBIS IP: 124.120.226.75 วันที่: 1 ตุลาคม 2549 เวลา:2:21:31 น.  

 
มาอวยพรวันเกิดด้วยเพลง Disco , soul-funk , 80's pop เพราะๆเก๋ๆ(ในสมัยนั้น)ที่ไปโพสต์ไว้ในบล๊อกคุณ แมดเดอลีนนะครับฯ หวังว่าคงจะชอบเพราะเห็นMerฟัง Madonna ด้วย



---------------------
เชิญชวนคุณแมดเดอลีนรำลึกถึงเพลงเต้นรำเพราะๆเก๋ๆ(ในสมัยนั้น)มาแบ่งปันกันฟังครับ



VA. - Set Adrift On Memory Bliss By DJ Screwball


1.Midnight Star - Midas Touch

//www.youtube.com/watch?v=Vjai6gU5RcI

2.Shalamar - Night to Remember

//www.youtube.com/watch?v=pVAm_obRPQ8

ในYoutubeยังมีมิวสิควีดีโออีกหลายๆเพลงของ Shalamarด้วยครับ

3. Michael Jackson - Rock With You

//www.youtube.com/watch?v=WZl-8TZxAL0

ประกาศ!
Michael Jackson คนที่เห็นในปัจจุบันนี้เป็นตัวปลอมนะครับ ตัวจริงถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปเมื่อเกือบ 20 ปีแล้ว หลักฐานฟังได้จากเพลงในยุคแรกเพลงนี้ที่เท่มากๆ

โปรดอ่านอีกครั้ง !

4.Chic - Le Freak

//www.youtube.com/watch?v=Putity0ZMl8

เอาชื่อเพลงมาใช้แล้วไม่มีเพลงนี้ก็กระไรอยู่
5. PM Dawn - Set Adrift On Memory Bliss

//www.youtube.com/watch?v=x2p9-eC-QWk

6.Shannon - Let The Music Play

//www.youtube.com/watch?v=h4OmsXzuzm0

7. C+C Music Factory - Gonna Make You Sweat

//www.youtube.com/watch?v=EMmWa8D6U6U

จริงๆอยากได้เพลง Share That Beat Of Love เพราะมันเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้ดี แต่ลองหาแล้วไม่มี

8. The Whispers "Its A Love Thing"

//www.youtube.com/watch?v=ToCHhVBmIgQ

9. A Taste Of Honey - Boogie Oogie Oogie

//www.youtube.com/watch?v=y_BnJM_apS8

10. Mary Jane Girls - All Night Long

//www.youtube.com/watch?v=6wZZo2L_X0w

11. Freeez - Southern Freeez

//www.youtube.com/watch?v=Yh0hGoESFcE

ไม่มีเจ้าแม่เพลงDiscoคนโปรดได้ไง
12. Donna Summer - This Time I Know It's For Real

//www.youtube.com/watch?v=0_1HcCtteKE

มีDonnaก็ต้องมีAretha
15.Aretha Franklin - Daydreaming

//www.youtube.com/watch?v=lqg6ujcHQis

14. Esther Phillips - Just Say Goodbye
ขอเพลง Northern Soul แบบ Original ซักเพลง หวังว่าคุณแมดเดอลีนคงจจะชอบนะครับ

//www.youtube.com/watch?v=lbpjxGSy8hI

16.Saint Etienne - Nothing Can Stop

//www.youtube.com/watch?v=sK3iuDP-SSU

17.Indeep - Last Night A DJ Saved My Life
เพลงนี้มอบให้กับตัวเองครับ อิอิ

//www.youtube.com/watch?v=JATuXQI65PQ

18. Jocelyn Brown - Somebody's Else Guy

//www.youtube.com/watch?v=yDrxwpqEk58

19. Candi Staton - Young Hearts Run Free

//www.youtube.com/watch?v=T0pRFWLBnEQ

20. Cher - Song For The Lonely

//www.youtube.com/watch?v=DTONPVd8a8U

21. Kool and the Gang - Get down on it

//www.youtube.com/watch?v=LbnVOiqaXwU

22. Cheryl Lynn - Got To Be Real
ต้นฉบับวง Groove Rider

//www.youtube.com/watch?v=EoXvDleWJ5U

23. The Real Thing - You To Me Are Everything

//www.youtube.com/watch?v=28FbmfUlupQ

24. The Blow Monkeys - Digging Your Seen

//www.youtube.com/watch?v=e8x7ip9-emE

25. Prefab Sprout - Cars and girls

//www.youtube.com/watch?v=PJMLB3GaUs0

26. Lotus Eaters - The First Picture Of You

//www.youtube.com/watch?v=52wuwbJGC_c

27. Nick Heyward - Warning Sign

//www.youtube.com/watch?v=MPjygaNRYwA

28. Marvin Gaye - What's going on

//www.youtube.com/watch?v=UJ35qNXmRJE


29. Barry White - can't get enough of your love

//www.youtube.com/watch?v=-uxtqDl9tHU



30. SADE - No Ordinary Love
//www.youtube.com/watch?
v=YcAyGCQ6ihQ

31. Sweetback - Lover
เพลงนี้เพราะมากๆๆ
//www.youtube.com/watch?v=-p5k6vehUd8

จบด้วยเพลงเพราะขาดใจสุดๆเพลงนี้
32. Earth, Wind & Fire - After The Love Has Gone
ใครจะว่าเพลงนี้เชยเราไม่สน เพราะว่ามันเพราะขาดใจขนาดนี้

//www.youtube.com/watch?v=J_INhbh9UCg

จริงๆอยากจบด้วยเพลง what kind of fool are you ของ Swing Out Sisters ที่เพราะขาดใจมากๆอีกเพลง แต่หาไม่เจอ




โดย: เก้าอี้มีพนัก(วัยรุ่นเกิดนาน) IP: 124.120.3.202 วันที่: 1 ตุลาคม 2549 เวลา:18:48:54 น.  

 
ตกลงคุณเมอร์ฯ ได้ดู 12 ยังครับ
ผมดูแล้วล่ะนะ


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 1 ตุลาคม 2549 เวลา:19:30:54 น.  

 
ต่อโว้ย

สรุปส่งเรื่องไหนไป แล้วส่งทันหรือเปล่า ลุ้น ๆ

ป.ล. ไปดู The Devil wears Prada มาแล้ว สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 1 ตุลาคม 2549 เวลา:23:05:39 น.  

 
เรียนเชิญ แมร์ และเพื่อนๆไปดูตารางเวิล์ดฟิล์มได้แล้วนะครับ ฝากกระจายข่าวด้วยเน่อ
มีหนังโปรแกรมไทยอินดี้ด้วยครับ เรียนเชิญๆ

//visuallyyours.exteen.com/


โดย: visuallyyours IP: 58.8.106.142 วันที่: 1 ตุลาคม 2549 เวลา:23:13:11 น.  

 
เป็นแฟนบล็อกน้องเมอร์มานาน
ตอนนี้กำลังหัดเขียนบทหนังอยู่ในโครงการไบโอฯ
ทำค้างมาเป็นแรมเดือน หาความคืบหน้าไม่ได้
กลุ้มจาย กลุ้มจายยยย...
อยากขอไอเดีย คนที่เขียนไหลๆแบบน้องเมอร์จัง
มีเคล็ดลับอะไรบ้างม่ะ
เมื่องานมันเร่ง ชีวิตมันรีบ แต่ขมองเจ้ากรรมดันตีบตัน

ปล.เฝ้ารอคำตอบนะ


โดย: Evil=Live IP: 221.128.100.14 วันที่: 1 ตุลาคม 2549 เวลา:23:13:26 น.  

 
ขออนุญาตน้อง merveillesxx ตอบคุณ RUBIS นะคะ

ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำชม ติดต่อดิฉันได้ที่ //celinejulie.blogspot.com
ค่ะ

ดิฉันเป็นมนุษย์ (เสียสติ) ค่ะ ไม่ได้เป็น "บอท" ตอนแรกก็งงว่า “บอท” แปลว่าอะไร ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่พอลอง SEARCH ดู ถึงพบคำนี้

A bot is common parlance on the Internet for a software program that is a software agent. A bot interacts with other network services intended for people as if it were a person. One typical use of bots is to gather information. The term is derived from the word "robot," reflecting the autonomous character in the "virtual robot"-ness of the concept.

ตอนแรกนึกว่าจะถามว่าดิฉันเป็น BOTTOM หรือเปล่า ฮ่าๆๆ ถ้าถามอย่างนั้นก็ขอตอบว่าใช่ค่ะ

สมัยก่อนสามารถโพสท์ข้อมูลได้เยอะๆ แต่หลังจากนี้คงจะโพสท์ได้น้อยลงเรื่อยๆค่ะ เพราะสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่


ตอบน้อง merveillesxx

--ช่วงนี้นึกถึงคำว่า “หุ่นยนต์บ้านไร่” ทีไร ก็หัวเราะทีนั้น เพราะถ้าหากมีละครทีวีเรื่องนี้จริงๆ มันคงจะฮามากๆ นึกภาพนางเอกเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ไปเดินกลางทุ่งนา มันคงเป็นอะไรที่ขัดแย้งกันดี

--ดีใจมากจ้ะที่อยากดู CELINE JULIE GO BOATING ของ JACQUES RIVETTE หนังที่ดิฉันอยากดูมากที่สุดเรื่องนึงในชีวิตก็คือ OUT 1: NOLI ME TANGERE (1971, JACQUES RIVETTE) ค่ะ หนังเรื่องนี้มีความยาวเพียงแค่ 773 นาที หรือ 12 ชั่วโมง 53 นาที และได้รับการบูรณะใหม่เพื่อตระเวนไปฉายตามเมืองใหญ่ๆทั่วโลกในช่วงนี้ เพื่อนดิฉันที่เยอรมนีกับอังกฤษได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว เขาบอกว่าสุดยอดมากๆๆๆๆๆๆๆ และหนังเรื่องนี้กำลังจะไปฉายที่นิวยอร์คในราวเดือนพ.ย.นี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีสิทธิได้ผลิตเป็นดีวีดีออกมาหรือไม่

OUT 1: NOLI ME TANGERE มีเนื้อหาเกี่ยวกับคณะนักแสดงละครเวทีและแผนการลึกลับ โดยผู้ชมใน IMDB.COM บอกว่า ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะมีความยาว 12 ชั่วโมงกว่า มันก็ไม่ช่วยให้คุณเข้าใจได้อยู่ดีว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้เป็นใครและพวกเขากำลังทำอะไรกันในเรื่อง

หนังเรื่องนี้มีเวอร์ชันสั้นด้วย ชื่อว่า OUT 1: SPECTRE (1972) ซึ่งมีความยาวเพียงแค่ 225 นาที หรือ 3 ชั่วโมง 45 นาที
//www.imdb.com/title/tt0066192/

RIVETTE ชอบทำหนังหลายเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้หญิงที่เผชิญปริศนาลับในกรุงปารีส อย่างเช่น

1.CELINE AND JULIE GO BOATING

2.LE PONT DU NORD (1981)
เคยดูหนังเรื่องนี้แบบไม่มีซับไตเติล รู้สึกว่าฮามาก ถ้าจำไม่ผิด จะมีฉากหญิงสาวคนนึงสู้กับเครื่องเล่นในสวนสนุกด้วย

3.GANG OF FOUR (1988, A+)
หนังเรื่องนี้มีขายแล้วที่ร้านแว่น

4.UP, DOWN, FRAGILE (1995, A++++++++++)

นอกจากนี้ CELINE AND JULIE GO BOATING ยังมีอิทธิพลต่อหนังอีกมากมายหลายเรื่อง อย่างเช่น

1.SERAIL (1976, EDUARDO DE GREGORIO)

This film is about a novelist who's out looking at real estate and finds a huge, decaying old mansion in the woods. A somewhat-demented girl named Arianne gives him a tour of the place, but halfway through she runs away and hides from him. He decides that the situation has potential for a novel, so he goes back to the house. This time there's a maid, and a different girl named Agathe, who says no one named Arianne lives there. So, she shows him the house, and some things in it have changed.


2.DESPERATELY SEEKING SUSAN (1985, SUSAN SEIDELMAN)
ฉากเปิดของเรื่องนี้เหมือน CELINE AND JULIE GO BOATING มาก


3.SINGLE WHITE FEMALE (1992, BARBET SCHROEDER, A)
ผู้กำกับหนังเรื่องนี้เคยแสดงเป็นผีใน CELINE AND JULIE GO BOATING


4.DANS PARIS (2006, CHRISTOPHE HONORE)

ส่วนหนังที่มักได้รับการเปรียบเทียบกับ CELINE AND JULIE GO BOATING ก็คือ MULHOLLAND DRIVE


โดย: M.Scudery Worships Volker Eichelmann & Roland Rust IP: 61.7.157.52 วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:7:23:10 น.  

 
Hey !!! เราชอบ Josee , the Tiger and the fish มากเลย ไม่นึกว่าคุณต่อจะเขียนถึง ว่าแต่ช่วงนี้ ท่าทางจะอินเลิฟหนังญี่ปุ่น...แต่หนังญี่ปุ่นมักพูดถึงการดำเนินชีวิต ชอบเหมือนกัน ราบเรียบ เหงา แต่ก็มีจุดหมาย เหมือน Josee เรื่องนี้แหละ

โดย: christmas IP: 58.8.117.154 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:47:53 น.  

 
เพิ่งดูหนังเรื่องนี้จบ
คุณเขียนได้ดีีจริง ๆ ค่ะ
เราเข้าใจเสือนะ แต่เราไม่เข้าใจปลา
หลังจากดูแล้วแล้วมาอ่านบล็อคของคุณทำให้เราเข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ
เข้าใจยันฉากสุดท้าย
ที่ตอนดูจบเราก็ไม่ได้คิดว่าเค้าจะสื่ออะไร
แต่คุณอธิบายมันได้ละเอียดมาก


โดย: หนูลีลี วันที่: 1 กรกฎาคม 2555 เวลา:14:32:27 น.  

 
kidney stone herbal [url= https://forums.dieviete.lv/profils/127605/forum/ ] https://forums.dieviete.lv/profils/127605/forum/ [/url] impotence herbal remedies


โดย: BrandonLah IP: 51.210.176.129 วันที่: 3 เมษายน 2567 เวลา:13:29:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.