http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
6 กุมภาพันธ์ 2548
 
All Blogs
 
Wong Kar Wai’s Anthology – แด่...โลกของหว่องกาไว

โดย merveillesxx



“สำหรับผมแล้วหนังแต่ละเรื่องคือ postcard 1 ใบ ไม่ใช่หนังสือ 1 เล่ม”

คงมิต้องนิยามความให้เสียเวลาแล้วสำหรับผู้กำกับออเตอร์ (Autuer) ชาวฮ่องกงผู้นี้ (ความจริงหว่องเกิดที่เซี่ยงไฮ้แต่ต้องจากบ้านเกิดมาอยู่ที่ฮ่องกง) ว่าเขามีอิทธิพลต่อวงการหนังเอเชียและโลกถึงขนาดไหน (ล่าสุดเขาได้รับรางวัล Award of Recognition จากงาน Bangkok International Film Festival 2005 ในฐานะบุคคลผู้มีคุณปการต่อวงการภาพยนตร์เอเชีย)

“คำถามที่ผมเบื่อที่สุดก็คือ ‘หนังของคุณมันเกี่ยวกับอะไรหรือ’ ถ้าผมเล่าเรื่องได้ดีขนาดนั้น ผมจะมาทำหนังทำไมเล่า !!"

หนังของหว่องกาไวมีเสน่ห์ชวนฝันว่าด้วย “ความเหงา” “ความเปล่าเปลี่ยว” “ความทรงจำ” และ “การดำรงอยู่ด้วยความแปลกแยก” และเราจะพบว่าหนังของเขาทุกเรื่องของเขามีความเชื่อมโยงกัน (ดังที่เขาว่ามันเป็น postcard 1 ใบ) … ในความเหงานั้นมีอะไรที่ทำให้ผู้คนหลงใหลได้ขนาดนั้น?

คงปฏิเสธมิได้ว่ามนุษย์เรามีความเป็น “มาโซคิสต์” อยู่ในตัว (ดังเช่นเรื่อง Ichi The Killer บอกไว้ “People are inclined to either sadism or masochism but mostly they've got both in them”) กล่าวคือเราชอบดูหนังเศร้าซ้ำเติมตัวเราเอง ดูแล้วร้องไห้ ร้องไห้ด้วยน้ำตา ให้น้ำตาไหลรินออก เพื่อให้ความเศร้าจางหายไป … แต่หนังหว่องกาไวไม่ใช่หนังเศร้าฟูมฟาย หากเป็นหนังเหงาๆที่มีสิ่งแฝงเร้นซ่อนลึกอยู่ภายใน …

ความเหงาอาจจะเป็นด้านตรงข้ามของความรัก ความรักเป็นแรงบันดาลใจ เป็นพลังชีวิตของมวลมนุษย์ แต่ในมุมกลับแล้วความเหงานั้นสำหรับบางคนมันน่าหลงใหล น่ารื่นรมย์กว่าความรักมากนัก !! ความเหงาจึงเป็นแรงผลักดันของชีวิต ให้เรามีพลังที่ทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะการไขว่ค้า “ค้นหา” … ค้นหาความรัก

ดังนั้นความรักและความเหงาจึงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่คู่กัน มิใช่ภาคตรงข้าม…

เช่นเดียวกัน…เหตุการณ์และเรื่องราวในหนังของหว่องกาไวก็มิใช่ภาคตรงข้าม หากแต่เป็นเรื่องราวที่ดูจริงเป็นที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเหล่าตัวละคร (มนุษย์) ในภาพยนตร์ (โลก)

พวกเราจึงพร้อมใจกัน “ค้นหา” หนังของหว่องกาไว ด้วยแรงบันดาลใจแห่ง “ความเหงา” นั่นเอง …

แด่…หัวใจทุกดวงที่หงอยเหงาและเฝ้าคอย

"การที่รักแล้วต้องเจ็บปวด และบาดแผลจากความรักที่ไม่มียาใดรักษาได้ แม้แต่เวลาที่ว่ารักษาได้ทุกอย่าง หัวใจที่แตกสลายก็ยังเป็นข้อยกเว้น"

------------------------------

Wong Kar Wai’s Filmography
As Tears Go By (1988)
Days of Being Wild (1991)
Ashes of Time (1994)
Chungking Express (1994)
Fallen Angels (1995)
Happy Together (1997)
In the Mood for Love (2000)
2046 (2004)
Eros: The Hand (2004)
The Lady from Shanghai (2005) (announced)

------------------------------

หมายเหตุ
**อ่านเรื่องของหว่องกาไวและโลกของเขาได้ใน
- หนังสือ “เดียวดายอย่างโรแมนติก โลกของหว่องกาไว” (นิตยสาร Bioscope)
- จอมยุทธจับฉ่าย โดย นรา
- ลมตะวันออก โดย สิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์
- บทความเกี่ยวกับ หว่องกาไว ใน CINEMAG ฉบับพิเศษ Bangkok Film Destival 2001 - Rise of Asain Movies (หน้าปกนางเอกจากเรื่อง What time is it there?) หน้า 52-55 โดย อุทิศ เหมะมูล

**อ่านข่าวและดูรูปงานกินรีทองคำ ที่หว่องกาไวได้รับรางวัลได้ที่ //www.manager.co.th/entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9480000010148




ร่วมระลึกเสียงกระซิบของ ‘เขา’ และ ‘เธอ’ ผู้อยู่ในโลกของหว่องกาไว

Days of Being Wild (1991)

“ในชีวิตนี้ผมจะรักผู้หญิงอีกหลายคน ยังไม่ตายก็ไม่รู้หรอกว่าจะรักใครมากที่สุด”

“Sixteenth... April the sixteenth. At one minute before 3pm on April the sixteenth 1960, you're together with me. Because of you, I'll remember that one minute. From now on, we're friends for one minute. This a fact you can't deny. It's done.”

“I always thought one minute flies by. But sometimes it really lingers on. Once, a person pointed at his watch and said to me, that because of that minute, he'd always remember me. It was so charming listening to that. But now I look at my watch and tell myself that I have to forget this man starting this very minute.”

“I just want you to hate me. That way, at least you won't forget me”

“I didn't really think she'd call me. Passing that telephone booth every time, I would just hang around. It was possible that she had gone back to Macao. Naturally, she only wanted someone to talk with her for one night. Soon afterwards, my mother died and I went to the sea.”

“ผมเคยได้ยินเรื่องนกไร้ขา มันได้แต่บินและบิน เหนื่อยนักก็นอนในสายลม ในชีวิตจะลงดินก็เพียงครั้งเดียว เมื่อถึงวันตาย”

“ผมเคยคิดว่ามีนักชนิดหนึ่งที่ตั้งแต่เกิดมาก็ได้แต่บิน บินจนตาย ความจริงคือมันไม่เคยไปไหน มันตายแล้วตั้งแต่แรกแล้ว”




Ashes of Time (1994)

“I thought I was the winner, until one day I looked into the mirror and saw the face of a loser. I failed to have the person I loved most to be with me in my best years. How wonderful it would be if we could forget the past...”

“The harder you try to forget something, the more it will stick in your memory. Once I heard someone say that if you have to lose something, the best way to keep it is to keep it is to keep it in your memory.”




Chunking Express (1994)

“At the high point of our intimacy, we were just 0.01cm from each other. I knew nothing about her. Six hours later, she fell in love with another man.”

“A woman says 'Happy Birthday' to me on May 1, 1994. Because of this, I remember this woman. If memory could be canned, I hope this one will never expire. If an expiry date must be added onto it, let it be 10,000 years.”

“If my memory of her has an expiration date, let it be 10,000 years...”

“I go jogging. The body loses water when you jog, so you have none left for tears”

"ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีวันหมดอายุ ไม่เว้นแต่ความรัก แต่สำหรับความทรงจำ ผมไม่อยากให้มันมีวันนั้น
หากความทรงจำที่ผมมีต่อเธอต้องมีหมดอายุ ก็ขอให้มันเป็นหมื่นปี"




Fallen Angels (1995)

“การที่คนเรามีความทุกข์ก็เพราะมีความทรงจำดีเกินไป”

“The best thing about my profession is that there's no need to make any decision. Who's to die... when... where... it's all been planned by others. I'm a lazy person. I like people to arrange things for me. That's why I need a partner.”

“When I am about to leave, I ask him to take me home. I haven't ridden on a motorbike for a long time. Actually, I haven't been so close with a man for awhile. The road isn't that long, and I know that I'll be getting off soon, but I'm feeling such warmth this very moment.”

“They say that love can change a man. I start to find myself looking better and more charming, and suddenly I discover that I'm turning blonde.”

“I look at the tape over and over again...Watching dad cook again in the kitchen, I feel very happy. I'll never taste his steaks again, but I'll never forget the taste of those steaks.”

“ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนร้านค้า ที่เปิดประตูให้เธอเข้ามาโดยไม่รู้ว่าเธอจะนานแค่ไหน รู้แต่ว่ายิ่งนานก็ยิ่งดี”




Happy Together (1997)

“วงจรความรักของ Happy Together”
ถ้าเราแบ่งวงจรของ “ความรัก” ของเป็นช่วงๆ 7 ช่วง ดังนี้
แรกพบ > ใกล้ชิด > งอกงาม > “รักใคร่” > สุขงอม > อิ่มตัว > แยกทาง

จะเห็นว่า 3 ช่วงหลัง (สุขงอม > อิ่มตัว > แยกทาง) หนังถ่ายทอดให้เห็นผ่านคู่ของ ไหลเยิวฟา (เหลียงเฉาเหว่ย ) กับเหอเป่าหวัง (เลสลี่ จาง)

ส่วน 3 ช่วงแรก (แรกพบ > ใกล้ชิด > งอกงาม) หนังถ่ายทอดผ่านคู่ของ ไหลเยิวฟากับจาง (จางเจิ้น) นั่นเอง (นี่คงเป็นคำตอบว่า หลังจากถ่ายทำเสร็จรอบแรก หว่องกาไวพบว่าตัวหนังไม่สมบูรณ์ ตัวละครที่เป็นตัวเติมเต็มของหนังคือ “จาง” หว่องจึงเรียกจางเจิ้นมารับบทนี้ นั่นคือ การเติมวงจรความรัก 3 ช่วงแรกเข้าไปในหนังนั่นเอง)

จะเห็นได้ว่าหนังเล่าถึง “วงจร 3 ช่วงหลัง” ก่อน แล้วจึงเล่าถึง “วงจร 3 ช่วงแรก”

อย่างไรก็ตามทั้ง 2 วงจร ก็ไม่มีคู่ใดไปถึงช่วงที่ 4 คือ “รักใคร่” ได้เลย (ไหลเยิวฟากับเหอเป่าหวังเลิกกัน แม้จะมาร่วมกันใหม่ แต่ก็ต้องแยกจากกัน ส่วนไหลเยิวฟากับจางก็ไม่ไปถึงจุดนั้น ทั้งสองต้องแยกไปตามทางของตัวเองซะก่อน โดยไหลเยิวฟาไปที่น้ำตาอีกัวซู ส่วนจางไป ณ สุดขอบโลก)

จึงยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าชื่อหนัง Happy Together ช่างเป็นปฏิภาคกับตัวหนังเสียเหลือเกิน...

เห็นชื่อหนัง หรือได้ยินเพลง Happy Together ทีไร…ผมก็รู้สึกขมขื่นในใจ…

"Imagine me and you, I do
I think about you day and night, it's only right
To think about the girl you love and hold her tight
So happy together"


**แนวคิดจากหนังสือเดียวดายอย่างโรแมนติก โลกของหว่องกไว ตอน Happy Together-ระหว่างการเริ่มต้นและการกล่าวอำลา โดย มโนธรรม เทียมเทียบรัตน์

**โดยส่วนตัวแล้ว Happy Together เป็นหนังของหว่องกาไวที่ผมชอบมากที่สุด

--------------------------

“หากคนเราไม่ไขว่คว้าก็ไม่เจ็บปวด”

“การเริ่มต้นใหม่หมายถึงการมุ่งหน้าไปสู่การแยกกันอีกครั้ง”

“หูสำคัญกว่าตา เพราะคุณแกล้งทำเป็นไม่เห็นความเศร้าได้ แต่คุณโกหกเสียงจากหัวใจไม่ได้”




In The Mood For Love (2000)

“กาลเวลาเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน ผู้คนก็ย่อมแปรเปลี่ยนไป”

"คนสมัยก่อนเวลาเขามีความลับสำคัญที่ไม่อยากให้ใครรู้
พวกเขาจะขึ้นไปบนภูเขา หาต้นไม้สักต้น...เจาะรูบนต้นไม้
และกระซิบบอกความลับทั้งหมดของตัวเองลงไป
เสร็จแล้วก็เอาดินเหนียวอุดไว้
ความลับของเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้"

"That era has passed. Nothing that belonged to it exists anymore"
"เมื่อยุคสมัยนั้นได้ผ่านพ้น ไม่มีสิ่งใดในยุคนั้นจะคงอยู่สืบไปได้"

"He remembers these vanished years.
As though looking through a dusty window pane, the past is something he could see but not touch.
And everything he sees is blurred and indistinct."

"ชายผู้นั้นยังคงจดจำกาลเวลาที่สูญสลายหายไป เปรียบดั่งเพ่งพิศมองบานกระจกที่ปกคลุมด้วยฝุ่น
อดีตนั้นคือสิ่งมองเห็นได้ แต่มิอาจสัมผัส และสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน"
(ถอดความเป็นภาษาไทย โดย merveillesxx)




2046 (2004)

“ความรักเป็นเรื่องของกาลเวลา จึงไร้ประโยชน์หากเราเจอคนที่ใช่เร็วหรือช้าเกินไป”




บทส่งท้าย

จนถึงวันนี้หว่องกาไวได้ทำหนังออกมาแล้ว 8 เรื่อง ที่ทั้งหมดนั้นล้วนเชื่อมต่อและโยงใยกัน ไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง รวมถึงการต่อยอดสิ่งที่แล้วมาในเรื่องก่อนๆด้วย และสิ่งทุกสิ่งอย่างนั้นได้เดินมาถึงจุดสมบูรณ์ใน 2046 หนังที่คริสโตเฟอร์ ดอยล์กล่าวไว้ในวันเปิดตัวหนังที่เมืองไทยว่ามันคือ Compilation (การร้อยเรียง) และ Celebration (การเฉลิมฉลอง) สำหรับหว่องกาไว

คงไม่เกินจริงนักจะบอกหว่องกาไวได้สร้าง ‘โลก’ ของเขาขึ้นมา โลกที่เหล่าผู้คนหลงใหล และบางคนก็ตัดสินใจที่จะจากโลกแห่งนั้นไปหลังจาก 2046 เพราะเขาเหล่านั้นต้องการความ ‘เปลี่ยนแปลง’

แต่สำหรับผม โลกใบนี้ยังคงน่าหลงใหล มันมีความหมายและความทรงจำต่อผมมากมาย
2046 กล่าวว่า ณ ที่แห่งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เปลี่ยนแปลง
…ผมยังคงจะอยู่ใน ‘โลกของหว่องกาไว’ ต่อไป
ฟังเสียงกระซิบความลับในรูต้นไม้ของเขาเหล่านั้น
และรอคอย ‘หญิงผู้นั้น’ ที่จะมาจาก ‘เซี่ยงไฮ้’

ไม่ว่าจะนานเท่าใดก็ตาม…


Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2548
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2548 20:59:40 น. 14 comments
Counter : 17813 Pageviews.

 
Lyrics

CALIFORNIA DREAMIN'
(Phillips-Phillips)
**จาก Chungking Express**

All the leaves are brown and the sky is gray
I've been for a walk on a winter's day
I'd be safe and warm if I was in L.A.
California dreamin' on such a winter's day

Stopped in to a church I passed along the way
Well I got down on my knees and I pretend to pray
You know the preacher liked the cold
He knows I'm gonna stay
California dreamin' on such a winter's day

------ flute ------

All the leaves are brown and the sky is gray
I've been for a walk on a winter's day
If I didn't tell her I could leave today
California dreamin' on such a winter's day
California dreamin' on such a winter's day
California dreamin' on such a winter's day

------------------------------------

Happy Together
(G. Bonner - A. Gordon)
**จาก Happy Together**

Imagine me and you, I do
I think about you day and night, it's only right
To think about the girl you love and hold her tight
So happy together

If I should call you up, invest a dime
And you say you belong to me and ease my mind
Imagine how the world could be, so very fine
So happy together

I can't see me lovin' nobody but you
For all my life
When you're with me, baby the skies'll be blue
For all my life

Me and you and you and me
No matter how they toss the dice, it has to be
The only one for me is you, and you for me
So happy together

Ba-ba-ba-ba ba-ba-ba-ba ba-ba-ba ba-ba-ba-ba
Ba-ba-ba-ba ba-ba-ba-ba ba-ba-ba ba-ba-ba-ba

So happy together
How is the weather
So happy together
We're happy together
So happy together
Happy together
So happy together
So happy together (ba-ba-ba-ba ba-ba-ba-ba)

----------------------------

Quizas, Quizas, Quizas
[ written by Osvaldo Farras, Cuba, 1947 ]
**จาก In The Mood For Love**

Original Spanish lyrics: "Quizas, Quizas, Quizas"

Siempre que te pregunto
Que, cuando, como y donde
Tu siempre me respondes
Quizas, quizas, quizas

Y asi pasan los dias
Y yo, desesperando
Y tu, tu contestando
Quizas, quizas, quizas

Estas perdiendo el tiempo
Pensando, pensando
Por lo que mas tu quieras
Hasta cuando? Hasta cuando?

Y asi pasan los dias
Y yo, desesperando
Y tu, tu contestando
Quizas, quizas, quizas

Estas perdiendo el tiempo
Pensando, pensando
Por lo que mas tu quieras
Hasta cuando? Hasta cuando?

Y asi pasan los dias
Y yo, desesperando
Y tu, tu contestando
Quizas, quizas, quizas

English translation of original Spanish lyrics:
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"

I am always asking you
When, how and where
You always tell me
Perhaps, perhaps, perhaps

The days pass this way
And I am despairing
And you, you always answer
Perhaps, perhaps, perhaps

You are wasting time
Thinking, thinking
That which you want most
Until when? Until when?

The days pass this way
And I am despairing
And you, you always answer
Perhaps, perhaps, perhaps

You are wasting time
Thinking, thinking
That which you want most
Until when? Until when?

The days pass this way
And I am despairing
And you, you always answer
Perhaps, perhaps, perhaps

------------------------------

DEAN MARTIN - "Sway"
** จาก 2046**

When marimba rhythms start to play
Dance with me, make me sway
Like a lazy ocean hugs the shore
Hold me close, sway me more

Like a flower bending in the breeze
Bend with me, sway with ease
When we dance you have a way with me
Stay with me, sway with me

Other dancers may be on the floor
Dear, but my eyes will see only you
Only you have the magic technique
When we sway I go weak

I can hear the sounds of violins
Long before it begins
Make me thrill as only you know how
Sway me smooth, sway me now

Other dancers may be on the floor
Dear, but my eyes will see only you
Only you have the magic technique
When we sway I go weak

I can hear the sounds of violins
Long before it begins
Make me thrill as only you know how
Sway me smooth, sway me now
You know how
Sway me smooth, sway me now

---------------------------

The Christmas Song
Nat King Cole
written by Mel Torme and Robert Walls
** จาก 2046**

Chestnuts roasting on an open fire,
Jack Frost nipping at your nose,
Yuletide carols being sung by a choir
And folks dressed up like eskimos.
Everybody knows a turkey and some mistletoe
Help to make the season bright.
Tiny tots with their eyes all aglow
Will find it hard to sleep tonight.
They know that Santa's on his way -
He's loaded lots of toys and goodies on his sleigh
And ev'rymother's child is gonna spy
To see if reindeer really know how to fly.
and so I'm offering this simple phrase
To kids from one to ninety-two
Although its been said many times,
Many ways: "Merry Christmas to you".
(Repeat) (from 9th line)


โดย: merveillesxx วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:20:57:10 น.  

 
ภาคผนวก

Wong Kar Wai - หวังเจียเหว่ย
นิยามความเหงาและการแสวงหา
(จาก กรุงเทพธุรกิจ)

ชื่อของ หว่อง คาร์ ไว หรือ หวังเจียเหว่ย ในตอนนี้ คงคุ้นหูคอหนังบ้านเรา ไปแล้ว ผมไม่แน่ใจ ว่าตัวตนของเขา ในบ้านเรา เกิดจากกระแส ที่พี่เบิร์ด ธงไชยของเรา จะไปเล่นหนังให้เขา หรือเพราะรางวัล ผู้กำกับยอดเยี่ยม จากงานประกวดภาพยนตร์ เมืองคานส์ปี 97 (ทั้งที่ผลงานก่อนหน้านั้นหลายเรื่อง ก็ได้รางวัลไม่ใช่น้อย) ส่งผลให้บ้านเรา พูดถึงเขามากขึ้น และสุดท้าย ที่ผมคิดไปถึง ก็คือหนังของเขา ใช้ตัวแสดง ที่คอหนังบ้านเราชื่นชม หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มจตุรเทพฮ่องกง เหลียงเฉาเหว่ย, เลสลี่จาง, จินเฉิงอู่, หลินชิงเสีย, จางม่านอวี้ ฯลฯ จึงทำให้ผลงานของเขา มาเกิดในบ้านเรา ง่ายขึ้น เพราะโดยส่วนตัวผม เชื่อว่า งานของหว่อง คาร์ ไว ในบ้านเรา เป็นงานเฉพาะที่เฉพาะกลุ่ม ผมหมายถึง คนที่ไปดูผลงานของเขา จากตัวหนังจริงๆ จะมีสักกี่คน เมื่อเทียบกับผู้คน ที่เข้าโรงภาพยนตร์ทั้งหมด

จากเด็กเซี่ยงไฮ้วัย 5 ขวบสู่เกาะฮ่องกงปี 1963 เริ่มอาชีพในวงการมายา ด้วยการเป็นผู้ช่วยฝ่ายสร้างหนัง ทางโทรทัศน์ของ TVB และหันเหไปเขียนบท จนผันตัวเอง มาเป็นผู้กำกับ ด้วยผลงาน 6 ก้าวย่างของเขา As Tears Go By (1988), Days of Being Wild (1991), Ashes of Time (1994), Chungking Express (1994), Fallen Angels (1996), Happy Together (1997) ถ้าเทียบงานของเขากับ จางอี้โหมว (Ju Dou), เทียนจวงจวง (The Blue Kite) หรือล่าสุด โจน เช็ง (Xiu Xiu: The Sent down Girl ) งานเขาอาจจะไม่สนองต่อ ความรู้สึก ที่มีต่อแผ่นดินใหญ่ ไม่กล่าวถึงความล้มเหลว ในระบบของประเทศ และก็ไม่ใช่หนังกำลังภายใน บู๊ล้างผลาญ อย่างของชอร์บราเธอร์ (เห็นจะมีแต่ As Tears Go By ที่ถือได้ว่า เป็นแอ็กชั่นโหด แบบลูกผู้ชาย เพียงเรื่องเดียวที่เขาทำ) แต่งานของเขา โดดเด่นขึ้นมา ท่ามกลางความแปลกแยก ของเนื้อหา หนังที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครทำ ในช่วงเวลาดังกล่าว

เขาหยิบยก และเจาะเน้นเรื่องราว ของผู้คนยุคปัจจุบัน ที่อยู่ด้วยความสับสน และเปลี่ยวเหงา ภาวะจิตใจ ที่ไร้การยึดเหนี่ยวและการค้นหาตัวตน ซึ่งดูจะเป็นแกน ของหนังทุกเรื่อง ของเขา และเป็นเรื่องของความรู้สึก ใกล้ตัวเราอย่างที่สุด

มานะ วงศ์ศิริศักดิ์ เคยเขียนไว้ใน เรื่องของคนนอกคอก ว่าคนทีมีความคิดนอกคอก จะเป็นคนที่มีอารมณ์และความรู้สึก ที่อ่อนไหวง่าย, เรียบง่าย รู้จักรวบสรุปความคิด, มีพลังในการทำงานเหลือเฟือ, วิสัยทัศน์กว้างไกล, รู้จักปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ ให้แหวกแนวออกไป, ช่างฝัน มีจินตนาการกว้างไกล ซึ่งถ้าผลงาน บ่งบอกความเป็นตัวตน ของเจ้าของงาน งานของหว่อง คาร์ ไว ก็คงบ่งบอกถึง ความเป็นคนนอกคอก (ความคิดสร้างสรรค์ - คลื่นลูกใหม่) ของเขา เพราะในผลงานของเขา ผมพบสิ่งเหล่านี้ได้ ทั้งในรูปลักษณ์ของงานเอง และในตัวแสดงของเรื่อง

สิ่งที่ดำรงอยู่ ในความเป็นหนังของ หว่อง คาร์ ไว มีหลายสิ่ง ที่เห็นได้ชัด ซึ่งผมมองว่า เขาเจตนาให้เรา ตีความไปมากกว่าสิ่งที่เขานำเสนอ ทุกครั้งที่ได้ดูหนังของเขา ผมจะคิดถึงเหตุผล ของเหตุการณ์ และบรรยากาศ ที่เกิดขึ้น ว่ามันเพราะอะไร

เทคนิคต่างๆ ในตัวงานไม่ว่าจะเป็น handheld shooting, slow motion - stop motion, jump cut, skip frame ของผู้กำกับภาพคู่ใจ คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ทำให้เราเห็นมุมมองของภาพ ที่มีความหมายมากขึ้น กว่ารูปแบบธรรมดา ทั่วไป

การดำเนินเรื่อง ที่ไม่เน้นเล่าเรื่อง ตามแบบแผน ใช้เสียงบรรยายตัวละคร เป็นการสรุปเหตุการณ์ เพื่อที่จะบอกให้ทราบถึง สิ่งที่ตัวละครคิด เพราะบางทีความคิด ก็มีความหมาย มากกว่าการกระทำ ของตัวละคร

ตัวละครที่เป็นเอกเทศน์ แต่ก็ใช้บรรยากาศร่วมกัน เห็นได้ชัดใน Chungking Express และ Fallen Angels ซึ่งเรื่องราวถูกแบ่งเป็น 2 ตอน แต่ก็มีบรรยากาศร่วมกัน โดยเราอาจมองว่า เขาต้องการบอกถึง ความเป็นอยู่ในยุคที่ผู้คน ต่างแปลกแยก แม้จะอยู่บนภาวะเดียวกัน

เพลงประกอบส่วนใหญ่ ที่เป็นยุค 70 เสริมกับดนตรีที่แต่งใหม่ เช่น California Dreaming ใน Chungking Express ในเนื้อหาและท่วงทำนอง คงบ่งบอกถึงความรู้สึก ได้อยู่แล้ว และมันก็คือเอกลักษณ์ของเขา ที่ยังคงนำเสนอเรื่องราว บนความรู้สึกง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน

บรรยากาศของหนัง ซึ่งถูกนำมาใช้ ในการสื่อความหมาย อยู่เสมอ ฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ( ความกดดัน และบีบคั้น ) ฝนและค่ำคืนที่เยือกเย็น ( หดหู่เปลี่ยวเหงา ) แสงสีฉูดฉาดสดใส ( ความสับสน ) โทรทัศน์และวิทยุ ที่ถูกเปิดขึ้นทั้งที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เพียงเพื่อบ่งบอกถึงความมีชีวิต เรื่อยมาถึงฉากความสับสนในเมือง ผู้คนที่มากมาย ไหล่ที่ถูกเบียดเสียด แต่ไม่มีคนที่เรารู้จัก จนสุดท้าย ก็ต้องมาใช้เวลากับตัวเอง

แม้แต่บรรยากาศการรอโทรศัพท์ หรือเพจเจอร์ ที่ไม่เคยดังมาก่อน ก็ให้ความรู้สึก ที่ต่างกันออกไปได้ไกล หลิวเต๋อหัวใน Days of Being Wild รอคอยวันที่โทรศัพท์ดัง แต่วันที่มันดัง เขาก็ไม่อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว แต่กับจินเฉิงอู่ใน Chungking Express ที่เลิกหวังว่าเพจเจอร์จะดัง แต่แล้ววันหนึ่ง มันก็ดังขึ้น มันทำให้พบว่า บางสิ่งที่ค้นหา บางครั้งก็เดินมาถึง อย่างไม่น่าเชื่อ

การจบของหนัง ที่เหมือนไม่ได้จบ ( แสดงภาพชีวิตปกติ ที่ยังคงดำเนินกันต่อไป ของโลก ) ซึ่งอาจบอกเราว่า การไปไม่ถึงคำตอบสุดท้าย อาจจะสร้างความรู้สึก ให้กับเรา งดงามกว่าบทจบ ที่ชัดเจน และบ่อยครั้ง ที่หนังสื่อให้เราเห็นว่า การไม่รู้คำตอบ บางทีก็ดีกว่า การได้รับรู้ อย่างเลสลี่จางใน Days of Being Wild ที่สุดท้าย คำตอบที่เขาต้องการ มันเป็นเพียง ความว่างเปล่า เท่านั้นที่สัมผัสได้

ปมปัญหาความขัดแย้ง ในใจตนเองของตัวแสดง เหลียงเจียฮุย และจางเซียะโหย่วใน Ashes of Time ผู้หวังจะสร้างชื่อ และยอมทิ้ง ความผูกพันธ์ที่มี แต่สุดท้าย ก็จมอยู่กับความเสียใจ ในอดีต และตัวบทของหนัง ก็พิสูจน์ว่า การรักใครสักคน ไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะอยู่กับความรัก ที่มีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นกัน

นอกจากความขัดแย้งในใจ หนังหลายเรื่องของเขา ก็ยังนำเสนอความขัดแย้ง ที่เกิดกับบุคคลรอบข้าง และเป็นความขัดแย้ง ที่สร้างความรู้สึกกับคนดูไม่น้อย หนุ่มใบ้จินเฉิงอู่ กับพ่อที่ไม่เคยพูดคุยกัน ใน Fallen Angels หรือความสัมพันธ์ของเหลียงเฉาเหว่ย กับพ่อที่ไม่เคยลงรอย และความสัมพันธ์ของเขา กับเลสลีจาง ที่ค่อนข้างซับซ้อน ไปมาใน Happy Together

เครื่องบินและนก เอกลักษณ์แห่งการค้นหา ทุกตัวแสดง ในหนังของเขา ล้วนมีสิ่งแสวงหา อย่างน้อยที่สุด ที่พวกเขาต้องการ ก็คือใครสักคน ซึ่งทั้งสองสิ่ง ถูกนำมาใช้ เป็นทั้งสัญลักษณ์ และพาหนะ ในการเดินทาง เพื่อค้นหา แต่ใครสักคนของแต่ละตัวแสดง ที่ต้องการนั้น แตกต่างกันไป

จางม่านอวี้ ต้องการผู้ชายสักคน ที่ให้ความมั่นคง ในชีวิตแก่เธอได้ เลสลี่จาง แสวงหาแม่ผู้เป็นรากเหง้า ของเขา ใน Days of Being Wild หรือแม่แต่ใครสักคนที่สามารถพูดคุย ในค่ำคืนที่แสนเหงา ของจินเฉินอู่ ใน Chungking Express และการไล่ตามหาฝัน ของแต่ละคน ที่ต่างกันไป เฟย์ที่ดั้งด้น ไปตามหาฝันถึง แคลิฟอร์เนีย เพียงเพื่อกลับมาเอาคำตอบ ณ ที่เดิม ใน Chungking Express และหลายคน ก็ต้องแลกฝัน ด้วยทุกสิ่งที่มี อย่างหลิวเต๋อหัว และจางเซียะโหย่วใน As Tears Go By แต่กับบางคน เป้าหมายที่ฝันถึง ก็เป็นเพียงสิ่ง ที่สัมผัสไม่ได้ หลิวเต๋อหัว ที่อยาก เป็นกะลาสีเรือ ออกทะเล แต่ก็ยอมทนรอความฝัน พื่อดูแลแม่ที่ชรา ใน Days of Being Wild หรือแม้แต่เสียงสะอื้นไห้ จากเทปของเหลียงเฉาเหว่ย ที่ถูกเปิดปลายสุดขอบทวีป กับเลสลี่จาง ที่ค้นหาไม่เจอและไปไม่ถึง ในสิ่งที่แสวงหาใน Happy Together

สิ่งเหล่านี้หว่อง คาร์ ไว สร้างให้เราได้สัมผัส อย่างลึกซึ้งในความรู้สึก เพราะโลกของความรู้สึก มันอธิบายได้ยากกว่าโลกของเหตุผล ทั้งที่ความรู้สึกมักจะมาก่อนเหตุผลเสมอ

โลกที่หว่อง คาร์ ไว สร้าง ถึงแม้จะมีแต่การการแสวงหา และความเหงา แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่เคยจางหาย ไปจากโลกที่เราอยู่ และนับวันเรายิ่งจะพบเจอมัน มากขึ้น หลายคนต้องปิดฉากตัวเอง ด้วยความเหงา เพราะค้นไม่พบ และหาไม่เจอ...

สิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์ เขียนไว้ใน ลมตะวันออก ได้อย่างน่าประทับใจว่า "...การนั่งจ้องจอทีวี ตลอดคืน... บ่งบอกวันเวลาที่ผ่านไป แต่ละนาที มีแต่ความเงียบ ขณะที่เบื้องล่าง เต็มไปด้วยผู้คน และความสับสนวุ่นวาย บนท้องถนน ชีวิตในเมืองใหญ่ บางทีเพื่อนร่วมเตียง อาจหาได้ไม่ยาก แต่คนที่จะนั่งพูดคุย และรับรู้ความในใจของกัน และกัน อาจจะหาไม่ได้เลย "

ถึงอริสโตเติลกล่าวไว้ว่า " มนุษย์เป็นสัตว์สังคม " แต่มาถึงวันนี้ วันที่ประชากรโลก 6000 ล้านคน ก็คงไม่แปลก ที่ผู้คนที่เดินสวนกับเรา จะไม่มีคนที่เรารู้จัก ไม่มีคนที่พูดคุยได้ ในคืนที่ต้องใช้เวลา กับตัวเอง โทรทัศน์และวิทยุ จึงเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ในคืนเช่นนั้น และหนังของหว่อง คาร์ ไว
ก็คงบอกเรา ในสิ่งนั้นเช่นกัน


โดย: merveillesxx วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:20:58:01 น.  

 
เดียวดายฯกับหว่องกาไว
STILLWATER
วิจารณ์บันเทิง
//www.bangkokbiznews.com/jud/sat/20041203/news.php?news=column_15790772.html

“หวังเจียเหว่ยนี่ ฮอลลีวู้ดเอาสเต็กมาล่อมันหลายครั้ง แต่หมอนี่ไม่สน คือแกติดใจจะกินหมั่นโถว อย่างเดียว หมอนี่ไม่อยากเป็นจอห์นวู 2 แต่อยากเป็นประเภทนักฆ่าตาชั้นเดียว ผู้หวงแหนจิตวิญญาณแห่งโพ้นทะเล มองโลกผ่านม่านไม้ไผ่แลม่านไหมใยหมอก ”

เป็นคำกล่าวของนักวิจารณ์หนังมีชื่อ สิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์ ผ่านปลายปากกาของ วรพจน์ (เหล้านั้ง, วรพจน์ ประพนธ์พันธุ์, 2547.หน้า 28) และตามด้วยเรื่องเล่าของวรพจน์เอง

“ ผมรับรู้ต่อมาจากสาวจุ๋ม ผู้ประสานงานฝ่ายไทยว่า หวังเจียเหว่ยทำงานไม่มีสคริปท์ ทุกคนในกองถ่ายไม่มีใครรู้ว่า เมื่อถ่ายฉากที่ร้านจบแล้วจะต้องถอนยวงไปถ่ายต่อที่ขั้วโลกไหน ”

“ทุกอย่างอยู่ในหัวอีคนเดียว คนอื่นไม่มีใครรู้…มันเป็นหนังอาร์ตนะพี่ เซอร์ๆ แบบนั้นแหละ หนูดูไม่รู้เรื่องหรอก พี่ก็คงดูไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”

“อ้าว!! เป็นงั้นไป”

นั้นเป็นข้อความบางส่วนที่กล่าวถึงผู้กำกับหน้าตี๋ภายใต้แว่นดำ ขณะมาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง 2046 ในเมืองไทยเมื่อ 2 ปีก่อนที่ร้านโอลด์เล้งของนักเขียนเจ้าบู๊ลิ้ม วรพจน์ ประพนธ์พันธุ์ ส่วนนามของผู้กำกับคนดังกล่าวคือ หวังเจียเหว่ย (ในสำเนียงแมนดาริน หรือหว่องกาไวในสำเนียงกวางตุ้ง) เจ้าของลายเซ็นที่ถูกจัดว่าอยู่ในหมวดของผู้สร้างงานแบบ auteur

auteur ศัพท์คำนี้ผม (ผู้ไม่มีพื้นฐานการเรียนด้านภาพยนตร์มาก่อน) พบครั้งแรกในพอคเก็ตบุ๊ค พิพากษานอกศาล ของ อ.กฤษดา เกิดดี (2541) ที่ได้กล่าวถึง นักวิจารณ์ภาพยนตร์ออเทอร์ ( Auteur Film Critic) หรือ นักวิจารณ์ที่บูชาผู้กำกับภาพยนตร์เป็นสำคัญ โดยยึดหลักที่ว่า ผู้กำกับภาพยนตร์มีบทบาทสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งจะอิงการค้นหาบุคลิกภาพตัวตนของผู้กำกับที่ปรากฏในหนัง ต้องศึกษาประวัติภูมิหลังในอดีต เพื่อเชื่อมโยงกับผลงานที่ออกมา ทั้งพิจารณาถึงความโดดเด่นในด้านการนำเสนอที่อาจรวมถึงการศึกษาตามแนวจิตวิเคราะห์ เพื่ออธิบายผลงานแต่ละชิ้นของผู้กำกับคนนั้น

ถัดมาผมได้ยินคำว่า auteur อีกครั้งในการอบรมการวิจารณ์ภาพยนตร์ที่นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อปีที่แล้ว จากการบรรยายของ อ.มโนธรรม เทียมเทียบรัตน์ กล่าวว่าคำนี้เกิดในช่วง French new wave (1959) มาจากคำว่า Politique des auteurs ซึ่งหมายถึงผู้กำกับมีอำนาจสิทธิขาดในกองถ่ายทำเพียงผู้เดียว และขยายความในแนวทางการวิจารณ์หนังออเทอร์ว่า ผู้กำกับนั้นๆ ควรมีผลงาน 3-5 ชิ้นขึ้นไป โดยให้ดูเป็นหมวดหมู่แล้วจึงมองภาพสะท้อนที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งได้ยกตัวอย่างหนังของท่านมุ้ยของไทย ดังนี้

- หนังของท่านมุ้ย มักมีผู้หญิงที่ใช้เสน่ห์เพื่อหวังประโยชน์ (ในอุกาฟ้าเหลือง,น้องเมีย) ทะเยอทะยาน (แบบท้าวศรีสุดาจันทร์ในสุริโยไท) โดยมักมีผู้มากระตุ้น เช่น แม่ย่ามากระตุ้นท้าวศรีสุดาจันทร์ เช่นเดียวกับมีแมวมองดารามากระตุ้นภัสสรในหนังน้องเมีย

- บทบาทของแท็กซี่ที่เข้ามาหาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม (ในน้องเมีย) เมื่อเทียบกับ ทองพูน โคกโพ แท็กซี่คนซื่อ

- ในอุกาฟ้าเหลืองมีผู้หญิงชื่อดอกไม้หรือ:-) และในสาละวินลูกสาวสรพงศ์ชื่อดอกอ้อ เป็นต้น

ย้อนกลับมาที่เรื่องของ หว่องกาไว ที่กำลังมีผลงานใหม่อย่าง 2046 ที่บุกไปเปิดตัวที่เทศกาลหนังต่างๆ มาแล้ว และในกระแสอินเทรนด์นี้ได้มีพอคเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ได้รวบรวมบทความผลงานหนังของ หว่องกาไว มาไว้ในชื่อ เดียวดายอย่างโรแมนติก: โลกของหว่องกาไว ของสำนักพิมพ์ Bioscope

ส่วนหนึ่งนำมาจากงานเก่าจากหนังสือ เดียวดายอย่างโรแมนติก ของสุทธากร สันติธวัช และมโนธรรม เทียมเทียบรัตน์ ที่ได้วิเคราะห์หนังเรื่องสำคัญๆ ของหว่องกาไวเอาไว้เมื่อพฤษาคม 2542 และอีกส่วนหนึ่งนั้นทีมงาน Bioscope ได้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังเรื่องล่าสุดและส่วนโลกของหว่องกาไว ที่กล่าวถึงพลพรรคทีมงานของเขาอย่าง คริสโตเฟอร์ ดอยล์ กับ วิลเลี่ยม จาง พร้อมทั้งเหล่าดาราขาประจำ อย่าง เลสลี่ จาง, เหลียงเฉาเหว่ย ,จางมั่นอวี้ มารวมไว้ด้วยกัน

พอคเก็ตบุ๊คเล่มนี้เล่าเรื่องตั้งแต่หนังเรื่องแรกในฐานะผู้กำกับของหว่องกาไว As Tears Go By หนังบู๊สไตล์เจ้าพ่อฮ่องกงธรรมดาที่ไปไกลจนเวทีคานส์เหลือบตามอง ต่อด้วย Days of Being Wild ที่สร้างความแปลกใหม่และมึนงงไปพร้อมๆ กัน ตามติดด้วยงานสร้างชื่อในวงกว้างอย่าง Chungking Express งานคั่นเวลาที่ได้ผลเกินคาดหมายทั้งเงินทั้งชื่อเสียง

ส่วนงานที่ทุ่มเทอย่าง Ashes of Time เริ่มสร้างคำถามในหนังกำลังภายในสไตล์แปลกใหม่ จนกลับมาสู่หนังโลกอาชญากรรมฮ่องกงปัจจุบันอีกครั้งในหนังชื่อไทยสุดเก๋ นักฆ่าตาชั้นเดียว Fallen Angels แล้วจึงไปขย่มรางวัลบนเวทีหนังเทศกาลอีกครั้งกับหนังเกย์ร้อนแรงปนเหงาใน Happy together ทิ้งท้ายด้วยหนังชู้รักสุดเฉียบจนใครๆ รู้จักชื่อเขาดียิ่งขึ้นกับ In the Mood for Love และงานล่าสุด 2046 ที่แค่ได้เห็นตัวอย่างหรือเรื่องย่อทำให้ใครหลายคนต้องนึกย้อนไปถึงหนังเรื่องเก่าๆ ของเขา

คงไม่มีใครปฏิเสธถึงความแตกต่างหนังของหว่องกาไวกับผู้กำกับคนอื่นๆ ซึ่งมักจะมีคุณสมบัติลักษณะตัวละครสุดเหงาที่โดดเด่นเฉพาะตัว ดังนี้ ชายหนุ่มที่ติดอยู่กับอดีต เช่น ยกไจ๋ (เลสลี่ จาง/ Days of Being Wild) เหอจื้ออู่ (ทาเคชิ คาเนะชิโระ) กับ 633 (เหลียงเฉาเหว่ย/ Chungking Express)

หญิงสาวที่มีอิทธิพลสูงสุดกับชีวิตผู้ชาย เช่น โซวไหล่เจิน (จางมั่นอวี้/ Days of Being Wild) เฟย์ (เฟย์ หว่อง) และเมย์ใน Chungking Express หญิงสาวที่ไขว่คว้าหาความรักจริง เช่น มี่มี่ หรือ ลูลู่ (หลิวเจียหลิง/ Days of Being Wild) มิเชล (หลี่เจียซิน) กับสาวผมบลอนด์ (ม่อเหวินเหว่ย) ใน Fallen Angels คนนอกกฎระเบียบสังคมกับชีวิตอันอ้างว้าง เช่น ผู้หญิงผมทอง (หลินชิงเสีย/ Chungking Express) หวัง จื่อหมิง (หลี่หมิง/ Fallen Angels)

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ คำถามที่เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะหลายคนคงสุดฉงนกับบทบาทของเหลียงเฉาเหว่ย ในคราบของหนุ่มปริศนาในฉากจบของ Days of Being Wild หรือกับบทของโจวมู่หวัน หนุ่มนักหนังสือพิมพ์ผู้ถูกภรรยานอกใจ ใน In the Mood for Love และ บทโจวมู่หวันอีกครั้งของชายหนุ่มเจ้าสำราญผู้ไม่ยอมผูกพันกับสาวใดนานเกินหนึ่งคืนใน 2046 ที่ถือเป็นตัวละครปริศนาที่ชวนให้น่าค้นหาและติดตาม (เช่นเดียวกับจางมั่นอวี้ในบทของ โซวไหล่เจิน ของเรื่องข้างต้น)

เดียวดายอย่างโรแมนติก: โลกของหว่องกาไว เล่มนี้สามารถให้คำตอบชวนฉงนสนเท่ห์ทั้งหลาย ด้วยบทความวิเคราะห์อย่างเจาะลึกถึงแก่นด้วยอิงการวิจารณ์ภาพยนตร์แนวออเทอร์ ที่ไม่พบเห็นบ่อยนักในตลาดหนังสือหนังในปัจจุบัน (เพราะที่เคยผ่านตามาก็เห็นมี ตำนานระทึกขวัญ อัลเฟรด ฮิทช์ค็อค ของ อ.ประวิทย์ แต่งอักษร (2543) เมื่อหลายปีมาแล้ว) ถือว่าเป็นหนังสือดีๆ ที่ไม่ควรมองข้ามอีกเล่ม อย่างน้อยคำถามคาใจต่างๆ เกี่ยวกับหนังของผู้กำกับคนนี้อาจจะจางหายลงไปได้บ้าง

มีคำให้สัมภาษณ์ของพระเอก เหลียงเฉาเหว่ย ที่อ้างถึงตัวผู้กำกับคนดังผู้นี้ไว้อย่างน่าคิดว่า

“ กับหว่องกาไว คุณต้องไว้ใจเขา แล้วอะไรๆ ก็จะง่ายเอง แต่ถ้าคุณไม่ไว้ใจเขา นั่นแหละถึงคราวเละแน่ ! ”


โดย: merveillesxx วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:21:01:49 น.  

 
ความคิดเห็นบางส่วนจาก //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3250571/A3250571.html

ความคิดเห็นที่ 9

ชอบกระทู้นี้จังเรย โหวตได้มะ

จากคุณ : concubine - [ 23 ม.ค. 48 14:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 10

โหวตให้กระทู้นี้ด้วย ^^

อยากดู 2046 จัง โอ๊ยยยยยยย อยากดูๆๆๆๆ

อ่านกระทู้นี้จบแล้วสงสัยว่า ถ้านั่งดูหนังของเฮียหว่องต่อๆกัน ตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงเรื่องล่าสุด แล้วจะเป็นยังไงเนี่ย?

จากคุณ : Moon_Light - [ 23 ม.ค. 48 14:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14

กระทู้นี้ Tribute WKW จริงๆ อิอิ
สไตล์ของเขากระชากใจนักดูหนังทั่วโลก สำหรับผม ภาพ เพลง ไม่มีเรื่องไหน หลอนอยู่ในโสตประสาทเท่ากับ In the mood for love แต่ถ้าดูเอาเรื่องแล้ว ที่สุดของผมคือ Chungking Express ยังไม่เปลี่ยนแปลง


อีกนิด

เพลง Quizas, Quizas, Quizas

เพลงนี้ ดังจริงๆ สงสัยเป็นหนึ่งในขวัญใจของผู้กำกับหลายคนทีเดียว อย่างน้อยๆ มี 3 เรื่องแน่ๆ ที่ผมได้ยินมันชัดๆ
- Strictly Ballroom (1992) ของ Baz Luhrmann
- In the mood for love (2000) ของ WKW
- Bad Education (2004) ของ Almodovar

จากคุณ : ซาเวีย - [ 23 ม.ค. 48 15:34:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17

โอ ชอบจริงๆ
โหวตให้เลยค่ะ

จากคุณ : te necesito - [ 23 ม.ค. 48 17:59:03 ]

ความคิดเห็นที่ 18

ผมนั่งอ่านกระทู้นี้ ..
นึกย้อนถึงผลกระทบของหนังแต่ละเรื่อง
ที่มีต่อผมในช่วงหลังจากดูแล้ว ..


ผมค่อนข้างจะใหม่สำหรับหนังของหว่องกาไว
เรียกว่าเพิ่งมาเริ่มดูช่วงรอยต่อของ in the mood กับ 2046
ก็ว่าได้...


เห็นด้วยครับ ถ้าจะบอกว่า
".. 'ความเหงา' มี 'พลัง' ที่จะทำให้เรา 'ค้นหา' 'ความรัก' .."


เวลามีใครถามผมว่า เรื่องนี้ๆ เกี่ยวกะอะไร
ผมก็ได้แต่ให้คำตอบที่คลุมเครือ "เหงาๆ"
จริงๆ หนังพูดนับพันๆ คำ .. แต่กลับไม่รู้จะเล่าไง


ที่รู้ๆ หลังจากดูหนังเรื่องไหนของ wkw
สิ่งที่ผมมักทำคือ .. หา ost มาฟังซ้ำ
และเริ่มดูอย่างละมุนละไม อีกครั้ง ...



ปล. เพลง California Dreamin' เนี่ย
ผมนึกว่าของ Mamas and Papas ซะอีก
ผมดูใน ost. น่ะ (ไม่ชัวร์เหมือนกัน)
แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 48 19:37:36

จากคุณ : iPote - [ 23 ม.ค. 48 19:37:11 ]

ความคิดเห็นที่ 19

ติดอารมณ์เหงาเศร้าของกระทู้นี้ไปเลย......

จากคุณ : superblackpig - [ 23 ม.ค. 48 19:59:25 ]

ความคิดเห็นที่ 20

ชอบที่คุณ จขกท.
อ้างอิงแหล่งที่มาของเรื่องราวที่คุณพูดถึง
อย่างชัดเจน

จากคุณ : grappa - [ 23 ม.ค. 48 20:22:34 ]

ความคิดเห็นที่ 21

ขอบคุณมากครับ กับกระทู้ดีๆที่ทำด้วยใจรักเช่นนี้

จากคุณ : wu - [ 23 ม.ค. 48 20:55:38 A:130.54.130.228 X: TicketID:001892 ]

ความคิดเห็นที่ 22

Thanks so much for this lovely topic....

I still have the image of F Wong dancing in my head everytime I hear that song........

"All the leaves are brown and the sky is gray......"

จากคุณ : pocco - [ 23 ม.ค. 48 21:12:24 ]

ความคิดเห็นที่ 23

โหวตให้ด้วยคนครับ

จากคุณ : nickyblood - [ 23 ม.ค. 48 21:13:33 ]

ความคิดเห็นที่ 34

..ครบเครื่องจริงๆคับกะทู้นี้....

เพิ่งได้ DVD boxset เฮียหว่อง มา... ยังไม่มีเวลาแตะเลย

จากคุณ : ก็เพราะคือเพื่อนผู้รู้ใจ - [ 24 ม.ค. 48 01:41:29 ]

ความคิดเห็นที่ 36

ชอบกระทู้นี้มากๆ ครับ

แต่ผมจะตามดูให้ครบทุกเรื่องจากที่ไหนได้บ้างอ่ะครับ

มี vcd หรือ dvd ขายที่ไหนหรือเปล่าครับ

จากคุณ : raberd - [ 24 ม.ค. 48 10:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 37

สุดยอดจริงๆ ครับ ......
ทุกคำถามที่อยู่ในใจ ในหนังหลายๆเรื่องของ คุณอาหว่อง
วันนี้ หมดเปลือกแล้วครับ ขอบคุณ คุณ merveillesxx มากๆครับ

สุดท้าย ผมเลิกดูหนัง ของคุณหว่อง ไปนานครับ ตั้งแต่ ผมต้องอยู่ คนเดียว ... ...

ขอบคุณ คุณหว่องกาไว ที่ทำให้ผม รู้จักตัวเอง มากขึ้น
แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 48 11:53:03

แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 48 11:48:38

จากคุณ : เต้ครับ - [ 24 ม.ค. 48 11:41:41

ความคิดเห็นที่ 39

เพิ่งได้ดูหนังหว่องไปไม่กี่เรื่องเอง อยากดูให้หมดจัง

จากคุณ : ranmachan - [ 24 ม.ค. 48 17:55:37 ]






ความคิดเห็นที่ 40

เจ๋งอ่ะ เขียนได้ยาวดี ยังอ่านไม่หมด แต่ชอบ ชอบ

จากคุณ : ใบไม้ ใบหญ้า - [ 25 ม.ค. 48 00:10:50

ความคิดเห็นที่ 41

เอ่อ คุณ Merveillesxx ครับผม ผมอยากได้คำตอบที่คุณ Raberd เก่ี่ยวกับเรื่อง DVD ด้วยอ่ะครับ พอดีพักหลังไปจตุจักรไม่เห็นมีมาวางขาย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะไปช้าไปรึเปล่า ขอบคุณมากครับสำหรับกระทู้ที่นั่งอ่านได้เพลินจริงๆ เพราะถูกใจที่มีคนชอบหว่องมากเหมือนกัน แต่ไม่เคยได้ติดตามเรื่องราวละเอียดขนาดนี้เลย อีกอย่างนึง ผมไม่แน่ใจว่าคุณชอบฉากไหนมากที่สุดใน 2046 สำหรับผม ถ้านึกถึงเมื่อไหร่ ผมก็จะนึกถึงฉากในโลกอนาคตฉากนึงในช่วงหลังๆ ของหนังที่หุ่นยนต์ลูลู่ เดินหน้าเข้าหากล้องพร้อมกับภาพน้ำตานองหน้า แล้วเปลี่ยนเป็นปั้นหน้ายิ้ม (ผมจำคำพูดช่วงนี้ไม่ได้ ใครจำได้ช่วยที) ในตอนหลัง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมชอบฉากนี้ แต่เป็นตัวละครของหว่องที่ผมชอบที่สุดรองจาก เหอเป่าหวัง ใน Happy together

จากคุณ : DE SADE - [ 26 ม.ค. 48 02:14:54 ]

ความคิดเห็นที่ 42

ไม่เคยดูหนังของหว่องนะคะ ได้ยินกิตติศัพ มามาก และได้ยินมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ดูสักที อยากถามคุณ จขกท เช่นกันค่ะว่าหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง (ส่งหลังไมค์ไปแล้วนะคะ)

...ขอโหวตให้ค่ะ :)

จากคุณ : Sunset&Swing - [ 26 ม.ค. 48 19:45:25 ]

ความคิดเห็นที่ 44

โอ ว้าว สุดยอดแต้ๆ กระทู้นี้ ขอคารวะ

จากคุณ : kooktom - [ 27 ม.ค. 48 18:23:19 ]

ความคิดเห็นที่ 45

ยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณทุกคนที่ให้ข้อมูลค่า
ซื้อ DVD มาแล้ว ยังไม่ได้ดูเลย เข้ามาอ่านแล้วคงทำให้เข้าใจหนังมากขึ้น..ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

จากคุณ : emk - [ 28 ม.ค. 48 09:37:21 ]

-------------------

//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=14181

14196
อ่านแล้วแสบในใจ เหงา + เศร้า
เขียนดีจริงๆค่ะ อ่านแล้วโหยหาใครบางคน
จากคุณ : free : - [ 24 มค. 2005 08:51:47 ]


โดย: merveillesxx วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:21:15:13 น.  

 
deep....and unforgettable....
like my sorrow memories...
"all memories are traces of tears." refered from "2046".
once i believed time would cure....
however, later, i figured out that time...doesn't matter at all....as long as i'm still alive...i'm still wandering in the eternal past periods....trying to find the answer whether she loves me or not....


โดย: SaudadE IP: 64.171.2.4 วันที่: 15 มีนาคม 2548 เวลา:5:03:29 น.  

 
กระทู้ดั้งเดิมยังอยู่นะครับ ดูที่ //topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/A3250571/A3250571.html


โดย: merveillesxx วันที่: 19 มีนาคม 2548 เวลา:16:14:20 น.  

 
i don't know how to explain how much WKW's work means to me and supports the philosophy of my life. But without your writing, i wouldn't reach that point and gain deeper understanding about the outstanding concepts of those movies...thank you very much....for your excellent jobs here
(so bad i don't have thai font...it'll be much better talking in thai....)

It is very true that "The harder you try to forget something, the more it will stick in your memory" as you said in the link's page

I'm still wandering in my memories....


โดย: SaudadE IP: 66.122.51.214 วันที่: 20 มีนาคม 2548 เวลา:4:40:22 น.  

 
อา ขอบคุณมากครับอ่านแล้วซึ้งใจ

ผมก็ยังหลงอยู่ในโลกนั้นอยู่นะ คือหว่องกาไวใจร้ายมากที่เลือกจบ 2046 แบบนั้น คือผมจะมีความรู้สึกร่วมมากๆกับตัวละครที่เล่นโดยเหลียงเฉาเหว่ย โดยเฉพาะนายโจวมู่หวันที่ใช่เลย มันคือตัวผมเลย ไอ้พวกติดอดีตเนี่ย แล้วคือพอจบด้วยภาพนั้น ภาพขาวดำของเขาที่นั่งอยู่ในรถอยู่คนเดียว...มันเจ็บปวดมากๆ

กลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้น...


โดย: merveillesxx วันที่: 20 มีนาคม 2548 เวลา:15:54:44 น.  

 
แวะเข้ามาทักทายคุณ merveillesxx ครับ ผมก็ได้ดูหนังของหว่องอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้ทุกเรื่องครับ เรื่องที่เคยดูก็มี Chunking Express , Day of Being Wild, Happy Together และ In the Mood for Love จริงๆมีสะสมเอาไว้เกือบทุกเรื่องแหละครับ แต่ยังไม่ได้เอาออกมาดู จนตอนนี้ก็มี DVD 2046 อยู่ในมือแล้วเหมือนกัน ก็คงจะได้ดูเร็วๆนี้ครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับหนังของหว่องที่ดีๆและน่าสนใจมากๆนะครับ
สำหรับผมแล้ว เรื่องที่เคยได้ดูแล้วรู้สึกว่าชอบและเข้าใจได้ง่ายกว่าเรื่องอื่นก็คือ In the Mood for Love และ Chungking Express นะครับ

สำหรับ Chungking Express ผมคิดว่าคงเป็นหนัง 2 เรื่องเอามาฉายต่อกัน โดยที่ทั้ง 2 เรื่องไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลย แต่ที่รู้สึกถึงได้คืออารมณ์ของหนังที่ทำให้รู้สึกเหงาไปกับตัวละครทั้ง 2 เรื่อง บรรยากาศความโดดเดี่ยวของตัวละคร การกระทำต่างๆของตัวละครที่ยิ่งทำให้ตัวเองเหงามากขึ้น แต่ก็เหมือนกับว่าตัวละครก็พอใจในการที่จะอยู่กับความเหงาที่ตัวเองมีแบบเก๋ๆซะด้วย อย่างเช่นในเรื่องแรก ภาพของทั้งพระเอกและสาวผมทองที่เหมือนอยู่ตัวโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ภาพการคุยโทรศัพท์ของ Takeshi หรือเหตุผลแปลกๆของการวิ่งให้เหงื่อออกและเรื่องสับปะรดกระป๋องหมดอายุ หรืออย่างในเรื่องที่สองการที่นางเอก Faye Wong พยายามเข้าไปในห้องของพระเอกเหลียงเหว่ยโดยที่ไม่ให้พระเอกรู้ อาจจะเหมือนกับว่า การได้เข้าไปในห้องหรือโลกส่วนตัวของคนที่ตัวเองรักหรือชอบ โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ ก็คงมีความสุขเหมือนได้ใกล้ชิดหรือครอบครองโลกส่วนตัวของอีกฝ่าย แม้จะเป็นความสุขที่เหมือนแบบชอบอีกฝ่ายเพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งภาพนางเอกในทุกฉากที่มีเพลง California Dreamin' ด้วย ผมเองส่วนตัวคิดว่าทั้ง 2 ตอนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ช่วงแรกหนังค่อนข้างดูยาก การตัดต่อภาพก็ออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวเบลอๆบ่อยครั้ง เน้นการใช้ภาพเป็นหลัก ส่วนช่วงที่สองหนังดูเข้าใจได้ง่ายขึ้น เน้นเนื้อหาของเรื่องเป็นหลัก ก็ลำบากที่จะบอกว่าชอบช่วงไหนของหนังมากกว่ากัน เพราะว่ามีความโดดเด่นทั้ง 2 ช่วง แต่ที่ผมชอบและประทับใจมากก็เพลง California Dreamin' ที่เหมือนกับ music video ประกอบแทนตัวนางเอกในช่วงที่สองครับ ก็เอาเป็นว่าถึงเรื่องนี้จะดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่แม้จะดูเป็นรอบที่สองแล้ว แต่ก็คิดว่าดูเอาบรรยากาศความเหงาและฟังเพลง California Dreamin' ที่ผมเองก็รู้สึกชอบเหลือเกินจนอยากจะร้องตามละกันครับ

ส่วน In the Mood for Love เนี่ย ผมว่าเป็นเรื่องที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆของหว่องคาไวค่อนข้างมาก เพราะว่าดูเข้าใจได้ไม่ยากนัก เน้นให้ดูเข้าใจได้ง่าย หนังก็เกี่ยวกับ extramarital affair ของคน 2 คนที่มีคู่ของตัวเองแล้ว แต่บังเอิญอยู่ห้องติดกัน แล้วก็ทั้งคู่ก็เหมือนกับไม่ได้รับเวลาและความรักความเอาใจใส่จากคู่รักของตัวเอง จากความใกล้ชิดที่ได้เจอกันเป็นเพื่อนปรับทุกข์กัน รวมทั้งจังหวะและโอกาสที่ทำให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน จนกลายเป็น love affair ของทั้งคู่ โดยส่วนตัว ผมมองว่าเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก แต่ว่าเน้นอารมณ์ความรู้สึก เหมือนได้เข้าไปดูเรื่องราวของคนสองคนที่แอบมี affair กัน ตั้งแต่เริ่มต้นจนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน หนังทำให้เราเห็นรายละเอียดส่วนต่างๆของทั้งคู่อย่างชัดเจน ทั้งๆที่เนื้อเรื่องค่อนข้างเรียบๆและดูไม่น่าจะมีเนื้อหาซับซ้อนนัก แต่ส่วนสำคัญที่ทำให้หนังโดดเด่นคือเรื่องอารมณ์ความรู้สึกและรายละเอียดของภาพ ฉาก และสีในเรื่องครับที่สามารถสื่อถึงอารมณ์ต่างๆได้ดี โดยไม่ต้องใช้คำพูดมากนัก หนังไม่ได้สนใจเกี่ยวกับประเด็นความถูกผิดทางด้านศีลธรรมหรือจริยธรรมของทั้งคู่กับการมี love affair

ส่วนที่น่าตื่นตาตื่นใจพอสมควรคือแสงสีของเรื่อง จะเห็นได้ว่าช่วงครึ่งหลังตั้งแต่พระเอกนางเอกสนิทสนมกันมากขึ้น แสงสีของภาพ และฉากต่างๆหลายๆฉากเน้นโทนสีแดง ผนังห้อง ม่าน รวมทั้งชุดของนางเอกด้วย แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกของความรักได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจทีเดียว

ที่น่าประทับใจมากๆคือชุดของนางเอกครับ 555 เห็นแล้วทึ่งดีจริงๆครับ ยังกับใส่มาเดินแบบยังไงยังงั้นเลยครับ นางเอกเปลี่ยนชุดเป็นว่าเล่น เปลี่ยนชุดได้ทุกฉากเลยครับ แค่ดูชุดแล้วก็การแต่งตัวของนางเอกเรื่องนี้เนี่ยผมว่าก็คุ้มแล้วล่ะครับ 555 ชอบการแสดงของ Maggie Cheung หรือจางมั่นอี้ ครับ ผมว่าหนังสามารถเลือกคนแสดงได้เป็นอย่างเหมาะสมเลยล่ะครับ

แต่โดยส่วนตัว ถ้าเทียบ 2 เรื่องนี้ ยังรู้สึกชอบ Chungking Express มากกว่าครับ ทั้งๆที่ดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนักก็ตาม มันเหมือนมีมนต์สะกดครับ ทำให้รู้สึกชอบครับ

แต่สำหรับ Happy Together นี่รู้สึกว่ามันสร้างความรู้สึกแปลกแยกอย่างมากๆ ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะจับประเด็นปะติดปะต่อไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลในการแยกจากกันของตัวละครเท่าไหร่ ก็คงเพราะลักษณะหนังของหว่องที่มีลักษณะไม่ค่อยต่อเนื่องเหมือน fragment โดยเฉพาะเรื่องนี้เลยทำให้ยิ่งรู้สึกถึงความเหงาแปลกแยกมากขึ้น เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ ดูแล้วรู้สึกหดหู่เหลือเกินครับ เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าแนวหนังที่ผมเองชอบเท่าไหร่ครับสำหรับเรื่องนี้ครับ


โดย: Tempting Heart วันที่: 22 มีนาคม 2548 เวลา:1:53:41 น.  

 
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า Chungking Express เป็นงานที่ 'ป็อป' ที่สุดแล้วของหว่องกไว ป็อปในที่นี่ผมหมายถึงสองแง่ คือความเข้าถึงง่าย และ ความ 'ป็อปปูล่า' (ดูเหมือนเรื่องนี้ใครๆก็รู้จักนะ จริงมั้ยเอ่ย)

ก็น่าสังเกตก็คือ Chungking แทบจะเป็นหนังเรื่องเดียวของหว่องที่จบแบบไม่ทำให้เราปวดร้าว (ส่วนจะดูแล้วเหงา/ไม่เหงา เป็นเรื่องอของแต่ละคน) น่าสนใจมากๆคือ ฉากจบของ Chungking เป็นการถ่ายภาพหน้าของเหลียงเฉาเหว่ยที่เราดูแล้วอิ่มใจมากๆ แต่ในขณะที่ 2046 ฉากจบก็ถ่ายภาพหน้าของเขาเช่นกัน แต่เรารู้สึกเหมือนหัวใจถูกรถไฟบดขยี้เป็นเสี่ยงๆ (ผมพูดเว่อร์ไปรึป่าวเนี่ย)


โดย: merveillesxx วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:15:08:04 น.  

 
เวอร์ไปจริงๆครับ =P


โดย: g-kadam IP: 202.183.253.232 วันที่: 25 พฤษภาคม 2548 เวลา:10:46:56 น.  

 
"บางทีที่คนเราต้องเจ็บปวดก็เพราะมีความจำที่ดีเกินไป" in the mood for love ประโยคนี้คมจริงๆครับ


โดย: ray IP: 125.26.202.108 วันที่: 26 กันยายน 2553 เวลา:1:43:21 น.  

 
"บางทีที่คนเราต้องเจ็บปวดก็เพราะมีความจำที่ดีเกินไป" ถูกเอามาใช้ก่อนใน ashes of time


โดย: matt IP: 1.20.0.142 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:2:27:55 น.  

 
Unquestionably believe that which you stated. Your favorite justification seemed to be on the web the simplest thing to be aware of. I say to you, I certainly get irked while people think about worries that they just don't know about. You managed to hit the nail upon the top as well as defined out the whole thing without having side effect , people can take a signal. Will likely be back to get more. Thanks
louis vuitton outlet online //www.hotelcristallotorino.it/


โดย: louis vuitton outlet online IP: 94.23.252.21 วันที่: 2 สิงหาคม 2557 เวลา:7:21:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.