10 อันดับหนังยอดเยี่ยมประจำปี 2006
โดย merveillesxx
ต่อไปนี้คือ 10 อันดับหนังที่ผมชอบมากที่สุดในปี 2006 โดยนับเฉพาะหนังที่ได้ดูบนจอภาพยนตร์เท่านั้น (ขออภัยปีนี้มาช้าไปหน่อย พอดีเทอมนี้รายงานเยอะเหลือเกิน) อ้อ อย่าลืมนะครับว่าทั้งหมดเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้น
ว่าแล้วก็เริ่มนับถอยหลังกันเลยครับ!
ปล. อ่าน 10 อันดับหนังยอดเยี่ยมประจำปี 2005
ก่อนอื่น ขอนับถอยหลังอันดับ 11-20 ซึ่งหลุดไปจากท็อปเท็นอย่างน่าเสียดาย
20. The Constant Gardener (2005, Fernando Meirelles)
19. United 93 (2006, Paul Greengrass)
18. Match Point (2005, Woody Allen)
17. The House of Sand (2005, Andrucha Waddington, Brazil)
16. Lemming (2005, Dominik Moll, France)
15. The Beat That My Heart Skipped (2005, Jacques Audiard, France)
14. Invisible Waves (2006, เป็นเอก รัตนเรือง)
13. Blue (2001, Hiroshi Ando, Japan)
12. Brokeback Mountain (2005, Ang Lee)
11. Summer Palace (2006, Lou Ye, China)
10. A History of Violence (2005, David Cronenberg)
หลังจากเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด 11 กันยายน ผู้กำกับชาวอเมริกันก็พากันทำหนังที่เป็นการหันมาสำรวจประเทศตัวเองกันยกใหญ่ ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของ ความรุนแรง เหตุการณ์โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์เป็นตัวอย่างหนึ่งของกรณีศึกษาชั้นดี ทั้งในสารคดีสุดแสบอย่าง Bowling for Columbine หรือหนังอ้อยอิ่งสุดชีวิตอย่าง Elephant
แม้จะไม่ใช่คนอเมริกัน แต่โครเนนเบิร์ก (ซึ่งเป็นชาวแคนนาดา) ก็สนใจประเด็นนี้เช่นกัน และยังขยายวงการสำรวจให้กว้างกว่าเดิม ดังนั้นความรุนแรงในฉบับของโครเนนเบิร์กจึงมีในทุกระดับตั้งแต่ ระดับครอบครัว (การถุ่มเถียง) ระดับโรงเรียน (การแลกหมัด) ไปจนถึงระดับของการฆ่าแกงกัน อันเป็นเหมือนสารที่บอกกับเราว่าความรุนแรงนั้นแฝงอยู่ทุกอณูของมนุษย์ หรืออีกนัยคือเป็น ประวัติศาสตร์ คู่ตัวเรา
มุมมองของประวัติศาสตร์ยังถูกสำรวจด้วยเรื่องของปืน -อาวุธสร้างชาติของอเมริกา- และต้นตอแห่งอดีตแสนลึกลับของ ทอม สตอล (วิกโก้ มอร์เทนเซ่น) อันเป็นเหตุมาซึ่งความล่มสลายของสถานบันครอบครัว (แน่นอน - ที่ความรักมิอาจเยียวยา) ในส่วนหลังนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ โฉมหน้าแห่งความรุนแรง ในเรื่องอย่างมอร์เทนเซ่นด้วย
เพราะชายผู้นี้ได้พิสูจน์แล้วว่า เขาไม่ได้เป็นเพียงอารากอร์น เขาเป็นได้ทั้ง ทอม สตอล, โจอี้ คูแซค รวมถึงการเป็นนักแสดงชั้นเยี่ยม (ที่ออสการ์ไม่เหลียวแล) ด้วย
เขียนถึง A History of Violence ไว้ ที่นี่
9. My Summer of Love (2004, Pawel Pawlikowski, UK)
ฤดูร้อนแห่งรัก...ฟังดูเป็นหนังชื่อหวานชวนฝันเสียเหลือเกิน แต่เมื่อ My Summer of Love เปิดฉากด้วยภาพของเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังวาดภาพหญิงสาวลึกลับบนฝาผนังท่ามกลางความมืดมิด ด้วยแววตาอันว่างเปล่าล่องลอย พร้อมกับเพลง Lovely Head ของ Goldfrapp ที่เปิดคลอไปตลอดฉาก มันทำให้เราเริ่มรู้สึกแล้วว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่ธรรมดา
มีหนังหลายเรื่องเหลือเกินที่พูดถึงคนเหงาสองคนที่มาเติมเต็มชีวิตให้กันในชั่วเวลาหนึ่ง และต่างก็จากกันไปพร้อมกับเก็บความทรงจำดีๆ เอาไว้ในใจ (Lost in Translation เป็นตัวอย่างที่ดี) แต่ My Summer of Love เป็นข้อยกเว้นและอยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะหนังเรื่องนี้พูดถึง โมนา และ แทมซิน - คนสองสองคนที่มาเจอกัน...เพื่อทำลายกัน
สาวชาวกรุงอย่าง แทมซิน (เอมิลี่ บลันต์ - ที่ต่อมาโด่งดังกับ The Devil Wears Prada) เป็นดั่งซาตานในคราบมนุษย์ เธอยั่วยุปิศาจที่หลับใหลในร่างกายของแต่ละคนให้ตื่นขึ้นมา เธอทำให้พี่ชายผู้เคร่ง (หรือคลั่ง?) ศาสนาอย่างฟิล (พี่ชายของโมนา) ตบะแตกได้ และในที่สุดเธอก็ทำให้ชาวบ้านนอกใจใสซื่ออย่างโมนา (นาตาลี เพรส เธอน่าจะเป็น ทิลด้า สวินตัน คนใหม่ของวงการ) กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดในที่สุด
My Summer of Love คือหนังที่เล่าถึง คู่สัมพันธ์สยอง ไม่ต่างจากคู่ของ ไอลีน วอร์นอส และเซลบี้ ใน Monster เพียงแต่แฝงตัวอยู่ในรูปหนัง coming of age
8. The Child (2005, Jean-Pierre and Luc Dardenne, Belgium)
พี่น้องดาร์เดนน์จากเบลเยี่ยมเป็นคนทำหนังที่คงสไตล์การทำงานของตัวเองได้อย่างชัดเจนและมั่นคงที่สุด หนังของพวกเขาดูสมจริงจนน่าขนลุก เหมือนเรากำลังนั่งดูสารคดีที่เล่าถึงชีวิตใครบางคนอยู่ มันมักเล่าถึงเหล่าวัยรุ่นชายขอบที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในสังคมเมือง จนเหมือนเป็นการสืบต่อแนวหนังนีโอเรียลลิสม์อยู่กลายๆ
เทคนิควิธีการในหนังของพี่น้องดาร์เดนน์ถือเป็นของแสลงในทุกกรณี หนังใช้กล้องแฮนเฮลด์ติดตามตัวละครไปตลอดเรื่อง ไม่มีการจัดแสงหรือองค์ประกอบภาพชนิดประดิดประดอย ยิ่งไปกว่านั้น The Child ยังไม่มีเพลงประกอบแม้แต่เสี้ยววินาทีของหนัง กระทั่งตอนเครดิตท้ายเรื่อง
การแสดงอันเป็นธรรมชาติ และเข้าขั้นสุดยอดของทั้ง เชเรมี เรอนีส์ และเดโบราห์ ฟรองซัวส์ (เล่นหนังเรื่องแรก) ยิ่งเสริมให้ The Child เป็นหนังที่ควรค่าแก่การทำให้พี่น้องดาร์เดนน์เป็นผู้กำกับรายที่ 5 ของประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์โลก ในการคว้ารางวัลปาล์มทองคำตัวที่สองไปได้
นี่เป็นภาพยนตร์ศิลปะบริสุทธิ์ที่หาดูได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะในดินแดนที่ชื่อว่า ฮอลลีวู้ด
เขียนถึง The Child ไว้ ที่นี่
7. Capote (2005, Benett Miller)
ลีลาแต๋วแตกของฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมน ในการสมบทบาทเป็นทรูแมน คาโพตี้ ถือเป็นดาบสองคมสำหรับหนังเรื่องนี้โดยแท้ ในแง่หนึ่งมันช่วยให้หนังเป็นที่สนใจมากขึ้น แต่มันก็ทำให้ใครๆ เอาแต่สนใจลีลากระดกนิ้วก้อยและท่าทางดัดจริตของซีมัวร์ ฮอฟแมน แทนที่จะเป็นตัวหนังโดยรวม
แท้จริงแล้ว Capote เป็นหนังที่สำรวจจิตใจมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่ในความลุ่มลึกนั้นก็มีความคลุมเครือครอบอยู่อีกชั้น หนังไม่ทำการตัดสินหรือชี้ชัดอะไรทั้งสิ้น แต่เลือกใช้วิธีตั้งคำถามอันหมิ่นเหม่กับคนดู ...คาโพตี้มองเพอรรี่ สมิธ (ฆาตกร) ในฐานะอะไร สหายหรือวัตถุดิบ? แล้วในฉากที่สมิธถูกประหาร แท้จริงแล้วคาโพตี้รู้สึกอย่างไรกันแน่? หรือกระทั่งตัวของ ฮาร์เปอร์ ลี (แคทเธอรีน คีนเนอร์) นั้นคิดเห็นอย่างไรต่อการกระทำของคาโพตี้?
ความคลุมเครือในนิยามของคำว่า ฆาตกร ยังถูกถ่ายโอนสลับไปมาระหว่างตัวของคาโพตี้กับสมิธ ฉากที่ทั้งสองคุยกันในแต่ละครั้งให้ความหมายใหม่อยู่เสมอ ในบางครั้งสีหน้าของสมิธดูไม่น่าไว้วางใจ ราวกับว่าเขาจะลุกขึ้นมาบีบคอคาโพตี้ได้ทุกเมื่อ แต่ในครั้งถัดมาน้ำเสียงอันเย็นชาของคาโพตี้นั้นดูจะเป็นความเลือดเย็นขั้นกว่าเสียอีก
สิ่งเดียวที่ดูจะจับต้องได้มากที่สุดในหนังก็คงเป็นประโยคที่คาโพตี้พูดไว้ว่า It's as if Perry and I grew up in the same house. And one day he stood up and went out the back door, while I went out the front.
6. Me and You and Everyone We Know (2005, Miranda July, USA)
ศิลปิน ติสต์จ๋า เซอร์แตก ในโลกภาพยนตร์มักพาเข้าใจไปถึงหนังทดลอง หนังอวองการ์ด หรือกระทั่งหนังที่ดูไม่รู้เรื่อง (คนไทยเองก็นิยาม อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ในกลุ่มนี้) ไม่มีใครคิดหรอกว่าคนกลุ่มนี้ ประเภทนี้ จะทำหนังรักได้ แต่ผู้หญิงที่ชื่อ มิแรนด้า จูลาย เธอทำได้แล้ว และทำได้ดีด้วย
เธอทำได้เพราะเธอซื่อสัตย์และจริงใจต่อหนังของตัวเอง ตัวละครที่เธอสวมบทบาท (เธอเล่นเป็นนางเอกเอง) ก็คือตัวแทนของเธอเอง เธอก็คือผู้หญิงติสต์ๆ เซอร์ๆ คนหนึ่งที่รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเป็นเหมือนกัน เธออยากพูดคุย ทำความรู้จัก และสื่อสารกับคนรอบข้างบ้าง ก็แค่นั้น นั่นแหละธีมของหนังเรื่องนี้ จูลายเก่งกาจอย่างเหลือเชื่อในการเขียนบทสนทนาที่ดูเพี้ยนหลุดโลก (ในชีวิตจริงไม่มีใครเค้าพูดกันแบบนี้หรอก) แต่กินใจคนดู เธอยังให้ความหมายพิเศษกับสิ่งธรรมดาสามัญได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งความตายของปลาทอง, รหัสลับของเครื่องหมายวรรคตอน, ประโยชน์ใช้สอยของเครื่องอัดเทป และที่น่าจี๊ดใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น การสื่อสัมพันธ์ผ่าน อึ
Me and You and Everyone We Know เป็นหนังน่ารักๆ เกี่ยวกับเรื่องรักประหลาดโลก ที่เราทุกคนรัก โดยที่ไม่ต้องมีประโยคโหลๆ ว่า ฉันรักคุณ อยู่ในหนัง
เขียนถึง Me and You and Everyone We Know ไว้ ที่นี่
5. The Ring Finger (2005, Diane Bertrand, France)
หนังประเภทหนึ่งที่ผมโปรดมาก แม้จะไม่ถูกบรรจุเป็นแนวหนังอย่างทางการก็คือ หนังเฮี้ยน ไม่ว่าจะ Satyricon ของ เฟลลินี่, Weekend ของโกดาร์ หรือหนังทั้งหลายของเดวิด ลินช์ สิ่งเหล่านี้เป็นที่สุดแห่งความโปรดปรานและหฤหรรษ์ แม้คำว่า ความเข้าใจ จะอยู่ห่างไกลไปหลายกิโลเมตร
หนังฝรั่งเศสเรื่อง The Ring Finger ถูกฉายในเทศกาลบางกอกฟิล์มเมื่อต้นปี 2549 ตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้ ผมแทบจะไม่ขยับตัวเลยสักนิด เหมือนถูกมนต์สะกดบางอย่างยึดตรึงอยู่กับจอภาพตรงหน้า มันคือเรื่องราวความสัมพันธ์อันลึกลับ สยองขวัญ และไม่น่าไว้วางใจ ระหว่างหญิงสาวเท้าสวยที่ทำนิ้วนางขาดกับหนุ่มใหญ่นิสัยประหลาด ประกอบกับลีลาสังวาสประเภทยิมนาสติกประยุกต์ พร้อมด้วยฉากหลังที่เป็นพิพิธภัณฑ์รับฝากของ ที่เจ้าของจะไม่มีวันกลับมาเอาคืน (นี่มันหนังอะไรกัน??)
ความลึกลับของ The Ring Finger ถูกทวีด้วยเพลงประกอบฝีมือ เบธ กิบบอนส์ แห่งวงทริปฮอปในตำนานอย่าง The Portishead ทำนองเพลงที่เนิบนาบ เย็นเฉียบวาบสันหลัง กับเสียงหม่นเจือเสน่ห์ของกิบบอนส์เข้ากันได้ดีอย่างเหนือคำบรรยายกับหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะฉากที่นางเอกโหนชิงช้าอยู่เหนือผิวน้ำทะเล ที่ยังคงติดตาผมมาถึงจนปัจจุบัน
The Ring Finger เป็นหนังเฮี้ยนๆ ที่ชวนลิ้มลอง และดูอันตรายมากที่สุดเรื่องหนึ่ง
4. Climate (2006, Nuri Bilge Ceylan, Turkey)
ในยุคที่วงการภาพยนตร์กระหายหนังสะท้อนสังคม หนังตุรกีเรื่อง Climate ถูกด่าเละไม่มีชิ้นดีในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ด้วยความที่ว่ามันเป็นหนังที่ปัจเจกอย่างสุดขั้ว แถมยังดูเป็นหนังส่วนตัวจนน่าเกลียด เพราะผู้กำกับ Nuri Bilge Ceylan เล่นเป็นพระเอกเอง ส่วนนางเอกก็คือเมียของเขาจริงๆ
แม้หนังของ Ceylan จะบอกเล่าเนื้อเรื่องผ่านละครเพียง 2 ตัวอยู่เสมอ แต่ในหนังเรื่องก่อนอย่าง Distant ก็ยังพอมีประเด็นของการดิ้นรนในสังคมเมืองอยู่บ้าง แต่ Climate ไม่มีนัยทางสังคมประเภทนั้น แต่สิ่งที่ได้มาคือการบอกเล่าเรื่องราวของ มนุษย์ ได้อย่างถึงแก่น หนังเล่าถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนที่แสนจะเปราะบางได้เห็นภาพชัดจนแทบจะเป็นการฉายภาพชีวิตของเรา ใครที่เคยผ่านเรื่องราวแห่งรักร้าวอาจใจสลายคาจอได้อย่างง่ายดายกับหนังเรื่องนี้
ฟังแล้ว Climate ดูจะเป็นหนังฟูมฟาย แต่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง นี่คือหนังประเภท เงียบ-นิ่ง-หลับ ระดับรุนแรง หนังตั้งกล้องนิ่งๆ และใช้ภาพ long take เกือบตลอดเรื่อง เล่าภาพชีวิตตัวละครผ่านฤดูกาลต่างๆ (เหมือนเรื่อง Seasons Change ของเรานั่นแหละ) และภาพภูมิทัศน์-ภูมิอากาศ ก็เป็นอีกหนึ่งความน่าอัศจรรย์ของหนังเรื่องนี้
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดของหนังเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะฤดูกาลไหน จะกี่ฤดูที่ผ่านพ้นไป ราวกับหนังจะบอกเราว่าคนเรานั้นไม่มีทางพบกับความสุขได้เลย
3. Isabella (2006, Pang Ho-Cheung, Hong Kong)
ก่อนหน้านี้ แชปแมน ตู้ เป็นไอ้ตัวตลกใน Initial D, อิซาเบลลา เหลียง คือดาราหน้าสวยที่เล่นหนังโง่ๆ อย่าง Bug Me Not และ The Eye 10 ส่วนแปงโฮชาง ก็เป็นผู้กำกับหนังบ้าๆบอๆ อย่าง Men Suddenly in Black แต่หนังเรื่อง Isabella จะล้มล้างทุกอย่างที่ว่ามา ทั้งสามคนจะพลิกความคิดทุกอย่างที่คุณเคยมีต่อพวกเขา
Isabella คือหนังที่เล่นกับธีมของพ่อลูกชนิดหลอกล่อไปมาตลอดเวลา ความสัมพันธ์ที่อยู่กึ่งกลางเส้นแบ่งของ พ่อลูก กับ คนรัก ถูกเลื่อนซ้ายขวาไปมาตลอดที่หนังดำเนินไป ผู้กำกับแปงเก่งกาจที่คงอารมณ์คลุมเครือตรงนี้ได้อย่างมีเสน่ห์และไม่โจ่งแจ้งจนเกินไป แถมการดึงพลังการแสดงของดารานำทั้งสองออกมาได้นั้นก็เป็นเรื่องน่าปรบมือชนิดไม่ต้องเกรงใจใคร
ความน่าสนใจหนังอีกจุดก็คือ การถ่ายทอดบรรยากาศของเมืองมาเก๊าออกได้อย่างสวยงาม มีเสน่ห์ชวนหลงใหล (ผิดกับ Invisible Waves) แต่ภาพสวยๆ เหล่านี้ไม่ได้มีไว้ให้ดูเพลินเท่านั้น หนังยังมีนัยเรื่องของ มาเก๊า-ฮ่องกง อีกด้วย แต่นี่ไม่ใช่หนังการเมืองซ้ายหรือขวาตกขอบ ที่สุดแล้วมันก็พูดเรื่องของความสัมพันธ์อยู่ดี จะเรื่องของ ชาย-หญิง พ่อ-ลูก เด็ก-ผู้ใหญ่ หรือระหว่างสองประเทศ ก็สุดแต่จะตีความ
อย่างไรก็ดี ขอสารภาพอย่างไม่อายว่า สิ่งที่ดีที่สุดในหนัง คือ ภาพเรียวขาแสนงามของน้องอิซาเบลลา เหลียง จับตาเธอให้ดี เธออนาคตไกลแน่นอน (ถ้าไม่พลาดไปเล่น The Eye ภาค 20 เสียก่อน)
2. Hell (2005, Danis Tanovic, France)
คริซตอฟ เคียลอฟสกี้ คือหนึ่งในผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไตรภาคสามสี Blue, White, Red คือสิ่งที่พิสูจน์ชัดเจนในตัวมันเอง และถึงแม้เคียลอฟสกี้จะล่วงลับไปแล้ว เขาก็ยังทิ้งบทหนังไตรภาคอีกชุดหนึ่งไว้เป็นมรดกแห่งวงการภาพยนตร์ นั่นคือ Heaven, Hell และ Purgatory
Heaven (กำกับโดย ทอม ทึคแวร์ ที่ล่าสุดทำ Perfume) จัดเป็นหนังที่ผมชอบมาก แต่ Hell นั้นยอดเยี่ยมกว่า เพราะเดนิส ทาโนวิค (No Mans Land) ดึงจิตวิญญาณของเคียลอฟสกี้สู่จอภาพยนตร์เกือบทุกช่วงวินาที มันเป็นดั่งบทเพลงสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของเคียลอฟสกี้ เพราะหลายฉากหลายตอนใน Hell ล้วนโยงใยไปถึงหนังของเขาทั้งสิ้น (อย่างเช่น คุณยายที่พยายามเอาขวดทิ้งลงถังขยะ) เรียกได้ว่าทาโนวิก ลอกเลียน ได้อย่างมีชั้นเชิง และเปี่ยมไปด้วยความเคารพรัก
Hell คือหนังประเภทที่สร้างมาเพื่อผมโดยแท้ เพราะคำว่า นรก ย่อมเหมาะสมกับผมมากกว่าคำว่า สวรรค์ มันเป็นหนังที่บอกกับเราว่านรกไม่จำเป็นต้องเกิดเพราะเราเป็นทหารที่ถูกส่งไปรบในอิรัก หรือเป็นคนไข้อัมพาตที่นอนรอนับถอยหลังสู่ความตาย นรกในใจเกิดได้ขึ้นทุกเมื่อ เกิดจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดอย่างคนรอบข้าง เพื่อน และคนรัก
และนรกจาก บุพการี คือ นรกที่เลวร้าย รุนแรง หลอกหลอน และมิอาจหลีกเลี่ยงได้
1. Bashing (2005, Masahiro Kobayashi, Japan)
หากมีคนไทยที่เป็นอาสาสมัครถูกจับเป็นตัวประกันในอิรักและรอดชีวิตกลับมาได้ คงมีคนไปรอรับเขาคนนั้นที่สนามบินอย่างอบอุ่น พวงมาลัยมากมายถูกคล้องจนคอแทบหัก เผลอๆ จะมีรำวงรับขวัญกลับประเทศโชว์ให้ดูด้วย แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่น สิ่งที่รอผู้รอดชีวิตอยู่คือ ป้ายที่เขียนว่า พวกแกมันชอบแส่หาเรื่อง สมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้
ชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นรอดกลับมาจากอิรักเพื่อจะพบว่าที่ประเทศบ้านเกิดนั้นเลวร้ายเสียกว่า เสียงประณามหยามเหยียดเสียดแทงจิตใจ โทรศัพท์ด่าทอถึงความเห็นแก่ตัวที่ทำให้ประเทศชาติเดือดร้อน Bashing นำเหตุการณ์จริงอันน่าสะเทือนใจเหล่านั้นมาถ่ายทอดลงสู่แผ่นฟิล์ม แต่ไม่ใช่ลีลาที่โวยวายหรือฟูมฟาย แต่มันนิ่งลึกและเจ็บปวดอย่างเงียบงัน
เพราะสังคมญี่ปุ่นนั้นไม่เน้นการแสดงออกทางอารมณ์มากนัก โดยเฉพาะเพศหญิงที่ถูกกดขี่มาช้านาน (ดูได้ในหนัง/นิยายเรื่อง Fear and Trembling) ยูโกะ -นางเอกของเรื่อง- ก็ตกอยู่ในสภาวะแบบนั้น อากัปกิริยาในฉากงานศพ และฉากร้องไห้ (ซึ่งปรากฏเพียงครั้งเดียว) ของเธอคือสิ่งที่สื่อความได้ในระดับโลก
ไม่ใช่แค่เพียงความเจ็บปวดเหลือทนของปัจเจกหนึ่งเดียว แต่นี่คือสภาพของโลกหลังยุค 11 กันยายน
เขียนถึง Bashing ไว้ ที่นี่
THE MOVIE YEAR 2006
รายชื่อหนังทั้งหมดที่ได้ดูในปี 2006 โดยเรียงตามลำดับเวลาจากต้นปีไปยังท้ายปี โดยขอย้ำว่าเกรดหนังมาจากความชอบส่วนตัว หาใช่คุณค่าทางศิลปะภาพยนตร์ และเกรดเหล่านี้พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอในภายภาคหน้า
หนังโรง
01. The Promise (2005, เฉินข่ายเก๋อ, จีน, B-)
02. The Family Stone (2005, Thomas Bezucha, B+) 03. Waiting
(2005, Rob McKittrick, C+)
04. Lonesome Jim (2005, Steve Buscemi, B)
05. In Her Shoes (2005, Curtis Hanson, A-)
06. An Unfinished Life (2005, Lasse Hallstrom, A-)
07. Hinokio: Inter Galactic Love (2005, Takahiko Akiyama, ญี่ปุ่น, B)
08. Just Like Heaven (2005, Mark Waters, C+)
09. On One Writes To The Colonel (1999, Arturo Ripstein, เม็กซิโก, B)
10. To Love Too Much (2002, Ernesto Rimoch, เม็กซิโก, B+)
Note No.09-10 : Mexican Film Festival 2006 @ Lido
11. Memoirs of a Geisha (2005, Rob Marshall, B+)
12. Prime (2005, Ben Younger, A)
13. Brokeback Mountain (2005, Ang Lee, A+)
14. Walk The Line (2005, James Mangold, A+)
15. Invisible Waves (2006, เป็นเอก รัตนเรือง, A)
16. The Ring Finger (2005, Diane Bertrand, ฝรั่งเศส, A+)
17. Jonis Promise (2005, Joko Anwar, อินโดเนเซีย, B+)
18. C.R.A.Z.Y. (2005, Jean-Marc Vallee, แคนาดา, A-)
19. Dark Horse (2005, Dagur Kari, เดนมาร์ก-ไอซ์แลนด์, A)
20. Murk (2005, Jannik Johansen, เดนมาร์ก, A-) 21. The Great Role (2004, Steve Suissa, ฝรั่งเศส, C+)
22. Tsotsi (2005, Gavin Hood, แอฟริกาใต้, A) 23. Merry Christmas (2005, Christian Carion, ฝรั่งเศส, A)
24. Once Youre Born You Can No Longer Hide (2005, Marco Tuliio Giordana, อิตาลี, A-)
25. Water (2005, Deepa Mehta, อินเดีย, A)
26. Istanbul Tales (2005, กำกับหลายคน, ตุรกี, A) 27. Cut Sleeve Boys (2006, Ray Yeung, ฮ่องกง-อังกฤษ, A-)
28. The House of Sand (2005, Andrucha Waddington, บราซิล, A+)
29. Kissed by Winter (2005, Sara Johnsen, นอร์เวย์, A)
30. The Great Water (2004, Ivo Trajkov, มาซีโดเนีย, A-)
31. Obaba (2005, Montxo Armendariz, สเปน, A-)
32. The Village Album (2005, Mitsuhiro Mihara, ญี่ปุ่น, B+)
33. Dont Tell (2005, Christina Comencini, อิตาลี, B) Note No.15-33 : Bangkok International Film Festival 2006 @ Paragon Cineplex
34. Transamerica (2005, Duncan Tucker, A+)
35. A History of Violence (2005, David Cronenberg, A+)
36. Immortal (2004, Enki Bilal, A-)
37. The Constant Gardener (2005, Fernando Meirelles, A+)
38. V for Vendetta (2005, James McTeigue, A-)
39. My Boyfriend is Type-B (2005, Choi Suk-Won, เกาหลีใต้, B)
40. Capote (2005, Benett Miller, A+)
41. My Girl & I (2005, Jeon Yun-su, เกาหลีใต้, B-)
42. The Pink Panther (2006, Shawn Levy, B-)
43. Where the Truth Lies (2005, Atom Egoyan, A) 44. Azumi 2: Death or Love (2005, Shusuke Kaneko, C+)
45. Broken Flowers (2005, Jim Jarmucsh, A)
46. Basic Instinct 2 (2006, Michael Caton-Jones, B+)
47. Perhaps Love (2006, Peter Chan, A-)
48. Hell (2005, Danis Tanovic, A+++++)
49. Date Movie (2006, Aaron Seltzer, C)
50. Be With Me (2005, Eric Khoo, A)
51. Always: Sunset on the Third Street (2005, Takashi Yamazaki, A-)
52. Match Point (2005, Woody Allen, A+)
53. Mission: Impossible III (2006, JJ Abrams, B)
54. Off the Map (2003, Campbell Scott, A-)
55. Poseidon (2006, Wolfgang Petersen, B-) 56. Down in the Valley (2005, David Jacobson, A-) 57. Spring Snow (2005, Isao Yukisada, B)
58. The Da Vinci Code (2006, Ron Howard, C+)
59. Kinsey (2004, Bill Condon, A+)
60. X-Men: The Last Stand (2006, Brett Ratner, B+)
61. ก้านกล้วย (2006, คมภิญญ์ เข็มกำเนิด, B)
62. Superman Returns (2006, Bryan Singer, A-)
63. The Year of the Yao (2004, Adam Del Deo + James D. Stern, A)
64. The Wooden Camera (2003, Ntshaveni Wa Luruli, A-)
65. A Stranger of Mine (2005, Kenji Uchida, A-)
66. Conversations with Other Women (2005, Hans Canosa, A+)
67. Summer Palace (2006, Lou Ye, A+)
Note NO.66-67 : Bioscope Theatre @ Bioscope Office
68. The Break-Up (2006, Peyton Reed, B+)
69. แก๊งชะนีกับอีแอบ Metrosexual (2006, ยงยุทธ ทองกองทุน, B-)
70. Sad Movie (2005, Kwon Jung-Kwan, B+)
71. Helen the Baby Fox (2006, Keita Kono, B)
72. โคตรรักเอ็งเลย (2006, พิง ลำพระเพลิง, C-)
73. Jasmine Women (2004, Hou Yong, B)
74. United 93 (2006, Paul Greengrass, A)
75. The Beat That My Heart Skipped (2005, Jacques Audiard, A+)
76. My Summer of Love (2004, Pawel Pawlikowski, A+)
77. Brick (2005, Rian Johnson, A-)
78. An Inconvenient Truth (2006, Davis Guggenheim, A-)
79. Me and You and Everyone We Know (2005, Miranda July, A+)
80. Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (2006, นิธิวัฒน์ ธราธร, A)
81. The Host (2006, Bong Joon-ho, A-)
82. Death Note (2006, Shusuke Kaneko, B+)
83. Blue (2001, Hiroshi Ando, A)
84. The Child (2005, Jean-Pierre and Luc Dardenne, A+)
85. Art of Seduction (2005, Oh Ki-hwan, B-)
86. Konigs Sphere (2002, Percy Adlon, Germany + USA, B)
87. Just Do It (2002, Francesco Apolloni, Italy, B+)
88. First Love (1974, Krzysztof Kieslowski, Poland, A-)
89. Underground Passage (1973, Krzysztof Kieslowski, Poland, A+)
90. Arizona Sur (2005, Miguel Angel Rocca + Daniel Pensa, Argentina, A-)
91. Tale of Three Friends (2006, Abhijit Guha + Sudeshna Roy, India, B-)
92. Personnel (1975, Krzysztof Kieslowski, Poland, A)
93. The Calm (1976, Krzysztof Kieslowski, Poland, A)
94. Tragedy of a Ridiculous Man (1981, Bernado Bertolucci, Italy, B)
95. The Lovers of Marona (2005, Izabella Cywinska, Poland, A)
96. The Spiders Stratagem (1970, Bernado Bertolucci, Italy, A)
97. Short Working Day (1981, Krzysztof Kieslowski, Poland, A)
98. Taking Back the Waves (2005, Nicolaas Hofmeyr, South Africa, B-)
99. More Than 1,000 Words (2006, Solo Avital, Israel, A)
100. Climate (2006, Nuri Bilge Ceylan, Turkey, A+++++)
101. 12:08 East of Bucharest (2006, Corneliu Porumboiu, Romania, A)
102. Chicha tu Madre (2006, Gianfranco Quattrini, Peru, B-)
103. Close to Home (2005, Dalia Hager + Vidi Bilu, Israel, A)
104. Isabella (2006, Pang Ho-Cheung, Hong Kong, A+++++)
105. The Right of the Weakest (2006, Lucas Belvaux, Belgium, A-)
106. Seeds of Doubt (2005, Samir Nasr, Germany, A-)
107. Ode to Joy (2005, Anna Kazejak + Jan Kosama + Maciej Migas, Poland, A)
108. The Dragon House (2005, Jon Garano, Spain, B+)
109. Cease Fire (2006, Tahmineh Milani, Iran, A-)
110. Sketches of Frank Gehry (2006, Sydney Pollack, USA, B)
111. The Caiman (2006, Nanni Moretti, Italy, B)
112. The Battleship Potemkin (1925, Sergei M. Eisenstein, Russia, A-)
Note No. 86-112 : 4th World Film Festival of Bangkok
113. A Soap (2006, Pernille Fischer Christensen, Denmark, A-)
114. The Banquet (2006, Feng Xiaogang, A-)
115. Try to Remember (Se souvenir des belles choses) (2002, Zabou Breitman, B+)
Note No.115 : Bioscope Theatre : Major Cineplex Ekamai
116. Lemming (2005, Dominik Moll, A+)
117. Sugar & Spice: What Little Girls Are Made Of (2006, Isamu Nakae, B+)
118. Death Note 2: The Last Name (2006, Shusuke Kaneko, B)
119. 007 Casino Royale (2006, Martin Cambell, B+)
120. Bashing (2005, Masahiro Kobayashi, A+++++++)
121. The King and the Clown (2005, Lee jun-ik, A)
122. A Big Bang Love: Juvenile (2006, Takashi Miike, B+)
สถิติฮาๆ ของปี 2006
ดูหนังโรงทั้งหมด 122 เรื่อง
เป็นหนังเข้าโรง 71 เรื่อง เป็นหนังเทศกาล 51 เรื่อง
ดูคนเดียว 116 เรื่อง ดูกับเพื่อน 6 เรื่อง ดูกับแฟน 0 เรื่อง
ดูเครือ APEX (ลิโด้-สยาม-สกาล่า) 52 เรื่อง ดูที่ House RCA 8 เรื่อง ดูที่ Paragon 30 เรื่อง (ส่วนใหญ่เป็นเทศกาลหนัง) ดูเครือ Major 12 เรื่อง (ส่วนใหญ่เป็นเทศกาลหนัง) ดูเครือ EGV 14 เรื่อง (ส่วนใหญ่เป็นเทศกาลหนัง) ดูเครือ SF 4 เรื่อง ดูที่ออฟฟิศ Bioscope 2 เรื่อง
Create Date : 16 มกราคม 2550 |
Last Update : 16 มกราคม 2550 2:01:55 น. |
|
35 comments
|
Counter : 6116 Pageviews. |
|
|
|
ในบรรดาหนังที่พี่เมอร์เขียนสิบอันดับ ได้ดูแค่เรื่องเดียวเองเคอะ เรื่อง Me you and everyone we know ยอมรับว่าชอบมากๆ ชอบไอเดียของหนัง และไดอาลอคที่จี๊ดจริงๆ
อยากดูเรื่อง My Summer of Love จริงๆ
ติดใจหนูเอมมิลี่ (ไม่ใช่เอมมิลี่เพื่อนไฮโซพี่นะเคอะ) หลังจากดู The devil wears prada หนูนี่อนาคตอีกใครจริงๆ