All About Lily Chou-Chou – แด่เธอ…บทเพลงแห่งอีเธอร์ (2)
โดย merveillesxx
PART 2 5. แหวกว่ายทุ่งหญ้าสีเขียวใน All About Lily Chou-Chou (เขียนเมื่อ ก.พ. 2548) [SPOILER] 6. เนื้อเพลง + คำแปลภาษาอังกฤษ
แหวกว่ายทุ่งหญ้าสีเขียวใน All About Lily Chou-Chou (เขียนเมื่อ ก.พ. 2548) ประเด็นเพิ่มเติมจากการดูหนังเป็นรอบที่ 4 (ในโรง)
- จากการดูในโรงภาพยนตร์ลิโด้ ในเทศกาล Shunji Iwai’s Love Story ในส่วนของซับไตเติ้ลภาษาไทยทำได้ค่อนข้างดีครับ แต่มีส่วนที่แปลผิดอย่างไม่น่าให้อภัยที่หนึ่งคือ ฉากที่ทซึดะกินข้าวกับยูอิจิ ที่ยูอิจิพูดว่า “ทำไมเธอปฏิเสธซาซากิเสียล่ะ เขาจะช่วยระวังเธอจากโฮชิโนะได้นะ” แต่ผู้แปลใช้ว่า “เขาจะช่วย ‘ตามหาเธอ’ เพื่อโฮชิโนะได้นะ” อันนี้เพราะแปลคำว่า look out = ตามหา ซึ่งที่จริงแปลว่า ‘ระวัง’ (แปลแบบนี้ซาซากิกลายเป็นคนเลวไปเลย)
- หรือฉากที่คนขับรถชาวโอกินาว่าพูดกับพวกยูอิจิว่า “Are you sure you didn’t bring something bad here?” = “เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้เอา ‘อะไรไม่ดี’ มาที่นี่” แต่ผู้แปลกลับใช้ว่า “เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้เอา ‘โชคร้าย’ มาที่นี่” ซึ่งแบบแรกจะ make sense กว่าเพราะ s’th bad ในที่นี้ก็คือเงินที่พวกยูอิจิขโมยมานั่นเอง ...โดยสรุปคือผมชอบซับของร้านพี่คนนั้นมากกว่าครับ
- ฉากที่ชอบผมมากๆอีกฉากคือ ตอนที่ยูอิจิไปค้างที่บ้านโฮชิโนะ ตอนอาบน้ำเขากลับเลือกใช้แชมพูของแม่โฮชิโนะแทนที่จะเป็นของโฮชิโนะ
เวลาในหนัง All About Lily Chou-Chouเวลาในหนังเรื่องนี้แบ่งได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ <----ปัจจุบัน (2000) ----> <-----อดีต (1999) -----><----ปัจจุบัน (2000) ----><----ปัจจุบัน (2001) ----> *ฉากเปิดเรื่อง (Chapter 1 ใน DVD) – ทุ่งหญ้าสีเขียว (ความจริงหรือจินตนาการ?) 1. ปี 2000 (Ch. 2-7) ช่วงแรกของหนังที่แสดงในเห็นชีวิตบัดซบ(ขั้นเบื้องต้น)ของเด็กชายยูอิจิในวัย 14 ปี จุดตัดไปยังช่วงที่ 2 คือหลังจากฉากที่ยูอิจิโดนรุมแกล้ง และตัดเข้าสู่บทสนทนาระหว่างฟิเลียและบลูแคทถึงการ ‘เริ่ม’ สัมผัสถึงลิลี่ ชู-ชู 2. ปี 1999 (Ch. 8-15) เปิดด้วยฉากวันปฐมนิเทศที่โฮชิโนะเป็นตัวแทนกล่าวสุนทรพจน์ ช่วงที่ 2 ว่าด้วยความทรงจำอันแสนหวานและงดงามของ ‘มิตรภาพ’ ยูอิจิในวัย 13 ปีกับเพื่อนสนิทของเขาอย่างโฮชิโนะ ลากยาวไปถึงฉากเที่ยวโอกินาว่า และวันเปิดเรียน 1 กันยายน 1999 วันที่โลกเริ่มเป็นสีเทา = โฮชิโนะกลายเป็นเด็กเกเร 3. (กลับมาที่) ปี 2000 (Ch.16-25) อันเป็นช่วงที่ผู้หญิง-ทซึดะและคุโนะ-เริ่มมีบทบาทต่อหนังมากขึ้น (และตัวละครผู้หญิงก็จะมีผลอย่างรุนแรงต่อชีวิตของตัวละครผู้ชาย ดังเช่นหนังทุกเรื่องของอิวาอิ) สถานการณ์ในหนังจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่ ทซึดะถูกบังคับให้ขายตัว คุโนะถูกข่มขืน ทซึดะกระโดดลงมาตาย จนไปถึง-ฉากไคลแม็กซ์-ยูอิจิแทงโฮชิโนะ 4. ปี 2001 (Ch.26-27) เหตุการณ์หลังจากงานคอนเสิร์ต ยูอิจิในวัย 15 ปี กับการ ‘ลอกคราบ’ เปลือกอีเธอร์ *ฉากปิดเรื่อง (Ch.28) – ทุ่งหญ้าสีเขียวอันเป็นนิรันดร์ (ซึ่งน่าจะเป็นฉากจินตนาการ)
จะเห็นได้ว่าหนังอุ่นเครื่องความหดหู่ในเราก่อนในช่วงที่ 1 แล้วก็นำพาเราไประลึกอดีตอันแสนหวานในช่วงที่ 2 แล้วก็กลับมาเล่าถึงปัจจุบัน-ความจริง-อันโหดร้ายในทันที วิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ยิ่งทำให้เราแสนเจ็บปวดยิ่งนัก มันคือความแตกต่างจนน่ากลัวของอดีตและปัจจุบัน มันคือความน่ากลัวของ ‘เวลา’ ช่วงเวลาเพียง 1 ปีทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป …เราล้วนเข้าใจความรู้สึกของยูอิจิเป็นอย่างดี
ช่วงที่ 1 กราฟอารมณ์ของเราจะตกลงเรื่อยๆ (หมายถึงไปในทางลบ) ช่วงที่ 2 กราฟอารมณ์จะขึ้นเป็นบวกจนถึงจุดสูงสุด ช่วงที่ 3 กราฟจะพุ่งดิ่งลงเหวจนต่ำกว่าช่วงที่ 1 และถึงจุดต่ำสุด ช่วงที่ 4 กราฟจะค่อนข้างคงที่ ฉากปิดเรื่อง กราฟของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน นั่นขึ้นกับกราฟในช่วง 1-4 นี่จะเป็นปลดปล่อยจินตนาการครั้งยิ่งใหญ่ของคุณ (นั่นรวมไปถึงตอนออกจากโรงไปแล้วด้วย)
เรื่องของการแอบชอบกัน อย่างที่เคยว่าไปว่าเรื่องนี้มีการแอบชอบกันไปแอบชอบกันมา ที่ค่อนข้างซับซ้อนพอตัว ดังนี้ ซาซากิ --> ทซึดะ --> ยูอิจิ --> คุโนะ <-- โฮชิโนะ 1. ซาซากิ แอบชอบทซึดะ (เขาบอกกับยูอิจิตอนขี่จักรยาน) 2. ทซึดะน่าจะชอบยูอิจิเธอจึงปฏิเสธซาซากิ (ดูจากฉากในร้านอาหาร) 3. ยูอิจิแอบชอบคุโนะ ข้อนี้เห็นชัด โดย ข้อ 2 และ ข้อ 3 อิวาอิสรุปในประเด็นนี้ไว้ในฉากร้องเพลงประสานเสียง (ยูอิจิแอบมองคุโนะ ทซึดะสังเกตเห็น เธอหันมามองทางยูอิจิ) และบางคนที่อาจจะร่วมรับรู้ด้วยก็คงเป็นโฮชิโนะ (เขามานั่งดูการแสดงด้วย) 4. โฮชิโนะ (เคย) แอบชอบคุโนะ อันนี้จากที่บลูแคท (โฮชิโนะ) เล่าให้ฟิเลีย (ยูอิจิ) ฟังถึง ‘เด็กผู้หญิงที่ชอบเดอบุสซี่’ และฉากเล่นน้ำฝนที่โฮชิโนะไปชนกับคุโนะ …แต่เรามิอาจรู้ได้ว่าโฮชิโนะยังคงความรู้สึกนั้นอยู่หรือไม่ เขาสั่งให้ลูกน้องข่มขืนคุโนะ แต่ผมคิดว่า object ของเหตุการณ์นี้ไม่ใช่คุโนะ แต่เป็นยูอิจิต่างหาก …โฮชิโนะเห็นอีเธอร์สว่างไหวในตัวยูอิจิ และเขาก็กลบฝังมันให้มืดมิด…อีกครั้ง
การกลับขั้ว หนังเรื่องนอกจากจะมีการใช้สิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามหรือมีความขัดแข้งกันมากๆแล้ว ยังมีบางเหตุการณ์ บางฉากที่เป็นการกลับขั้ว-พลิกผันอย่างสุดโต่ง เช่น คนที่เคยคุยกัน ----> ไม่คุยกัน เหมือนคนไม่รู้จักกัน (กรณี โฮชิโนะ & คุโนะ) ความรัก (เคยชอบ) ----> การทำลาย (สั่งข่มขืน) (กรณี โฮชิโนะ & คุโนะ) เหมือนจะเกลียดชัง ----> แอบชอบ (กรณี ทซึดะ & ยูอิจิ) แนะนำให้รู้จักลิลี่ ----> ทำลายลิลี่ (กรณีโฮชิโนะ & ยูอิจิ) เพื่อนรัก ----> ทาส (กรณีโฮชิโนะ & ยูอิจิ) จึงเห็นได้ว่าในแต่ละคู่ แต่ละบุคคล พวกเขาล้วนสร้างอิทธิพลให้แก่กันและกัน และล้วนแต่สร้างความเจ็บปวดให้กัน (แม้แต่กรณีของ ทซึดะ & ยูอิจิ เพราะยูอิจิชอบคุโนะไม่ใช่ทซึดะ) นี่เป็นการย้ำประโยคจากหนังที่ว่า “สิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดมากที่สุดก็คือ เพื่อน คนรัก และครอบครัว” โลกสดใส (1999) ----> โลกสีเทา (2000)
ยูอิจิคือผู้นำสาร ยูอิจิคือผู้นำสารแห่งความรัก เพราะเขาคือคนที่โทรไปนัดให้ทซึดะเจอกับซาซากิบนดาดฟ้า แต่ในขณะเดียวกัน ยูอิจิคือผู้นำสารแห่งความตาย เพราะเขาคือคนพาคุโนะไปยัง ‘แดนประหาร’ (ถ้ายังจำได้ ฉากนี้หลังจากยูอิจิวางโทรศัพท์จากทซึดะ ก็มีอีกสายเรียกเข้ามา ซึ่งน่าจะเป็นโฮชิโนะโทรมาบอกแผนการล่อลวงคุโนะ สังเกตจากหน้าตะลึงอึ้งงันของยูอิจิ) อิวาอิเลือกถ่ายทอด 2 เหตุการณ์นี้พร้อมกัน ซึ่งก่อความรู้สึกอันแปลกประหลาดกับผู้ชม ในขณะที่ดาดฟ้า ความรักกำลังจะงอกเงย ณ ที่ที่ไม่มีใครรู้ ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะถูกทำลาย และผู้ชายคนหนึ่งกำลังหัวใจสลาย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตัลปัตร ความรักของซาซากิและทซึดะไม่เป็นจริง…เพราะใคร ก็เพราะยูอิจิ (ทซึดะชอบยูอิจิ ไม่ใช่ ซาซากิ) ส่วนคุโนะกลับไม่จนต่อชะตากรรม เธอลุกขึ้นใหม่ เธอเริ่มชีวิตใหม่ มันแสดงให้ว่า ยูอิจิ = ผู้ที่อ่อนแอที่สุด คุโนะ = ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด ผู้นำสารเจ็บปวดเพียงใด ฉากที่ยูอิจิร้องไห้...แสดงความรวดร้าวออกมาให้เราประจักษ์ชัดแล้ว
ปีกที่มิอาจโบยบิน ในฉากร้องเพลงประสานเสียง ความรู้สึกทซึดะที่มีต่อยูอิจิอาจจะเริ่มเด่นชัดขึ้นมา เพลงในฉากนี้มีชื่อว่า Tsubasa o Kudasai (Give Me Wings - ให้ปีกแก่ฉัน) หลังจากนั้นหนังก็ทำให้เราเห็นว่าความสัมพันธ์ของทซึดะกับยูอิจิก่อตัวและงอกเงยขึ้น บางที...ทซึดะอาจจะอยากให้ยูอิจิเป็น ‘ปีก’ ให้แก่เธอ (เธอพูดกับเขาในร้านอาหารว่า “ฉันก็มีเธอคอยดูแลให้อยู่แล้วนี่”) แต่ยูอิจิอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นปีกให้กับใคร ยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นกับคุโนะ อีเธอร์ของยูอิจิกำลังสลาย ปีกของเขาขาดละลิ่วหลุดลอยไป ถ้าจำกันได้ หลังจากคุโนะโกนหัว หนังฉายภาพทซึดะกำลังร้องไห้ เธออาจไม่ได้ร้องไห้เพื่อคุโนะคนเดียว เธอกำลังร้องไห้ให้กับตัวเอง เธอกำลังจะยอมจำนนต่อชะตากรรม
อย่างไรก็ตาม ยูอิจิก็ได้ส่งมอบปีกให้กับเธอ นั่นคือ ลิลี่ ชู-ชู ทซึดะฟังเพลงของลิลี่ เธอมองท้องฟ้า เธอมองเห็นว่าวลอยลม เธอยิ้ม เธอหัวเราะ เธอก็ยังเป็นเด็กสาวอายุ 14 (ถ้าจำได้ฉากที่เธอแลกซีดีกับยูอิจิ แผ่นที่เธอฟังอยู่คือ Kinki Kids – วงดูโอสองหนุ่ม ป็อปไอดอลชื่อดังในกลางยุค 90) ฉากเล่นว่าวเป็นดั่งความไร้เดียงสาครั้งสุดท้ายของเธอ ทซึดะพูดว่า “ฉันอยากบินไปบนท้องฟ้าจัง” (ตอนที่อยู่บนดาดฟ้า เธอก็ทำมือเป็นเงารูปนกด้วย) แต่เพลงของลิลี่ ที่เธอฟังอยู่ตอนนั้นคือเพลง TOBENAI TSUBASA (Wings That Can't Fly - ปีกที่มิอาจโบยบิน) “…โปรดกางปีกสีดำของเธอออก กางมันออกทีละนิด ให้เป็นดั่งขั้นบันไดสู่ท้องฟ้า ฟ้าแสนไกลที่มิอาจเอื้อมถึง
ท้องฟ้าสายัณห์สีแดงฉาน สายตาของผู้คนช่างเย็นชา ทันใด...หินก้อนมหึมาจากฟากฟ้า หล่นลงมากระหน่ำซัดร่างกายา
ปีกของฉันมิอาจโบยยินอีกต่อไป…” ทซึดะคิดว่าเธอมีปีก แต่ปีกนั้นมิอาจจะบินได้ หรือความจริง เธออาจจะไม่มีปีกนั่นมาตั้งแต่แรกแล้ว ไร้ปีก มนุษย์ก็ต้องร่วงหล่นสู่ฟื้นดิน
อาจารย์ครับ ได้ยินเสียงของผมมั้ย จะเห็นได้ว่าอีกตัวละครที่มีบทบาทมากก็คือ อาจารย์โอซาไน เธอดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ในเรื่องที่มี ‘โอกาส’ จะเข้าใจพวกเด็กๆได้มากที่สุด อาจจะด้วยเพราะช่องว่างระหว่างวัยที่ยังไม่มากนัก ยูอิจิพยายามจะสื่อสารกับอาจารย์อยู่เช่นกัน เช่น ตอนที่เขาให้เธอหยิบซีดีในกระเป๋าขึ้นมาดู มันแตกแหลกละเอียด เขาบอกกับเธอว่ามันเป็นฝีมือของโฮชิโนะ เด็กวัยอย่างยูอิจิมิอาจแก้ไขอะไรได้ นี่สัญญาบอกว่ามี ‘บางสิ่ง’ ที่เกิดขึ้น นี่ไม่ใช่ห้องเรียนเด็กน่ารักแบบที่อาจารย์เห็นอีกต่อไปแล้ว!
ฉากที่สวยงามที่สุดอีกหนึ่งฉากในหนังคือ ตอนที่อาจารย์กับยูอิจิฟังลิลี่ ชู-ชู พร้อมกันด้วยหูฟังคนละข้าง มันเป็นดั่งการสื่อสารของเด็กและผู้ใหญ่ แต่น่าเสียดายที่แม้เธอพยายามจะเข้าใจ แต่เธอก็ไม่อาจเข้าถึงยูอิจิ และเด็กอีกหลายๆคน มันย้ำเตือนเราว่าโลกสมัยนี้กำลังวิ่งไปไกล เด็กๆกำลังวิ่งนำหน้าเราไป เมื่อใดที่เราพูดว่า ‘เด็กสมัยนี้คิดอะไรของมันนะ’ นั่นอาจจะเป็นการทำร้ายพวกเขาอย่างสุดแสนก็เป็นได้
ลิลี่ ชู-ชู ที่ไม่เคยพบพาน หนังเรื่องนี้เล่าเกี่ยวกับลิลี่ ชู-ชู เธอคือตัวละครที่สำคัญที่สุดในเรื่อง แต่เรากลับแทบจะไม่เห็นเธอเลย ยกเว้นในฉากงานคอนเสิร์ต (แต่ก็เป็นในมิวสิกวิดีโอ ไม่ใช่ตัวจริง) ยูอิจิ คือผู้ที่เฝ้าใฝ่หาอยากจะพบพานกับลิลี่ ชู-ชู มากที่สุด แต่เขาไม่ได้พบเธอ คนที่พรากลิลี่ไปจากยูอิจิก็คือโฮชิโนะ โฮชิโนะผู้แนะนำลิลี่ให้ยูอิจิรู้จัก และโฮชิโนะก็เป็นทำลายลิลี่ออกไปจากใจของยูอิจิ
เมื่อยูอิจิรู้ความจริงว่าโฮชิโนะคือบลูแคท ฉากที่เขาซื้อโค้กกลับมาให้ เราเห็นรอยยิ้มแวบหนึ่งบนหน้าของยูอิจิ เขาคงคิดเล่าความจริงให้โฮชิโนะฟัง เขาอยากเป็นเพื่อนกับโฮชิโนะ เขาอยากกลับไป ‘เหมือนเดิม’ แต่โฮชิโนะทำลายทุกสิ่งให้สูญสิ้น มิตรภาพ-ในอินเตอร์เน็ต-ระหว่างฟิเลียกับบลูแคทจบสิ้นแล้ว และมิตรภาพระหว่างยูอิจิกับโฮชิโนะก็จบสิ้นเช่นกัน ในโลกอินเตอร์เน็ตทั้งสองปลอมประโลมกัน ในโลกแห่งความจริงมีแต่การทำร้ายกัน แต่วันนี้ ไม่มีการแบ่งแยกอีกต่อ โลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นี่คือความจริง นี่คือวิถีแห่งการทำร้าย ยูอิจิกลับสู่โลกแห่งความจริง เขารู้ ‘วิถี’ ของโลกแล้ว
ฉากที่ยูอิจิอยู่หน้างานคอนเสิร์ต จอภาพฉายมิวสิกวิดีโอของ ลิลี่ เพลง Kyoumei (Resonance) ภาพนั้นคือลิลี่ที่เป็นดั่งฑูตสววรค์ที่ลงมาจุติที่โลก แต่แล้วเธอก็ต้องแปดเปื้อนกลับดินโคลน นั่นคือ ความเป็นมนุษย์ (มิวสิกวิดีโอแบบเต็มๆ ดูใน DISC แผ่นที่ 2) ยูอิจิคงตะหนักคิดได้แล้วว่า ลิลี่ก็คือเด็กสาวธรรมดา “อย่าให้เธอเป็นในสิ่งที่เธอไม่ได้เป็นสิ!” แฟนเพลงคนหนึ่งบอกไว้ การที่ยูอิจิยึดลิลี่ เป็นดั่งศาสดา นั่นแหละคือการทำให้อีเธอร์แปดเปื้อน มนุษย์เราต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง มนุษย์ต้องค้นหาและค้นพบอีเธอร์ด้วยตัวเอง ลิลี่บอกให้ ‘หายใจ’ เราต้องหายใจด้วยตัวเอง
และถ้าสังเกตให้ดี เหตุการณ์ในฉากนี้ (Chapter 24) มีชื่อว่า reverie อันแปลว่า ‘ความฝัน’ ดั่งจะตอกย้ำว่าทุกสิ่งทุกอย่างยูอิจิล้วนคิดฝันขึ้นมาเองทั้งสิ้น
ยูอิจิตะโกนร่ำร้องหาลิลี่เป็นครั้งสุดท้าย แม้กระนั้นเธอก็ยังไม่มา แน่นอน...ยูอิจิรู้แก่ใจ นี่อาจจะเป็นยืนด้วยตัวเองครั้งแรกของยูอิจิ เขาตัดสินใจฆ่าโฮชิโนะ โฮชิโนะ ตาย แต่ ยูอิจิ กำลังจะเกิดใหม่ ...ลิลี่ เกิดตอนที่จอห์น เลนนอน ถูกยิงตาย ฟิเลียบอกกับเราไว้
- ในฉากคอนเสิร์ต คุณ Unicorn จากเวบ Lilyphilia ได้แสดงความคิดเห็นในเชิงศาสนาไว้น่าสนใจมาก ดังนี้ If we see Lily as a worshipped goddess, then the final concert is her religious festival, held exactly on the date of her 20th birthday. Hoshino may be interpreted as a human sacrifice to the goddess. He commits the ultimate sin by preventing Yuichi, who is Lily's 'high priest', from attending the religious ceremony. When Hoshino gets really stabbed and dies. The stabbing is also shown metaphorically as a bloodied knife sticking through an apple. The apple is also a symbol of the fall from innocence in Paradise.
เธอคืออีเธอร์แหล่งใหม่ แม้จะบอกว่ามนุษย์เราต้องยืนด้วยตัวเอง แต่ธรรมชาติก็ไม่อนุญาตให้มนุษย์อยู่เพียงลำพัง* ยูอิจิกำลังจะค้นพบอีเธอร์แหล่งใหม่ …ก่อนหน้านั้นเขาบอกอาจารย์ว่าได้ยินเสียง เสียงก้องกังวานในหู ก่อนลิลี่จะค้นพบกับอีเธอร์เธอก็มีอาการเช่นเดียวกัน ปี 2001 อายุ 15 ปี ยูอิจิกำลังเล่นพยายามหัดเล่นเปียโนเพลง ‘อาราเบสก์’ เพลงของเดอบุสซี่ที่คุโนะเล่นเป็นประจำ ฉากสุดท้ายของเรื่อง ดั่งจะบ่งบอกว่ายูอิจิได้ค้นพบอีเธอร์ใหม่ของเขาแล้ว นั่นก็คือ คุโนะนั่นเอง ยูอิจิยืนสดับรับฟังเธอบรรเลงเพลง ‘อาราเบสก์’ เธอจะยังคงเป็นเด็กผู้หญิงที่ชอบเดอบุสชี่ เธอจะยังคงเป็นเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า ที่เขาจะแอบชอบ…ตลอดไป
(*ประโยคของคุณวชิรา ของนิตยสาร Hamburger ฉบับหน้าปก moderndog)
อีเธอร์สีเขียว หนังเรื่องนี้มีสีเขียวเปรอะไปทั้งเรื่อง ลิลี่บอกว่า ‘ลมหายใจ’ คือ อีเธอร์สีน้ำเงิน ‘อีโรติก’ คือ อีเธอร์สีแดง ถ้าเช่นนั้นอีเธอร์ของยูอิจิก็คงจะเป็นสีเขียว เขาฟังเพลง เขาอยู่กับท่วงทำนอง ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี เขาหยอกล้อ จ้องมอง สัมผัส ลูบไล้ปลายต้นข้าว ห้องของยูอิจิตกแต่งด้วยไฟสีเขียว และฉากท้ายๆ เครื่องอบไอน้ำสีเขียว บางทีหลังจาก ‘เกิดใหม่’ ยูอิจิอาจจะมองเห็นความงามที่คนอื่นมองไม่เห็น เช่นเดียวกับลิลี่ที่มองเห็นบางสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น มันเป็นความงามสีเขียว สีของอีเธอร์ สีของยูอิจิ บางทีเขาอาจจะกระซิบบอกความลับกับมัน เหมือนกับที่โจวมู่หวันกระซิบกับรูต้นไม้ หรือบางทีอาจจะเป็นอำลา อีเธอร์เก่า... เพราะเขาได้เกิดใหม่แล้ว อีเธอร์ใหม่กำลังรอเขาอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับลิลี่ ชู-ชู แม้จะแทบไม่เห็นตัวลิลี่ ชู-ชู แต่ชื่อหนังว่า All About Lily Chou-Chou ก็เหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะทุกตัวละครในเรื่องนี้ล้วนเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันด้วยลิลี่ ชู-ชู ทั้งสิ้น คุโนะ --> โฮชิโนะ --> ยูอิจิ --> ทซึดะ ลำดับนี้คือการแนะนำลิลี่ให้รู้จักกันเป็นทอดๆ เริ่มจากคุโนะให้แผ่นวงฟิเลีย (วงเก่าของลิลี่) กับโฮชิโนะ โฮชิโนะแนะนำลิลี่ให้ยูอิจิ (ตอนที่ยูอิจิไปค้างบ้านเขา) ยูอิจิให้ทซึดะยืมลิลี่ไปฟัง
ในฉากตอน end credit ทุกตัวละครไปอยู่ ณ ทุ่งหญ้าสีเขียวอันเป็นนิรันดร์ ลำดับของตัวละครที่ออกมาคือ ยูอิจิ --> ทซึดะ --> โฮชิโนะ นั่นก็คือลำดับของการเข้าถึง ‘ทุ่งหญ้าสีเขียวอันเป็นนิรันดร์’ นั่นเอง ยูอิจิเข้าถึงมันเป็นคนแรก ถัดมาคือทซึดะ เธอน่าจะเข้าถึงมันตอนที่คิดอยากโบยบินสู่ท้องฟ้า โฮชิโนะตามมาทีหลังเพราะก่อนหน้านั้นเขาฟังลิลี่ด้วยความเกรี้ยวกราด พื้นที่ของเขาจึงไม่ใช่ทุ่งหญ้าสีเขียว แต่เป็นพื้นที่รกร้างแห้งแล้ง ส่วนคุโนะไม่ปรากฏ...เพราะอีเธอร์ของเธออาจจะเป็นเปียโน หรืออีเธอร์ของเธออาจจะเป็นตัวเธอเอง เพราะเธอคือคนที่เข้มแข็งที่สุด เธอสมควรกับการเป็นอีเธอร์ให้ผู้อื่นมากกว่า
เพลง Glide ในตอนจบ ดั่งจะบอกถึงความต้องการของเด็กๆเหล่านั้น พวกเขาเพียงอยากจะโบยบินอย่างอิสระเสรี อยากจะออกไปจากที่ๆเป็นอยู่ อยากจะบอกว่า “ฉันยังอยู่ตรงนี้” ณ ทุ่งหญ้าแห่งนั้น ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้หลับไหลแล้ว
-- เกี่ยวกับฉากที่หลอกว่าผูกคอตาย ตอนดูหนังครั้งแรก (จาก VCD) พอถึงฉากที่ว่า จิตใจผมของผมก็แทบจะร้องออกมาเลยว่า "มันเกินไปแล้วนะ! พอแล้ว! พอแล้ว!" โชคดีที่ผกก.อิวาอิ ไม่ใจร้ายขนาดนั้น ถ้าหากหนังจบด้วยการที่ยูอิจิผูกคอตายจริงๆ นอกจาก Lily Chou-Chou จะกลายเป็นหนังที่มืดมนที่สุดของอิวาอิแล้วมันอาจจะติดอันดับหนัง feel bad อันดับต้นๆเลยก็ได้
และถ้าหนังจบแบบนั้นจริงๆ หลังจากดูนั้นเสร็จผมอาจะกระโดดตึกตายโดยทันที (ให้คิดถึงฉากโดดตึกในหนังเรื่อง เดอะ ชัตเตอร์ นะครับ) เพราะผมจำได้ว่าตอนดูครั้งแรก หลังจบ end credit ผมนั่งค้างนิ่งงันอยู่ที่โซฟาประมาณ 5 นาที แล้วในหัวก็มีแต่ความคิดอยาก "โดดตึกตาย" (แต่ยืนยันว่าผมยังอยู่นะ ที่พิมพ์อยู่นี่ตัวผมจริงๆ)
สาเหตุคงเป็นเพราะ ตัวละครในเรื่องที่ผมรู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากที่สุดก็คือ ยูอิจิ ผมกับเขามีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันมาก ดังนั้นถ้ายูอิจิคิดจะตาย ผมก็คงอยากตายตามไปด้วย
ข้อสังเกตอีกนิดนึงคือ เมื่อถึงฉากที่ว่าผู้ชมในโรงก็นิ่งไปแวบนึงทีเดียว (การดูในโรงครั้งนี้เป็นรอบที่ 4 ของผมแล้ว ดังนั้นคราวนี้ผมจึงไปสังเกตปฏิกิริยาของคนในโรงด้วยครับ) แต่ฉากที่เกิด 'ภาวะสูญญากาศ' มากที่สุดในโรงคือฉากที่ทซึดะโดดลงมาตาย (ผู้หญิงข้างหลังผมถึงกับหลุดปากร้องออกมาทีเดียว)
ฉากที่ว่า รุ่นพี่คนหนึ่งของผมบอกว่ามันเป็นฉากที่เศร้าที่สุดแล้ว ผมคาดว่าเธอน่าจะรู้สึกได้มากกับฉากนี้ เพราะเธอฟังภาษาญี่ปุ่นออกด้วย ดังนั้นถ้าเราเข้าใจหมายความของเพลง 'Wing That Can’t Fly - ปีกที่มิอาจโบยบิน' ได้ในขณะที่ภาพขับเคลื่อนด้วยฉากทซึดะเล่นว่าวลอยลม แล้วทันใดเธอก็โดดลงมาตาย นั่นคงเป็นสภาวะหัวใจสลายซ้ำซ้อนเลยทีเดียว...
-- ฉากที่ผมเศร้าสุดๆ อีกฉากก็คือ ฉากที่ยูอิจิร้องไห้ จำได้ว่าตอนดูครั้งแรกผมร้องไห้กับฉากนี้เป็นวักเป็นเวรเลยทีเดียว มันคล้ายกับว่ารู้สึกเศร้าเสียใจการทำร้ายคนที่เรารักน่ะครับ
-- สำหรับนักแสดงในเรื่อง เท่าที่ผมสอบถามมาส่วนใหญ่เขาจะชอบ SHUGO OSHINARI (โฮชิโนะ) กันมากนะครับ ซึ่งบทของเขาใน Battle Royale 2 (2003, KENTA FUKASAKU, D+ ...เป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ผมรู้สึกเสียดายตังค์แบบจริงจัง) ผมคิดว่ามันออกไปทางน่ารำคาญและไร้มิติเหลือเกิน แต่ผมชอบ Hayato Ichihara (ยูอิจิ) เสียมากกว่า (คงไม่มีใครเล่นฉากยืนฟังเพลงท่ามกลางทุ่งหญ้าได้ดีเท่าเขาอีกแล้ว) ส่วนตัวละครฝ่ายหญิงก็ต้องเป็น ยู อาโออิ (ทซึดะ) รู้สึกว่าตอนนี้เธอกำลังดังในญี่ปุ่น ขนาดที่ว่ามี photo book ของตัวเองออกมาด้วย (แต่ความจริงที่ญี่ปุ่นไอ้บ้าหน้าไหนก็ออก photo book กันได้ครับ เป็นเรื่องธรรมดามาก)
-- หนังเรื่องนี้อาจจะคล้ายๆ Kairo (Kiyoshi Kurosawa, 2001, A++++++) ตรงที่พูดถึงเรื่องอินเตอร์เน็ตกับความเหงา จากเรื่อง Kairo ฉากที่ผมชอบมากๆ ก็ตอนที่คอมพิวเตอร์โชว์รูปวงกลมสีขาวเล็กๆวิ่งไปมา "ถ้ามันห่างกันเกินไปมันก็จะตาย แต่หากมันใกล้ชิดจนเกินไปก็จะสูญสลายไปด้วยกัน" ผมว่าประโยคนี้ก็ตรงกับ Lily Chou-Chou เช่นกัน
-- ฉากที่คุโนะถูกข่มขืนก็น่าสนใจเอามากๆ อิวาอิไม่ได้ให้ภาพกับฉากนี้อย่างตรงไปตรงมา แต่กลับใช้เทคนิคภาพจากกล้องวิดีโอและการถ่ายแฮนด์เฮลด์ ซึ่งบางคนบอกว่า HandHELL เพราะมึนหัวสุดๆ (ฮา) ภาพสั่นไหวไปมาทำให้ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศในห้องนั้นและความรู้สึกของคุโนะ (แถมด้วยลูกบ้าของอิวาอิคือใช้เปียโนเพลงคลาสสิกกับขนนกลอยละล่อง*ในฉากข่มขืน!) รวมถึงการเห็นภาพที่ 'ไม่ชัด' ทำให้ผมจินตนาการถึงฉากนั้นได้สยองสุดขั้ว ผมจึงถือว่าความแรงในฉากนี้ดีกรีไม่แพ้ฉากใน Irreversible (2002, กัสแปร์ โนว์, A+) หรอกครับ
*เกี่ยวกับขนนกในหนังของอิวาอิ Picnic (1996, A+) อิวาอิใช้ขนนกสีดำในฉากสุดท้าย All About Lily Chou-Chou ใช้ขนนกสีขาวในฉากข่มขืน
-- เกี่ยวกับประโยคที่นักท่องเที่ยวหนุ่มพูด (ความจริงแรกๆ ตัวละครตัวนี้เหมือนจะมาสร้างเสียงฮาให้เรา แต่กลับเป็นคนละทางเลย) "สำหรับพวกเราแล้ว ธรรมชาติก็อาจจะเป็นเหมือนกับสวนสนุก แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้นแล้ว มันอาจจะเป็นนรกบนดินก็ได้ ...แต่นั่นมันก็เป็นธรรมชาติสำหรับเธอ สำหรับฉันแล้วมันเป็นเรื่องดี ...สถานที่ที่ความเป็นและความตายอยู่ประชิดกัน น่าตื่นเต้นดีใช่มั้ยล่ะ? เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้กลับมาที่นี่บ่อยๆ"
ที่จริงแล้วประโยคข้างต้นก็คือการสรุปใจความทั้งหมดของหนัง วิถีชีวิตของเราอยู่บนเส้นด้ายความเป็นและความตาย และบางทีการอยู่รอดก็ต้องแลกมาด้วยการทำร้ายแก่กัน
ในส่วนนี้ผมก็นึกถึงประโยค(คลาสสิกไปแล้ว) จากนิยาย Norwegian Wood ของฮารูกิ มูราคามิ "ความตายดำรงอยู่ หากมิใช่ภาคตรงข้าม" - เกี่ยวกับวิถีการดำรงอยู่ของมนุษย์ ขอแนะนำหนังญี่ปุ่นเรื่อง 2LDK (A) หนังว่าด้วยผู้หญิงสองคนที่มาอยู่ห้องเดียวกัน และพยายามฆ่ากัน!
*นักท่องเที่ยวหนุ่มในเรื่อง รับบทโดย ทาคาโอะ โอซาว่า พระเอกจากหนังทำเงินถล่มทลายอย่าง Crying out for love, in the center of the world (2004, อิซาโอะ ยูกิซาดะ, A) อ่านที่ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=merveillesxx&month=15-01-2005&group=1&blog=1 (หนังจะเข้าฉายบ้านเราเร็วๆนี้) ล่าสุดเขาก็รับบทเป็นช่างภาพใน Hana & Alice ด้วย (เข้าฉายลิโด้ 10 มีนาคม 2548)
*ไกด์สาวสุด sexy ประจำเกาะโอกินาว่ารับบทด้วย มิวาโกะ อิจิคาว่า ซึ่งเล่นเป็นพี่สาวของนางเอก (โค ชิบาซากิ) ในซีรี่ย์เรื่อง Good Luck (2003, A) ที่เพิ่งอำลาจอ ITV ในบ้านเราไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว (6 ก.พ. 2548 - วันเลือกตั้ง) นี่เอง
*คุณแม่ยังสาวของโฮชิโนะ รับบทโดย อิซูมิ อินาโมริ ซึ่งตรงนี้ก็มีมุกตลกว่าตอนหนุ่มๆ คุยกันบนสะพานถึงแม่ของโฮชิโนะ ตัวละครหนึ่งพูดว่า "แม่ของโฮชิโนะนี่สวยเป็นบ้า หน้าหยั่งกะ อิซูมิ อินาโมริ เลย" สำหรับ อิซูมิ อินาโมริ บ้านเราอาจจะคุ้นหน้าเธอจากซีรี่ย์เรื่อง Long Vacation (A+) และ Beach Boys (เคยฉายทาง ITV)
-- ในวันที่โฮชิโนะได้เปลี่ยนแปลงไป เขากลายเป็นเด็กเกเร วันที่อาละวาดในห้อง เขาซัดเด็กที่ชื่ออินุบูชิ (คนที่ดูโจ๋ๆ ทำผมเดร็ดร็อค) หมอบกระแต ก่อนหน้านั้นอินุบูชิเขาไปจิกผมเด็กที่ชื่อทซึจิ (ที่ไปย้อมผมทองมา) ...ในภายหลังทซึจิก็กลายเป็นลูกน้องของโฮชิโนะ (รวมถึงเด็กๆที่ยืนข้างโฮชิโนะ ตอนที่แกล้งให้อินุบูชิลงไปคลุกโคลน ทุกคนกลายเป็นลูกน้องของโฮชิโนะ)
ปี 2000 ลำดับความสัมพันธ์ กลับกลายพลิกผลัน ยูอิจิจากเพื่อนที่สนิทที่สุดของโฮชิโนะ กลายเป็น 'ทาส' ที่อยู่ชั้นต่ำที่สุด ตามความสัมพันธ์นี้ โฮชิโนะ --> ทซึจิ + เด็กอีกคน --> เด็กสองคน --> ยูอิจิ --> ทซึดะ นอกจากเป็นลูกน้องโฮชิโนะแล้ว ยูอิจิต้องเป็นลูกน้องของ 'ลูกน้องโฮชิโนะ' อีกสองต่อ
หลังจากเหตุการณ์ข่มขืนคุโนะ หนังชี้ให้เห็นว่าไม่มีใครต้องการฝักใฝ่เป็นพวกกับโฮชิโนะอีกต่อไป (จากฉากเด็กๆคุยกันในรถตู้) โฮชิโนะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาเองก็น่าจะรับรู้ถึงความรู้สึกตรงนี้ได้ ในที่สุดหนังก็ฉากให้เห็นว่าเขามีความเจ็บปวดซ่อนอยู่ภายใน ท่ามกลางผืนดินแห้งแล้งว่างเปล่า เขาฟังเพลงของลิลี่อยู่คนเดียว พร้อมเปล่งตะโกนระบายความอัดอั้นออกมาสุดเสียง จะมีใครบ้างที่ได้ยิน? (ฉากนี้ใช้เพลงได้สุดยอดมากๆ นั่นคือการมิกซ์เพลงพื้นบ้านของโอกินาว่าอย่าง Aragusuku เข้ากับเพลงอิเล็กทรอนิกอย่าง AI NO JIKKEN ได้แนบสนิท)
เพลงของลิลี่ที่โฮชิโนะกำลังฟังคือ AI NO JIKKEN (EXPERIMENT IN LOVE - การทดลองรัก) "การทดลองรัก - มันทำให้ฉันสับสน การทดลองรัก - มันทำคุณขบขันหรือไร?" โฮชิโนะอาจจะเคยคิดกลับมา 'ทดลองรัก' ใครสักคนอีกครั้ง แต่เขาทำในสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้ลงไปแล้ว เขาสั่งคนให้ข่มขืนคุโนะ ...การทดลองในครั้งนี้จึง 'ล้มเหลว' ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
หากจะมีใครที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของโฮชิโนะ คนๆนั้นคงเป็นยูอิจิ ฟิเลียเข้าใจบลูแคท ยูอิจิก็น่าจะเข้าใจและรู้สึกได้ถึงความเปล่าเปลี่ยวของโฮชิโนะ ถ้าจำกันได้ในท้ายฉากนี้ เราจะเห็นยูอิจิยืนอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งแห่งนั้นด้วย
โฮชิโนะก็ต้องการใครสักใครเหมือนกัน เขาจึงใช้ 'แอปเปิ้ลเขียว' นัดพบกับฟิเลีย แม้ยูอิจิจะรู้ในที่สุดว่า โฮชิโนะ = บลูแคท เขาน่าจะยังเปิดใจรับโฮชิโนะได้ แต่โฮชิโนะคือคนที่เลือกที่ทำลาย 'โอกาสครั้งสุดท้าย' ของตัวเองลง ...ด้วยมือของเขาเอง การทดลองรักของโฮชิโนะจึงไม่มีวันเกิดขึ้น
-- ความจริงแล้วตามแผนภาพยูอิจิควรจะมีตำแหน่งเหนือทซึดะ แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น ในทางกลับกันทซึดะกลับมีอำนาจมากกว่ายูอิจิ (ดูจากฉากที่เธอเตะยูอิจิ) แต่ภายหลังหนังก็พลิกกลับอีกครั้ง เมื่อยูอิจิคือผู้ที่มีอิทธิพลอย่างรุนแรงกับทซึดะ ยูอิจิทำให้ชีวิตของทซึดะกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็มีค่านัก...
-- ตอนใกล้จบเรื่อง ในที่สุดยูอิจิก็ขอให้คุณแม่ทำสีผมให้ เหมือนกับประโยคตอนต้นเรื่อง ...มันคงได้เวลาที่ยูอิจิจะได้กลับมาใช้ชีวิตเยี่ยง 'วัยรุ่น' ทั่วไปอีกครั้ง แต่งตัว แฟชั่น ย้อมสีผม หลีสาว โดดเรียน อะไรก็ได้... ที่ไม่เหมือนช่วงเวลา 1 ปีที่หายไปในช่วงวัยของยูอิจิ 1 ปีที่โลกเป็นสีเทา
โลกยังคงหมุนไป ชีวิตดำเนินต่อไป แต่โลกของยูอิจิกำลังจะเปลี่ยนสี...
Lyrics Lily Chou-Chou: Kokyu
01. ARABESUKU - ARABESQUE (translated lyrics only) Note- Lily sings this song in OKINAWAN
aoi sora aoi umi tori no uta aoi sora aoi umi minami no tori no uta
shiroi hana ga saku koro musume wa umare moratta hana no namae o musume wa moratta
aoi sora aoi umi tori no uta aoi sora aoi umi minami no tori no uta
shiroi hana ga saku koro musume wa umare moratta hana no namae o musume wa moratta
hana no namae o musume wa moratta
aoi sora aoi umi tori no uta akai hana ga saku koro
ARABESQUE (provisional translation) blue sky blue sea birdsong blue sky blue sea birdsong of the south
when the white flowers blossomed a girl was born the girl was named after the flower
blue sky blue sea birdsong blue sky blue sea birdsong of the south
when the white flowers blossomed a girl was born the girl was named after the flower
the girl was named after the flower
blue sky blue sea birdsong when the red flowers blossom
-------------------------------------------
02. AI NO JIKKEN I see you. You see me. (tooku wo miru) You see me. I see you. (haruka tooku o) I see you. You see me and now
I'm in you. You're in me (eeter no umi) You're in me. I'm in you. (kwooku no soto) I'm in you. You're in me and now
Ai no jikken ga watashi wo mayowaseru Ai no jikken de waratte iru no?
Ai wa mai, ai wa tobu (soshite) Ai wa suru, ai wa kau (soshite) Ai wa seku, ai wa ai wo ai shite 'ru
Life like dead Dead like life
Ai no jikken ga watashi wo mayowaseru Ai no jikken de waratte iru no?
I see you. You see me. (doko ni ikite 'ru) You see me. I see you. (genzai wo ikite 'ru) I see you. You see me and now
EXPERIMENT IN LOVE I see you. You see me. (seeing far) You see me. I see you. (far far away) I see you. You see me and now
I'm in you. You're in me. (the sea of ether) You're in me. I'm in you. (surrounding the quark) I'm in you. You're in me and now
Experiment in love - it confuses me Experiment in love - does it make you laugh?
Love dances, love leaps (and then) Love is made, love sustains (and then) Love is impatient, love makes love to love
Life like dead Dead like life
Experiment in love - it confuses me Experiment in love - does it make you laugh?
I see you. You see me. (Where do you live?) You see me. I see you. (I am living in the present) I see you. You see me and now
--------------------------------------
03. EROTIKKU yume no naka ni hairikonnda imeeji no kakera kara anata ga hoshigatte 'ru mono o sagashi dashite 'ru
koucha no naka ni utsutte 'ru kumotta sora no gurei anata ga mochiagete itte hiru ni tokete 'ta
suki nano wa anata no subete ja nakute kaze no yoo na, kizuato no yoo na, umi no hibiki no yoo na erotikku
ki no nai soburi de hiite 'ru sukeeru no aida kara oto nanoka onngaku nanoka kikoe hajimeru
sono yubi de nanigenaku hiku merodii hajime kara soko ni aru rain nazoru yoo ni kanaderu
shinnda yoo na machi ni hibiku no wa asu no rekuiemu ikite itai to omowanakute mo ...
watashi ga hoshigatte 'ru mono o sagashi dashite yo
sono yubi de nanigenaku hiku merodii, hajime kara soko ni aru rain nazoru yoo ni kanaderu
suki na no wa anata no subete ja nakute kaze no yoo na kizuato no yoo na umi no hibiki no yoo na erotikku
EROTIC From the fragments of an image which entered my dream I am trying to figure out what pleases you:
The grey, cloudy sky, mirrored in the teacup - But as you raised it, the reflection dissolved in daylight.
I don't love everything about you - It's like the wind, like a scar, like the sound of the sea: Erotic.
From among the random scales you are playing A sound, perhaps music, begins to be heard:
In the melody you casually perform with your fingers, A certain pattern may be discerned from the start.
In a city apparently dead, tomorrow's requiem is echoing, Although I feel there is no point in staying alive.
Please try to figure out what pleases me.
In the melody you casually perform with your fingers, A certain pattern may be discerned from the start.
I don't love everything about you. It's like the wind, like a scar, like the sound of the sea: Erotic.
----------------------------
04. Hikousen N/A
Zeppelin
For no reason at all, out in the afternoon streets In the gloomy crowds, I breathe out.. We wanna go
Urges that I have no wish to rid off suddenly emerge Giant zeppelin, launches me to up above
Existence is null Chaos whirls into a maelstrom And life saving kit is useless
From between scissors, I peek out on the streets Giant zeppelin carries me away Essence is still mystery And the now repeats itself Life saving kit is useless So in the rapid fall, fly!
We wanna go.
credit: //delico.myth200.com/salyu/eng/kokyuu.html
----------------------------
05. Kaifuku suru kizu เป็นเพลงบรรเลง
06. HOOWA (Saturation) I miss you, I miss you Ichi-oku-koonenn no hate ni mo todoite
I miss you, I miss you Yonjuu-man-kiro mo saki no tsuki ga warau
I miss you, I miss you Minami kaikisenn de modotte kita nara
I miss you, I miss you Anata no kuchibiru ni chikazuite shimatta Ato ichi-miri ni aru hoowa e no iriguchi
SATURATION I miss you, I miss you Stopping at the end of 100 million light years
I miss you, I miss you Another 400 thousand kilometers away the moon grins
I miss you, I miss you If you had returned by the southern line
I miss you, I miss you Your lips came close Just another millimeter and saturation is reached
----------------------------------
07. TOBENAI TSUBASA (Wings That Can't Fly) kootei ga hizunde mieta shiroi taisoogi ga mieta karasu ga hikuku sora tonda kuroi hane o sukoshi dake wakete kudasai sora ni nobita kaidan soko made te ga todokanai
yuugure no sora wa akaku minna no shisen tsumetaku soshite ookina ishi ga sora kara ochite kite atashi o oshitsubusu
watashi no kokoro ni wa mieta torinokosarete iku mono ga anata no iiwake ya uso wa nan no yaku nimo tatanai garakuta no yoo sora ni nobita kaidan soko made te ga todokanai
yuugure no sora wa akaku minna no shisen tsumetaku soshite ookina kumo ga sora kara orite kite atashi o kakushite iku
kigen naoshite ikiyou sora no kirema kara koboreru hikari ga mata ugoite kuruyo
yuugure no sora wa akaku mou sugu ni kurete shimau dakara tobenai tsubasa o sutetara suteta nara atashi wa maiagarou
dakara tobenai tsubasa o sutetara suteta nara atashi wa maiagarou
WINGS THAT CAN'T FLY the school playground looks distorted the white gym outfits are on display a crow flies low across the sky please stretch your black wings please stretch them out a little a staircase reaching up to the sky no hand can reach that far
the twilight sky is crimson everyone’s gaze is cold then a huge rock comes tumbling from the sky and it crushes me
in my heart there have appeared things left farther and farther behind your excuses your lies have turned useless like garbage
a staircase reaching up to the sky no hand can reach that far
the twilight sky is crimson everyone’s gaze is cold then a huge cloud descends from the sky and wraps itself all around me I must pull myself together and go on living because the lights tumbling out of the gaps in the sky are again flashing at my eyes
the twilight sky is crimson and darkness will fall very soon now that my wings can no longer fly I'll cast them off and when I do I'll walk on air and soar in the sky
now that my wings can no longer fly I'll cast them off and when I do I'll walk on air and soar in the sky
--------------------------
8. Kyoumei (Resonance)
8 Echo (Hollow Stone)
Through the long, winding passages we came to here And after this, we have to still go on Only time quietly registers all
When we grow up, we give up Inside the heart We find so many mirrors
The rapture of meeting you is even more excruciating than the pain of seeing you Because in my heart, there still lies a hollow stone
Born only to exist Is there any other meaning to this? Then what is the so-called 'language of love'?
On the side of the path I see words on a torn poster "Love is here, God is in you..." and it broke off here
In the depth of the Universe, edge of the soul..
The echo that's born in this body/struggles to reach you Echo that transcend the meaning of words, ripples out The rapture of meeting you is even more excruciating than the pain of seeing you Because in my heart, there still lies a hollow stone
credit: //delico.myth200.com/salyu/eng/kokyuu.html
--------------------------
9. Glide I wanna be I wanna be I wanna be just like a melody just like a simple sound like in harmony
I wanna be I wanna be I wanna be just like the sky just fly so far away to another place
To be away from all, to be one of everything
I wanna be I wanna be I wanna be just like the wind just flowing in the air through an open space
I wanna be I wanna be I wanna be just like the sky just fly so far away to another place
I wanna be I wanna be I wanna be just like the sea just swaying in the water so to be at ease
To be away from all, to be one, of everything
I wanna be I wanna be I wanna be just like a melody just like a simple sound like in harmony
Glide – โบยบิน (ถอดความเป็นภาษาไทย โดย merveillesxx)
ฉันอยาก…เป็นแค่เพียงท่วงทำนอง แค่เพียงเสียงบริสุทธิ์ที่คล้องจอง
ฉันอยาก…เป็นแค่เพียงท้องนภา แค่เพียงโบยบินไปสู่อีกจักรา
เพื่อไปจากทุกสรรพสิ่ง เพื่อเป็นหนึ่งในทุกสิ่ง
ฉันอยาก…เป็นแค่เพียงสายลม แค่เพียงโบกสะบัดพัดผ่านทุกแห่งหน
ฉันอยาก…เป็นแค่เพียงท้องนภา แค่เพียงโบยบินไปสู่อีกจักรา
ฉันอยาก…เป็นแค่เพียงท้องทะเล แค่เพียงแกว่งไกวให้ทุกข์ได้ถ่ายเท
เพื่อไปจากทุกสรรพสิ่ง เพื่อเป็นหนึ่งในทุกสิ่ง
ฉันอยาก…เป็นแค่เพียงท่วงทำนอง แค่เพียงเสียงบริสุทธิ์ที่คล้องจอง
----------------------------------
Tsubasa o Kudasai (Give Me Wings) **เพลงในฉากร้องประสานเสียง**
Ima watashi no negai-goto ga Kanau-naraba tsubasa ga hoshii Kono senak ni tori no yoh-ni Shiroi tsubasa tsukete-kudasai
Kono ohzora ni tsubasa wo hiroge Tonde Yukitai-yo Kanashimi no nai jiyuu na sora e Tsubasa hatamekase yukitai
Ima tomi toka meiyo naraba Iranai kedo tsubasa ga hosli Kodomo no toki yume mitakoto Ima mo onaji yume ni mite-iru
Kono ohzora ni tsubasa wo hiroge Tonde Yukitai-yo Kanashimi no nai jiyuu na sora e Tsubasa hatamekase yukitai
ขอ “อีเธอร์” จงอยู่คู่กับท่าน….
Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2548 |
Last Update : 24 กันยายน 2554 8:31:06 น. |
|
54 comments
|
Counter : 11110 Pageviews. |
|
|
|
โดย: merveillesxx วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:2:10:15 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:2:18:53 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:2:22:30 น. |
|
|
|
โดย: it ซียู วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:9:15:19 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:13:52:32 น. |
|
|
|
โดย: agaligo IP: 203.155.192.211 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:10:44:06 น. |
|
|
|
โดย: agaligo IP: 203.155.192.211 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:10:46:55 น. |
|
|
|
โดย: _Uchi_Kansai_ IP: 203.118.67.172 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:18:52:05 น. |
|
|
|
โดย: _Uchi_Kansai_ IP: 203.118.67.172 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:19:04:32 น. |
|
|
|
โดย: Zweet_Daddy IP: 202.176.123.246 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:23:14:53 น. |
|
|
|
โดย: Zweet_Daddy [again] IP: 202.176.123.246 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:23:20:50 น. |
|
|
|
โดย: Dr Syntax วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:2:29:18 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:1:22:54 น. |
|
|
|
โดย: Jan IP: 155.69.5.235 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:14:01:39 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.163 วันที่: 12 มีนาคม 2548 เวลา:4:20:26 น. |
|
|
|
โดย: หนอนน้อย IP: 61.91.68.49 วันที่: 22 มีนาคม 2548 เวลา:15:32:45 น. |
|
|
|
โดย: SaudadE IP: 64.171.1.96 วันที่: 1 เมษายน 2548 เวลา:18:27:59 น. |
|
|
|
โดย: SaudadE IP: 64.171.1.96 วันที่: 1 เมษายน 2548 เวลา:18:31:39 น. |
|
|
|
โดย: สมิงFilm IP: 202.129.45.198 วันที่: 3 เมษายน 2548 เวลา:18:50:42 น. |
|
|
|
โดย: pooky IP: 203.188.6.252 วันที่: 5 พฤษภาคม 2548 เวลา:0:36:54 น. |
|
|
|
โดย: .... IP: 203.151.140.111 วันที่: 6 พฤษภาคม 2548 เวลา:16:26:32 น. |
|
|
|
โดย: Blue Sky IP: 58.9.186.143 วันที่: 6 พฤษภาคม 2548 เวลา:16:39:07 น. |
|
|
|
โดย: KiNgKoNg IP: 133.1.223.72 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:41:10 น. |
|
|
|
โดย: Neuter Lover IP: 125.25.134.152 วันที่: 18 พฤษภาคม 2550 เวลา:16:57:59 น. |
|
|
|
โดย: ตะวัน IP: 81.96.184.77 วันที่: 21 พฤษภาคม 2550 เวลา:6:31:48 น. |
|
|
|
โดย: ผู้ที่สูญเสียอีเธอร์ IP: 58.9.54.144 วันที่: 25 พฤษภาคม 2550 เวลา:3:52:19 น. |
|
|
|
โดย: เมอี้ IP: 125.24.192.12 วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:9:43:48 น. |
|
|
|
โดย: ^(aNaRia)^ IP: 203.131.212.69 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:23:51:43 น. |
|
|
|
โดย: Erotic IP: 61.19.66.225 วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:17:44:04 น. |
|
|
|
โดย: Erotic IP: 61.19.66.225 วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:17:45:50 น. |
|
|
|
โดย: SaADah IP: 124.121.245.254 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:14:13:24 น. |
|
|
|
โดย: คนมาใหม่อีกคน IP: 58.136.207.152 วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:21:05:10 น. |
|
|
|
โดย: คนมาใหม่อีกหนึ่งคน IP: 58.136.207.152 วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:21:18:30 น. |
|
|
|
โดย: PonGT IP: 124.157.201.91 วันที่: 4 สิงหาคม 2551 เวลา:20:39:42 น. |
|
|
|
โดย: BA EN IP: 125.24.0.117 วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:18:24:04 น. |
|
|
|
โดย: nunaet IP: 124.120.221.219 วันที่: 12 ตุลาคม 2551 เวลา:16:56:15 น. |
|
|
|
โดย: cassecou วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:19:32 น. |
|
|
|
โดย: cos IP: 125.24.240.156 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:8:31:07 น. |
|
|
|
โดย: Mijung_devil IP: 125.25.251.71 วันที่: 24 ธันวาคม 2552 เวลา:21:47:07 น. |
|
|
|
โดย: i'm Comment No.49 IP: 172.28.16.201, 58.10.222.216 วันที่: 9 มกราคม 2553 เวลา:21:43:14 น. |
|
|
|
โดย: Tos IP: 115.67.117.70 วันที่: 26 สิงหาคม 2553 เวลา:9:59:32 น. |
|
|
|
โดย: guitar IP: 110.168.108.226 วันที่: 10 เมษายน 2555 เวลา:16:12:24 น. |
|
|
|
โดย: guitar IP: 124.122.177.235 วันที่: 11 เมษายน 2555 เวลา:11:56:45 น. |
|
|
|
โดย: Nurin Shappo IP: 171.96.74.181 วันที่: 5 มีนาคม 2566 เวลา:14:23:30 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ความคิดเห็นที่ 34
สวัสดีค่ะ
ตรงส่วน look out ที่คุณ merveillesxx ว่ามา ดิฉันเบลอค่ะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ก้มๆเงยๆ ลุกไปกรอหนัง วิ่งกลับมาพิมพ์ต่ออยู่หลายรอบจนมึนไปหมด
แต่ดิฉันได้สคริปท์มาอย่างนี้ค่ะ จึงเกิดอาการก่งก๊งแปลโชะเข้าให้
Why did you turn him down?
[i]ทำไมถึงปฏิเสธเขาล่ะ?[/i]
He'd look out for you!
[i]เขาจะตามหาเธอ![i] (บ๊าบ้า...พอส่งงานไปแล้วได้ย้อนมานั่งอ่านที่แปลแล้วก็อยากเอาหัวโหม่งโต๊ะเหมือนกันค่ะ)
He'd fight Hoshino for you!
[i]เขาจะสู้กับโฮชิโนะเพื่อเธอ![i]
He'd be there for you!
[i]เขาจะอยู่กับเธอ![/i]
สรุปคือดิฉันเข้าใจแหละค่ะว่าซาซากิเป็นคนดี แต่ดิฉันเพี้ยนสนิทเลย คิดว่าพลาดอีกหลายจุด (ตัวสะกดพลาดด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้ ดิฉันแปลเสร็จก็ส่งเลยค่ะ ไม่มีโอกาสได้ตรวจทานก่อนด้วยความที่ได้มาแปลแบบฉุกละหุกและเห็นเส้นตายนอนเกยตื้นอยู่เบื้องหน้า จบงานนี้สงสัยเขาคงไม่ให้ดิฉันแปลแล้ว ^^" มันขี้บ่นเหลือเกิน) ทางคุณเจ้าของงานเธอว่าจะมีคนญี่ปุ่นสันทัดภาษาไทยตรวจให้ก่อนลงโรงด้วย คาดว่าก็คงมึนๆอยู่เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ไม่เคยดูหนังอิวาอิมาก่อนค่ะ พอได้ดูแล้วดิฉันก็ชอบหนังเรื่องนี้นะ มันหดหู่เศร้าและเครียดคนละแบบกับ Dancer in the Dark แต่ฉันชอบเรื่องนี้มากกว่าเพราะมันใกล้ตัวกว่าด้วย
จากคุณ : คนแปล - [ 13 ก.พ. 48 12:12:57 A:61.91.178.66 X: TicketID:088038 ]