Kiseki (I Wish) : ปาฏิหาริย์(ไม่)มีจริง
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
Kiseki (I Wish) (2011, Hirokazu Koreeda, A+)
สารภาพว่าตอนเห็นโปสเตอร์ครั้งแรก หวาดผวาหนังเรื่องนี้มาก ด้วยความที่เป็นคนเกลียดเด็กจับใจ แต่ในเมื่อนี่เป็นหนังของ ฮิโรคาสุ โคริเอดะ (ผกก. Nobody Knows, Air Doll) จึงต้องดูตามระเบียบ เพราะตามหนังของเขามาเกือบทุกเรื่อง ซึ่งปรากฏว่าชอบหนังมากๆ
หนังเล่าถึงสองพี่น้องที่ต้องอยู่กันคนละเมืองเพราะพ่อแม่แยกกันอยู่ ต่อมาเพื่อนเล่าให้พระเอกฟังว่ามีคำร่ำลือว่าถ้าไปอธิษฐานตอนที่รถไฟด่วนสายใหม่สวนกันพอดี ความปรารถนาจะเป็นจริง พระเอก, น้องชายและเพื่อนๆ ของพวกเขาจึงวางแผนกันไปจุดที่รถไฟตัดกัน
มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าโคริเอดะมักทำหนังมืดและสว่างสลับกันไป ช่วงครึ่งแรกของการหนังทำหนังจะแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ Maborosi (มืด), After Life (สว่าง), Distance (มืด) แต่จุดเปลี่ยนอยู่ตรงที่ Nobody Knows นอกจากจะหันมาทำหนังที่ใช้สไตล์ของหนังเล่าเรื่องมากขึ้น (ผลงานช่วงแรกมักมีส่วนผสมของสารคดี) ความมืด/สว่างยังแยกกันได้ยาก อย่างหนังครอบครัว Still Walking ที่ฝังลึกไปด้วยอดีตอันน่าเจ็บปวด หรือ Air Doll หนังที่ผิวภายนอกสวยงาม แต่เนื้อในหดหู่เหลือเกิน
Kiseki เป็นหนังที่ออกมาในโทนสว่างอย่างชัดเจน ถึงกระนั้นโคริเอดะก็คุมสัดส่วนได้อย่างดี มันไม่ใช่หนังเด็กสดใสเอาใจคนรักเด็ก แล้วก็ไม่ใช่หนังที่แฉโลกมืดของเด็ก จะว่าไปหนังก็เหมือนส่วนผสมของ Still Walking ในแง่ความเป็นหนังครอบครัว และ Nobody Knows ที่พูดถึงเด็กที่ถูกเหวี่ยงไปมาในโลกของผู้ใหญ่ ดูได้จากว่าความปรารถนาของเด็กๆ ส่วนใหญ่ล้วนมีที่มาหรือเกี่ยวพันกับพ่อแม่ของเขาทั้งนั้น
สิ่งที่ต้องชมโคริเอดะอย่างมากคือ เขาคุมนักแสดงเด็กได้เก่งเหลือเกิน ในขณะที่หนังฝรั่งเศส Tomboy สร้างความเป็นธรรมชาติ ด้วยการให้นักแสดงเล่นกันเอง แล้วนำเสนอคล้ายการตั้งกล้องถ่าย แต่การแสดงของ Kiseki มีการควบคุมทิศทางชัดเจน ส่วนหนึ่งคงมาจากการที่นักแสดงนำทั้งสองเป็นพี่น้องกันจริงๆ กล่าวได้ว่านี่เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ผลักดันความพี่น้องมาสู่การแสดงได้ดีที่สุด นับจาก Eureka (นำแสดงโดย อาโออิ และ มาซารุ มิยาซากิ)
การที่ผู้กำกับเลือกให้เหล่าตัวละครเด็กอยู่ในช่วงวัย ป.5-ป.6 ทำให้หนังน่าสนใจมากขึ้น เพราะเป็นช่วงวัยที่ผู้หญิงจะเติบโตล้ำหน้ากว่าผู้ชายอย่างเห็นได้ชัด การที่หนังมีตัวละครเด็กผู้หญิงที่ดูโตกว่าเพื่อนจึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือ นอกจากนั้นช่วงวัยนี้เป็นการด่านสุดท้ายของความไร้เดียงสา ก่อนจะก้าวข้ามไปรู้จักเรื่องเซ็กซ์ ซึ่งหนังมีประเด็นนี้อยู่จางๆ และน่ารักดี
อันที่จริงหนังมีฉากทำซึ้งที่ออกไปทางคลิเชอยู่เหมือนกัน อย่างตอนที่เด็กคนหนึ่งไปถามคู่ผัวเมียที่อุตส่าห์ให้พวกเขาพักค้างคืนว่า “คุณตากับคุณยายอยากขอพรอะไรมั้ยคะ ฝากหนูไปก็ได้” คุณยายก็ตอบว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน (การที่พวกเด็กๆ มาที่บ้าน) ก็เป็นความปรารถนาของฉันแล้วล่ะ” แต่เมื่อฉากนี้อยู่ในมือผู้กำกับที่คุมจังหวะได้อย่างพอดี มันจึงรอดตัวไปอย่างสวยงาม
แต่ฉากที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุดของหนัง คงหนีไม่พ้นจากฉากมอนทาจก่อนฉากไคลแม็กซ์ และลากยาวไปถึงฉากไคลแม็กซ์ ที่การตัดต่อทำได้แม่นยำ จนอารมณ์ของหนังพุ่งถึงขีดสุด (โคริเอดะรับหน้าที่ตัดต่อด้วยตัวเอง) เป็นฉากที่เรียกน้ำตาได้ไม่ยาก และยิ่งน่าเศร้าเมื่อคิดว่าภายใต้ภาพแห่งความสดใสเหล่านั้น เมื่อเด็กๆ กลับไปที่บ้าน เขาก็จะดำเนินชีวิตตามโลกแห่งความเป็นจริงเช่นเดิม โลกที่ปาฏิหาริย์อาจไม่มีจริง
ป.ล.1 เพลงประกอบของหนังเป็นฝีมือของ Quruli วงป็อปร็อคที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1996 ปัจจุบันมีสมาชิกสองคน พวกเขาออกผลงานมามากมาย เพลงเอนด์เครดิตที่ความยาวเกือบ 7 นาที ชื่อ Kiseki ถูกแต่งมาเพื่อหนังเรื่องนี้โดยตรง
ป.ล.2 Kiseki มีกำหนดฉายที่โรงหนังเฮ้าส์ต้นปีหน้า
Create Date : 02 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 2 ธันวาคม 2554 4:01:39 น. |
|
7 comments
|
Counter : 3427 Pageviews. |
|
|
|