Millennium Mambo แสงไฟแห่งสหัสวรรษใหม่
โดย merveillesxx
ชื่อของผู้กำกับชาวไต้หวันนาม โหวเสี่ยวเสี้ยน (บางแห่งอ่าน โหวเชี่ยวเฉียน) คงเป็นที่คุ้นหูของบ้านเรามากขึ้นหลังจากที่หนังเรื่อง Cafe Lumiere ของเขาเพิ่งเข้ามาฉายในบ้านเราเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และสร้างกระแสได้พอสมควรทีเดียว
ถึงแม้จะเป็นกระแสห้วงนินทราประเภท ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี คาโรงภาพยนตร์ก็ตาม
แท้จริงแล้วหนังเรื่องก่อนหน้าของเขาอย่าง Millennium Mambo ก็เคยมาฉายในบ้านเราที่ลิโด้เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ส่วนดีวีดีของหนังก็ซ่อนคุณงามความดีอยู่ภายใต้หน้าปกสีเลอะๆ และชั้นวางด้านในสุดของร้านแมงป่อง
ณ ตรงนี้ผมขอชักชวนให้ทุกคนไปกวาดล้างดีวีดีเรื่องนี้จากร้านค้าไปไว้ที่บ้านคุณ โดยขอประกันไว้เล็กน้อยว่ามันคงไม่ชวนหลับไหลเท่า Cafe Lumiere ด้วยไสตล์สุดกิ๊บเก๋ของมัน และอย่างน้อยที่สุด หนังเรื่องนี้มี ซูฉี เป็นนางเอก
หลังจากทำหนังที่พูดถึงประวัติศาสตร์แห่งอดีต และการสอดแทรกด้วยประเด็นทางการเมือง เพื่อการมุ่งถามถึง ตัวตน แห่งดินแดน ไต้หวัน มาในหนังร่วมสิบกว่าเรื่อง โหวเสี่ยวเสี้ยนก็ประกาศที่จะเลิกเหลียวแลหลังไปยังอดีตอีกต่อไป จากนี้เขาจะมุ่งสู่ปัจจุบัน ด้วยการทำภาพยนตร์ชุด-ร่วมสมัยที่ว่าด้วยผู้คนหนุ่มสาว และผลงานชิ้นแรกของความคิดนี้ก็คือ Millennium Mambo ที่ออกฉายในปี 2001 ดั่งกับว่าจะเป็นการต้อนรับสหัสวรรษใหม่
หนังเปิดเรื่องด้วยภาพของหญิงสาวที่เดินทอดยาวไปกับอุโมงค์สีทึมทึบ แสงสีจากไฟนีออนหลอกล้อกับตัวละครและสายตาคนดู มุมกล้องเคลื่อนตามเธอไปอย่างแช่มช้าแต่พริ้วไหว และท่วงทำนองอันล่องลอยของเพลงอิเล็กโทรนิกก็ดังขึ้นมา
นี่เราใส่แผ่นผิดไปเปิดหนังของหว่องกาไวหรือเปล่า!?
อย่างไรก็ตาม ฉากเปิดเรื่องนี้ก็คือ เนื้อเรื่องทั้งหมดของหนัง เพราะเราจะติดตาม เธอ ไปตลอดเรื่อง
เสียงบรรยายของหญิงสาว (ใครกันนะ?) บอกกับเราว่าเธอชื่อ วิกกี้ (ซูฉี กับแสดงอันน่าจดจำ) เธออาศัยอยู่กินกับหนุ่มพังค์ที่ชื่อ เฮาเฮา (ไม่ใช่ เชาเชา อันนั้นหมา
แต่จริงๆ เขาก็ซื่อบื้อพอๆ กับหมาพันธุ์นั้นแหละ) ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นการสลับฉากของการ รักแล้วก็เลิก เลิกแล้วก็รัก เป็นแบบนี้สืบต่อมายาวนาน
หนังพาเราเข้าไปสู่ความสัมพันธ์ของทั้งสองที่แสนจะบกพร่องเว้าแหว่ง เฮาเฮาติดยาขนาดหนัก งานการก็ไม่ทำ ซ้ำร้ายยังมีความหึงหวงในระดับที่เกินรับ เขาค้นข้าวของของวิกกี้ กระเป๋าถือ, กระเป๋าสตางค์, ใบเสร็จรับเงิน, การ์ดโฟน หรือแม้กระทั่ง ตัว ของวิกกี้เอง เขาก็จมูกไล่เรียงสำรวจกลิ่นทั่วทุกอณูของร่างกาย เฮาเฮาบอกกับวิกกี้ว่าพวกเขาทั้งสองมาจากโลกที่ต่างกัน ดังนั้นวิกกี้ไม่มีทางที่จะเข้าใจเขาได้ และประโยคนี้ก็ถูกขยายความด้วยตัวหนังเอง โดยเฉพาะฉากที่ทั้งสองอยู่ในห้องด้วยกัน เฮาเฮาเอาแต่หมกอยู่ใน จักรวาลสีฟ้า ของเขา นั่นก็คือห้องที่บรรจุไปด้วยเครื่องสร้างเสียงสังเคราะห์มากมายกับเพลงจังหวะพลังช้างสารที่ถูกเปิดอยู่ตลอดเวลา ส่วนวิกกี้เมื่อกลับถึงบ้านก็มุ่งตรงไปยังห้องนอนทันที แม้จะมีระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าวคั่นกลาง แต่ฉากนี้ก็เหมือนกับว่าทั้งคนสองอยู่ คนละโลก กันจริงๆ
อีกฉากหนึ่งก็คือ ตอนที่เฮาเฮาพาเพื่อนมาเล่นวิดีโอเกมกันเต็มห้อง ตัววิกกี้เองได้แต่ทำหน้าบึ้งตึงเดินเก็บขยะไปทั่วบ้าน เหมือนกับเธอเป็นเพียงดาวดวงเล็กๆ ที่โคจรอยู่รอบจักรวาลของเฮาเฮา
ดินแดนที่เธอไม่มีวันจะเข้าไปถึง
สิ่งที่ห้องนี้อธิบายแก่เราอีกอย่างก็คือ รูปแบบความรักและความสัมพันธ์ของทั้งสอง เพราะฉากที่วิกกี้กับเฮาเฮาอยู่ด้วยกันมักจะเป็นห้องนอนที่ถ่ายผ่านจากกรอบประตูห้องที่เป็นเฟรมภาพที่ชวนอึดอัด แถมเราแทบจะไม่เคยเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันนานๆ ในห้องนี้เลย เพราะผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ใครสักคนก็จะไล่ตะเพิดอีกฝ่ายออกไป หรือวิ่งหนีออกไปจากห้องนี้เสียเอง (ส่วนใหญ่ก็เป็นตัววิกกี้นั่นแหละ)
มันน่าเศร้าที่เฮาเฮาเป็นดินแดนที่วิกกี้เข้าไม่ถึง และเธอก็พยายามจะหนีออกมา แต่เขาก็ตามเธอกลับไปเสียทุกที
ตัวอย่างข้างต้นเป็นหนึ่งในความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ไสตล์อันจัดจ้านของหนังเรื่องนี้ โดยด้านแสง-สีของงานภาพนั้น (อันเป็นฝีมือของ มาร์ก ลีปิงบิง ตากล้องคู่บุญของโหวเสี่ยวเสี้ยน ซึ่งคว้ารางวัลด้านเทคนิคจากคานส์มาได้) จะเห็นได้ว่าหนังเรื่องนี้ให้สีสันที่จัดจ้านสว่างไสวเกินระดับอยู่เสมอ (เช่น ห้องของวิกกี้กับเฮาเฮา, ฉากในผับ) แต่สีเหล่านั้นกับขัดแย้งกับอารมณ์ของตัวละครในเรื่อง (โดยเฉพาะวิกกี้) เพราะพวกเธอและเขาต่างตกอยู่ในอารมณ์สีเทาของความสิ้นหวัง ไร้หนทาง ดูเหมือนว่าสีมากหลายจะสะท้อนถึงอารมณ์ของผู้คนในแง่มุมเดียวคือ ความสับสน
ส่วนในด้านเพลงนั้น หนังก็ได้ Lim Giong นักแต่เพลงชื่อดังของไต้หวันมาเนรมิตเพลงแทรนซ์สุดเฉี่ยวให้ จังหวะเพลงคึกคักปรากฏทั่วอยู่ในหนัง และบางทีก็เหมือนจะมาแบบไร้ที่มาที่ไป แต่ฉากในผับนั้นก็ชวนให้เราสงสัยเหลือเกินว่า ท่ามกลางเพลงแทรนซ์ (อันเป็นเพลงที่สนุกสุดเหวี่ยงที่สุดในสาขาเพลงเต้นทั้งปวง) พวกเขาและเธอทั้งหลายที่ขยับร่างกายแบบไร้สติเช่นนั้น พวกเขามีความสุขจริงหรือ?
ความฉวัดเฉวียนวูบวาบของหนังถูกลดทอนลงไปในช่วงหลังของหนัง หลังจากที่วิกกี้แยกทางอย่างถาวรกับเฮาเฮา เธอหลบไปพักกายพักใจกับแจ็ค นักเลงรุ่นพี่ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้มากกว่าเฮาเฮามากนัก ดูเหมือนความเคลื่อนไหวของหนังก็จะขึ้นกับสภาพจิตใจของวิกกี้ที่ตอนนี้สงบลง แต่ก็ยังค้นหาไคว่ขว้าอะไรบางอย่างอยู่
แต่ฉากที่น่าคิดก็ผ่านสายตาเราอีกครั้ง ในตอนที่วิกกี้เมามายอยู่ในผับ ท่ามกลางแจ็คและพรรคพวกที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดกับปัญหาอะไรสักอย่าง ขณะแจ็คหน้านิ่วคิ้วขมวด วิกกี้กลับทำตัวเป็นเด็กงอแงไม่ยอมกลับบ้าน ฉากนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าวิกกี้ก็กำลังเผชิญกับโลกที่เธอเข้าไม่ถึงอีกครั้ง
และในที่สุดแจ็คก็กลายเป็นคนที่เธอมิอาจจับคว้าไว้ได้
สุดท้ายแล้ววิกกี้ก็ไม่เหลือใครจริงๆ แถมเธอยังไปตกค้างอยู่ในดินแดนต่างบ้านอย่างญี่ปุ่นเสียอีก แต่หนังกลับคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยการพาวิกกี้ออกไปสู่ โลกภายนอก ที่ญี่ปุ่นจะเป็นครั้งแรกที่หนังมีสภาพแวดล้อมของ ที่เปิด เราได้เห็นเธอเดินอยู่ท่ามกลางถนน ได้ต้องกับแสงแดด ไม่ใช่แสงสีจากผับบาร์อีกต่อไป สิ่งเหล่านั้นได้จางหายไปหมดแล้ว
ช่วงท้ายของหนังเปรียบเสมือนการบำบัดความเจ็บปวดด้วยตัวของวิกกี้เอง หนทางที่เธอก็เลือกก็คือ การไปหา เพื่อน สองพี่น้องชาวญี่ปุ่นที่ฮ็อกไกโด ตรงนี้น่าแปลกดีที่สองคนนี้ทำงานเป็นดีเจเปิดแผ่นตามผับ แต่เขาก็ต้องกลับมาที่เยี่ยมคุณย่าที่บ้านเกิดทุกฤดูหนาว บางทีโหวเสี่ยวเสี้ยนอาจจะต้องการบอกกับเราก็ได้ว่า สุดท้ายแล้วบางทีคนเราควรจะให้เวลาที่จะกลับไปสู่รากเหง้าความเป็นมาของตนเอง นั่นคือ เพื่อน บ้านเกิด และธรรมชาติ
ท่ามกลางกองหิมะสีขาวท่วมท้นของเมืองยูบาริ วิกกี้กลับคิดไปถึงเฮาเฮา ในที่สุดเธอก็รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่มีวันเข้าถึงเขาได้ เพราะเขาเป็น มนุษย์หิมะ ที่พอพระอาทิตย์ขึ้นก็จะหายตัวไป และสิ่งที่มนุษย์หิมะจะให้กับมนุษย์ธรรมดาอย่างเธอได้นั้น ก็คงเป็นเพียงความเจ็บปวดที่เหมือนน้ำแข็งที่ทิ่มแทงหัวใจ
แม้จะแสงสีสาดฉายจะหายไปแล้ว แต่ท่วงทำนองของเพลงล่องลอยยังคงแว่วเสียงให้เราได้ยิน เพลงธีมของหนังอย่าง A Pure Person ไม่อาจสื่อความหมายทางภาษาให้ผมรับรู้ได้ แต่มันเหมือนจะเป็นเพลงที่เล่าถึงการใฝ่หาใครสักคนที่บริสุทธิ์เพียงพอที่จะรักและให้ความอบอุ่นกับเราได้
ไม่น่าแปลกใจนักที่เพลงนี้จะถูกเปิดคลออยู่ตลอดเวลา เพราะมันมาจากก้นบึ้งหัวใจของวิกกี้ หญิงสาวที่เราติดตามมาตลอดทาง
โหวเสี่ยวเสี้ยนกับเส้นแบ่งของอดีตกับปัจจุบัน
คำถามแรกที่น่าคิดจากการดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว ก็น่าจะเป็นว่า โหวเสี่ยวเสี้ยนเลิกข้องเกี่ยวเรื่องราวในอดีตแล้วจริงหรือ?
คำตอบนั้นยากที่จะระบุระหว่างใช่หรือไม่ใช่ แต่เราก็พบร่องรอยอะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในประเด็นของการปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมเก่ากับวัฒนธรรมใหม่ จากแต่เดิมที่หนังของโหวมักมุ่งไปยังสภาพสังคมที่ถูกยุคสมัยใหม่บุกเข้ากลืนกิน แต่ใน Millennium Mambo มันกลับว่าถึงสังคมในยุคที่ตกอยู่ในห้วงความสับสนวุ่นวายแบบวัฒนธรรมใหม่ แต่ก็ยังมีความเชื่อมโยงไปถึงวัฒนธรรมเก่าได้
ตัวอย่างที่กล่าวไปแล้วก็คือ เรื่องของสองพี่น้องชาวญี่ปุ่นที่กลับไปงานเทศกาลยูบาริที่บ้านเกิดอยู่เสมอ ถัดมาก็คือ ฉากที่แจ็คสวดมนต์อ้อนวอนถึงพระพุทธให้ช่วยเพื่อนของเขารอดพ้นจากพิษยาเสพติด น่าตลกดีที่นักเลงขาใหญ่อย่างเขากลับมีหิ้งพระเซ็ตใหญ่ตั้งไว้กลางบ้านด้วย
จุดที่เด่นชัดถัดมาถึงการเชื่อมโยงอดีตและปัจจุบันก็คือ เสียงบรรยายของหญิงสาวลึกลับที่กล่าวถึงวิกกี้ในฐานะบุคคลที่สาม เงี่ยหูฟังยังไงแล้วก็ไม่ผิดพ้นไปได้ว่านั่นคือเสียงใสๆ ของซูฉี เช่นนั้นแล้วมุมมองของหนังที่เล่ามาทั้งหมดก็น่าจะเป็นของวิกกี้ในวัยที่เติบโตขึ้น แล้วหันย้อนมามองอดีตของตัวเอง นั่นก็คือ วิกกี้สาวใจแตกที่หนีออกจากบ้านแร่ดตามผู้ชายเฮงซวยไป
ในขณะที่วิกกี้ เหลียวหลัง มองย้อนตัวเองใน 10 ปีที่แล้ว เมื่อสมัย ค.ศ.2001 โหวเสี่ยวเสี้ยนก็ขอสลับบทบาทมา แลหน้า ด้วยการเล่าถึงสังคมไต้หวันในยุคสมัยข้ามพ้นปีรหัสสองพันเป็นต้นไป ตัวแทนของโหวในหนังก็หนีไม่พ้นคุณย่าของสองพี่น้องที่ยืนยันว่าจะอยู่ไปถึง 100 ปี เพื่อรอดูว่าเมืองยูบาริจะเป็นอย่างไรต่อไป โหวก็คงเหมือนคุณย่าที่อยากเฝ้าดูการก้าวไปของหนุ่มสาวไต้หวัน
หลังจาก Millennium Mambo โหวก็หันไปทำหนังทริบิวต์ปรมาจารย์ที่เขาเคารพอย่าง ยาสึจิโร่ โอสุ ผู้คนพากันสงสัยว่าโหวกลับเข้าหาอดีตกาลอีกแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าโหวไม่ได้เอาหนังของโอสุมารีเมค แต่เขาทำโจทย์ที่ว่า หากโอสุยังอยู่สืบมาถึงปัจจุบัน เขาจะทำหนังที่บอกเล่าสภาพครอบครัวของชนชาวญี่ปุ่นออกมาอย่างไร และแท้จริงแล้วโหวก็ได้ทำความเคารพต่อหนังญี่ปุ่นในขั้นเบื้องต้นแล้วใน Millennium Mambo เพราะเทศกาลยูบาริในตอนจบนั้นเป็น เทศกาลภาพยนตร์ ที่ฉายหนังเก่าของญี่ปุ่น
งานล่าสุดของโหวคือ Three Times (ชื่อเก่าคือ The Best of Times) ที่ว่าด้วยความรักของชายหญิงคู่หนึ่ง (จางเจิ้น และซูฉี) ใน 3 ชาติ 3 ภพ ได้แก่ ปี 1911, 1966 และปัจจุบัน แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าไม่จะอย่างไร โหวก็ยังเป็นโหววันยังค่ำ โหวผู้ที่ยังผูกยึดกับกาลเวลาอยู่เสมอ
แม้คนเราจะต้องอยู่กับปัจจุบัน แต่เราก็สามารถเรียนรู้จากอดีตได้ ดูเหมือนจะเป็นประโยคที่หนังในชุด หลังสหัสวรรษใหม่ ของโหวเสี่ยวเสี้ยนบอกกับเรา
Three Times
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราเคยประสบมานั้นได้สูญสลายไปตลอดกาลแล้ว วิธีการเดียวที่เราจะนำมันกลับมาได้ก็คือ การระลึกถึงในความทรงจำ และผมเชื่อว่าภาพยนตร์คือเครื่องมือที่จะบันทึกความทรงจำเหล่านี้ โหวเสี่ยวเสี้ยน
(จาก BIOSCOPE ฉบับที่ 43 หน้า 25)
บทความที่เกี่ยวข้องกับโหวเสี่ยวเสี้ยน
1. CINEMAG ฉบับพิเศษ RISE OF ASIAN MOVIES (โหวเสี่ยวเสี้ยน, มาร์ค หลี่ปิงบิง, Millennium Mambo) 2. หนังสือ เวลาที่เราใช้จ่ายไปด้วยกัน โดย นันทขว้าง สิรสุนทร (Millennium Mambo) 3. BIOSCOPE ฉบับที่ 40 (โหวเสี่ยวเสี้ยน, Cafe Lumiere) 4. PULP ฉบับที่ 21 (โหวเสี่ยวเสี้ยน, Cafe Lumiere)
Create Date : 09 กรกฎาคม 2548 |
|
52 comments |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2548 20:44:48 น. |
Counter : 8114 Pageviews. |
|
|
|
-- หนังโรง
1. War of the World (B+) ทอม ครูส ณ โบท็อกซ์ แอนด์ ดาโกต้า ณ เด็กผี / สปีลเบิร์กยังไม่ใช่เด็กที่โตแล้ว เค้าเป็นแค่เด็กที่อยากจะโต ก็เท่านั้นเอง
2. City of God (A+) ตลก สะเทือน สะท้าน และหดหู่ ในที่สุด
3. Fantastic Four (A-) หนังดีกว่าที่คิดไว้เยอะ (โดยเฉพาะความฮา) ดีใจที่หนังไม่พยายามแอ็คตัวเองเป็นหนังฮีโร่อุดมการณ์แบบ Spiderman
-- หนังแผ่น
Millennium Mambo (2001, โหวเสี่ยวเสี้ยน, A+)
แค่ฉากเปิดก็สุดยอดแล้ว
-- เพลง
ไปคุ้ย USED CD ที่ CD WAREHOUSE สยามดิสมา ได้ทั้งแผ่นเพลงขำๆ อย่าง Holly Vallance - state of mind, แผ่นที่จะซื้อมานานแล้ว แต่ไม่ได้ซื้อเสียทีอย่าง Kylie Minogue - Body Language และ OST. Kill Bill Vol.2 ไปจนถึงเพลงจรรโลงจิตอย่าง Gregorian (ชุดปกเขียวๆ)
-- หนังสือ
ช่วงนี้ได้อ่านหนังสือจบไปสองเล่มครับ
1. Hard-Boiled Wonderland and the End of the World (1985, ฮารูกิ มูราคามิ, A+) นิยายไซไฟในห้วงเหงาระหว่างแดนฝันบิดเบี้ยวและปลายขอบฟ้าแสนไกลของมูราคามิ
2. แดนลงทัณฑ์ + เรื่องสั้นอื่นๆ (Franz Kafka, A+) เพิ่งเคยอ่านงานของคาฟคาเป็นครั้งแรก มึนส์หลายแต้น้อ
-------------------------
สารถึงผู้อ่าน
1. บทความ Millennium Mambo จะเป็นบทความส่งท้ายนะครับ ...ไม่ใช่จะไปเกณฑ์ทหารที่ไหนครับ แต่เดือน ก.ค. นี้จะมีสอบทั้งเดือนครับ (แถมมีหนังน่าดูเยอะด้วย ฮือๆ) แล้วจะกลับมาใหม่เร็วๆนี้ จ้ะ
2. BIOSCOPE เล่มใหม่ มีบทความของผมลงด้วยนะครับ ช่วยอุดหนุนหนังสือ(ของเค้า ไม่ใช่ของผม อิอิ)กันด้วยนะครับ (ออกประมาณวันที่ 12 นี้)