Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
1 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 

ภาพยนตร์ :: ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี ^ ^









กลับมาสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอีกครั้งกับแก๊ง “ปัญญาเรณู”
พร้อมเพิ่มสีสันด้วยสมาชิกใหม่สุดแสบใส แถมยังไปถ่ายทำไกลถึงประเทศอินเดีย
ผลงานโกอินเตอร์สู่แดนภารตะจากทีมผู้สร้าง “ปัญญาเรณู”

กับเรื่องราวความม่วนซื่นในการเดินทางของ “น้ำขิง” และเพื่อนๆ
จากแดนอีสานสู่เมืองพุทธคยาเพื่อสืบทอดศิลปะประจำชาติที่น่าประทับใจ
ไปจนถึงความชุลมุนสุดหรรษาเมื่อต่างเกิดพลัดหลงกันขึ้นโดยไม่คาดคิด

การเดินทางในเมืองที่แตกต่างทั้งภาษาและวัฒนธรรม
กลุ่มเด็กๆ ได้เห็นวิถีชีวิตและประเพณีวัฒนธรรมของอินเดียมากมาย
ความรัก ความสามัคคี รวมถึงมิตรภาพในวัยเด็กที่ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ
ความประทับใจที่คุณจะสัมผัสได้ใน...








































ภาพยนตร์สะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวอีสานส่งผ่านให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ จากเรื่องราวความม่วนซื่นในการเดินทางของ “น้ำขิง” (สุธิดา หงษา) และเพื่อนๆ จากหมู่บ้านชนบทของไทยสู่เมืองพุทธคยา เพื่อไปทอดผ้าป่าและแสดงโปงลาง-วัฒนธรรมพื้นบ้านของภาคอีสานที่วัดไทยในอินเดีย
เรื่องราวสนุกสนานและประทับใจเริ่มต้นตั้งแต่การเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก จนกระทั่งเดินทางไปถึงอินเดีย แต่ในระหว่างที่กลุ่มเด็กๆ พักอยู่ที่อินเดีย ทางวัดได้พาเด็กๆ ไปเที่ยว ขณะนั้นเองที่กลุ่มเด็กๆ เกิดพลัดหลงจากคณะของพระโดยไม่คาดคิด


















เรื่องชุลมุนสุดหรรษาจึงเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มเด็กไทย 7 คน (น้ำขิง, เปเล่, ชิต, เซฟ, พลอย, ภีม, โบ๊ต) ต้องหลงทางในดินแดนที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย และไม่สามารถสื่อสารได้




แต่แล้วโชคชะตาก็นำพาให้พวกเด็กๆ ได้พบกับ “รูปี” (กุ๊ดดู กุมาร) เด็กชายชาวอินเดียที่พยายามจะช่วยเหลือ แม้จะไม่สามารถสื่อสารกันได้ แต่เด็กก็ย่อมเข้าใจในเด็กด้วยกัน ขณะเดียวกันทางกลุ่มพระและคณะทัวร์ก็ออกตามหาเด็กๆ แต่ก็มีเหตุให้ต้องคลาดกันทุกครั้งไป




ความรัก, ความสามัคคี และไหวพริบของเด็กๆ จะช่วยให้พวกเขากลับวัดไทยได้อย่างไร




จากการขุด “รูปู” เล่นสนุกสู่ทริป “รูปี” ตะลุยอินเดีย การผจญภัยในเมืองที่แตกต่างทั้งภาษาและวัฒนธรรม แต่มิตรภาพในวัยเด็กที่ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ จะสร้างความประทับใจให้คุณสัมผัสได้ใน “ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี”



















หลังจากประสบความสำเร็จจาก “ปัญญาเรณู 1 และ 2” ผู้กำกับใจบุญมากความสามารถ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ก็ได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปท่องเที่ยวและทำบุญที่ประเทศอินเดีย งานนี้จึงขอโกอินเตอร์โดยยกกองถ่ายเกือบร้อยชีวิตไปตะลุยแดนภารตะในภาพยนตร์เรื่องใหม่ “ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี” กับเรื่องราวการผจญภัยของแก๊งเด็กบ้านนาที่เกิดพลัดหลงกันขึ้นระหว่างการเดินทางจากแดนอีสานสู่เมืองพุทธคยาเพื่อไปงานบุญครั้งใหญ่ ความชุลมุนสุดหรรษาจึงบังเกิดโดยไม่คาดคิด





















“เรื่องนี้ก็เกิดจากความประทับใจของผมในการเดินทางไปอินเดีย โดยเฉพาะที่พุทธคยา-เมืองที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ระหว่างเดินทางก็เห็นความเป็นอยู่ของแต่ละเมืองที่มีความแตกต่างกัน ก็มีความคิดว่าถ้าเอาเด็กอีสานไปเจอกับเด็กอินเดียให้ลองใช้ชีวิตด้วยกันซิว่ามันจะเป็นยังไง มันน่าจะมีมีข้อคิดอะไรที่ดีๆ ให้กับเราได้ ก็เลยกลายเป็นโปรเจ็คต์หนังตลกใสๆ มีดราม่าชีวิตเข้ามาด้วย ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องตลกมากหรือว่าดราม่ามากๆ มันเป็นเรื่องราวสนุกๆ ของเด็กๆ ที่พลัดหลงกันระหว่างเดินทางในอินเดีย ก็ได้ผจญภัยกันไปกับเรื่องราวที่สนุกสนานน่าติดตามระหว่างเด็กไทยและเด็กอินเดีย หนังเรื่องนี้จะสนุกตรงที่เด็กๆ ไม่รู้เรื่องด้านภาษาและวัฒนธรรมแต่ต้องมาอยู่ด้วยกัน ก็จะเป็นเรื่องของความมีน้ำใจ เรื่องจิตใจของเพื่อนที่ไม่เคยทิ้งกัน”





เมื่อปิ๊งไอเดียเด็ดแล้ว ผู้กำกับบิณฑ์ก็เริ่มเตรียมงานสร้างทันที ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปดูโลเกชั่น, การเขียนบท, การแคสติ้งนักแสดง รวมถึงการประสานงานด้านต่างๆ ซึ่งใช้เวลาเกือบครึ่งปีกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้





“น่าจะประมาณหลังจากปิดกล้อง ปัญญาเรณู 2 ซัก 2-3 เดือนในการเขียนบทและวางตัวละคร และก็การประสานงานทางด้านโน้น สถานที่ก็โอเค ที่ลำบากหน่อยก็คือเรื่องของอากาศ มันสารพัดร้อนมากๆ 50 องศา เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมงานตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปเลย พอถึงที่นั่นปุ๊บเราถ่ายเลย เราไปดูโลเกชั่นมาตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าเราจะมีหมู่บ้านอย่างนี้ วัดอยู่ที่นี่ แล้วเด็กต้องไประหกระเหินเร่ร่อนจากเมืองพุทธคยา ห่างจากที่เราพักซัก 50 กิโล เพราะฉะนั้นการเตรียมงานของเรา เรารู้ว่าเราต้องเซฟอะไร รถบัสต้องกี่คัน รถตู้วันๆ หนึ่งใช้ประมาณสิบคัน ไฟเราไม่ได้ขนไป เราไปทำที่นั่น เราถ่ายกันแบบอย่างนั้นเลย ถ้าเกิดเอาไฟเอาอะไรไปผมว่ามันเป็นเรื่อง แล้วถ้าเช่ามันก็ต้องไปเช่าอีกเมืองหนึ่ง แล้วการเดินทางมาประมาณเกือบ 20 ชั่วโมง มันไม่คุ้ม แล้วเรื่องนักแสดงเด็กอินเดีย เราก็ต้องเอาเด็กอินเดียหลายคนมาแคสดูว่าคนไหนเล่นได้-ไม่ได้ ให้แคสเด็กที่อินเดียไว้รอเราเลย แล้วเราก็จะไปเลือกเองว่าเอาคนไหนๆ ก็เซ็ตเรียบร้อย ก็ประมาณ 3 เดือนกว่าเกือบ 4 เดือนในการเตรียมงานก่อนที่จะต้องไปถ่ายที่นั่น”




โดยในเรื่องนี้ ผู้กำกับมากฝีมือยังคงสร้างสรรค์เรื่องและเขียนบทเองเหมือนเรื่องที่ผ่านมา โดยอิงจากประสบการณ์จริงของตนเองและคนรอบข้างที่เคยไปสัมผัสดินแดนแห่งนี้มาแล้ว บวกกับจินตนาการของผู้กำกับให้ออกมาสนุกสนานอย่างมีสีสัน




“ทั้งหมดผมจะคิดเรื่องเอง เขียนบทเอง กำกับเอง แต่เรื่องราวจะไม่ต่อเนื่องจากภาคที่แล้ว จะเปลี่ยนเป็นเรื่องใหม่เลย แต่ตัวแสดงก็มีทั้งทีมเก่าจากปัญญาเรณูทั้งสองภาคและก็จะมีน้องๆ นักแสดงหน้าใหม่เข้ามาเสริมความสนุก น้องๆ สุดยอดเล่นดีมากๆ คาแร็คเตอร์หลักก็จะเป็นทีมนักแสดงเด็กๆ ทั้งเก่าและใหม่ซึ่งจะรับบทเป็นตัวของเค้าเองทุกคนผมคิดว่าคำว่า ปัญญาเรณู คงเป็นอะไรที่ประทับใจมาตั้งแต่ภาค 1-2 ก็เลยคิดว่าคงไม่ทิ้งเรื่องปัญญาเรณูไป ก็จะเป็น ปัญญาเรณู 3 ตอนรูปูรูปี ที่ไปบุกอินเดียกัน





เรื่องราวก็มาจากตอนที่เราไปประเทศอินเดียแล้วมีพระเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าคนไทยจะเดินทางไปประเทศอินเดียปีหนึ่งหลายสิบล้านคน ไปไหว้พระไปตามสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธเจ้า แล้วเมืองพุทธคยา ที่เราอยู่เป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ที่นั่น เรารู้สึกว่ามันเป็นเมืองที่สำคัญจริงๆ เขาบอกว่าเวลาคนไทยเอารถทัวร์มาทอดผ้าป่าก็จะมีรถบางคันโดนโจรที่ประเทศอินเดียปล้นแล้วเรื่องจริงมีพระองค์หนึ่งที่โดนแทงแล้วปล้นเอาทรัพย์สินไปได้ประมาณ 2-3 ล้านบาท หลายครั้งมาก





เราก็เลยคิดเรื่องราวของเด็กภาคอีสานกับเด็กที่อินเดียมาเจอกัน มีการหลงทางผจญภัยสนุกๆ เกิดขึ้น มีการทอดผ้าป่าทอดกฐินกัน คือพระจากประเทศอินเดียขอผ้าป่ามาที่พระไทย แล้วพระไทยก็เอาไปทอดที่ประเทศอินเดีย แล้วก็มีวัฒนธรรมจากภาคอีสานไปโชว์ที่อินเดียด้วย เราก็เอาเด็กทั้งหมดเดินทางไปประเทศอินเดียเพื่อจะไปโชว์โปงลางศิลปวัฒนธรรมของภาคอีสาน แล้วทางอินเดียจะมีโชว์ระบำแขกโชว์อะไรของเขา เราก็จัดเซ็ตฉากขึ้นมาแบบอลังการที่ประเทศอินเดีย เรื่องตัวประกอบ extra ไม่ต้องห่วงเขามาทีเป็นพันๆ คนเข้ามาดูกัน คือเราทำงานยากมาก แต่ก็ถือว่าโอเคเป็นงานอะไรที่มันแปลกใหม่ของเด็กๆ ภาคอีสาน แล้วเมืองพุทธคยาก็ไม่เคยมีใครไปถ่ายหนังที่นั่นเลย เพราะว่ามันสุดสาหัสสากรรจ์มากจริงๆ”





แม้จะมีการวางแผนการถ่ายทำกันเป็นอย่างดีแล้ว แต่แน่นอนว่าการถ่ายทำในต่างถิ่นต่างแดน ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรมย่อมเกิดอุปสรรคปัญหาทั้งภายในภายนอก ทั้งคาดคิดและไม่คาดฝันขึ้นได้ ซึ่งทางทีมงานจำเป็นต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้การถ่ายทำดำเนินไปได้สำเร็จลุล่วง



































“อุปสรรคในการถ่ายทำอย่างมากก็คือแขกมุง เรารู้กันเลยว่าอินเดียเนี่ยเป็นอะไรที่มุงกันตลอด มีอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็มุงกันตลอด เพราะฉะนั้นเรื่องการทำงานของเราก็ยากมาก นี่คืออุปสรรคจริงๆ ไม่ว่าเราตั้งกล้องตรงไหน พี่น้องชาวอินเดียก็จะมามุงดูการถ่ายทำหนังโบกไม้โบกมือจนบางทีเราต้องทน และพยายามเอาพวกล่ามมาพูดให้ชาวบ้านได้เข้าใจ บางทีเราก็ต้องเอากล้องไปตั้งหลอกเหมือนกับว่าเราจะไปถ่ายตรงด้านนั้น แล้วเราก็รีบถ่ายกันด้านนี้ ต้องทำงานกันแบบนี้เลย ต้องตั้งเป็นสองกอง กองนั้นหลอก กองนี้ถ่ายจริงอะไรแบบนี้




ส่วนเรื่องอาหารการกิน เนื่องจากการทำงานของเราทุกวันมันเร่งรีบ แล้วอากาศมันก็ร้อนมาก บางครั้งการกินน้ำอย่างผลไม้ปั่นหรืออะไรพวกนี้ก็ทำให้บางคนท้องเสียกัน 3-4 วัน ผมเองก็โดนไปด้วยแทบตายทั้งถ่ายทั้งอาเจียน แต่เป็นแค่วันเดียวเพราะเรารู้สึกว่าไม่อยากจะนอนพักเพราะมันทำให้เสียงาน เรื่องป่วยไข้อย่างอื่นไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่ที่เป็นก็เรื่องท้องเสีย อาหารเป็นพิษ เรื่องเกี่ยวกับน้ำ บางครั้งเผลอเอาน้ำวางไว้แมลงวันมาตอม เราก็ไม่รู้ คนเสิร์ฟน้ำก็ไม่รู้ ก็เอามากินกันอะไรอย่างงี้ ก็ต้องคอยระวังกันให้มากขึ้น




ระยะเวลาในการถ่ายทำ ผมตั้งไว้จริงๆ จะไม่เกินประมาณสัก 20 คิวที่ประเทศอินเดีย แต่พอไปถ่ายจริงๆ ก็ประมาณ 27-28 คิว เพราะบางวันเด็กตัวหลักบางคนเล่นไม่ได้ เพราะว่าอากาศร้อนแล้วไม่สบายท้องเสียประจำอะไรประมาณนี้ เราต้องถ่ายฉากอื่นถ่ายเก็บภาพโน้นภาพนี้อะไรกันไป แล้วก็ถ่ายภาคอีสานอีกประมาณสัก 3-4 คิว ก็ตกแล้วเรื่องนี้ก็ประมาณ 30 คิว ซึ่งจริงๆ หนังปกติก็ประมาณ 18-20 ไม่เกินนี้ เราล่อไปสัก 30 คิว มันล่าช้ามาจากอินเดียแล้วทำให้งานเราต้องเพิ่มเพื่อความเหมาะสม รวมๆ แล้วอยู่ที่อินเดียประมาณเดือนครึ่ง แล้วมาถ่ายที่อีสานอีกก็ตกประมาณสองเดือนได้ในการถ่ายทำ




















ผมประทับใจทีมงานและนักแสดงของผมทุกคนซึ่งมีความอดทนอดกลั้นมากๆ อดทนทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้หนังเรื่องนี้ออกมาเสร็จสมบูรณ์ บางคนถ้าเกิดท้อใจหรืออะไรเขาก็คงขอกลับบ้าน แต่นี่เขาอยู่เพื่อหนังเรื่องนี้นี่ประทับใจมาก เราทุกคนพร้อมที่จะสู้ทุกๆ วัน แม้บางวันจะถ่ายมาดึกดื่น เช้ามีถ่ายต่อเค้าก็พร้อมที่จะถ่ายต่อ พร้อมที่จะทำงานกับเรา เป็นความประทับใจของเรา แล้วก็ประทับใจหลายๆ คนที่เป็นคนไทยในอินเดียซึ่งช่วยเหลือเรามาตลอดโดยที่เขาไม่ได้หวังอะไรมากมาย มาช่วยเพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน ผมรู้สึกว่าการไปถ่ายทำครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้เหมือนปาฏิหาริย์ บางสิ่งที่ไม่น่าทำได้ก็ทำได้ เพราะหลายคนบอกว่าการไปถ่ายที่อินเดียไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันยากมาก เป็นเมืองที่กันดารที่สุด เป็นเมืองที่คนมากที่สุด เมืองพุทธคยาแค่นั้นมีคนตั้ง 100 ล้านคนมากกว่าประเทศไทยอีก แต่เราก็สามารถทำงานได้ ผมก็รู้สึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่น และอีกหลายอย่าง ประทับใจมาก พอได้เห็นภาพหนังออกมาก็หายเหนื่อยได้เลย”




ทั้งหมดทั้งมวลในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้ของผู้กำกับฯ เพื่อเผยภาพชีวิตเด็กๆ ต่างชนชั้นในอินเดียกับเด็กบ้านนอกไทยแท้ที่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความน่ารักสดใส สนุกสนาน สร้างรอยยิ้ม และความประทับใจที่ไม่เคยมีภาพยนตร์ไทยเรื่องไหนสร้างมาก่อน




“หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังไทยที่เดินทางไปถ่ายทำไกลถึงพุทธคยา ประเทศอินเดียซึ่งเป็นหนึ่งในสังเวชนียสถานของโลก จุดหมายที่ชาวพุทธทั่วโลกต้องไปเยือนสักครั้ง ภาพที่หนังถ่ายทอดออกมาสื่อสารเรื่องราวความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จะได้เห็นวิถีชนบท ได้เห็นถึงวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเห็น และสถานที่สวยแปลกตาอีกมากมาย โดยไม่ต้องคิดซับซ้อนมากมาย และยังคงสไตล์ปัญญาเรณูแบบโกอินเตอร์ มันจะมีภาษาอีสานแล้วก็ภาษาอังกฤษ ภาษาอินเดียปะปนกันไปด้วยความเหมาะสมของท้องเรื่อง ก็จะมีทั้งเรื่องเกี่ยวกับชีวิต ความสนุกสนานเฮฮาที่จะให้ข้อคิดกับเด็กๆ และอีกหลายๆ คนที่อาจไปตกระกำลำบากอยู่ต่างประเทศ เรื่องนี้ก็จะให้ข้อคิดดีๆ ที่จะให้คนได้จดจำได้เลยครับ ผมเชื่อว่าเด็กๆ ในเรื่องนี้จะทำให้ท่านยิ้ม หัวเราะ และประทับใจได้ไม่ยากเลยครับ”
















“น้ำขิง” (ด.ญ.สุธิดา หงษา)





“น้ำขิง” (ด.ญ.สุธิดา หงษา) - เด็กหญิงบ้านนา ใจกล้า แก่นแก้ว มีความเป็นผู้นำอยู่สูง เป็นหัวโจกของกลุ่มเพื่อนในการผจญภัยในอินเดีย จนทำให้เจอกับเหตุการณ์ต่างๆ อันไม่คาดคิด เรื่องรักไม่ยุ่ง มุ่งแต่ตะลุยอินเดียหาทางกลับบ้านให้ได้




“เรื่องนี้หนูรับบทคล้ายๆ กับตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะ จะเป็นหัวหน้ากลุ่มคอยพาเพื่อนไปเฮไหนเฮนั่น จะแสบๆ ซ่าๆ เป็นคู่ปรับกับพี่เปเล่ในเรื่อง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หนูไปอินเดียค่ะ ตื่นเต้นมากค่ะ กลัวร้อนมากก็เลยเตรียมกันแดดไปเยอะมาก แต่พอไปถึงจริงๆ ก็ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่นะคะ เล่นหนังเรื่องสนุกมากค่ะ ได้ไปเที่ยวอินเดียด้วยแล้วก็ได้เพื่อนใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย หลายคนอาจสงสัยว่าชื่อหนังหมายถึงอะไร รูปูก็คือรูปูที่เด็กอีสานชอบขุดเล่น ส่วนรูปีก็คือเงินตราของประเทศอินเดีย ผู้กำกับก็คิดอยู่นานว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร รูอะไรดีนั่งคิดอยู่ 3-4 วันคิดได้ว่าไปอินเดียเงินตราก็เป็นของอินเดีย คิดไปคิดมาลุงท็อปเขาก็คิดได้ว่าต้องเป็นรูปุรูปี คือจะเป็นเหมือนเด็กอีสานกับเด็กอินเดียมาเจอกัน มันจะเกิดอะไรขึ้น ต้องดูค่ะ”










“เปเล่” (ด.ช.บุญฤทธิ์ จันทร์แก้ว)






“เปเล่” (ด.ช.บุญฤทธิ์ จันทร์แก้ว) - เป็นพี่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม คาแร็คเตอร์เปิ่นๆ เชยๆ แต่ค่อนข้างหงุดหงิดง่าย และฉลาดแกมโกงนิดหน่อย ไม่ค่อยจะสนใจเพื่อนในกลุ่มนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ยอมรับความคิดเห็นของเพื่อนรุ่นน้องถ้ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นคู่ซี้ปึ้กกับชิต ไปไหนไปกันตลอด




“ภาพที่คิดไว้ในหัวกับตอนที่ไปเจอจริงๆ ผิดกันมากเลยครับ แตกต่างฟ้ากับเหวเลย นึกว่าเมืองที่ไปจะสวยงามน่าอยู่ แต่ไปถึงแล้วมันกันดารมากเลยครับ แต่มันก็มีหลายสถานที่ที่ทำให้สงบได้แม้จะมีผู้คนเยอะแยะวุ่นวายก็ตาม หนังเรื่องนี้จะทำให้เห็นถึงมิตรภาพของกลุ่มเด็กๆ ที่แม้จะต่างภาษาและวัฒนธรรม แต่ก๋สามารถเชื่อมถึงกันได้ครับ”










“ชิต” (ด.ช.วิชิต สมดี)



“ชิต” (ด.ช.วิชิต สมดี) - เด็กชายผู้เงียบขรึม ไม่ค่อยพูดอะไรมากมาย เพราะกลัวคนจะฟังไม่รู้เรื่อง เป็นคนรักเพื่อนพ้อง และเสียสละ เป็นคู่หูกับเปเล่ เพราะอาศัยอยู่วัดเดียวกัน
“ตื่นเต้นและสนุกดีครับได้ไปถ่ายหนังกับเพื่อนๆ ที่อินเดีย ได้เห็นลูกเห็บเป็นครั้งแรก มันเหมือนน้ำแข็งตกลงมาจากฟ้าเลยครับ เล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 3 แล้ว ผมก็กล้าขึ้นและสนุกขึ้นด้วยครับ”









“โบ๊ต” (ด.ช.ปกรณ์ ผ่องศรี)






“โบ๊ต” (ด.ช.ปกรณ์ ผ่องศรี) - จิ๋วแจ๋วภารตะฮัดช่า เล็กพริกขี้หนูที่สุดในกลุ่ม เป็นเด็กที่ตีโปงลางได้เก่งที่สุด เป็นเด็กที่มีความคิดอ่านดี มองโลกในแง่ดี และคอยออกความคิดนำพาแก๊งไปตะลุยอินเดียอย่างไม่สิ้นหวัง



“เล่นหนังเรื่องแรกสนุกมากครับ ได้เพื่อนใหม่ๆ ได้ไปเที่ยวอินเดียครั้งแรกด้วยครับ มีฉากผจญภัยสนุกๆ หลายฉากเลยครับ อย่างฉากอาบน้ำนี่ เราไม่รู้ว่าเป็นน้ำ 4 วรรณะที่เค้าใช้อาบกันมาจากชั้นบนๆ ครับ พวกผมก็กระโดดลงไปเล่นอย่างเย็นสบาย พอมารู้ว่าเป็นน้ำที่เค้าใช้แล้วสกปรกก็รีบกระโดดขึ้นมาจากสระเลยครับ”










“เซฟ” (ด.ญ.ศศิธร อัปมานะ)




“เซฟ” (ด.ญ.ศศิธร อัปมานะ) - เด็กหญิงหน้าตาสวยงาม น่ารักสดใส เป็นคนมองโลกในแง่ดี เป็นตัวกลางประสานระหว่างเพื่อนคนไทยกับอินเดีย เพราะสื่อสารภาษาอังกฤษได้รู้เรื่องที่สุดในกลุ่ม เลยต้องเป็นไกด์นำเพื่อนๆ ไปผจญภัยตามที่ต่างๆ เพื่อหาทางกลับบ้านให้ได้



“ดีใจค่ะที่ได้ไปต่างประเทศครั้งแรก แล้วเราก็รู้สึกเสียใจนิดหนึ่งด้วยว่าทำไมประเทศเขายากจน ประทับใจที่ได้แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม หนูอยากให้ไปดูการผจญภัยของเด็กๆ ได้ประสบการณ์ ความคิด เพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องที่ดีๆ ทุกคนเลย สนุกดีค่ะที่ได้เข้ามาทำงานในกองถ่ายเป็นครั้งแรก”











“ภีม” (ด.ช.ธงรบ ดีเมืองปัก)




“ภีม” (ด.ช.ธงรบ ดีเมืองปัก) - เป็นคนเงียบๆ ชอบสนุกสนานกับเพื่อนๆ แต่แล้วก็หลงทางไปกับเพื่อน เป็นคนพูดน้อย ชอบอยู่ในกลุ่มเพื่อน ไม่ตีตัวออกห่างจากกลุ่ม



“เรื่องแรกเลยครับ ทั้งตื่นเต้นทั้งสนุก แต่คาแร็คเตอร์จะไม่ค่อยเหมือนตัวจริงนะครับ เพราะตัวจริงจะเป็นคนพูดมาก ซนนิดหน่อย ไปอินเดียครั้งแรกก็รู้สึกรักประเทศไทยขึ้นมาเลย เพราะประเทศเขามันยากจนมาก กันดาร แต่มีความสนุกที่ได้ไปถ่ายหนังกับเพื่อนๆ ครับ”










“พลอย” (ด.ญ.พิมพ์รพี ดีเมืองปัก)






“พลอย” (ด.ญ.พิมพ์รพี ดีเมืองปัก) - เด็กหญิงอ้วนท้วนสมบูรณ์ เป็นคนกล้าแสดงออก แต่เป็นคนอ่อนไหว ขี้แง ร้องไห้ง่าย


“รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เล่นหนังเป็นเรื่องแรก ไม่รู้ว่าเราจะทำได้ไหม แต่สุดท้ายแล้วก็ผ่านไปด้วยดี หนังเรื่องนี้เป็นความสนุกสนานที่ครบรส จะเป็นความสนุกที่เป็นกันเอง แล้วหนังเรื่องนี้ก็จะเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยของเรากับวัฒนธรรมอินเดียจะจะเห็นมิตรภาพความรักความสามัคคีของเด็กๆ ที่ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะด้วยค่ะ”




“รูปี” (กุ๊ดดู กุมาร)







“รูปี” (กุ๊ดดู กุมาร) - เด็กชายอินเดียหน้าตาท่าทางซื่อๆ มีเสน่ห์ที่รอยยิ้มหวานๆ ฟันขาว ตาโต สดใส เป็นเด็กยากจนแต่มีน้ำใจมากๆ คอยช่วยเหลือเด็กไทยให้หาทางกลับบ้านให้ได้ แม้จะสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม แต่ก็ไม่อาจขวางกั้นมิตรภาพอันงดงามครั้งนี้ได้


“ดีใจมากครับที่ได้เล่นหนังครั้งแรก ตอนที่แคสติ้งก็ไม่คิดว่าจะได้เล่น พี่ๆ ทีมงานบอกให้ทำอะไรผมก็ทำตามครับ ก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ คนไทย และคอยแนะนำเพื่อนๆ ว่าที่พุทธคยานั้นมีอะไรน่าสนใจบ้างครับ เพื่อนๆ น่ารักทุกคน วันไหนที่ผมไม่มีคิวถ่าย ผมก็จะไปเที่ยวเล่นในกอง พอหนังถ่ายเสร็จ ทุกคนบินกลับ ทำให้ผมคิดถึงเพื่อนๆ มากครับ ผมอยากดูหนังเรื่องนี้เร็วๆ ครับ”



















ฉากในตลาด - เป็นอะไรที่ยากมากๆ เพราะคนมามุงดูกันเป็นหมื่น เราต้องใช้กล้องแอบถ่ายไม่ให้ใครเห็นกล้อง ก็โอเคได้ภาพที่ดี นี่คือฉากที่ใช้คนเยอะมากในตลาดเมืองพุทธคยา ใช้คนเยอะมากแต่ไม่ได้จ้างเพราะเราแค่บอกว่าถ่ายหนัง เค้าก็มากันแล้ว เราเอากล้องแอบไว้บนหลังคาตึก ก็ได้ภาพแบบธรรมชาติ ถ้าเค้ารู้ว่ากล้องอยู่ไหนเค้าก็อยากออกกล้อง













ฉากไฟไหม้ - เป็นฉากที่พวกโจรมาปล้นเผาบ้านเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ไม่ได้ทำร้ายผู้คน ฉากนี้ต้องใช้ม้าใช้คน ทำงานค่อนข้างลำบาก เราเซ็ตบ้านทั้งหมด 12 หลัง แต่มีปัญหากับชาวบ้านเพราะเค้าไม่ให้เผา เค้ากลัวว่าไฟจะติดบ้านเค้า ต้องเอาผู้ใหญ่มาเคลียร์ ก็ยังไม่ให้เผา แต่เราก็เผา พอเผาตรงไหนเค้าก็เอาน้ำมาดับ หงุดหงิดมาก แต่ก็โอเคถ่ายได้จนจบ












ฉากอาบน้ำ 4 วรรณะ - เป็นอีกฉากที่ถ่ายทำค่อนข้างลำบาก ต้องเซฟพวกเด็กๆ เพราะว่าต้องลงไปเล่นน้ำจริงๆ ที่ผ่านการอาบมาแล้ว 3 ชั้น ลงมาชั้นที่ 4 น้ำเก่าๆ ที่ใช้แล้ว เราก็ต้องเซฟเด็กเดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นอะไร มันเป็นความเชื่อเรื่องวรรณะ ทุกวันนี้พวกคนจนขอทานก็ยังอาบน้ำวรรณะที่ 4 อยู่ เราก็อยากจะให้ดูว่ายังมีสิ่งเหล่านี้อยู่บนโลกใบนี้นะ











ฉากเทศกาลโฮลี่ - เหมือนสงกรานต์บ้านเรา แต่เป็นสงกรานต์สี เป็นฉากที่สร้างสีสันสวยงาม เค้าก็เล่นกันทุกที่ของอินเดีย เหมือนบ้านเราที่เล่นสาดน้ำกันทุกที่ วันโฮลี่ของอินเดียจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันเยอะ เราก็ต้องเซ็ตฉากนี้ขึ้นมา ต้องจ้างคนเข้าฉาก 500-600 คน มาเล่นปาสีกัน ฉากนี้ลงทุนมากฉากหนึ่ง และการหาสถานที่ในการถ่ายทำก็ยาก แต่ก็ได้ฉากสวยงามตามต้องการ




















ฉากเต้นระบำอินเดียกับโปงลาง - เราไปขอเช่าสถานที่กลางแจ้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้นำใหญ่ๆ จะมาปราศรัย มาเล่นการแสดง ก่อนถ่ายฉากนี้เราก็จะมีการประกาศว่าเดี๋ยวเราจะมีการเอาโปงลางของไทย และระบำอินเดียมาโชว์ ตอนเช้าๆ คนมาเป็นพันๆ แต่เรายังรอเซ็ตโน่นนี่กว่าจะได้ถ่ายก็ 4 โมงกว่าแดดเปรี้ยงคนหายเกลี้ยง เราต้องออกไปประกาศใหม่ขอความร่วมมือ เขาก็ออกมากันอีกที แล้วเราก็ต้องรีบถ่ายจนได้ฉากใหญ่นี้











ฉากหลวงพ่อองค์ดำ อายุพันกว่าปี - ฉากนี้ก็เป็นอีกฉากที่ บิณฑ์ ไม่พลาดที่จะนำไปใส่ในภาพยนตร์ เขาให้ โดโด้-ยุทธพิชัย ชาญเลขา (ไกด์),หน่อย-อุษณียาภรณ์ ผลเจริญ (ผู้ช่วยไกด์) พาเด็กๆ ไปเที่ยวชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่ๆ ชาวพุทธที่ไปอินเดียต้องไปสักการะกัน ชาวไทยมักเรียกกันว่า “หลวงพ่อองค์ดำ” แห่ง เมืองนาลันทา หลังจากที่เด็กๆ เดินทางมาถึงอินเดียเป็นครั้งแรกในชีวิต


































นอกจากเด็กๆ ที่ไปจะได้ความรู้และเพิ่มความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้นแล้ว ฉากนี้ก็ทำให้เด็กๆได้ตื่นเต้นดีใจกันใหญ่กับการได้ขึ้นรถม้าอินเดีย เป็นขบวนกว่า 10 คัน เพราะการจะเห็นรถม้าสักคันในประเทศไทยเราก็หาดูยากแล้ว อย่าว่าแต่เด็กๆ เลยที่ตื่นเต้น ทีมงานก็ด้วย แถมผู้กำกับคนเก่งนึกสนุกขอขับรถม้าพานักแสดงเดินทางไปถ่ายฉากนี้อีกด้วย พอไปถึงทุกคนก็ต้องตื่นตาที่ได้เห็นซากปรักหักพังของมหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เมื่อได้เห็นครั้งแรกมีความรู้สึกคล้ายกับได้อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาบ้านเรา










เริ่มถ่ายทำฉากนี้ คนรับบทหนักก็น่าจะเป็นไกด์โดโด้ที่ต้องอธิบายถึงประวัติของหลวงพ่อองค์ดำให้ลูกทัวร์ฟัง แต่เขาก็ทำได้อย่างดี เพราะชำนาญกับการเป็นไกด์อยู่แล้ว
















พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธอีกองค์ที่ประดิษฐ์สถานอยู่ ณ ประเทศอินเดีย ชาวไทยมักเรียกกันว่า “หลวงพ่อองค์ดำ” เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินสีดำ พระเกตุทรงบัวตูม ปางนั่งขัดสมาธิ พระนาสิกวิ่นและนิ้วพระหัตถ์บิ่นเล็กน้อย ซึ่งมีอายุพันกว่าปี ตั้งอยู่ทางตะวันตกของมหาวิทยาลัยนาลันทา เหตุที่มีนาสิกวิ่น นิ้วพระหัตถ์บิ่นเพราะถูกพวกมุสลิมพาพวกมาทำลายสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งทุบทำลายพระพุทธรูป และเอกสารตำราทางพระพุทธศาสนาเอาเชื้อเพลิงมาสุมแล้วจุดไฟเผา จนทำให้คัมภีร์ตำราทางพระพุทธศาสนาทั้งเก่าและใหม่ ถูกไฟไหม้เกือบหมดสิ้น และสถานที่นี้ก็ได้ถูกเศษอิฐและหินทับถมจมลงใต้ดินเป็นเวลานานเกือบ 7 ศตวรรษ (700 ปี) คงเหลือไว้แต่ซากปรักหักพักอย่างที่เห็นกัน แต่ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท่าน พวกมุสลิมไม่สามารถเผา หรือทุบองค์ท่านให้พังทลายลงได้จึงเป็นพระพุทธรูปที่เหลืออยู่องค์เดียวในบริเวณมหาวิทยาลัยนาลันทาแห่งนี้












1) "ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปู รูปี" (7 มี.ค. 56) เป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 7 ของผู้กำกับ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" โดยผลงานก่อนหน้านี้ได้แก่ ปัญญาเรณู 2 (2555), ปัญญาเรณู (2554), เดอะโกร๋น ก๊วน กวน ผี (2547), ช้างเพื่อนแก้ว (2546), ตำนานกระสือ (2545), มนต์รักเพลงลูกทุ่ง (2538)





2) ผู้กำกับฯ ได้คิดเรื่องใหม่หมด, เขียนบท และกำกับการแสดงเองทั้งหมด โดยได้ไอเดียและแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์จริงและเรื่องเล่าต่างๆ เมื่อครั้งเดินทางไปเที่ยวที่อินเดีย บวกกับเรื่องราวการผจญภัยและมิตรภาพที่ไม่มีชนชั้นวรรณะของกลุ่มเด็กๆ จนสร้างสรรค์ออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้




3) "ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปู รูปี" เป็นภาพยนตร์ไทยที่มีซับไตเติ้ลภาษาไทยด้วย เพราะหนังพูดทั้งภาษาอีสาน, ภาษาไทยกลาง และภาษาปะกิต (อังกฤษกะปริดกะปรอย)




4) “รูปู” หมายถึงเด็กอีสาน และ “รูปี” สกุลเงินอินเดียก็หมายถึงเด็กอินเดีย





5) นำทีมชุลมุนสุดหรรษาด้วยแก๊งปัญญาเรณู “น้องน้ำขิง” (ด.ญ.สุธิดา หงษา), “เปเล่” (ด.ช.บุญฤทธิ์ จันทร์แก้ว), “ชิต” (ด.ช.วิชิต สมดี) พร้อมเพิ่มสีสันความแสบใสกับ “น้องเซฟ” (ด.ญ.ศศิธร อัปมานะ), “น้องพลอย” (ด.ญ.พิมพ์รพี ดีเมืองปัก), “น้องภีม” (ด.ช.ธงรบ ดีเมืองปัก), “น้องโบ๊ต” (ด.ช.ปกรณ์ ผ่องศรี) และขอแนะนำ “กุ๊ดดู กุมาร” (ในบท “รูปี” เด็กชายอินเดียที่คอยช่วยเหลือแก๊งเด็กไทย), เสริมทัพความสนุกด้วย “แซกกี้” (ด.ช.พงษ์สิทธิ์ นาเวียง) และทีมนักแสดงรุ่นใหญ่ นพดล ดวงพร, ยุทธพิชัย ชาญเลขา, อุษณียาภรณ์ ผลเจริญ, เหลือเฟือ มกจ๊ก, จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม ฯลฯ





6) โลเกชั่นหลัก 90% ของเรื่องถ่ายทำกันที่เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย ให้ได้เห็นวิถีชีวิตชนบทของอินเดีย ประเพณีวัฒนธรรม และสถานที่แปลกๆ อีกมากมายทั้งวัดวาอาราม และสถาปัตยกรรมเก่าๆ นับพันปี




7) ยกทีมงานนักแสดงเกือบร้อยคนไปใช้ชีวิตและถ่ายทำกันที่อินเดียนานถึงหนึ่งเดือนเต็ม




8) ผู้กำกับฯ ยังคงสอดแทรกวัฒนธรรมอีสานที่มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายอย่างฉากขุดรูปูเล่นสนุกของเด็กๆ และฉากใหญ่ๆ ที่ถ่ายกันที่อินเดียไม่ว่าจะเป็นฉากโจรปล้นเผาบ้าน, ฉากอาบน้ำ 4 วรรณะ, ฉากตามหาเด็กในตลาด (ท่ามกลางอินเดียมุงเป็นหมื่น), ฉากโปงลางปะทะระบำอินเดีย, ฉากในสถานีรถไฟ, ฉากเทศกาลโฮลี่ (สงกรานต์สี)




9) “โรตีแกงกะหรี่” เป็นอาหารอินเดียที่ผู้กำกับฯ ติดใจและคอนเฟิร์มว่า “มันอร่อยมาก” นะจ๊ะ นายจ๋า













“ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี” เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ยกทีมงานและนักแสดงเกือบร้อยคนไปใช้ชีวิตและถ่ายทำกัน 90 % ของเรื่องไกลถึงพุทธคยา ประเทศอินเดียนานถึงหนึ่งเดือนครึ่ง เพื่อให้ได้เห็นวิถีชีวิตชนบทของอินเดีย ประเพณีวัฒนธรรม และสถานที่แปลกๆ มากมายทั้งวัดวาอาราม และสถาปัตยกรรมเก่าๆ นับพันปี ระหว่างที่แก๊งตัวละครน้อยต้องไปผจญภัยอย่างสนุกสนานและได้สานมิตรภาพที่ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะระหว่างเด็กไทยกับเด็กอินเดีย
























บิณฑ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ..

“เรื่องนี้เรายกกองไปถ่ายทำกันถึงพุทธคยา ประเทศอินเดียเลยครับ เฉพาะพุทธคยาที่เดียวเชื่อไหมว่ามันกว้างใหญ่มาก เมืองๆ เดียวมีประชาชนประมาณ 100 ล้านคน เราเข้าไปถ่ายในที่ที่เรียกว่าเป็นประวัติของอินเดีย แล้วในหนังมันจะมีอธิบายบอกเลยว่าตรงนี้มันคืออะไร ไปลุมพินีสถาน ไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไปถ่ายทำในตลาดที่คนพลุกพล่านมาก ไปถ่ายตามที่ต่างๆ ให้ได้เห็นประเพณีวัฒนธรรมของที่นั่น"

































"การถ่ายทำที่อินเดียก็ยากนะครับในช่วงที่ไปถ่ายที่นั่น เพราะว่าทีมงานเราเกือบร้อยคนที่ต้องเดินทางไปประเทศอินเดีย แล้วมีเด็กอยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง ผู้ใหญ่ครึ่งหนึ่ง แล้วตอนที่เราไปถ่ายทำที่นั่นคือเดือนเมษายน-พฤษภาคม อากาศมันร้อนมากตั้ง 45-50 องศา ตั้งแต่สนามบินเด็กท้องเสีย เลือดกำเดาไหล สนามบินวุ่นวายไปหมด อุปกรณ์ทั้งหมดขนมาจากประเทศไทยเพราะว่าเราไม่สามารถใช้จากที่นั่นได้เลย ที่นั่นไม่มีอะไรเลย และอุปสรรคในการถ่ายทำอย่างมากก็คือแขกมุง ไม่ว่าเราตั้งกล้องตรงไหน พี่น้องชาวอินเดียก็จะมามุงดูการถ่ายทำหนังโบกไม้โบกมือจนบางทีเราก็ต้องเอากล้องไปตั้งหลอกเหมือนกับว่าเราจะไปถ่ายตรงด้านนั้น แล้วเราก็รีบถ่ายกันด้านนี้ ต้องทำงานกันแบบนี้เลย ต้องตั้งเป็นสองกอง กองนั้นหลอก กองนี้ถ่ายจริงอะไรแบบนี้"













"รู้สึกว่าการไปถ่ายทำครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้เหมือนปาฏิหาริย์ บางสิ่งที่ไม่น่าทำได้ก็ทำได้ เพราะหลายคนบอกว่าการไปถ่ายอินเดียไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันยากมาก เมืองแค่นั้นมีคนมากกว่าประเทศไทยอีก แต่เราก็สามารถทำงานได้ ผมก็รู้สึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่น ความอดทนและตั้งใจของทีมงานนักแสดงทุกคน และอีกหลายอย่างที่ประทับใจมาก พอได้เห็นภาพหนังออกมาก็หายเหนื่อยครับ ก็อยากให้ผู้ชมได้ไปชมหนังเรื่องนี้กันนะครับ คุณจะได้ทั้งสาระบันเทิงและความสนุกครบรสครับ”










“พุทธคยา” คือคำเรียกกลุ่มพุทธสถานสำคัญในอำเภอคยา จังหวัดมคธ รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นพุทธสถานที่มีความสำคัญที่สุด 1 ใน 4 แห่งของชาวพุทธ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พุทธสังเวชนียสถานที่มีความสำคัญที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก




ปัจจุบันบริเวณพุทธศาสนสถานอันเป็นที่ตั้งของสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วัดมหาโพธิ” อยู่ในความดูแลของคณะกรรมการร่วม พุทธ-ฮินดู





พุทธคยา ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำเนรัญชรา ไกลจากฝั่งแม่น้ำประมาณ 350 เมตร (นับจากพระแท่นวัชรอาสน์) พุทธคยามีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือองค์เจดีย์สี่เหลี่ยมที่สูงใหญ่ โดยสูงถึง 51 เมตร ฐานวัดโดยรอบได้ 121.29 เมตร ล้อมรอบด้วยโบราณวัตถุและโบราณสถานสำคัญ เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับตรัสรู้ และอนิมิสสเจดีย์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากพุทธสถานโบราณแล้ว บริเวณโดยรอบพุทธคยายังเป็นที่ตั้งของวัดพุทธนานาชาติ รวมทั้งวัดไทยคือ วัดไทยพุทธคยา



สำหรับชาวพุทธ พุทธคยานับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญที่สุดของนักแสวงบุญชาวพุทธทั่วโลกที่ต้องการมาสักการะสังเวชนียสถานสำคัญ 1 ใน 4 แห่งของพระพุทธศาสนา



โดยในปี พ.ศ. 2545 วัดมหาโพธิ (พุทธคยา) สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโก
(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)


































วันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา ณ ชั้น 7 SF Cinema City, MBK Center ท่ามกลางบรรยากาศสุดม่วนซื่นระรื่นคึกคักตลอดงาน เมื่อ “ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี”เปิดแถลงข่าวภาพยนตร์สุดเฮฮา




เปิดงานด้วยการเชิญผู้กำกับคนเก่งและใจบุญ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ขึ้นมาพูดคุยถึงแรงบันดาลใจและรายละเอียดของการข้ามฟ้าไปตะลุยแดนภารตะเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ครบรสความสนุกเรื่องนี้














จากนั้นจึงเป็นคิวของทีมนักแสดงเด็กอินเนอร์อีสานแรงเกินร้อยนำทีมโดย ด.ญ.สุธิดา หงษา (น้ำขิง), ด.ช.บุญฤทธิ์ จันทร์แก้ว (เปเล่), ด.ช.วิชิต สมดี (ชิต), ด.ช.ปกรณ์ ผ่องศรี (โบ๊ต), ด.ญ.ศศิธร อัปมานะ (เซฟ), ด.ญ.พิมพ์พ์รพี ดีเมืองปัก (พลอย), ด.ช.ธงรบ ดีเมืองปัก (ภีม), และ ด.ช.พงษ์สิทธิ์ นาเวียง (แซกกี้) รวมถึงไกด์หนุ่มคนพิเศษอย่าง “โดโด้-ยุทธพิชัย ชาญเลขา” ขึ้นมาเสริมทัพความฮาเล่าเบื้องหลังการโกอินตะระเดียอย่างสนุกสุขแสนตะลุยแดนโรตีด้วยสปิริตและความอึดแรงกล้า แม้จะต้องปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมของเมืองพุทธคยาเป็นอย่างมาก เพื่อให้ผลงานโกอินเตอร์เรื่องนี้ออกมาทั้งฮาและมันส์ทะลุส่าหรีกันเลยทีเดียว























นอกจากนั้นยังมีการโชว์และประชันลีลาแดนซ์กระจายจากแดนข้าวเหนียวสู่แคว้นภารตะของเหล่านักแสดงตัวน้อยซึ่งเพิ่มความหรรษาให้กับงานมากมาย
ต่อด้วยตัวอย่างภาพยนตร์เต็มรูปแบบเพื่อให้เห็นภาพความสนุกกันอย่างชัดเจน ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากเหล่าสื่อมวลชนและผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี
ปิดท้ายงานแถลงข่าวครั้งนี้ด้วยการถ่ายภาพร่วมกันของทีมงานผู้กำกับ-นักแสดง (พร้อมด้วยนักแสดงรับเชิญอย่าง หน่อย-อุษณียาภรณ์ ผลเจริญ และ พลอย ทิพจุฑา ไอยเรศกร), ผู้บริหาร, สปอนเซอร์ และพันธมิตรต่างๆ เป็นที่ระลึก


























นอกจากจะยกทีมไปตะลุยถ่ายทำภาพยนตร์กันที่อินเดียเกือบทั้งเรื่องแล้ว โปสเตอร์ “ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี” ก็ยังจัดเต็มทั้งชุดอินเดียรูปีและชุดบ้านนารูปูตรงตามคอนเซ็ปต์ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยความสนุกสนานของการผจญภัยและมิตรภาพระหว่างเด็กไทยและเด็กอินเดียที่ไม่มีการแบ่งชนชั้น



























งานนี้ยกแก๊งเด็กแสบซ่าทั้ง 7 คน ด.ญ.สุธิดา หงษา (น้ำขิง), ด.ช.บุญฤทธิ์ จันทร์แก้ว (เปเล่), ด.ช.วิชิต สมดี (ชิต), ด.ช.ปกรณ์ ผ่องศรี (โบ๊ต), ด.ญ.ศศิธร อัปมานะ (เซฟ), ด.ญ.พิมพ์พ์รพี ดีเมืองปัก (พลอย) และ ด.ช.ธงรบ ดีเมืองปัก (ภีม) ไปถ่ายกันที่สตูดิโอ BoxShot ย่านรามคำแหงตั้งแต่เช้ายันเย็น โดยเริ่มจากการแต่งชุดสไตล์อินเดียหลากหลายสีสันสดใสถ่ายทำกันแบบสบายๆ ด้วยการโพสท่าทางสนุก มันส์ แสบ สดใส ดีใจได้เดินทางไกลกันเป็นครั้งแรกไปจนถึงออกอาการอึ้ง เหวอ ตะลึงทะลุส่าหรีเป็นงงที่ต้องหลงทางผจญภัยไกลถึงแดนภารตะฮัดช่ากันเลยนะนายจ๋า

















































หลังจากเสร็จสิ้นชุดสวยงามกันไปแล้ว ก็มาถึงชุดบ้านนาที่ทั้งแก๊งรูปูของเราโดนจัดหนักกันไปเต็มๆ เพราะต้องเลอะจริง เละจริงไปทั้งตัวด้วยผงสีเทศกาลโฮลี่อันเป็นเทศกาลประจำชาติของอินเดีย ที่คล้ายสงกรานต์บ้านเราแต่เป็นการสาดผงสีแทน ซึ่งงานนี้ผู้กำกับบิณฑ์ลงมากำกับท่าทางและจัดการละเลงและสาดสีใส่แก๊งเด็กซ่าส์ทั้ง 7 คนด้วยตัวเองอย่างสนุกสนาน



“วันนี้เรามาถ่ายโปสเตอร์ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปีกันครับ ก็ยกขบวนเด็กทั้ง 7 แสบมาใส่ทั้งชุดอินเดียสวยงาม ทั้งสาดสีเล่นกันอย่างสนุกสนานเพื่อให้ได้ภาพออกมาสวยงามและตรงกับคอนเซ็ปต์รูปูรูปีที่เด็กไทยต้องหลงทางไปผจญภัยกันถึงประเทศอินเดีย เด็กๆ ทั้ง 7 คนก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ไม่มีใครบ่นเลยแม้จะเลอะสีไปทั้งตัว ซึ่งก็เหมือนกับตอนที่ไปถ่ายหนังเรื่องนี้ที่พุทธคยา พวกเค้าก็อดทนถ่ายหนังกันด้วยสปิริตจริงๆ แม้อากาศจะร้อนมากแค่ไหน การทำงานจะเหนื่อยหนักเท่าไหร่ ก็สู้จนงานสำเร็จออกมาได้ ผมก็รู้สึกประทับใจทุกคนมากครับ ตอนนี้โปสเตอร์ก็ถูกออกแบบได้อย่างสวยงามสีสันสดใส ก็อยากฝากให้ทุกคนช่วยแชร์กันเยอะๆ ทั้งตัวอย่าง ทั้งภาพโปสเตอร์ รวมถึงตัวหนังที่พวกเราทำตั้งใจกันมาก รับรองได้เห็นภาพแปลกตาของอินเดีย ได้ความสนุก และสาระบันเทิงจากหนังเรื่องนี้แน่นอนครับ ”





















 

Create Date : 01 มีนาคม 2556
23 comments
Last Update : 1 มีนาคม 2556 0:08:30 น.
Counter : 8671 Pageviews.

 

อิอิ เพิ่งทำเสร็จเลยมาเจิมบล็อกนี้ก่อนค่า

หนังเรื่องนี้ภาคแรกถล่มทลายมากเลย
บัตรฟรียังมีอยู่
เรื่องนี้ไม่น่าพลาดค่าคุณดี ^^


ล็อกอินของเพื่อนๆมีที่ไปที่มายังไงกันบ้าง
และชื่นชอบล็อกอินไหนเป็นพิเศษ
บล็อกนี้ เราเปิดกว้าง เพื่อคุณ ^^





 

โดย: Rinsa Yoyolive 1 มีนาคม 2556 0:50:12 น.  

 

มาทักทายดึกๆครับ คุณดี
ภาคแรกยังไม่ได้ดูเลยครับ

 

โดย: เศษเสี้ยว 1 มีนาคม 2556 2:08:59 น.  

 

อยากดูอ่ะ แล้วน่าดูด้วยอ่ะ
น้ำขิง เล่นระเบิดเถิดเทิง หรือป่ะค่า คุณดี

 

โดย: ลงสะพาน...เลี้ยวขวา 1 มีนาคม 2556 4:54:55 น.  

 

น่าดูอะที่รัก
เห็นแล้วอยากดู
เห็นแล้วอยากไปอินเดีย
แต่เห็นแล้วไม่อยากอาบน้ำวรรณะ 4 นะ
น้องๆเค้าเก่งเนอะ


วันนี้ไปรับหัวใจมา
กดไป เอ๊ะ ทำไมกดรับหัวใจไม่ได้
ลืมไป...วันนี้หนึ่งมีนา ฮ่ะๆๆๆ

หมดเทศกาลแจกหัวใจซะแร้วววว แย่จัง

 

โดย: fonrin 1 มีนาคม 2556 6:09:03 น.  

 




More Good Morning Comments

------------------
คิดถึงอยู่เสมอ อรุณสวัสดิ์ค่ะน้องดี

 

โดย: เกศสุริยง 1 มีนาคม 2556 7:55:34 น.  

 

ทักทายสวัสดีกันยามเช้าวันศุกร์ที่สดใสกับคุณดี ครับ

หากได้ชมเรื่องนี้กันตลอดทั้งเรื่อง เชื่อว่าได้ซึมซับบรรยากาศของดินแดนภารตะกันได้อย่างดีๆ เลยครับ

ทำงานกันอย่างมีความสุขตลอดวันครับ

 

โดย: ถปรร 1 มีนาคม 2556 8:04:08 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณดี แวะมาทักทายกันเช่นเคย เคยได้ข่าวว่าตัวแสดงเป็นปัญญา มีปัญหาเรื่องค่าตัว เขากลับมาแสดงใหม่หรือว่าคุณบิณฑ์คัดคนใหม่มาเล่นค่ะ

 

โดย: KeRiDa 1 มีนาคม 2556 8:52:24 น.  

 

สวัสดีครับคุณดี

ทำเอ็นทรี่นี้คงเหนื่อยมากนะครับ ผมใช้เวลาอ่านและดูภาพประกอบยังร่วมยี่สิบนาทีเลย

หากใครจะไปถ่ายหนังทีอินเดียทางเหนือนี่ต้องไปหน้าหนาวสิครับ เวลาลมพัดมานี่อุณหภูมิประมาณ ๑๔เซ็นเซียส หนาวพอดีๆเลยละ

เคยไปอินเดียบ่อยครับแต่จะไปธุรกิจ ก็เลยยังไม่เคยได้ไปพุทธคยาสักที ได้แต่อ่านตามหนังสือธรรมะและก็ที่นี่นี่เอง

ขอบคุณที่เอาข้อมูลดี ๆมาประดับความรู้นะครับ ต้องไปหาหนังมาดูบ้างละจ้ะ

 

โดย: find me pr 1 มีนาคม 2556 12:04:34 น.  

 








. . . ยินดีในสิ่งที่ตนได้ . . .

. . . พอใจในสิ่งที่ตนมี . . .

. . . เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก . . .


*~..ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..~*



 

โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* 1 มีนาคม 2556 17:24:07 น.  

 

...โปรแกรมเด็ดที่น่าดูอีกเรื่องเชียวนะ ชอบดูหนังพี่บิณฑ์มาตั้งแต่เรื่องแรก ธรรมชาติและฮามากๆ ชั่วโมงนี้..อย่าเครียดกันเลยพี่น้อง มาฮาๆ กันบ้างเถอะ..ขอให้เป็นหนังทำเงินอีกเรื่องเลยนะสำหรับปีนี้..

 

โดย: คนรักหนังไทย IP: 125.26.64.93 1 มีนาคม 2556 20:02:08 น.  

 

สวัสดีจ้ะ หนูดี

อ้านจนหมดเลยจ้ะ รู้สึกได้เลยว่า
หนังเรื่องนี้สนุก และน่าชมมากๆ

ได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ และขนบธรรมเนียมมากมาย
ในต่างบ้านต่างเมือง
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันกันจ้ะ

สุขสันต์ในวันหยุดสุดสัปดาห์นะจ๊ะ

 

โดย: AsWeChange 1 มีนาคม 2556 23:14:58 น.  

 

มีหลายคนบอกว่าสนุก
แต่พี่ก๋ายังไม่เคยดูซักภาคเลยครับ แหะๆๆๆ


 

โดย: กะว่าก๋า 1 มีนาคม 2556 23:22:51 น.  

 

มาภาค 3 ก็คงตามดูอีกเช่นเคยค่ะ
ขอบคุณที่เอามาแบ่งปันนะคะ ^^

 

โดย: lovereason 1 มีนาคม 2556 23:26:16 น.  

 

อ่านบล็อกเสร็จก็กดโหวตหมวดหนังให้ก่อนเลย คุณดีทำบล็อกได้ละเอียดดีแท้ คุณบิณฑ์มาอ่านเข้าคงดีใจน่าดู

ตอนที่แกสร้างภาคแรกแล้วทำเงิน เราแอบแปลกใจ ไม่คิดว่าจะมีฝีมือด้านกำกับด้วย พูดแล้วนึกถึงคุณนก ฉัตรชัยขึ้นมาเลยค่ะ สองคนนี่เป็นพระเอกแล้วหันมากำกับแล้วประสบความสำเร็จเหมือนกันเลย

ที่ชื่นชมมาก ๆ คือ ทั้งสองหนุ่มรักในหลวงมาก ๆ

ต้องขอโทษคุณดีด้วยที่ไม่ได้แวะมาซะหลายวัน งานยุ่งน่ะ วันนี้แวะมาก็เลยเวลานอนแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน หลับฝันดีค่า

 

โดย: haiku 2 มีนาคม 2556 0:11:07 น.  

 

จุ๊บๆ ยามเช้าจ้าที่รัก
เค้าอยากอยู่ในเทศกาลโฮลี่มากมาย
สีสันสวยงาม อย่างที่ตะเองว่า
เค้าอยากดูหลายเรื่องแล้ว
แต่ว่า...ทางนี้ไม่มีโรงหนังอะ แหะๆ

 

โดย: fonrin 2 มีนาคม 2556 6:27:00 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับน้องดี




 

โดย: กะว่าก๋า 2 มีนาคม 2556 7:02:40 น.  

 

วันนี้เค้าก็จะออกร่อนละน้า
เดี๋ยวเก็บภาพมาฝาก...อิอิ

 

โดย: เปิ้นเหวิ่น IP: 27.55.161.38 2 มีนาคม 2556 8:19:18 น.  

 

 

โดย: กะว่าก๋า 2 มีนาคม 2556 8:23:43 น.  

 

ตอนนี้เริ่มเห็นมีโฆษณาแล้วเหมือนกัน หนังดียังไงก็ขายได้ครับ

+

 

โดย: คุณต่อ (toor36 ) 2 มีนาคม 2556 17:42:41 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับน้องดี


เด็กเดี๋ยวนี้เรียนหนัก

ต้องถามว่าหนักตั้งแต่เด็กรุ่นไหน 555

อนุบาลก็เรียนกวดวิชาแล้วล่ะครับน้องดี แหะๆๆๆๆ





 

โดย: กะว่าก๋า 3 มีนาคม 2556 6:18:24 น.  

 

ทักทายสวัสดีกันยามเช้าๆ ครับคุณดี

วันหยุดวันอาทิตย์ วันพักผ่อนสบายๆ ตลอดวันครับ

 

โดย: ถปรร 3 มีนาคม 2556 6:20:07 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณดี กิ่งแวะมาชม ปัญญาเรณุ รูปูรูปี น่ารักดีค่ะ เห็นแล้วทึ่งมากยอมรับถึงความสามารถในการไปถ่ายทำถึงประเทศอินเดียเลยนะคะ แล้วจะรอชมเรื่องนี้ค่ะคงได้เห็นภาพเมืองพุทธประวัติมากมายนะคะ
โหวตให้เลยค่ะ

KeRiDa Music Blog ดู Blog
มัชชาร Movie Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

มีความสุขวันอังคารสีชมพูนะคะ




 

โดย: กิ่งฟ้า 5 มีนาคม 2556 9:41:37 น.  

 

น่าดูจัง

 

โดย: แฟนlinKinPark 5 มีนาคม 2556 22:16:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


มัชชาร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




Friends' blogs
[Add มัชชาร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.