Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
2 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

เลี้ยงดูปูเสื่อ = เลี้ยงปูและเสือ??

วงการภาษาญี่ปุ่นเนี่ยจะว่าแคบก็แคบนะค่ะ รู้จักคนนึงก็จะมีการโยงใยไปจนพบว่ามีคนรู้จักร่วมกัน คนนั้นเป็นเพื่อนคนนี้ คนนี้รู้จักคนนั้น รวมถึงวงการล่ามภาษาญี่ปุ่นด้วย

คือเรามีโอกาสเจอเพื่อนร่วมวงการล่ามหลายๆคนด้วยกัน มีทั้งคนญี่ปุ่นและคนไทย มีโอกาสได้รู้จักกับล่ามทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นหลายคน ต่างคนต่างทำความรู้จักกันผิวเผินชิแชะกันไป มีอยู่งานนึงเราได้เจอกะป้าคนนึงแกเป็นคนญี่ปุ่นที่แต่งงานกับคนไทย แกเป็นคนดัง ได้ยินกิตติศัพท์แกมานานแล้ว ประมาณว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งของวงการล่ามไทย-ญี่ปุ่น(ในประเทศญี่ปุ่นนะ) งานนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เรามีโอกาสได้เจอป้าแก แกเป็นคนตัวเล็กและก็อายุมากแล้วนะมากกว่า 55 ปีแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเท่าไร เราก็แบบตื่นเต้นอ่ะ ได้พบกันคนที่มีชื่อเสียงในวงการล่ามขนาดนี้ เราก็กะว่าคราวนี้แหล่ะ เราจะปฏิบัติการ “ครูพักลักจำ” ให้จงได้ ก็กะว่าเรียนรู้เทคนิกการล่าม การเอาตัวรอดจากป้าแกให้ได้ แต่ที่จริงของแอบบอกไว้หน่อยตรงนี้นะว่า ไม่ค่อยเชื่อหรอกว่าคนญี่ปุ่นจะแปลภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาไทยได้ดีกว่าคนไทย เพราะภาษาไทยนั้นออกเสียงยากมากสำหรับคนญี่ปุ่น แต่เรื่องคำศัพท์นั้นเป็นเรื่องที่เรียนรู้กันได้ง่ายกว่าการออกเสียง เราว่าการออกเสียงเนี่ยซึ่งถือเป็นหัวใจของภาษาไทยเลยล่ะ

ก็ทำงานด้วยกันอยู่หลายวัน ยอมรับนะว่าป้าแกมีลีลาการแปลที่ไม่เหมือนใคร คือ แกมักจะยืนแปลในขณะที่ทุกคนเขานั่งฟังนั่งพูดกันในห้องประชุม แปลกใจไหมคะ อะ ยังไม่แปลก งั้นช่วยจินตนาการว่าขณะที่ทุกคนนั่งฟังการบรรยายอย่างเป็นจริงเป็นจังอยู่ดีๆ แกก็ลุกขึ้นมาเดินไปเดินมา เหมือนเป็นคนบรรยายซะเอง ใครเปิดประตูห้องมาไม่รู้อิโหน่อิเหน่คงคิดว่าเป็นผู้บรรยายชัวร์ๆ แต่อาศัยว่าแกเป็นคนตัวไม่สูงนัก สไตล์คนญี่ปุ่นสมัยก่อนไงงั้นเลยอ่ะ เวลามีคนไทยที่นั่งฟังการบรรยายถามคำถามแกก็จะวิ่งปราดเข้าไปหาคนที่ถามคนนั้น ไม่ว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะอยู่ห่างไกลสักเท่าไร จะไกลสักเพียงใดจะตรงไปจะใกล้ไกล... อ้อ...กลับมา กลับมา...ทีแรกก็นึกว่าแกคงไม่ได้ยินเพราะบางที่ก็ไม่มีไมค์ให้คนถาม แต่ก็ไม่นะ ที่ที่จัดไมค์ไว้ให้แกก็วิ่งไปเหมียนกัน แล้ววิ่งเร็วมากแถมท่าวิ่งน่ารักด้วยนะ อิ อิ การวิ่งไปหาผู้ถามแบบประชิดตัวเช่นนี้จะไม่เป็นปัญหาถ้าแกทวนคำถามให้ได้ยินกันทั่วห้องประชุม แต่นี่แกเล่นงุบงิบงุมงำรู้กันอยู่แค่คนถามกับตัวแกเองเท่านั้น
แรกๆ ทุกคนก็ขำขันกับท่าทางการวิ่งของแกดีอยู่ แต่หลายครั้งเข้าก็เริ่มมีเสียงบ่นมาว่าไม่รู้ว่าถามอะไร

แต่เรื่องวิ่งปราดเข้าหาคนที่ถามคำถามของป้าแก ยังไม่ขำเท่าเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ อู๊ย เล่าแล้วก็ต้องเคาะพื้นเคาะฝาสามที เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง

การมาแลกเปลี่ยนของคนไทยในญี่ปุ่นนั้น นอกจากเราจะได้ฟังการบรรยายจากฝ่ายญี่ปุ่นแล้ว หลายครั้งต้องมีงานเลี้ยงต้อนรับ งานเลี้ยงส่ง การแสดง เกมส์ ฯลฯ เพื่อกระชับมิตรของทั้งสองประเทศ และทุกครั้งก่อนเลิกงานก็จะมีตัวแทนของทั้งสองฝ่ายขึ้นกล่าวคำขอบคุณ งานนี้ก็เช่นกัน หลังจากเสร็จการเข้าค่ายสัมมนาแล้ว น้องที่เป็นตัวแทนกลุ่มเขาก็ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณตามธรรมเนียมปฏิบัติ น้องเขาก็กล่าวประมาณว่า “........ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ผมก็ขอเชิญเพื่อนชาวญี่ปุ่นทุกคนไปเที่ยวเมืองไทยบ้าง ให้พวกเรามีโอกาสต้อนรับบ้าง แล้วพวกผมจะเลี้ยงดูปูเสื่อให้เป็นอย่างดี ”

อืม ดีมากค่ะคุณน้องขา นับว่าเป็นคำกล่าวที่ดีทีเดียว ถูกใจดิฉันมากค่ะ มันต้องอย่างนี้สิคะพูดจาได้สมกับเป็นทูตวัฒนธรรมตัวน้อย ทีนี้ พอป้าแกฟังเสร็จแกก็แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างคล่องแคล่วตามสไตล์ของแกว่า “......tai ni ittara yokuwakarimasenga kare ga…..kani to torawo katteiru..........” แปลเป็นไทยได้ว่า “.......ถ้าไปเมืองไทยแล้วทำไมก็ไม่รู้ แต่ที่เขาน่ะ...เลี้ยงปูและเสือด้วย........”

คนญี่ปุ่นที่นั่งฟังก็ทำหน้างงๆ บางคนก็ โอ้โห เลี้ยงเสือด้วยเหรอ ดิฉันก็ฟังเพลินค่ะ อืม....... เอ๋....... เอ๊ะ....... เฮ้ย!!!!!!!! ก๊ากกกกกก...... พอนึกขึ้นได้ก็ขำ แต่ก็พยายามกลั้นไว้นะค่ะ เพราะเราเป็นผู้ประสานงานที่ดีเราต้องไม่หัวเราะ ต้องไม่ทำให้ล่ามเราอับอาย เพราะอย่างน้อยเราก็หัวอกเดียวกัน นั่นว่าไปนั่น ก็แบบว่าอั้นค่ะ อั้นหัวเราะเต็มที่ แต่ค่ะ มีแต่ คือในที่นั้นเนี่ยไม่ได้มีล่ามเพียงคนเดียวหรอกน่ะคะ มีคนที่รู้ภาษาไทยและญี่ปุ่นอยู่ประมาณห้าถึงหกคน แน่นอนเขาก็ได้ยินที่ป้าแกแปลด้วย เขาก็อดขำกันไม่ได้ แล้วก็มีผู้หวังดีค่ะ ออกมาช่วยแก้ให้ว่าที่น้องเขาพูดน่ะแปลว่าอย่างนี้ บลา บลา บลา ...ประมาณว่าแกคงหวังดีกับผู้ฟังน่ะค่ะกลัวว่าจะได้รับสารไม่ถูกต้องกับไอ้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ (คนที่มองโลกในแง่ร้ายอย่างดิฉันอยากจะเรียกว่า "หวังดีประสงค์ร้าย" ซะมากกว่า)

ป้าแกก็ “sodesuka (อ๋อเหรอค่ะ)” แต่แกก็หน้าไม่ม้านนะ(หน้าม้าน ในที่นี้หมายความว่า "มีสีหน้าเผือดด้วยความละอายจนไม่กล้าสบตาคน" ไม่น่าเชื่อว่าเด็กสมัยนี้ไม่รู้จักคำนี้) สมกับที่เป็นโปรจริงๆ ถึงจะแปลผิดอย่างไรก็ต้องทำหน้าไม่รับรู้ว่าผิดเอาไว้ก่อน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาที่สำคัญมากจริงๆ คนฟังก็จะฟังผ่านๆ ฟังขำๆ ไปไม่ใส่ใจมาก แต่มันก็จะไม่ดีหากเป็นการแปลอย่างเป็นทางการเพราะผู้ฟังเขาจะขาดความเชื่อถือเราได้ถ้าเราแปลแล้วแก้ แปลแล้วแก้บ่อยๆ

แต่ยังไงซะนะคะ “สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” ค่ะ บางครั้งคนเราก็ต้องทำลืมๆ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต และนำประสบการณ์นั้นๆ มาเป็นบทเรียน นี่ก็เป็นตัวอย่างการเอาตัวรอดในอาชีพล่ามที่เราได้เห็นจากคนญี่ปุ่น เหอ เหอ เหอ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2552
5 comments
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2552 16:08:13 น.
Counter : 10136 Pageviews.

 

เก่งจัง รู้ภาษาญี่ปุ่น

ขอบคุณที่ไปทักทายกันนะคะ
ถ้าอยากกินไข่พะโล้ มีผงโลโบ้ ทำโลดค่ะ ไม่ยากเลย
ีทีแรกคิดว่ายาก อยากกินมาตั้งหลายปี ต้องคอยกลับไปกินที่เมืองไทย
ทีนี้สบายมาก ตะกี้ก็ทำกินอีกล่ะค่ะ

 

โดย: ตา (ta/'o-o/' ) 2 พฤศจิกายน 2552 3:17:38 น.  

 

ฮานะนี่ 555+

แต่ก็..นะ ภาษาไทยนี่ออกเสียงผิดนิดเดียวนี่ คนละเรื่องเลย

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 3 พฤศจิกายน 2552 15:33:57 น.  

 

เข้ามาดูคนดองบล็อง อิอิ

 

โดย: Qooma 31 มกราคม 2553 22:13:18 น.  

 


นำมาให้ชิมค่า

 

โดย: โสมรัศมี 23 กรกฎาคม 2554 12:23:29 น.  

 

 

โดย: domemall 9 ตุลาคม 2554 4:51:09 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


peeko
Location :
กรุงเทพ Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add peeko's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.