ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

มหากาพย์แห่งหนี้TPI ตอน อีพีแอล Go Home

บริษัท เฟอร์เรียร์ ฮอดจ์สัน (Ferrier Hodgson) ที่ปรึกษาทางการเงินสัญชาติออสเตรเลียของแบงก์กรุงเทพที่มักจะได้งานทวงหนี้ ลูกค้ารายใหญ่ๆ อาทิ อิตัลไทย โรบินสัน สหวิริยา โอเอ และโรงแรมหรูอีกหลายแห่ง ถูกใช้ให้รับงานทวงหนี้ก้อนใหญ่ของ ทีพีไอ. ครั้งนี้

บริษัท เฟอร์เรียร์ ฮอดจ์สัน จัดตั้ง “บริษัท เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด (อีพีแอล)” โดยคำขอจดทะเบียนบริษัท ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๒ ทุนจดทะเบียน ๒ ล้านบาท มี “นายแอนโทนี่ เจมส์ นอร์แมน” (Anthony James Norman) เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ที่ต้องคอยรับหน้าปะทะกับประชัย

ถ้ายังจำกันได้ ช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๔๒ มีข่าวคนร้ายยิง “นาย ไมเคิล เออร์วิน วันสเลย์” หัวหน้าฝ่ายตรวจสอบบัญชี ของ “บริษัทเซ้าท์สาทร แพลนเนอร์ จำกัด” ซึ่งเข้าไปตรวจสอบบัญชีของ “โรงงานน้ำตาลเกษตรไทย” ที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูกิจการ ทำให้ฝรั่งที่เข้ามารับงานทวงหนี้ในประเทศไทย รวมทั้งนายนอร์แมน ค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องความปลอดภัย

ตามข่าวบอกว่า ตลอดเวลาที่นายนอร์แมนทำงานเป็นผู้บริหารแผน ต้องมีหน่วยคุ้มกันตลอด ๒๔ ชั่วโมง นั่งรถกันกระสุน ซึ่ง ทีพีไอ ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เป็นเงินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท

“คนขับรถของผมเป็นอดีตตำรวจไทยที่รับการฝึกจาก Australian Special Force (หน่วยรบพิเศษออสเตรเลีย) และผมก็มีหน่วยอารักขาอีกคันคอยขับรถตาม เพราะต้องระวังตัวว่า ลูกน้องของเขาอาจทำอะไรบุ่มบ่ามเพื่อเอาใจนาย” นายนอร์แมนเคยให้สัมภาษณ์นักข่าวฝรั่ง

เมื่อ “ข้อตกลงหลัก” ถูกฉีก คณะกรรมการเจ้าหนี้ ก็เดินหน้าอาศัยความชอบธรรมของกฎหมายล้มละลาย ลงมติเลือกอีพีแอลเป็นผู้ทำแผนและบริหารแผนฟื้นฟูทีพีไอรวมถึงบริษัทย่อย ๖ บริษัท

แม้ว่า กว่าจะลงมติได้เจ้าหนี้และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องเลื่อนวัน ย้ายสถานที่ประชุมไม่ต่ำกว่า ๓ ครั้ง เนื่องจากพนักงานทีพีไอจำนวนมากตามไปม็อบทุกสถานที่ประชุม และการที่พนักงานได้มีส่วนร่วมในการปกป้องบริษัทฯนี้เอง จึงมีการขยายผลจัดตั้งเป็นสหภาพแรงงานฯซึ่งต่อมาเป็นกลไกลหนึ่งในกระบวนการ ฟื้นฟูทีพีไอด้วย

เมื่อเจ้าหนี้ดำเนินการภายใต้ความชอบธรรมของกฎหมาย ศาลล้มละลายกลาง จึงมีคำสั่งเห็นชอบตั้ง อีพีแอลเป็นผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๓ และเห็นชอบแผนฟื้นฟูของอีพีแอล เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๓ เช่นเดียวกันศาลฎีกา ซึ่งประชัย ยื่นอุทธรณ์ก็มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง

“๑.จะรักษาวัฒนธรรมองค์กรของทีพีไอในรูปแบบ ๕ Complex ไว้

๒.จะเสริมสร้างให้ทีพีไอแข็งแกร่ง มีความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ

๓.ยินดีรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน และให้พนักงานมีส่วนร่วมในการพิจารณาขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ทรัพย์สินหลัก”

ความข้างต้น คือคำชี้แจงและตอบข้อซักถามของพนักงานและผู้บริหารระดับกลางของนายนอร์แมน ณ โรงงาน จังหวัดระยอง แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ฉากเปิด เพราะ “ของจริง” ที่รอปะทะ ถามโถมเข้าใส่นั้น ทำให้ท้ายที่สุด นายแอนโทนี่ต้องตกอยู่ในสภาพ “ฝรั่งงง”

ดังที่กล่าวเป็นเบื้องต้นถึงจุดยืน การปักธงรบของฝ่ายเจ้าหนี้และลูกหนี้ ที่ประกาศ “รบขั้นแตกหัก” ทำให้การบริหารแผนของอีพีแอลเป็นไปอย่างยากลำบาก

นายนอร์แมนเคยให้สัมภาษณ์ว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณประชัยให้ผมรอทั้งวัน แล้วก็โทรมาบอกว่ารถติด จนผมหมดความอดทนจึงกลับก่อน พอลงมาก็เห็นรถของเขาจอดอยู่ที่จอดรถ..หรือตอนที่ต้องส่งมอบเอกสารนั้น พวกเขาก็ยื้ออยู่นาน พอเอากุญแจมาให้ กลับเป็นกุญแจตู้เก็บเอกสาร แต่ไม่มีกุญแจห้องเก็บเอกสาร”

ประชัย ใช้ข้อกฎหมายสกัดการทำงานของอีพีแอล โดยยื่นคำร้องต่อศาลหลายฉบับ ในต่างวาระกัน เช่น คำร้องขอให้อีพีแอลคืนเงินชำระเบื้องต้นตามแผน คืนเงินที่จ่ายแก่ที่ปรึกษาทางการเงิน คืนเงินค่าที่ปรึกษากฎหมาย คืนเงินค่ารักษาความปลอดภัยของพนักงานอีพีแอล หรือเมื่ออีพีแอลยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับแผนก็จะถูก ประชัยยื่นคำคัดค้าน ฯลฯ

“สมุดปกขาว” ของคณะกรรมาธิการการปกครอง วุฒิสภา ฉบับวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๔๘ ให้ข้อมูลน่าสนใจว่า ประชัย ยังมีความเคลื่อนไหวเข้าร้องเรียนกับ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมขณะนั้น ซึ่งได้ตั้ง “คณะทำงานด้านกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดกรอบขอบข่ายธุรกิจในกิจการสนับสนุนการ ค้าและการลงทุน” และมีผลสรุปออกมาว่า บีโอไอ กระทำการเกินขอบเขตในการส่งเสริมการลงทุนให้ อีพีแอล

‘อี พีแอล’ ถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นบริษัทต่างด้าวเพราะถือหุ้นโดยคนต่างด้าว 100% จึงไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้บริหารแผน นอกจากนี้มีวัตถุประสงค์ในการให้คำปรึกษาเท่านั้น ไม่ใช่เข้ามาบริหารและจัดการทรัพย์สินของทีพีไอ ทั้งยังเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินของธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งคณะกรรมการเจ้าหนี้อีกด้วย

แน่นอนข้อมูลนี้ก็ถูกนำไปใช้ประกอบเหตุผลขับอีพีแอลพ้น การเป็นผู้บริหารแผน

เพื่อให้เห็นภาพ ต้องย้อนไปดูการรายงานสถานการณ์ของสื่อมวลชนเกี่ยวกับ การ“รบขั้นแตกหัก” ระหว่าง “ประชัย” กับ
“อีพีแอล”

“ ..มีการปล่อยข่าวจากฝ่ายพนักงานว่า หากคุณประชัยต้องแพ้ก็จะเผาโรงงานทิ้ง ซึ่งเป็น End-Game Strategy ที่เจ้าหนี้กลัวนักกลัวหนา

ส่วนในทางเปิด ประชัยก็เดินสายทำลายภาพลักษณ์ของอีพีแอลว่า เป็นตัวแทนของฝรั่งมาฮุบกิจการของคนไทย ภายใต้ “ทฤษฏีสมคบคิด” (Conspiracy Theory) ที่มีการปลุกเร้าอารมณ์กระแสชาตินิยมของคนไทย ซึ่งได้ผลในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ...

ส่วนฝ่ายเจ้าหนี้ เมื่อเข้าไปยึดการบริหารได้ ก็เริ่มเปิดโปงข้อมูลการ Siphon และความไม่โปร่งใสของฝ่ายประชัย โดยเฉพาะในเรื่องการให้กู้ยืมกับบริษัทในเครือที่ถือหุ้นใหญ่โดยตระกูลเลี่ย วไพรัตน์ซึ่งทีพีไอตองสำรองหนี้สูญกว่า ๘,๐๐๐ ล้านบาท และการทำสัญญาเช่าตึกตัวเองเป็นเวลา ๙๙ ปีเป็นต้น” (Corporate Thailand,อ้างแล้ว)

แรงปะทะที่อีพีแอลเผชิญนอกจากประชัยแล้วยังมีพนักงานของทีพีไอส่วนใหญ่ที่ เกิดความไม่ไว้วางใจ โดยมองว่า อีพีแอต้องการทยอยขายกิจการเพื่อหาเงินชำระเจ้าหนี้ กลายเป็นแรงบวกที่ไม่น่าพึงปรารถนา

มีการวิเคราะห์ว่า จุดพลิกผันของกรณีทีพีไอ น่าจะอยู่ที่การเปลี่ยนรัฐบาลจากพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นไทยรักไทย Corporate Thailand ยกความเคลื่อนไหวของสื่อต่างประเทศอย่าง Business Week ที่นำเสนอรายงานพิเศษ Bangkok Debt Wars มีหน้าของนอร์แมนขึ้นปกหราในทันทีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาล ว่า “เป็นการปรามรัฐบาลทักษิณไม่ให้ล้มกระดาน”

“รัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาล Entrepreneur ตัวนายกรัฐมนตรี ตลอดจนบุคคลสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ ส่วนใหญ่มีพื้นภูมิของการเป็นผู้ประกอบการมาก่อน ต่างกับของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เป็นนายธนาคารและเทคโนแครต

จึงไม่แปลกที่รัฐบาลนี้จะมีความเห็นใจฝ่ายลูกหนี้มากกว่าเจ้าหนี้

อีกอย่างรัฐบาลนี้ก็แสดงให้เห็นจุดยืนชัดเจนแต่แรกว่า ต้องการเจรจากับฝรั่งบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน ต่างกับรัฐบาลก่อนที่แสดงความเห็นอกเห็นใจหรือกริ่งเกรงฝรั่งมาก”

การเคลื่อนไหวติดตามตรวจสอบของพนักงานภายใต้การนำของสหภาพแรงงานทำให้พบ เหตุผลที่พอจะทำให้เชื่อว่า อีพีแอล ไม่สามารถดำเนินการตามแผนฟื้นฟูได้

(ดูตารางประกอบ) แสดงการตั้งข้อสังเกตเงื่อนงำการฟื้นฟูกิจการทีพีไอของ ‘อีพีแอล’โดยสหภาพแรงงาน

สหภาพ แรงงานเครือทีพีไอยื่นหนังสือลงลายมือชื่อของพนักงานกว่า 4,500 คน ต่อคณะกรรมการเจ้าหนี้ในวันที่ 8 สิงหาคม 2545 เพื่อให้พิจารณาถอดถอนบริษัทเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด ออกจากการเป็นผู้บริหารแผนฯ

การ เคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ มีการรวมตัวกันกว่า ๒,๐๐๐ คน ชุมนุมหน้าโรงงานขับไล่ ดร.ทองฉัตร หงส์ลดารมย์, ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต , และอีพีแอล ที่สำคัญคือ การยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือต่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๕ ก็รวมตัวกันเกือบ ๑,๕๐๐ คนยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือต่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเดินทางราชการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

ในอีกด้านหนึ่ง วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ประชัย ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ บริษัท เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผนของบริษัทฯ เช่นเดียวกัน

กระบวนการถูกโยนเข้าสู่การตัดสินของศาลล้มละลายกลาง และแล้ววันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๖ ศาลล้มละลายกลางก็มีคำสั่งให้ บจ.เอ็ฟเฟ็คทีฟแพลนเนอร์ พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผน เนื่องจากไม่สามารถทำงานร่วมกับลูกหนี้ได้ และมีการขัดแย้งกันตลอดเวลา
เป็นการปิดฉากการทำงานของอีพีแอล และเป็นความเพลี่ยงพล้ำครั้งสำคัญของเจ้าหนี้

ที่มาเว็ปเสียงประชาคม
//www.civilvoice.net/columnist/tpi/51/003.php




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2551    
Last Update : 8 กันยายน 2551 18:09:02 น.
Counter : 989 Pageviews.  

คำถามแทงใจดำถึงนักวิชาการ,องค์กรต่างๆที่อ้าขาผวาปีกป้องกบฎพันธมิตร

โดย สุรีย์ มิ่งวรรณลักษณ์
ที่มา ประชาไท
29 สิงหาคม 2551


ภายหลังจากที่พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย (น่าจะเพื่อการรัฐประหารมากกว่า)
ได้ใช้ยุทธการยึด NBT ใส่หน้ากากคล้ายขบวนการซาปาติสต้า ประเทศเม็กซิโก
(ถ้ารองผู้บัญชามาร์กอสดูข่าว คงมึนหัวแน่ๆเลย
เมื่อพวกขวาอนุรักษ์นิยมนำเอาสัญลักษณ์ความเป็นซ้ายใหม่ไปปรับใช้อย่างมั่วๆ
หรือเอาเพียงรูปแบบไปใช้มากกว่าเนื้อหา)

การยึดสถานที่ราชการ
และการปักหลังยึดทำเนียบเป็นฐานที่มั่น
ทำให้กลุ่มองค์กรต่างๆทั้งนักวิชาการ เอ็นจีโอ นักสื่อสารมวลชน
บางคนบางองค์กร ที่อ้างว่า “ภาคประชาชน” ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ผ่านการสัมภาษณ์ เวทีสัมมนา-อภิปราย จดหมายเปิดผนึก และแถลงการณ์

ผู้เขียนมีความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของผู้อ้างว่าสังกัด “การเมืองภาคประชาชน” บางส่วนดังนี้

1.การยึด NBT ของพันธมิตรฯ ยังมีบางองค์กรมีท่าทีที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ยังพยายามอ้างว่า มีบางคนไม่ใช่คนของพันธมิตรฯเหมือน
สุริยะใส สนธิ ให้ข่าว หรือพยายามที่จะแกล้งบอกให้ดูดีว่า
ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ดีก่อน โดยมีธงในใจอยู่แล้วว่าไม่เกี่ยวพันธมิตรฯ
เพราะไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ เพราะ “ถูกเบี้ยว” “ไม่มาตามนัด”
และถ้ามาตามนัด อาจจะฉลองใหญ่ถึงการปฏิวัติโดยประชาชนไปแล้ว
และคงยกย่องเชิดชูมอบเกียรติยศให้กับผู้เข้ายึด NBT เป็นฮีโร่ เช่นนั้นแน่

2.การพยายามเสนอให้รัฐบาล อย่าใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นจุดยืนที่ถูกต้อง สมควรกระทำยิ่ง แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่มีความพยายามจะบอกว่าพันธมิตรฯ ต้องหยุดสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง เช่นกัน ไม่
ว่าทางคำพูดปราศรัย หรือการเคลื่อนไหวหมิ่นเหม่ต่อการให้เกิดการนองเลือด
หรือการนำสู่การรัฐประหารที่เป็นความรุนแรงทางโครงสร้างของฝ่ายใดก็ตาม

3.
มีความคลุมเครือไม่ชัดเจน
ต่อการที่เสนอให้รัฐบาลต้องยอมรับสิทธิการชุมนุมอย่างสันติวิธี
ปราศจากอาวุธ และไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 แต่ก็ไม่มีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนว่า อย่างไหนเลยเถิดสันติวิธี อารยะขัดขืน ดื้อแพ่ง และเช่นไรไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำให้ชัดเจนมากกว่าการเล่นคำภาษาไปมา

4.มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าสื่อของรัฐโดยเฉพาะ NBT เสนอข่าวลำเอียงทางรัฐบาล แต่
กลับไม่เคยตำหนิว่าการเสนอข่าวของ ASTV
ปลุกปั่นสร้างข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง เหมือนไม่ได้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน
เช่นกัน ส่วนด้าน TPBS จำเป็นต้องตรวจสอบเช่นกัน
ว่า
เสนอข่าวสารข้อมูล เป็นทีวีสาธารณะจริงหรือไม่
หรือเป็นเพียงสื่อสารมวลชนอีกแห่งหนึ่งที่ถูกฉวยโอกาสให้รับใช้ฝ่ายใดฝ่าย
หนึ่งจะรู้ตัวไม่รู้ตัวตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

5.บางองค์กรเลย
เถิดไปใหญ่มองว่า พันธมิตรฯ เป็นการเมืองภาคประชาชน
ซึ่งถ้าหมายถึงการเคลื่อนไหวนอกระบบรัฐสภาเพื่อตรวจสอบถ่วงดุล
ก็อาจจะยอมรับได้แต่ถ้าเคลื่อนไหวเพื่อล้มระบบรัฐสภา เพื่อการเมืองใหม่แบบโควตาอ้อย 70-30 ประชาชน
ไม่มีส่วนร่วมเลือกผู้ปกครอง แล้วผู้ปกครองมาจากไหนกัน ใครแต่งตั้ง
หรือการเสนอให้อภิสิทธิ์ผู้นำฝ่ายค้านเป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเสียงข้างมากในระบอบรัฐสภา

หรือเนื้อแท้
แล้ว การเมืองภาคประชาชนมีทั้งเพื่อพัฒนาประชาธิปไตย เพื่ออนุรักษ์นิยม
และเพื่อการรัฐประหาร ก็จะได้นิยามกันใหม่ให้ชัดเจนในแวงวงวิชาการ
วงการเคลื่อนไหวทั้งหลาย


6.การที่สส.พรรคประชาธิปัตย์
ผู้สมัครสส.สอบตก สว.สายคมช. สว.ลากตั้ง อดีต สนช. สสร.
ซึ่งล้วนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ รัฐบาล
ได้แสดงบทบาททางใดทางหนึ่งในลักษณะสังกัดฝ่ายพันธมิตรฯ ทำไมผู้อ้างว่า
สังกัด “การเมืองภาคประชาชน” ไม่มีการแสดงบทบาทตรวจสอบถ่วงดุลย์คนเหล่านี้ด้วยอย่างที่น่าจะกระทำเหมือนตรวจสอบรัฐบาลอย่างเสมอหน้ากัน

7.
หรือพวกเขาเหล่านั้น ล้วนสังกัด ไม่ทางใดทางหนึ่ง ของพันธมิตรฯ เพียงแต่
อ้างว่า “การเมืองภาคประชาชน” “เราพวกสองไม่” อย่างนี้ใช่ไหม
ที่เขาเรียกกันว่า “ปากกับใจไม่ตรงกัน” หรือ”ปากว่าตาขยิบ” ก็ไม่ต่างกับนักการเมืองพรรคพลังประชาชนที่พวกเขาเกลียดเข้ากระดูกดำ

8.
และอย่าลืมว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯเป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง
ถ้ามองเฉพาะส่วนเฉพาะประเด็น แบบตัดตอนเป็นเรื่องๆ ก็จะไม่สาวได้ถึงว่า
การเคลื่อนไหวทั้งหมดมีเป้าชัดเจน เพื่อการเมืองใหม่ หรือ “เผด็จการแบบใหม่” นั้นเอง




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2551    
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 12:19:38 น.
Counter : 567 Pageviews.  

พันธมารอันตราย!

26 ส.ค. 2008 - 08:27:09 น. หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์

ฮอตสกู๊ปได้รับรายงานข่าวลึกถึงอันตรายที่อยู่ในม็อบพันธมาร ที่ว่ากันว่าเกิดความขัดแย้งแตกแยกภายในของเหล่าการ์ด ที่ทำตัวระรานประชาชน ไม่เว้นแม้กระทั่งนักข่าวที่เข้าไปทำข่าวในที่ชุมนุม
จากข้อมูลของ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รองโฆษกรัฐบาล แถลงที่ห้องแถลงข่าวตึกนารีสโมสร เมื่อบ่าย 22 สิงหาคม 2551 ว่า “มีความแตกแยกขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในกลุ่มคนที่เป็นการ์ดรักษาความปลอดภัย ในกลุ่มพันธมิตรฯ ระหว่างกลุ่มนักรบศรีวิชัย กับ รปภ.อาสา ซึ่งอยู่ในความดูแลของชายแก่ห้าขัน ทั้ง 2 กลุ่มนั้น ไม่สามารถระงับเหตุได้จนมีการชักอาวุธปืนเพื่อกดดันกัน ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีกลุ่มนักรบศรีวิชัยอยู่แล้ว เนื่องจากมีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ มีเพียงการแต่งตัวให้คล้ายคลึงเท่านั้น ขณะนี้ในม็อบมีเพียงนักรบชากังราว นักรบพระเจ้าตาก กลุ่มนักรบกรมหลวงชุมพร ผมจึงเรียนมาเพื่อให้ประชาชนรับทราบ และที่ออกมาพูดไม่อยากให้กลุ่มพันธมิตรฯ สร้างอาณาจักรส่วนตัว สะท้อนถึงการจัดการของพันธมิตรฯ ที่มีสถานการณ์ล่อแหลม ไม่มีใครควบคุมได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม และสื่อมวลชนด้วย รัฐบาลได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดูแลอย่างใกล้ชิด และเรียกร้องให้แกนนำพันธมิตรฯ รับผิดชอบตรงนี้ด้วย ซึ่งแนวคิดการจัดการของรัฐบาลยังคงใช้แนวทางสันติวิธี แต่หากพบว่ากลุ่มพันธมิตรฯ มีการซ่องสุมอาวุธปืนที่ไม่ถูกกฎหมายอีก จะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลจัดการอย่างเด็ดขาดกับบุคคลนั้นๆ”
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่หลายคน รู้กันเป็นอย่างดีว่า “นักรบศรีวิชัย” ที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับที่ชุมนุมของเหล่าพันธ มาร มาตั้งแต่ 25 พฤษภาคม 2551 จนบัดนี้ ทั้งที่เวทีสะพานมัฆวานฯ และสะพานชมัยมรุเชฐ จนกลับมาสะพานมัฆวานฯ อีกครั้งในเวลานี้ คนพวกนี้มีความเป็นอันธพาลมากแค่ไหน อย่างไร
เช่น มีข่าวว่า นักข่าวหญิงทุกสำนัก ทั้งสำนักที่เกลียด “ทักษิณ ชินวัตร” และสำนักที่เป็นกลาง ที่ถูกสั่งให้เข้าไปทำข่าวการชุมนุมที่เวที จะถูกนักรบศรีวิชัย ตรวจบัตร ค้นกระเป๋า อย่างไม่ให้เกียรติกันเลย และบางคนของหาย
และนักข่าวชาย คนหนึ่งเข้าเวรเฝ้าม็อบตอนตี 3 โดนนักรบศรีวิชัย 2 คนเข้ามานั่งประกบซ้ายขวา และถามแบบคุกคาม บ้านอยู่ไหน กลับรถเมล์สายอะไร ขึ้นป้ายไหน ทั้งที่รู้ว่าเป็นนักข่าวแต่ก็ถูกคุกคาม
สรุปได้ว่าในม็อบมีการ์ดที่ประกอบด้วยคน 2 พวก คือ
1.นักรบศรีวิชัย ที่ว่ากันว่าเป็นวัยรุ่นปักษ์ใต้ที่มั่วสุมกันอยู่ย่านหน้ารามคำแหง เข้ามาได้เพราะ ส.ส.ใต้ที่สนิทกับพันธมิตรฯ ส่งเข้ามา
2.รปภ.อาสา ประกาศรับสมัครเอาจากผู้ชุมนุม
ว่ากันว่า คนทั้งสองพวกมีค่าแรงตอบแทนเล็กน้อย
อาจจะเป็นเพราะความที่ม็อบพันธมิตรฯ แสดงความใหญ่โต ปิดถนนตรงไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ดาวกระจายไปปิดถนนสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับคนกรุงเทพ ตรงไหนก็ได้ และบนเวทีก็ด่าทอเจ้าหน้าที่รัฐทุกคน จึงทำให้เกิดอาการกร่าง ตามข่าวที่เคยปรากฏให้เห็นว่า การ์ด บางคนไปไถเงินเจ้าหน้าที่วัดมกุฏ 20 บาท บุหรี่ 1 มวน ไม่ได้ก็ชก จนขึ้นโรงพักมาแล้ว
หรือแม้แต่ที่ จ.ศรีสะเกษ ตำรวจเข้าค้นการ์ดพันธมิตรฯ ขณะเปิดเวทีที่หน้าสถานีรถไฟ พบการ์ดเสพยาบ้า มียาบ้าในครอบครอง จับไปโรงพักดำเนินคดี
การชกต่อยกันเองระหว่างนักรบศรีวิชัยกับ รปภ.อาสา นั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ล่าสุดที่เป็นเรื่องเป็นราวเกิดขึ้นเมื่อตอนค่ำวันที่ 10 สิงหาคม 2551 มีรายงานข่าวแจ้งว่า การ์ดนักรบศรีวิชัยที่รับผิดชอบหน้าและหลังเวที ได้เกิดการปะทะคารมกับ รปภ.อาสา ทางด้านหลังเวที ถึงขนาดมีการชักอาวุธปืนข่มขู่กัน
มีแกนนำ คนหนึ่งรู้เรื่องเข้าไปห้ามปราม และนัดจะประชุมเคลียร์ แต่นักรบศรีวิชัยไม่ฟังชักปืนออกมาขู่ จึงมีการลั่นคำเลิกจ้าง และห้ามไม่ให้นักรบศรีวิชัยเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมอีก โดยจะจ่ายเงินค่าจ้างที่ค้างอยู่ให้หมดในภายหลัง แต่นักรบศรีวิชัยไม่รับเคลียร์ และถอนกำลังจากการคุ้มกันม็อบพันธมิตรฯ ออกไปทั้งหมด
แต่มีการปกปิดเรื่องนี้ไว้ ไม่มีการประกาศให้ผู้ชุมนุมรับรู้
จากนั้นได้มีการจ้างกำลังคนใหม่เข้ามาเป็นการ์ด ส่วนหนึ่งเอามาจาก จ.ชุมพร เรียกว่า “นักรบกรมหลวงชุมพร” อีกส่วนหนึ่งมาจากกำแพงเพชร เรียกว่า “นักรบชากังราว” อีกส่วนหนึ่งรวมมาจากทั่วไป เรียกว่า “นักรบพระเจ้าตาก”
และสั่งให้ทุกกลุ่มแต่งกายให้คล้ายๆ นักรบศรีวิชัย เพื่อให้สาวกพันธมิตรฯ ที่มาชุมนุมเข้าใจว่า นักรบศรีวิชัยยังอยู่
แถมยัง มีหน่วยการ์ดของพันธมิตรฯ แย่งยื้อกล่องเงินรับบริจาคและเมื่อช่างภาพเข้าไปถ่ายรูป การ์ดคนนั้นได้เอามือไปปิดเลนส์กล้องของนักข่าวเพื่อไม่ให้ได้ภาพอีกด้วย
จริงหรือไม่อย่างไร คงต้องเป็นหน้าที่ของบรรดาหัวหน้าแก๊ง 5+1 ต้องตอบคำถามนี้ แต่พฤติกรรม ที่กร่างและคุกคามคนอื่นไปทั่วแบบนี้ของบรรดา “หน่วยที่ต้องทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน” นั้น เป็นคำถามตัวโตว่า คนเหล่านี้จะรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนที่มาชุมนุมได้จริงหรือ
แล้วการเคลื่อนไหวที่มักอ้างว่า เป็นไปโดยสงบเพราะยึดหลักสันติวิธีนั้น เป็นเพียงการสร้างภาพ ตบตาประชาชนใช่หรือไม่
น่าเห็นใจบรรดาเหล่าสาวกของพันธมารเสียจริงๆ ที่นอกจากจะถูกหลอกและปั่นหัวด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จให้เชื่อตาม ยังอาจจะถูกลูกหลงของบรรดาเหล่าการ์ดที่มีพฤติกรรมไม่ต่างจากอันธพาล อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปอีกด้วย
ที่สำคัญ เมื่อมีสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น คนที่ไปร่วมชุมนุม แบบพวกอาม่า อาเจ้นี่แหละที่จะเจ็บตัว เพราะบรรดาเหล่าหัวหน้าแก๊งมักจะหลบหนีไปก่อนเสมอๆ ด้วยข้ออ้างที่ว่าต้องเซฟแกนนำไว้ ใช่ไม่ใช่ ...ใช่ไหมพี่น้อง ....




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2551    
Last Update : 27 สิงหาคม 2551 3:29:29 น.
Counter : 547 Pageviews.  

‘เป็ด'เบี้ยว ม.302แก้กฎหมายลูกสตง.

พบเรื่องบูดเบี้ยวที่ สตง. อีกแล้ว หลัง "คุณหญิงจารุวรรณ" ในฐานะประธาน คตง. ไม่ยอมจัดการให้มีกฎหมายลูก สตง. ภายใน 1 ปี นับแต่ รธน. มีผลบังคับใช้ เมื่อ 24 ส.ค. 2550 ตามที่ระบุไว้ชัดเจนในบทเฉพาะกาลมาตรา 302 ส่อว่าจะเป็นการจงใจไม่ให้เกิดการสรรหาผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ เพราะกลัวตัวเองจะพ้นจากเก้าอี้ "นักกฎหมาย-องค์กรประชาธิปไตย" เรียงหน้าชี้พฤติกรรมส่อปกป้องอำนาจตัวเอง เข้าข่ายผิดอาญา ทั้งมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และมาตรา 163 ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ระบุช้าสุดต้องเสนอกฎหมายภายในเย็นวันนี้เท่านั้น ด้าน "วันชัย" จ่อเดินสายประจาน

ชี้ชัดจงใจขัดรธน.-ผิดอาญามาตรา1

ประเด็นความไม่ชอบมาพากลที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นอกจากจะมีเรื่องที่ส่อถึงความไม่โปร่งใสจากการจัดซื้อจัดจ้าง ไปจนถึงเรื่องของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ที่ถูกร้องเรียนว่าร่ำรวยผิดปกติ และล่าสุดมีการเปิดประเด็นถึงการไม่สรรหาผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ภายในกำหนด 120 วันตามเงื่อนไข มาตรา 301 ใน รธน.50 ที่มีการอ้างว่าไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะยังไม่มีกฎหมายลูกนั้น

กฎหมาย สตง.เกินกำหนด รธน.

เมื่อมีการตรวจสอบย้อนไปที่การออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายลูกของ สตง. พบว่า ในบทเฉพาะกาลมาตรา 302 ได้กำหนดให้ ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ดำเนินการปรับปรุงพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญภายในหนึ่งปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งหมายถึงจะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2550 และครบ 1 ปี ไปตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา

โดยที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 กำหนดให้ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้

ดังนั้นเมื่อย้อนกลับไปดูถึงประกาศ คปค. ก็จะพบว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้แต่งตั้งให้คุณหญิงจารุวรรณเป็นผู้ว่าการ สตง. และขณะเดียวกันก็เป็น ประธาน คตง. อีกตำแหน่ง แต่เพียงผู้เดียวโดยไม่มีกรรมการคนอื่นๆ ซึ่งเป็นผลให้เกิดความบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบของ สตง. ตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวก็ทำให้เกิดเป็นข้อสังเกตว่า การที่คุณหญิงจารุวรรณในฐานะประธาน คตง. ไม่ยอมดำเนินการให้มีการออกกฎหมายลูกที่จะเป็นเครื่องมือในการสรรหา จะเป็นเพราะเกรงว่าจะส่งผลให้ตัวเองต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. อย่างนั้นหรือไม่

และมากมายหลายความเห็นต่างก็มองตรงกันโดยตั้งข้อสงสัยถึงเจตนา และขณะเดียวกันก็มองว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบตามกฎหมายไม่ได้

ส่อไม่อยากพ้นผู้ว่าการ สตง.

นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า โดยหลักที่ปฏิบัติกันมามีรัฐธรรมอยู่หลายฉบับ บอกให้ออกกฎหมายภายใน 2 ปี หรือ 3 ปี แต่ก็ไม่มีการออกกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลกับรัฐสภาเองก็ไม่สามารถออกได้ เพราะต้องให้ทาง สตง. ร่างกฎหมายมาส่งให้กับทางรัฐบาล จากนั้นรัฐบาลก็จะนำร่างกฎหมายส่งให้กับรัฐสภา เมื่อไม่มีการออกกฎหมายถือว่าไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญจึงไม่มีบทลงโทษผู้ที่ทำหน้าที่สรรหาผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ กระทั่งรัฐธรรมนูญถูกฉีกก็ยังไม่มีการออกกฎหมายใหม่

สตง. ต้องร่างกฎหมายลูกเพื่อเสนอไปที่ ครม. เพื่อจะได้ลงมติส่งให้กับทางรัฐสภา ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็เลยตกไปอยู่ที่รัฐบาลกับสภา ส่วนจำเลยที่ 2 คือ สตง. ก็คือผู้ที่ไม่เสนอร่างไปหรืออาจจะเสนอช้า หากจะไปลงโทษรัฐบาลกับสภาก็ไม่ได้ จะลงโทษทาง สตง. ก็ไม่ได้

ทั้งนี้หากพูดในทางการเมือง สะท้อนความคิดคือ ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ในรัฐธรรมนูญ ส่อเจตนาที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป เพราะหากมีการแก้ไข เพิ่มเติมกฎหมายลงไป ตัวเองต้องพ้นจากตำแหน่ง เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่อเจตนาอยากดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการ สตง. จึงเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และมาตรา 163 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ส่ออยู่ต่อเพื่อเช็กบิล "ทักษิณ"

นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 กล่าวว่า การออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ที่ต้องออกกฎหมายเพื่อให้สามารถสรรหาผู้ว่าการ สตง. ได้ แต่นี้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไม่ได้เข้ามาดูแลในเรื่องดังกล่าว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่ามีเจตนาแอบแฝงเพื่อที่จะยืดเวลาในการดำรงตำแหน่ง เพราะว่าบทบาทของคุณหญิงจารุวรรณเป็นทั้งผู้ว่าการ สตง. และประธาน คตง. ในคราวเดียวกัน

"ถามว่าผิดกฎหมายไหม ใครๆ ก็รู้ว่าผิด แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเรื่องใดที่ผิดกฎหมายคนเหล่านี้ก็ทำให้เป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายได้

อาจจะเป็นเจตนาที่จงใจในเรื่องของการออกกฎหมายลูก เพื่อที่จะต้องการยืดเวลาในการดำรงตำแหน่งออกไป เพราะหากมีการออกกฎหมายลูกและมีกระบวนการสรรหาขึ้นมา ตัวคุณหญิงก็จะหลุดออกจากตำแหน่ง ก็คงจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าถ้าทำได้คงทำไปนานแล้ว ที่พยายามอยู่นี้ก็เพื่อต้องการถอนรากถอนโค่นของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลพรรคพลังประชาชนให้หมดสิ้นไป"

นายวิภูแถลง ได้กล่าวต่อไปว่า เรื่องนี้คงดำเนินการเอาผิดได้ยาก เนื่องจากว่าไปเอาความผิดกับคนที่ดูแลกฎหมายเห็นจะเป็นเรื่องที่ยาก บทเรียนก็มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ป.ป.ช.หรือ กกต. เองก็ตาม ทางออกของเรื่องนี้คือจะต้องต่อสู้กระบวนการทางการเมืองให้ชนะเสียก่อน จึงจะไปต่อสู้กระบวนการทางกฎหมายได้ ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับกลุ่มคนที่เป็นทายาทอสูรได้

ชี้ "เป็ด" ส่อปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

ด้าน นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า การกระทำเช่นนี้ของคุณหญิงจารุวรรณถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 163 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจงใจที่จะไม่ออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการคัดสรรผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายกับประเทศชาติและประชาชน

ส่วนกรณีที่คุณหญิงหมดวาระหน้าทีในฐานะผู้ว่าการ สตง. ตามมาตรา 301 ก็เช่นกัน ยิ่งเป็นการกระทำที่บ่งชี้ให้ประชาชนเห็นได้ชัดเลยว่าต้องการที่จะรักษาอำนาจและผลประโยชน์อย่างชัดเจนจนเชื่อมโยงมาถึงเรื่องนี้ เท่ากับเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ที่ตัวคุณหญิงจารุวรรณได้รับ ทั้งในตำแหน่งประธาน คตง. และผู้ว่าการ สตง. ฮั้วกันเองเพื่อทำให้ตนได้รับผลประโยชน์ นี่จึงถือว่าเป็นการฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้นเอง

อย่างไรก็ตามมีนักกฎหมายบางคนตั้งข้อสังเกตว่ากำหนดครบ 1 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดนั้น อาจมีข้อโต้แย้งได้ เนื่องจากติดวันเสาร์อาทิตย์ แต่อย่างไรก็จะไม่สามารถอ้างไปได้เกินกว่าวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคมนี้ เวลา 16.00 น.


กลุ่ม PRAC จ่อประจานพฤติกรรม

ด้าน นายวันชัย จงจรูญหิรัญ หัวหน้ากลุ่มติดตามปฏิรูปการเมืองและต่อต้านการคอร์รัปชั่น ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ทางกลุ่มได้มีการหารือถึงกรณีนี้แล้ว ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการหาช่องทางที่จะให้เป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอย่างกว้างขวาง ซึ่งตนต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ถึงการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณ ที่จงใจทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ จากการที่คุณจารุวรรณหวงอำนาจเอาไว้

เพราะตนไม่ได้หวังการดำเนินการในทางกระบวนการยุติธรรม เพราะเกรงว่าจะเป็นการปลุกกระแสความตื่นตัวเพียงชั่วครู่ และหลังจากนั้นหน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนก็นิ่งเฉยไม่ทำอะไรรอจังหวะให้เรื่องเงียบไป

ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้ ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณที่ปฏิบัติหน้าที่แทนในตำแหน่งของประธาน คตง. และไม่ยอมที่จะออกกฎหมายลูกเพื่อให้มีการคัดสรรผู้ว่าการ สตง. ก็เพราะเกรงว่าคุณหญิงที่ได้ควบตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. เอาไว้ด้วยนั้น จะต้องหลุดออกจากเก้าอี้ และจะส่งผลให้ไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างที่เคยได้รับ และหมดอำนาจลงไปนั่นเอง

"คุณหญิงจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้า ซึ่งในส่วนความคิดของผมนั้นเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คุณหญิงเองนั้นรู้ดีถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่กลับทำนิ่งเฉย เพียงเพราะคงคิดว่าประชาชนคนอื่นเป็นคนโง่หรือเท่าไม่ทันกับการกระทำของตนเอง ซึ่งนี้คือลักษณะนิสัยของคุณหญิงที่ชอบคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าผู้อื่น ส่วนคนธรรมดาทั่วไปนั้นด้อยกว่าตนเองเสมอจึงทำเป็นไม่ใส่ใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของคุณหญิงเลยแม้แต่น้อย" นายวันชัย กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2551    
Last Update : 25 สิงหาคม 2551 12:12:55 น.
Counter : 536 Pageviews.  

ตีแผ่สินบนนำจับ25%ของคตส.

องค์กรตั้งโดยรัฐประหารเถื่อน แล้วองค์กรที่ว่าตรากฎแจกจ่ายเงินของแผ่นดินได้เอง (เงินยึดทรัพย์เข้าแผ่นดิน) รู้ถึงไหน คงได้อายถึงที่นั่น รู้ถึงนานาอารยประเทศคงได้วิจารณ์ถึงดินแดนบ้านป่าเมืองเถื่อนสนุกปากหยามหมิ่น

เลิกกฎนี้เถอะครับ ยิ่งถ้ายืนยันว่าไม่มีการจ่ายในทุกคดีของ คตส.ยิ่งควรเลิกไป เพราะมีหรือไม่มีกฏนี้ก็ไม่มีการจ่ายเงินสินบนนำจับ แต่มีผลเสียให้แผ่นดินลุกเป็นไฟถ้ายังคากฎนี้เอาไว้อย่างนี้ !


ปล้น ?
จันทร์ ที่ 18 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2551

เรื่อง ปล้น ? 7.6หมื่นล้าน(คอมมิชชั่น 25%)

การตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวไปพำนักอยู่ที่อังกฤษแทนการต่อสู้คดีต่างๆที่ถูกกล่าวหา เรื่องของกระบวนการยุติธรรมจะออกมาอย่างไร จะมีการเพิกถอนหนังสือเดินทางพิเศษหรือพาสปอร์ตแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือจะมีการดำเนินการระหว่างประเทศเพื่อส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวกลับในความผิดใดๆก็ตาม คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ที่เป็นข่าวใหญ่โตอีกครั้งคือทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวที่อายัดไว้และให้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของแผ่นดิน

ที่น่าสนใจกลับเป็นประเด็นค่าคอมมิชชั่นหรือเงินสินบนร้อยละ 25 ของทรัพย์สินที่ยึดมาได้นั้นใครจะเป็นผู้ได้รับ เพราะเป็นเงินจำนวนมหาศาลประมาณ 19,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการออกระเบียบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เมื่อเดือนธันวาคม 2549 แม้ในระเบียบจะระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือ คตส. ไม่มีสิทธิได้สินบนดังกล่าวก็ตาม แต่ในระเบียบก็ให้ปิดผู้ที่ชี้ช่องหรือให้ข้อมูลกับ คตส. เป็นความลับ จึงเป็นที่มาของคำถามต่อมาในเรื่องของ “นอมินี” ที่จะรับเงินสินบนจำนวนมหาศาลนี้

ทั้งนี้ ระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ในข้อที่ 7 ระบุว่า “ให้ผู้แจ้งเบาะแสที่นำไปสู่การตรวจสอบการไต่สวนคดีกระทั่งคดีไปสู่ศาล จนมีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ได้รับเงินสินบนเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 25 ของมูลค่าทรัพย์สินที่แจ้งเบาะแส มูลค่าทรัพย์สินให้พิจารณาตามราคาทรัพย์สิน ณ วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลเป็นที่ยุติ ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินที่จะมีการขายทอดตลาดให้ถือตามราคาที่ได้รับจากการขายทอดตลาด โดยหักค่าภาระติดพันและตกเป็นรายได้ของแผ่นดินแล้ว”

แก้วสรร ยกระเบียบโต้

นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ได้ออกมาโต้ข่าวที่เกิดขึ้น โดยตั้งข้อสังเกตว่า คนที่ให้ข่าวอาจอ่านระเบียบ คตส. ไม่ดีพอ เพราะในระเบียบกำหนดชัดเจนว่าบุคคลที่จะได้รับประโยชน์จากการตรวจสอบคดีต่างๆต้องเป็นบุคคลภายนอกที่แจ้งข้อมูลมากับ คตส. จนเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบได้เท่านั้น

ส่วนกรณีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้นที่ถูกนำไปซุกไว้ในชื่อของบุคคลหรือบริษัทเอกชน เป็นข้อมูลที่ คตส. ได้รับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจากเอกสารของนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ส่วนกรณีการติดตามเงินจากการขายหุ้นชินคอร์ปจำนวน 76,000 ล้านบาทนั้น ข้อมูลก็มาจากการทำงานของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด

แต่วันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าหากยึดทรัพย์ของครอบครัวชินวัตรแล้วจะมีสินบนที่ต้องจ่ายให้กับผู้ชี้เบาะแสหรือไม่ และจำนวนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในแง่ของความโปร่งใสและยุติธรรมแล้ว หากเป็นการรวมหัวกันอย่างที่เป็นข่าวก็ไม่ต่างอะไรกับการปล้นทรัพย์สินครอบครัวชินวัตรอย่างถูกกฎหมายนั่นเอง และไม่สามารถเอาผิดกับใครได้เมื่อ “อ้อยเข้าปากช้าง” แล้ว

คตส. กับ “สินบน-นอมินี"

ไปถึงที่มาของระเบียบการให้สินบนของ คตส. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2549 นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. ในขณะนั้น แถลงว่า คตส. ได้ออกระเบียบว่าด้วยการให้สินบนกับผู้ที่ชี้ช่องหรือให้ข้อมูลกับ คตส. จนกระทั่งสามารถดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินจนตกเป็นของรัฐได้ โดยจะได้รับสินบน 25% ของราคาทรัพย์สินที่ตกเป็นของรัฐ ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ และเป็นระเบียบที่ร่างตามกฎหมายเดิมของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ (ป.ป.ช.) แต่ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ร่างรายละเอียดขึ้นมา คตส. จึงสร้างระเบียบขึ้น โดยผู้ที่ได้รับสินบนดังกล่าวจะครอบคลุมเฉพาะผู้ที่ชี้ช่องหรือให้ข้อมูลกับรัฐเท่านั้น ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐหรือ คตส. จะไม่มีสิทธิได้สินบนดังกล่าว ซึ่งต่างจากระเบียบของศุลกากรที่กำหนดให้ผู้ชี้ช่องได้สินบน และเจ้าหน้าที่ก็มีสิทธิได้รางวัลด้วย ประมาณ 30%+25% รวมเป็น 55%

ทั้งนี้ ผู้ที่มีข้อมูลสามารถจะให้เก็บเป็นความลับหรือเปิดเผยได้ และหากมีหลักฐานก็สามารถนำมาส่งมอบได้ด้วย โดยนายสักชี้แจงว่า ตามระเบียบดังกล่าว ผู้ครอบครองแทนหรือนอมินีทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด ร่ำรวยผิดปรกติ หรือทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นผิดปรกติที่ได้นำมาฝากไว้ สามารถนำมาแจ้ง คตส. ได้ และถ้าดำเนินการจนกระทั่งทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ผู้แจ้งซึ่งเป็นนอมินีก็จะได้รับสินบนดังกล่าวเช่นกัน

แผนบันได 4 ขั้น คมช.

“การยึดทรัพย์เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ที่เพิ่งมาพูดเพราะเมื่อก่อนเป็นสมาชิกและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งแนวทางของหัวหน้าพรรคใหม่ต้องการรักษาระยะห่างระหว่างทักษิณกับไทยรักไทย เพราะเกรงจะถูกมองว่าเป็นนอมินี แต่วันนี้พูดได้เพราะพรรคถูกยุบแล้ว ผมเชื่อว่าการที่ คตส. กล้าอายัดทรัพย์เป็นแผนบันได 4 ขั้นของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)”

นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ที่เคยพูดไว้ชัดเจนก่อนหน้านี้ว่ารับไม่ได้กับคำสั่ง คตส. ที่ให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ทั้งที่ทรัพย์ได้มาโดยสุจริตและขายทรัพย์สินโดยเปิดเผย ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่าระเบียบการจ่ายเงินให้กับผู้แจ้งเบาะแสอายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจมีการสร้างนอมินีที่เกี่ยวข้องกับ คตส. มาเป็นผู้ชี้มูลได้ จึงขอให้ คตส. เปิดเผยว่ามีคนชี้มูลแล้วกี่ราย พร้อมกันนี้ยังเตรียมพิจารณายื่นฟ้องเพิกถอนระเบียบว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของ คตส. พ.ศ. 2549 ที่เปิดช่องให้ผู้แจ้งเบาะแสได้รับเงินถึงร้อยละ 25 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดภายใน 30 วัน เพราะเป็นการกระทำที่ไม่สามารถตรวจสอบได้

นายวิชิตชี้ว่า ระเบียบข้อที่ 6 เรื่องสินบนที่แบ่งกลุ่มผู้แจ้งเบาะแสไว้เป็น 2 กลุ่มคือ ผู้ที่แสดงตนโดยเปิดเผย และผู้ที่แจ้งเบาะแสโดยไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ทั้งสองกรณีมีข้อสังเกตว่าหากแจ้งต่อประธาน คตส. และลงนามรับทราบ ก็ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบอะไรอีก จึงเป็นห่วงว่าอาจจะมีการใช้นอมินีหรือตัวแทนมาแจ้งเบาะแสเพื่อรับเงินสินบนดังกล่าว แต่ไม่ได้กล่าวหาว่านายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. ออกระเบียบดังกล่าวมาเพื่อหาผลประโยชน์ แต่น่าจะทำให้เกิดนอมินีหรือกลุ่มตัวแทนขึ้นมาได้ และความจริง คตส. มีอายุการทำงานเพียง 1 ปี ไม่สมควรออกระเบียบดังกล่าวขึ้นมา ขนาด ป.ป.ช. ซึ่งเกิดมากว่า 10 ปี ยังไม่เคยออกระเบียบในลักษณะนี้ทั้งที่มีอำนาจเต็มที่

“ระเบียบข้อนี้มีอะไรที่น่าติดตามมาก ผมขอเรียกร้องให้ คตส. เปิดเผยข้อมูลว่าขณะนี้มีผู้แจ้งเบาะแสมาแล้วกี่ราย ทั้งที่แสดงตนและไม่แสดงตน เพราะยังมีประเด็นสำคัญที่ว่าทายาทของผู้แจ้งเบาะแสมีสิทธิได้รับเงินสินบนส่วนนี้ได้ ซึ่งการดำเนินการส่วนนี้ทำให้มองได้ว่าเป็นเหตุผลทางการเมือง บวกกับมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง” นายวิชิตกล่าว

“ไอ้โม่ง” จ้องฮุบสินบนจาก คตส.

ขณะที่นายประเกียรติ นาสิมมา โฆษกทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งแถลงข่าวร่วมกับนายวิชิต ก็ระบุว่ากรณีที่ คตส. ออกระเบียบให้ผู้แจ้งเบาะแสได้รับเงินสินบน 25% จากทรัพย์สินของผู้ที่ถูกกล่าวหาที่ถูกริบเป็นของแผ่นดินนั้น ขณะนี้ได้ยินมาว่ามีผู้แสดงตัวเป็น “ไอ้โม่ง” มารับสินบนแล้ว" โดยผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่มีลูกหลายคนได้บอกกับลูกบางคนที่ยังยากจนอยู่ว่าให้อยู่เงียบๆ นิ่งๆ เดี๋ยวพ่อจะเอาเงินสินบนนี้มาให้เพื่อปลอบใจ ลูกได้ยินแล้วก็ดีใจและฝันว่าในส่วนนี้สามารถเป็นไปได้ แม้ตามระเบียบจะต้องตกเป็นของแผ่นดิน แต่ถ้าได้สินบนนี้มาแล้วหากนายนามลงนามมอบสินบนให้ก็ไม่สามารถเปิดเผยผู้รับสินบน 25% ได้


นายประเกียรติตั้งข้อสังเกตว่า คตส. ที่แต่งตั้งโดยอำนาจของ คปค. นั้นมีความฝังใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังมีหุ้นและทรัพย์สินต้องห้ามในขณะดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ จึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาให้เป็นคดีซุกหุ้นภาค 3 โดยที่ คตส. ได้ชี้มูลความผิดด้วยการสันนิษฐานว่ามีการซุกหุ้นเกิดขึ้น จึงมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว รวมถึงคนใกล้ชิดถึง 7 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 60,000 ล้านบาท โดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวไม่ได้กระทำความผิด ไม่ได้ทุจริตหรือประพฤติมิชอบ พร้อมกับถามถึงความชอบธรรมของ คตส. ที่มาจากอำนาจเผด็จการว่ามีความน่าเชื่อถือแค่ไหน

คตส. โต้ทำตามระเบียบ

แม้ปัจจุบัน คตส. จะหมดวาระไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้นายแก้วสรรได้กล่าวเรื่องการแจ้งเบาะแสในคดีต่างๆ ซึ่งจะมีเงินรางวัลให้กับผู้แจ้งเบาะแสที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้วนั้น มีผู้แจ้งเบาะแสข้อมูลทางคดีให้กับ คตส. ตามระเบียบดังกล่าวแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาลูกเอาเมียปลอมตัวมาแจ้งเบาะแสเพื่อหวังเงินรางวัล และในระเบียบก็ยังไม่มีใครได้เงิน เพราะเราทำอะไรก็ต้องมีหลักฐาน...ขอชมทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณว่าหัวไวมาก เป็นผมยังนึกไม่ออกว่ามีเรื่องส่วนนี้ด้วย”

นายแก้วสรรชี้แจงว่า การให้เงินรางวัลกับผู้ชี้ช่องการกระทำการทุจริตหรือร่ำรวยผิดปรกติ รูปแบบคัดลอกจากระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีแต่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้นที่ถูกอายัด เพราะถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้อำนาจหน้าที่เพิ่มผลประโยชน์ให้ตัวเองและบริษัท จึงเปรียบเสมือนว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด เมื่อทรัพย์สินแปลงสภาพเราก็ไปตามทรัพย์นั้นกลับมา

ขณะที่นายสัก กอแสงเรือง อดีตโฆษก คตส. และอนุกรรมการสอบสวนการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป กล่าวถึงข้อสงสัยของทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องการแจ้งเบาะแสว่า ไม่อยากให้น้ำหนัก อยากพูดอะไรก็พูดไป ไม่สนใจ เพราะทุกอย่างไม่มีมูลความจริง คตส. (จะ) ทำตามระเบียบที่ประกาศไว้

เมื่อในส่วนของการแจ้งเบาะแสทางผู้แจ้งประสงค์ไม่ให้เปิดเผยชื่อและรายละเอียด คตส. ก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะจะผิดกฎหมาย แต่ทุกเรื่องที่แจ้งมาก็ทำไปตามขั้นตอน

ต่างประเทศไม่ยอมรับแน่

แม้แต่นักวิชาการอย่าง รศ.ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็กล่าวกับ “โลกวันนี้ ” ว่าหากเป็นไปตามข่าว การให้รางวัลแก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสจากคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 25% หรือประมาณ 19,000 ล้านบาทนั้นเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นระเบียบอะไรก็ไม่ทราบ โดยเฉพาะออกโดยประกาศของ คตส. ถ้าทำอย่างนี้กับ พ.ต.ท.ทักษิณมากๆจะมีปัญหาต่อการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งต่างประเทศอาจมองว่าเป็นเรื่องทางการเมือง และอาจสงสัยว่าตั้งระเบียบการให้รางวัลผู้ที่แจ้งเบาะแสถึง 25% ได้อย่างไร ที่สำคัญอาจมีข้อสงสัยว่ามีการชี้มูลกันเองหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ พ.ต.ท.ทักษิณอาจใช้เป็นข้ออ้างที่ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยขาดความน่าเชื่อถือ

“ผมขอย้ำว่าการให้คอมมิชชั่น 25% แก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสตามระเบียบของ คตส. เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะเป็นการออกโดยประกาศของ คตส. ที่อดีตมาจากการรัฐประหาร และจะยิ่งทำให้ศาลอังกฤษมองว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีเจตนาที่จะกลั่นแกล้ง มีแรงจูงใจทางการเมืองเพื่อต้องการเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะ คตส. เป็นแค่กลุ่มบุคคลเฉพาะกิจ ซึ่งต่างประเทศก็ไม่ให้การยอมรับอยู่แล้ว” รศ.ประสิทธิ์กล่าว

เงินสินบนมีแต่ปัญหา “ผมคิดว่าอะไรที่มันผิดกระบวนการตามปรกติเชื่อว่าจะอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากประชาชนคงไม่ปล่อยให้กระบวนการอย่างนี้สร้างความเสียหายต่อไป เพราะคนจะเสียหายในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามีวิธีสารพัดที่จะทำลายกระบวนการที่ผิดเพี้ยนนี้ให้อยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายอาจต้องมีการออกกฎหมายมาจัดการกระบวนการที่ไม่ถูกต้องนี้ เพื่อให้กระบวนการทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยที่ถูกต้องตามปรกติ”

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกประจำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ความเห็นกับ “ โลกวันนี้” ถึงกรณีเงินรางวัลของ คตส. ว่าที่ผ่านมาก็มีปัญหาเกี่ยวกับรางวัลที่ออกตามกฎหมายอยู่พอสมควร เพราะในอดีตมีการกำหนดเงินสินบน เงินรางวัลต่างๆ แต่ก็มีการบิดเบือนกันมาก อย่างกฎหมายบางฉบับบอกว่ามีผู้แจ้งความนำจับ เช่น กฎหมายการพนันระบุว่าถ้ามีผู้แจ้งความนำจับและศาลสั่งปรับ ผู้แจ้งความนำจับจะได้เงินรางวัลจากค่าปรับกึ่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีการไปจับ แต่มีการอุปโลกน์ผู้แจ้งความนำจับเพื่อเอาเงินค่าปรับเข้ากระเป๋ากันเยอะมาก ทั้งที่เงินค่าปรับตามกฎหมายเพียงไม่กี่ร้อยกี่พันบาท

“แต่เงินสินบนอื่นๆในช่วงที่ผ่านมา ขนาดออกตามกฎหมายก็มีปัญหามาก เกิดเป็นช่องทางให้ใช้ประโยชน์โดยมิชอบเยอะ แต่ครั้งนี้ถ้าเป็นเงินสินบนหรือเงินอะไรพวกนี้ที่ออกโดยระเบียบ โดยองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล และจะยิ่งทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกที่มีความคิดจะได้ประโยชน์เป็นของตัวเอง เช่น ถ้าผมออกระเบียบให้ตัวเอง เปิดช่องให้มีส่วนได้จากการกระทำอะไร เกิดคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมมีส่วนประโยชน์ได้เสียตรงนั้นก็จะเกิดอคติในการทำงานขึ้นมา และบางทีพบพยานหลักฐานที่จริงๆแล้วเขาไม่ผิดอะไร แต่ตัวเองอยากจะมีประโยชน์จากเงินตรงนี้ ก็อาจบิดเบือนกลบเกลื่อนพยานหลักฐาน หรือสร้างพยานหลักฐานมาปรักปรำเขาด้วย เรียกว่ามันบิดเบือนการทำงานอย่างตรงไปตรงมาของคนได้ ยิ่งถ้าเป็นเงินจำนวนมากๆก็ยิ่งมีการบิดเบือนการทำหน้าที่ของกลไกที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาได้” นายพงศ์เทพกล่าว

ยึดทรัพย์อยู่ที่ความเป็นธรรม

ส่วนความพยายามที่จะยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นชนวนทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระลอกใหม่ที่รุนแรงหรือไม่นั้น นายพงศ์เทพให้ข้อคิดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่อยู่ที่ว่ามีเหตุผล มีความเป็นธรรมหรือไม่ที่ทำกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างนั้น

“ยกตัวอย่างง่ายๆถ้าตนมีเงินอยู่ 100 บาท ต่อมาได้เข้ามาทำงานทางการเมือง และทรัพย์สินมีมูลค่ารวม 120 บาท ถ้าจะหาว่าร่ำรวยผิดปรกติอย่างมากที่สุดก็เอาไป 20 บาท แต่นี่จะเอาไปทั้งหมด แล้วของเดิม 100 บาทของใคร อย่างนี้ถือเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนแล้วว่า คตส. เป็นกลุ่มบุคคลที่คณะปฏิรูปฯตั้งมาและมีเจตนาอะไร พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ก็บอกแล้วว่าแผนบันได 4 ขั้นคืออะไร”

ส่วนระเบียบของ คตส. ที่อาจเปิดช่องให้เกิดปัญหาในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้นั้น นายพงศ์เทพกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับประเทศอังกฤษจะพิจารณา อยู่ที่รายละเอียด ต้องว่ากันไปเป็นเรื่องๆว่าจะเข้าข้อกฎหมายใด ส่วนคดีในเมืองไทยก็ต้องว่ากันไป ทั้งคดีที่ยังค้างอยู่และคดีที่มีการดำเนินพิจารณาต่อได้ก็ต้องสู้กันไปตามกระบวนการ

“ปล้น ”ด้วยคอมมิชชั่น

แม้ คตส. จะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ามีอำนาจตรวจสอบและมีอำนาจฟ้องตามประกาศ คปค. แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คตส. คือองค์กรเฉพาะกิจที่มาจากการแต่งตั้งจากการรัฐประหาร คตส. จึงไม่ถือเป็นกระบวนการยุติธรรมตามปรกติ และเป็นไปไม่ได้ที่จะให้อารยประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยให้การยอมรับ

ระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 1 ปีมีคำถามมากมายถึงการทำงานของ คตส. ว่าเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโปร่งใสจริงหรือไม่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า คตส. ตั้งขึ้นมาเพื่อพยายามเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณและพวกให้ได้ คดีต่างๆที่ตั้งแท่นจาก คตส. จึงมีคำถามและข้อสงสัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของอดีต คตส. ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าค่อนข้างอคติ แทนที่จะเป็นกลางและทำให้ผู้คนเกิดความเชื่อถืออย่างผู้ทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทั่วไปพึงปฏิบัติ

แม้แต่การสรุปคดีและการพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจการฟ้อง คตส. ก็ยังมีความขัดแย้งกับอัยการสูงสุดจน คตส. ต้องฟ้องเองหลายคดี ซึ่ง คตส. ต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมาด้วย เพราะกฎหมายให้อำนาจอัยการสูงสุดและ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องคดีเท่านั้น แต่ คตส. อ้างอำนาจจากประกาศ คปค. ที่เป็นอำนาจโดยเผด็จการ เช่นเดียวกับเรื่องเงินสินบนหรือคอมมิชชั่น 25% นั้นจะถือเป็นการปล้นที่ถูกต้องตามกฎหมายได้หรือไม่ ซึ่งมีผู้ตั้งคำถามไว้อย่างน่าสนใจว่า


1.คตส. สรุปสำนวนชี้ว่ามีความผิดนั้น มีการระบุชัดเจนหรือไม่ว่าทรัพย์ที่ว่าผิดหรือได้มาจากการทุจริตนั้นมีจำนวนเท่าไร

2.คตส. ชี้ชัดเจนหรือไม่ว่าก่อนที่จะกล่าวหาว่าทุจริตนั้นทรัพย์สินเดิมมีเท่าไร และหลังข้อกล่าวหาว่าทุจริตมีเพิ่มขึ้นเท่าไร

3.คตส. ชี้ให้เห็นชัดเจนหรือไม่ว่าการยึดทรัพย์ของลูกและภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นเงินจำนวนเท่าไรที่มาจากการทุจริต

4.คตส. ได้ระบุทรัพย์เดิมของบุคคลที่เกี่ยวข้องว่ามีจำนวนเท่าไร เพิ่มขึ้นเท่าไรอย่างชัดเจนหรือไม่

5.คตส. ระบุถึงทรัพย์สินหรือเงินที่ยึดมาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตอย่างชัดเจนหรือไม่อย่างไร

6.คตส. มีหลักฐานชี้ชัดหรือไม่ว่าทรัพย์หรือเงินที่ได้จากการขายหุ้นที่เป็นการทุจริตทั้งหมดนั้นมีเท่าไร

7.คตส. มีการระบุชัดเจนหรือไม่ว่ากฎหมายข้อใดที่ให้สามารถยึดทรัพย์ได้

8.คตส. ระบุชัดเจนหรือไม่ว่าเงินทั้งหมดเป็นเงินที่ได้มาจากการทุจริต


การจะยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวที่มีเงินจำนวนมหาศาลถึง 76,000 ล้านบาท ซึ่งกลายเป็นปริศนาว่าเงินสินบน 25% ที่มากถึง 19,000 ล้านบาทนั้น ใครคือไอ้โม่งที่ปล้นเงินก้อนมหึมานี้

แม้วันนี้ คตส. จะโอนคดีให้ ป.ป.ช. ดำเนินการต่อแล้วตาม แต่ทั้ง คตส. และ ป.ป.ช. ก็ถูกตั้งคำถามว่ามีความชอบธรรมตามกระบวนการยุติธรรมปรกติที่ทำเพื่อความถูกต้อง ยุติธรรม และโปร่งใส ตามหลักกฎหมายและทำนองคลองธรรมของบ้านเมืองปรกติหรือไม่ เพราะแม้แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันก็ถูกตั้งคำถามกรณีไม่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ แต่กลับยืนยันอย่างภาคภูมิใจว่ามีอำนาจเต็มในการทำงาน เพราะได้รับการแต่งตั้งโดยคณะปฏิวัติ และได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเป็นผลพวงจากเผด็จการเช่นกัน

จากบทวิเคราะห์ข่าวของหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ผ่านเว็ปไทยฟรีนิวส์
//www.thaifreenews.com/?name=analyse&file=readanalyse&id=210




 

Create Date : 21 สิงหาคม 2551    
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 19:37:12 น.
Counter : 709 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.