มหากาพย์แห่งหนี้TPI ตอน อีพีแอลพ้นทีพีไอ แนวรบไม่เปลี่ยนแปลง
หลัง อีพีแอล หลุดพ้นไปจากกระบวนการฟื้นฟู ทีพีไอ ด้วยคำสั่งศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๖ ตามเหตุผลซึ่งมีสาระใหญ่ใจความว่า
๑. อีพีแอลไม่ฟื้นฟูกิจการให้เป็นไปตามแผน ทำให้ทีพีไอมีหนี้สินเพิ่มขึ้นจาก ๑๒๗,๗๐๐ ล้านบาทเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็น ๑๓๑,๐๐๐ ล้านบาท ในปี ๒๕๔๕ และมีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก ๕,๗๐๐ ล้านบาท ๒.ค่าใช้จ่ายในการบริหารแผนของอีพีแอลมีมูลค่าสูงถึง ๑,๐๐๐ ล้านบาท ๓. อีพีแอลไม่สามารถบริหารกิจการของทีพีไอ ให้เป็นไปตามแผน ที่สำคัญคือไม่สามารถหาเงินทุนหมุนเวียนจำนวน ๒๕๐ ล้านดอลลาร์มาใช้ในกิจการของบริษัท การยกเหตุผลว่าสถานะบริษัทย่ำแย่ ไม่มีอำนาจเจรจาต่อรองนั้น ฟังไม่ขึ้น รวมทั้งผลกระทบจากเหตุการณ์ ๙/๑๑ หรือสงครามอ่าวเปอร์เชีย ทำให้ต้องชะลอการกลั่นน้ำมันเหลือไม่ถึงวันละ ๑๒๐,๐๐๐ บาร์เรลก็ถือเป็นการบริหารที่ผิดพลาด เพราะตรงกันข้ามหากเพิ่มกำลังการกลั่นถึง ๑๒๐,๐๐๐ บาร์เรลก็จะช่วยให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนทำกิจการต่อไป ๔.ความขัดแย้งทั้งกับฝ่ายลูกหนี้ และพนักงานบริษัท ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้
ผู้สันทัดกรณีบางท่านบอกว่า กลยุทธ์แห่งชัยชนะของประชัยสืบเนื่องจาก การรบแบบจรยุทธ์ หรือ การรบแบบกองโจร ซึ่งใน สงครามจริง ยุทธวิธีแบบนี้สร้างความปวดเศียรจนด้วยเกล้า กับกองทัพที่คิดว่า ไฮ-เทค หรือ มีความได้เปรียบในเชิงสรรพาอาวุธ มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ประชัย เองก็เคยประกาศแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมในหลายกาลและเทศะว่า
กิจการของทีพีไอก็เปรียบเหมือนคนไข้ที่เข้าห้องไอซียู แต่เจ้าหนี้จะเอาผีมาสิงไม่ถูก เพราะจิตวิญญาณยังมีอยู่ และผมจะดำเนินการต่อสู้ให้ถึงที่สุด สู้ตามสิทธิ สู้ตามขบวนการที่เปิดช่องทางให้ผมต่อสู้และเมื่อสู้ถึงที่สุดด้วยระบบศาลสูง ไม่ได้ ผมก็พร้อมจะตอสู้ในระบบศาลเตี้ย(นสพ.โพสต์ ทูเดย์,๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๗น.๓)
ในเชิงของการหวังผลสัมฤทธิ์ต้องยอมรับว่า การรบไร้รูปแบบ หรือการเป็น Street Fighter ของ ประชัย ทำให้บรรดา มืออาชีพ พลิกตำราแก้กันไม่ทัน
หากพิจารณาว่า ธง ของประชัย คือ ต้องการยึดบริษัทคืน ด้วยการยกเหตุผล หนี้สินมหาศาลกว่าแสนล้านบาทของ ทีพีไอ ไม่ได้เกิดจากการบริหารงานผิดพลาด แต่เป็นเพราะการประกาศลดค่าเงินบาทของรัฐบาล ดังนั้น การปฏิบัติตัวเป็น ลูกหนี้ ท่องคาถาไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนอดีต วุฒิฯเอ็นพีแอล อีกท่าน สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง แห่ง เอ็นทีเอส สตีล ก็คือ ความชอบธรรมและการขับ อีพีแอลออกไปพ้นหูพ้นตา ก็ย่อมเป็นชัยชนะ
แต่นี่คือมิจฉาทิฐิ!
ในด้านหนึ่ง ชัยชนะของ ทีพีไอ นำมาซึ่งปฏิกิริยาของนักลงทุนต่างชาติ ที่แสดงออกถึงปฏิกิริยาด้านลบ!
ยกตัวอย่าง ดิเอเชียน วอลล์สตรีท เจอร์นัล เสนอบทความเชิงวิเคราะห์ โดยสัมภาษณ์ตัวแทนของบริษัทหลักทรัพย์ และสถาบันการเงินต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่กล่าวคล้ายกันว่า เป็นช่องโหว่ในระบบยุติธรรมของไทย และอาจมีผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในอนาคต
ฟากกลุ่มเจ้าหนี้ การตกอยู่ในสถานะเพลี่ยงพล้ำ นำไปสู่การสรุปบทเรียนตอกย้ำความเชื่อของตัวเองอีกว่า ประชัย คือ อุปสรรคสำคัญขัดขวางกระบวนการฟื้นฟู
ดังนั้น ถ้าอยากได้หนี้คืนก็ต้องไม่มีชื่อ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อยู่ในสารบบการฟื้นฟูฯ
นี่ก็มิจฉาทิฐิอีกเหมือนกัน!
ปฐมเหตุอันมาจากมิจฉาทิฐิ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต่างฝ่ายต่างมีกรอบกำแพง หลัง อีพีแอล พ้นจากกระบวนการฟื้นฟูฯ การสัปยุทธระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้จึงดำเนินต่อไปในรูปแบบเดิมๆและดูจะ เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น
หลังคำสั่งศาลล้มละลายกลาง ปลด อีพีแอล ชื่อของ บริษัทผู้บริหารแผนไทย จำกัด ก็ปรากฏขึ้น
โดยนัยทางยุทธศาสตร์ บริษัทนี้เปิดตัวเป็นบริษัทคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อเลี่ยงกระแส ชาตินิยม ต้าน ฝรั่งหัวแดง-ทุนข้ามชาติ ซึ่งค่อนข้างปลุกขึ้นในยุคนั้น
แต่โดยระบบคิด ยุทธศาสตร์หลักของเจ้าหนี้ยังเหมือนเดิม
มีการมองของผู้ที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดว่า ยุทธวิธีนี้ดูท่าจะไปไม่รอดเหมือนเคย
ความเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมก็คือ ความเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานทีพีไอ ที่ยื่นหนังสือต่อกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๖ ก่อนวันที่ศาลล้มละลายกลางตัดสินให้ อีพีแอล พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผน
...ทางสหภาพขอให้กระทรวงการคลัง เตรียมมาตรการการช่วยเหลือ หากมีการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ทีพีไอ โดยแนวทางที่สหภาพฯนำเสนอต่อรัฐคือ แนวทางของบรรษัทบริหารสินทรัพย์หรือบสท. ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาของทีพีไอได้...
เนื้อหาตอนหนึ่งของหนังสือถึงกระทรวงการคลังระบุ สะท้อน ระบบคิด ของสหภาพแรงงานฯที่ต้องการ ความมั่นใจในเรื่องของ ความเป็นกลาง-โปร่งใส ของผู้บริหารแผนฯ เนื้อหาตอนนี้สำคัญมาก เพราะเป็นการชี้ชัดให้เห็นว่า สหภาพกับผู้บริหารกลุ่ม ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นั้น มี ระบบคิด ที่แตกต่างกันสิ้นเชิง
สังเกตว่า ข้อเรียกร้องสำคัญของสหภาพ คือ การให้ บสท.ซึ่งก็คือองค์กรที่รัฐบาลตั้งขึ้นเข้ามา Handle
แต่ระบบคิดของประชัยคือ ลูกหนี้ต้องบริหารเอง ย้อนกลับมาที่ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเจ้าหนี้ การเสนอ บริษัทผู้บริหารแผนไทย จำกัด เข้ารับภารกิจ พิจารณาจากรายชื่อได้ดังนี้
พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา บิ๊กอ๊อด อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานกรรมการ
สุวรรณ วลัยเสถียร เจ้าของหนังสือ พ่อรวยสอนลูก นักกฎหมายมืออาชีพซึ่งเชี่ยวชาญกฎหมายธุรกิจ อดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลทักษิณ ๑ และยังเป็นอดีตกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งมีความสนิทสนมกับครอบครัว "โสภณพนิช" มีข่าวว่า เจ้าสัวชาตรี โสภณพานิช ลงทุนทาบทามด้วยตัวเอง
มังกร เกรียงวัฒนา อดีตผู้บริหารทีพีไอ รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่
ไขศรี นิธิการพิศิษฐ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่เคพีเอ็มจี บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบัญชี มีประสบการณ์ฟื้นฟูกิจการมาหลายบริษัท
พละ สุขะเวช อดีตผู้ว่าการ ปตท. ซึ่งอาจจัดชั้นได้ว่าเป็น กูรูด้านพลังงานของเมืองไทยคนหนึ่ง
อารีย์ วงศ์อารยะ อดีตปลัดมหาดไทย ซึ่งผู้บริหารฝ่ายลูกหนี้เสนอชื่อขึ้นมา
สุวรรณ การันตีคุณภาพของทีมงานว่า ผมไม่ใช่เทวดา แต่การเข้าไปทำแผนในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากทีมปิโตรเคมี ทีมการตลาด และผมมีประสบการณ์จากการเป็นรองผู้ว่าฝ่ายบริหารปตท. มีส่วนร่วมก่อตั้งโรงกลั่นน้ำมันในไทยทั้งคาลเท็กซ์ เชลล์และบางจาก รวมทั้งขณะที่เรียนปริญญาโทผมก็ได้ทุนจากบริษัทน้ำมัน นอกจากนั้น ยังมีความเชี่ยวชาญเรื่องภาษีน้ำมันทุกอย่าง ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต จึงคิดว่าความรู้ที่มีอยู่จะสามารถนำไปบูรณาการบริษัททีพีไอได้"
ความจริง Think Tank เหล่านี้ ล้วนมือดี แถมมีทั้ง ฝ่ายบู๊ และ ฝ่ายบุ๋น แต่ ผิดอยู่ที่ เมินเฉยต่อ ระบบคิด พื้นฐานของทั้ง สหภาพแรงงาน และ ประชัย
ดังนั้นการต่อต้านผู้บริหารแผนชุดใหม่ จึงเป็นสิ่งที่ไม่เหนือการคาดเดา
เพียงแต่ ด้วยมิจฉาทิฐิของเจ้าหนี้และลูกหนี้ ต่างฝ่ายเลือกแนวทางใส่เกียร์เดินหน้า พร้อมๆ กับมีการส่งสัญญาณด้านลบจากนักลงทุนต่างประเทศในตลาดเงินและตลาดทุนเป็น กระแสกดดันควบคู่กันไป
พายุฝนตั้งเค้าขึ้นอีกครั้ง !
ที่มาเว็ปเสียงประชาคม //www.civilvoice.net/columnist/tpi/51/004.php
Create Date : 07 กันยายน 2551 |
Last Update : 8 กันยายน 2551 18:07:31 น. |
|
0 comments
|
Counter : 733 Pageviews. |
|
|
|
| |