มหากาพย์แห่งหนี้TPI ตอน" ภารกิจสำเร็จ "
เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ของ พล.อ.มงคล เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุกครั้ง “บิ๊กหมง” จะเข้าพบเพื่อสรุปสถานการณ์ปัญหาทีพีไอ หรือ ไออาร์พีซีในปัจจุบัน และคำพูดปิดท้ายหลังรายงานสรุปก็คือ
“ หากจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขอให้ท่านมีความสบายใจในการดำเนินการได้เต็มที่ จะไม่มีการโกรธกัน”
ในเอกสาร ที่ กจญ. ๐๗๐/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๐ เรื่อง ความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งคณะผู้บริหารแผน รายงานต่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ เป็นข้อมูลที่เป็นทางการที่สุดในการอ้างอิงผลดำเนินงานฟื้นฟูทีพีไอ
“ ๒.๒.๑ ด้านการบริหารกิจการและทรัพย์สินของกลุ่มบริษัท
สามารถบรรลุนโยบายที่กำหนดไว้ทั้ง ๒ ประการได้แก่ บริษัทจะต้องดำเนินกิจการต่อไปอย่างมั่นคง และพนักงานบริษัททั้ง ๘,๐๐๐ คนต้องไม่ตกงาน โดยมีผลการดำเนินการที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
๒.๒.๑.๑ สามารถเจรจาลดภาระดอกเบี้ยกับเจ้าหนี้จากที่ต้องชำระใน Tier ๑ เดือนละ ๓๒๐ ล้านบาท (ตามแผนฟื้นฟูกิจการฉบับเดิม) เหลือเพียงเดือนละ ๒๐๐ ล้านบาท หรือลดลงเดือนละ ๑๒๐ ล้านบาท ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านนี้รวม ๑๙ เดือนเศษ เป็นเงินประมาณ ๒,๓๐๐ ล้านบาท (ตั้งแต่เมษายน ๒๕๔๖ จนถึง ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นวันที่ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ใช้แผนฟื้นฟูกิจการฉบับปรับปรุงแก้ไข โดยคณะผู้บริหารแผนฯตัวแทนกระทรวงการคลัง)
๒.๒.๑.๒ ประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสเงินสดจนสามารถนำไปชำระดอกเบี้ยคงค้างทั้ง หมด ๑๔ เดือน (รวมทั้งดอกเบี้ยค้างชำระ ๓ เดือนในช่วงเวลาที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ทำหน้าที่ผู้บริหารแผนฯชั่วคราว ) เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๗๖๕ ล้านบาท
๒.๒.๑.๓ สามารถเจรจาเงื่อนไขการชำระดอกเบี้ย จากเดิมที่ต้องชำระรายเดือน เป็นการชำระรายไตรมาส ทำให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นในการบริหารการเงิน
๒.๒.๑.๔ สามารถสร้างความมั่นใจกับสถาบันการเงินในการกลับมา ให้วงเงินสินเชื่อใหม่ (หลังยกเลิกในช่วงนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ทำหน้าที่ผู้บริหารแผนฯชั่วคราว) และยังได้วงเงินเพิ่มเติมเป็นจำนวนรวม ๑๖๐ ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไม่ต้องพึ่งพาการค้ำประกันของคณะกรรมการเจ้าหนี้ ทำให้บริษัทสามารถบริหารการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการค้ำประกัน และมีความพร้อมในการสร้างกระแสเงินสด ให้สอดคล้องกับวงจรของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้สามารถมีเงินสดอย่างเพียงพอในการจัดซื้อน้ำมันดิบ เพื่อผลิตและสร้างผลกำไรให้มากขึ้น
๒.๒.๑.๕ สามารถแก้ไขปัญหาการชำระภาษีของบริษัทที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติที่ผิดกฎหมาย ในอดีต เช่น การไม่นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายในการแปลงหนี้เป็นทุน การขอคืนภาษีในส่วนที่ไม่สามารถขอชำระคืนได้ รวมทั้งการแจ้งสูตรการผลิตซึ่งใช้ในการขอคืนภาษีไม่ถูกต้อง เป็นต้น
๒.๒.๑.๖ ใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหาร ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยความโปร่งใส ทำให้ลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ลงได้เป็นจำนวนมาก เช่น สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านประกันภัย โดยได้แก้ไขวิธีการเดิม ซึ่งดำเนินการกับบริษัทบางกอกสหประกันภัยอันเป็นบริษัทในเครือตระกูลเลี่ย วไพรัตน์ เป็นใช้วิธีการประกวดราคา และเจรจาเพื่อสรรหา และคัดสรรบริษัทผู้รับประกันภัยด้วยความโปร่งใส ทำให้สามารถลดเบี้ยประกันภัยจากปีละ ๕๘๖ ล้านบาท เหลือเพียง ๓๔๗ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๔๐
๒.๒.๑.๗ สามารถเพิ่มปริมาณการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยจาก ๙๖,๙๐๐ บาร์เรลต่อวันในปี ๒๕๔๖ ซึ่งอยู่ระหว่างการบริหารของอีพีแอล เป็น ๑๒๗,๖๐๐ บาร์เรลต่อวันในปี ๒๕๔๗ ซึ่งคณะผู้บริหารแผนฯตัวแทนกระทรวงการคลังเริ่มเข้าปฏิบัติงานตั้งแต่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และนับตั้งแต่คณะผู้บริหารแผนฯตัวแทนกระทรวงการคลัง ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมบูรณ์ อัตราการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยก็เพิ่มเป็น ๑๘๐,๐๐๐ บาร์เรลต่อวัน ในปี ๒๕๔๗ และ ๒๕๔๘
๒.๒.๑.๘ สามารถเพิ่มการจัดซื้อวัตถุดิบและน้ำมันดิบ โดยตรงจากผู้ผลิตเพื่อความมั่นคงของวัตถุดิบในช่วงขาดแคลน และยังเป็นการลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย อันเป็นผลจากความสำเร็จในการจัดการทางการการเงิน
๒.๒.๑.๙ สามารถเพิ่มงบลงทุนเพื่อการซ่อมบำรุงรักษา การปรับปรุง การเปลี่ยนเครื่องจักรและการดำเนินการ เพื่อฟื้นฟูรักษาสภาพแวดล้อมของโรงงาน จากเดิมประมาณปีละ ๑,๐๐๐ ล้านบาท เป็นประมาณ ๓,๐๐๐ ล้านบาทในปี ๒๕๔๘
๒.๒.๑.๑๐ จากความทุ่มเทเสียสละและร่วมมืออย่างดียิ่งของพนักงานทีพีไอ ต่อคณะผู้บริหารแผนฯ ทำให้ผลประกอบการทวีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นตามลำดับ จนสามารถจ่ายโบนัสแก่พนักงานในปี ๒๕๔๗ ได้สูงถึง ๕ เดือน รวมทั้งโบนัสตกค้างปี ๒๕๔๐ (ช่วงการบริหารของกลุ่มเลี่ยวไพรัตน์) อีก ๑.๕ เดือน รวมในปี ๒๕๔๗ พนักงานได้รับโบนัสถึง ๖.๕ เดือน และในปี ๒๕๔๘ พนักงานก็ได้รับโบนัสเป็นจำนวน ๕ เดือน ซึ่งยิ่งทำให้พนักงานมีขวัญและกำลังใจ ที่จะให้ความร่วมมือดำเนินการให้การฟื้นฟูกิจการประสบความสำเร็จ โดยเร็วต่อไป และเพื่อให้การดำเนินการต่อไปของทีพีไอมีเป้าหมายที่ชัดเจน พนักงานทีพีไอได้ร่วมกับคณะผู้บริหารแผนฯกำหนดวิสัยทัศน์ของทีพีไอเมื่อ เมษายน ๒๕๔๘ ดังนี้ “มุ่งให้ทีพีไอเป็นบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจรที่เป็นเลิศในอาเซียน เน้นบรรษัทภิบาล มีการบริหารที่เป็นสากล โดยยึดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และหลักการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม”
๒.๒.๑.๑๑ คณะผู้บริหารแผนฯ ยึดถือหลักการสำคัญในการประหยัดค่าใช้จ่าย ควบคู่ไปกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบรรลุเป้าหมายการดำเนินการ โดยได้กำหนดเป็นนโยบายว่า ค่าใช้จ่ายของคณะผู้บริหารแผนฯ จะต้องไม่เกินกว่าครึ่งหนึ่งของ ค่าใช้จ่ายผู้บริหารแผนเดิม (อีพีแอล) ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆได้เป็นจำนวนมาก ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงาน ด้วยคณะทำงานที่มีความชำนาญเฉพาะในแต่ละด้าน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ของค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องจ่ายให้แก่อีพีแอล และยังทำให้บริษัทต้องไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับบุคลากรต่อเนื่องไปอีก หลังเสร็จสิ้นภารกิจการเป็นผู้บริหารแผน ดังที่เคยปรากฏหลังสิ้นสุดการทำหน้าที่ของอีพีแอลอีกด้วย
๒.๒.๑.๑๒ ณ สิ้นปี ๒๕๔๘ หลังจากที่คณะผู้บริหารแผนฯ ตัวแทนกระทรวงการคลังได้เข้าปฏิบัติหน้าที่นั้นปรากฏว่า บริษัทมีฐานทางการเงินดีขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีข้อมูลเปรียบเทียบดังนี้
มูลค่าทรัพย์สินรวมเพิ่มขึ้นจาก ๑๓๐,๘๒๕ ล้านบาทเป็น ๑๕๒,๖๗๖ ล้านบาท หนี้สินรวมลดลงจาก ๑๒๘,๗๘๗ ล้านบาทเหลือเพียง ๕๑,๙๖๖ ล้านบาท มูลค่าในส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก ๒,๐๓๘ ล้านบาทเป็น ๑๐๐,๗๑๐ ล้านบาท จำนวนหุ้นจดทะเบียนแล้วเพิ่มขึ้นจาก ๗,๘๐๐ ล้านหุ้นเป็น ๑๙,๕๐๐ ล้านหุ้น Book Value เพิ่มขึ้นจาก ๐.๒๖ บาท/หุ้น (par ๑๐ บาท) เป็น ๕.๑๖ บาท/หุ้น (par ๑ บาท) ส่วนล้ำมูลค่าหุ้นจาก - ๓๒,๐๔๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น ๒๖,๗๙๘ ล้านบาท ขาดทุนสะสมจาก ๘๙,๓๔๗ ล้านบาทเป็นกำไรสะสม ๒๙,๕๓๘ ล้านบาท เป็นต้น ด้วยความสำเร็จที่เห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ นิตยสาร Business Week ฉบับ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๘ จึงได้กำหนดให้ทีพีไออยู่ในลำดับที่ ๒๘ ของการจัดลำดับบริษัทในเอเซียที่มีผลประกอบการดีเด่น และเฉพาะในประเทศไทยนั้น ทีพีไอเป็นลำดับที่สองรองจาก บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เท่านั้น
กล่าวโดยสรุปแล้วจึงเห็นได้ว่า ผลการดำเนินการบริหารกิจการ และทรัพย์สินของบริษัท โดยคณะผู้บริหารแผนฯ ตัวแทนกระทรวงการคลัง สามารถบรรลุตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลแล้วทั้ง ๒ ประการคือ กิจการของบริษัทจะต้องดำเนินต่อไปอย่างมั่นคง และ พนักงาน ๘,๐๐๐ คนต้องไม่ตกงาน”
๒.๒.๒ ผลการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการฯ
การดำเนินการของคณะผู้บริหารแผนฯ ตามภารกิจประการที่ ๒ ในการปรับปรุงแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการฯ ก็สามารถบรรลุนโยบายของรัฐบาลทั้ง ๒ ประการ ได้แก่ เจ้าหนี้ต้องได้รับเงินคืน และลูกหนี้ต้องได้รับความเป็นธรรม เช่นเดียวกัน กล่าวคือ แผนฟื้นฟูกิจการฯ ฉบับปรับปรุงแก้ไข โดยคณะผู้บริหารแผนฯ ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง และต่อมาศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งให้ใช้แผนฟื้นฟูกิจการฯ ฉบับนี้เมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
ในการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการฯ ก่อนได้รับความเห็นชอบจากศาลล้มละลายกลางดังกล่าว มีการปฏิบัติที่สำคัญดังต่อไปนี้
๒.๒.๒.๑โดยยึดหลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม คณะผู้บริหารแผน ได้จัดตั้งคณะทำงานสนับสนุนการปรับปรุงแก้ไขแผนฟื้นฟู (คสกท.) ประกอบด้วยตัวแทนพนักงานบริษัทจำนวน ๘ คน มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปิดโอกาสให้พนักงานซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และมีความรอบรู้ในกิจการของบริษัทอย่างแท้จริง ได้มีส่วนร่วมในการปรับปรุงแก้ไขแผนฟื้นฟูด้วย
๒.๒.๒.๒ทำการเจรจากับเจ้าหนี้และคณะกรรมการเจ้าหนี้กว่า ๓๐ ครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นไปตามนโยบาย ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐบาลทั้ง ๔ ประการ จนกระทั่งสามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ในที่สุด
๒.๒.๒.๓ นำส่งแผนฟื้นฟูกิจการฉบับแก้ไขมายังกระทรวงการคลัง ซึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น (ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้ลงนามให้ความเห็นชอบเมื่อ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๗ ต่อมาเมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ศาลล้มละลายกลาง จึงได้มีคำสั่งเห็นชอบกับข้อเสนอการแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ ของบริษัททีพีไอในที่สุด โดยมีสาระสำคัญคือ
๑) ปลดหนี้ดอกเบี้ยค้างชำระจำนวน ๒๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐ
๒) หนี้เงินต้นจำนวน ๒,๗๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น ๒ ส่วนหลัก ส่วนแรกจำนวน ๑,๘๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ กำหนดให้ใช้คืนจนเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา ๑๒ ปี และส่วนที่สองจำนวน ๙๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐชำระโดยวิธีการพิเศษด้วยหุ้น TPIPL และจากการขายส่วนทุนตามแผน
นอกจากนั้นยังกำหนดให้มีการลดทุนและเพิ่มทุน โดยลดทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้วลงร้อยละ ๙๐ ให้เหลือจำนวน ๗,๘๔๙ ล้านบาท ด้วยการลดมูลค่าหุ้นจากเดิมหุ้นละ ๑๐ บาทเป็นหุ้นละ ๑ บาท จากนั้นให้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน ๑๑,๖๕๑ ล้านหุ้นเพื่อชำระหนี้โดยวิธีการพิเศษ และให้มีการเพิ่มทุนเพิ่มเติมอีกไม่เกิน ๙๗๕ ล้านหุ้น (หรือร้อยละ ๕ ของทุนจดทะเบียน) เพื่อรองรับการออกหลักทรัพย์ให้แก่พนักงาน (ESOP) อีกด้วย
๒.๒.๒.๔ ตามแผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้มีการชำระหนี้ด้วยวิธีพิเศษ ส่วนที่ ๑ โดยการขายหุ้น TPIPL หรือให้มีการโอนทรัพย์ชำระหน ี้ซึ่งถือเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งในความสำเร็จของการออกจากการฟื้นฟูกิจการ คณะผู้บริหารแผนฯ ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ โดยขายหุ้นทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้เป็นจำนวน ๒๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐ และชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่เจ้าหนี้แล้วในวันเดียวกัน
๒.๒.๒.๕ ในแผนฟื้นฟูกิจการที่ได้รับความเห็นชอบจากศาลล้มละลายกลางนี้ ได้กำหนดให้ลดทุนจดทะเบียนลงในอัตราร้อยละ ๙๐ ซึ่งคณะผู้บริหารแผนฯได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยเมื่อ ๔ เมษายน ๒๕๔๘ นอกจากนั้นในแผนฟื้นฟูกิจการยังได้กำหนดให้กระทรวงการคลัง มีสิทธิในการจัดหาผู้ร่วมลงทุนและจัดสรรการขายส่วนทุน ซึ่งต่อมาเมื่อ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังได้จัดสรรการขายส่วนทุนตามแผน ให้แก่ผู้ร่วมลงทุนในสัดส่วนดังนี้ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ร้อยละ ๓๑.๕ ธนาคารออมสิน ร้อยละ ๑๐.๐ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ร้อยละ ๑๐.๐ กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ร้อยละ ๑๐.๐ ผู้ถือหุ้นเดิม (ยกเว้นผู้ถือหุ้นที่เป็นส่วนทุนเดิม) ร้อยละ ๒๐.๐ และเจ้าหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ทางการเงิน ร้อยละ ๘.๕ รวมทั้งสิ้น ร้อยละ ๙๐.๐
๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กลุ่มเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ชำระค่าหุ้นส่วนทุนตามแผนรวมเป็นเงิน ประมาณ ๕๘,๐๐๐ ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย (ประมาณ ๑,๔๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ได้ไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามเงื่อนไขของแผน ซึ่งเมื่อรวมกับการชำระหนี้จากการขายหุ้นทีพีไอโพลีนจำนวน ๒๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว จำนวนหนี้ของบริษัทจึงลดลงจาก ๒,๗๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือเพียงประมาณ ๙๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น
๒.๒.๒.๖ ความเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท
ก่อนการดำเนินงานของคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทประกอบด้วย เจ้าหนี้ร้อยละ ๗๕ และผู้ถือหุ้นเดิมร้อยละ ๒๕
หลังการเพิ่มทุนและ Fully Dilution จาก ESOP สัดส่วนการถือหุ้นได้เปลี่ยนแปลงไปดังนี้ เจ้าหนี้ลดลงเหลือร้อยละ ๘.๑ ผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๒๘.๖ ปตท.ร้อยละ ๓๐.๐ กบข.ร้อยละ ๙.๕ ธนาคารออมสิน ร้อยละ ๙.๕ กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง ร้อยละ ๙.๕ และ ESOP ร้อยละ ๔.๘
๒.๒.๒.๗ สำหรับการกำหนดหลักเกณฑ์ในการออกหลักทรัพย์ให้แก่พนักงาน (ESOP) อันเป็นเงื่อนไขหนึ่งในความสำเร็จของการฟื้นฟูกิจการนั้น เมื่อ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ผู้บริหารแผน และพนักงานได้ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้น ในการออกหลักทรัพย์ไว้ดังนี้
ประเภท : ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) ที่จะซื้อหุ้นสามัญ ชนิด : ระบุชื่อผู้ถือและเปลี่ยนมือไม่ได้ จำนวนที่ออก : ๙๗๕,๐๐๐,๐๐๐ หุ้น คิดเป็นร้อยละ ๕.๐ ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ราคาเสนอขาย :เสนอขายต่อหน่วย ๐ บาท อัตราการใช้สิทธิ : ใบสำคัญแสดงสิทธิ ๑ หน่วย สามารถซื้อหุ้นสามัญ ๑ หุ้น ราคาการใช้สิทธิ : เป็นราคาคงที่ เท่ากับ ๒.๘๐ บาท/หุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ :ไม่เกิน ๖ เดือน นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ระยะเวลาการใช้สิทธิ :ให้เริ่มใช้สิทธิตั้งแต่ปีที่ ๓ นับแต่วันออกใบสำคัญ ทั้งนี้ ฉบับที่ ๑ ใช้สิทธิได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ (ใช้สิทธิในปีที่ ๓) ฉบับที่ ๒ ใช้สิทธิได้ไม่เกินร้อยละ ๒๕ (ใช้สิทธิในปีที่ ๔) และฉบับที่ ๓ ใช้สิทธิได้ไม่เกินร้อยละ ๒๕ (ใช้สิทธิในปีที่ ๕) การใช้สิทธิ : ใช้สิทธิได้ปีละ ๔ ครั้งทุกสิ้นไตรมาส
จากความสำเร็จในการปฏิบัติตามเงื่อนไขการออกจากการฟื้นฟูกิจการทั้งการปรับ โครง - สร้างทุน การจัดหาผู้ร่วมทุน และจัดสรรการขายหุ้นเพิ่มทุน รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้น ในการออกหลักทรัพย์ให้แก่พนักงาน ดังนั้น เมื่อ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๘ คณะผู้บริหารแผนฯ จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง ขอให้บริษัทออกจากการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งต่อมาศาลล้มละลายกลาง ก็มีคำสั่งให้บริษัทออกจากการฟื้นฟูกิจการได้เมื่อ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๙...”
๒๖ เมษายน ๒๕๔๙ เวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น. ศาลล้มละลายกลาง ได้อ่านคำสั่งให้บริษัทออกจากการฟื้นฟูกิจการ แต่เมื่อเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ก่อนที่ศาลล้มละลายกลางจะอ่านคำสั่งนี้ นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งนนทบุรีว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้บริษัทออกจากการฟื้นฟูกิจการแล้ว) ขอให้เพิกถอนการแก้ไขข้อบังคับของบริษัท ที่ทำให้สามารถจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งจะมีขึ้นใน ๒๗ เมษายน ๒๕๔๙ โดยขอให้ศาลมีคำสั่งฉุกเฉิน ห้ามมิให้กระทรวงการคลังจัดประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ นอก จากนั้น นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ยังได้ออกประกาศสำนักงานใหญ่ ๒ ฉบับ ระบุว่าอำนาจในการบริหารได้กลับมาเป็นของตนแล้ว จึงให้ยกเลิกประกาศหรือคำสั่งใดๆ ที่คณะผู้บริหารแผนฯตัวแทนกระทรวงการคลังได้ลงนามไว้ทั้งสิ้น และห้ามมิให้พนักงานมาชุมนุมที่กรุงเทพ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พนักงานเหล่านี้ประสงค์จะมาเข้าร่วมประชุม ในฐานะผู้ถือหุ้นตามสิทธิทางกฎหมาย
๒๗ เมษายน ๒๕๔๙ ก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งจัดขึ้นที่หอประชุมกองทัพอากาศ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ได้นำพนักงานทีพีไอโพลีน จากสระบุรีจำนวนประมาณ ๕๐๐ คน โดยทุกคนมีบัตรแสดงตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่จัดการประชุมผู้ถือหุ้น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งได้รับการร้องขอจากคณะกรรมการจัดการประชุม ไม่อนุญาตให้เข้าในที่ประชุม เนื่องจากไม่มีหนังสือเชิญชวนเข้าร่วมประชุม ในฐานะผู้ถือหุ้น อันเป็นเงื่อนไขตามกฎหมาย
ครั้นถึงเวลาเปิดประชุม ๐๙.๐๐ น. นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ และทนายความได้เดินขึ้นไปบนเวทีซึ่งจัดไว้สำหรับประธานการประชุม แล้วประกาศในที่ประชุมซึ่งมีผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุมจำนวน ๑,๒๗๕ คนว่า ตนยังเป็นประธานกรรมการบริษัทอยู่แล้วสั่งปิดการประชุม เมื่อเจ้าหน้าที่จัดการประชุม ชี้แจงถึงอำนาจจัดการประชุมตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง และเชิญให้ลงจากเวที นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ไม่ยอมปฏิบัติตามพยายามสั่งเลิกประชุมต่อไป เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเชิญนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ลงจากเวทีในที่สุด
เมื่อไม่สามารถขัดขวางการประชุมได้ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จึงได้ยื่นคัดค้านทันทีต่อกระทรวงพาณิชย์ ไม่ให้รับจดทะเบียนคณะกรรมการบริษัทอันเป็นผลจากการประชุมผู้ถือหุ้นครั้ง นี้
๒๘ เมษายน ๒๕๔๙ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว คณะกรรมการบริษัทได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการขึ้น ที่ประชุมมีมติให้พลเอก มงคลอัมพรพิสิฏฐ์ เป็นประธานกรรมการ และนายปิติ ยิ้มประเสริฐ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยมีเงื่อนไขว่า จะมีผลก็ต่อเมื่อกระทรวงพาณิชย์ รับจดทะเบียนรายชื่อคณะกรรมการบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับคณะกรรมการเดิมจำนวน ๙ คนซึ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงบริหารของ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์นั้น ไม่ยอมเข้าร่วมประชุมด้วย
และในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้รับจดทะเบียนคณะกรรมการบริษัท อันเป็นผลจากการประชุมผู้ถือหุ้นเป็นที่เรียบร้อย คณะกรรมการชุดนี้จึงมีอำนาจสมบูรณ์ตามกฎหมาย
๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดระยองว่าการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อ ๒๗ เมษายน ๒๕๔๙ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้อำนาจในการบริหารตกเป็นของฝ่ายตน และเรียกค่าเสียหายจากคณะผู้บริหารแผนฯ ตัวแทนกระทรวงการคลังรวม ๒๔๐ ล้านบาท ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ศาลจังหวัดระยองมีคำสั่งยกคำร้องของ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ในประเด็นอำนาจการบริหาร ส่วนประเด็นอื่นๆ นั้นศาลนัดไกล่เกลี่ย ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ”
วันที่ ๖ ก.ย. ๔๙ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พิจารณาให้บริษัทฯพ้นเหตุเพิกถอน และปลดเครื่องหมาย NC (Non-Compliance) หลักทรัพย์ของบริษัทฯ
วันที่ ๒๙ ก.ย. ๔๙ บริษัทฯ ชำระคืนหนี้ ตามแผนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทางการเงินจำนวนรวมเทียบเท่า ๙๖๕ ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินกู้ Bridge Loan จำนวนเทียบเท่า๘๐๕ ล้านเหรียญสหรัฐ และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ จำนวนเทียบเท่า ๑๖๐ ล้านเหรียญสหรัฐ
๖ พ.ย. ๔๙ เปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจาก “TPI” เป็น “IRPC”
ความจริงระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจบริหาร ก็มีเหตุการณ์ที่ผู้บริหารชุดใหม่ต้องสู้รบปรบมือกับประชัยอีกมาก อาทิ ปัญหาหนี้ค่าน้ำมันบริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด การสั่งจ่ายเงินของบริษัท น้ำมันทีพีไอ และบริษัท ไทยเอบีเอส จำกัด การสั่งจ่ายเงินของบริษัท Internet Portal จำกัด การมอบคืนอำนาจการบริหารบริษัทในเครือแก่ทีพีไอ
จึงนับได้ว่าเวลาเกือบ ๓ ปี จาก “ทีพีไอ สู่ ไออาร์พีซี” เป็นเส้นทางพิสูจน์ “ของจริง”ทั้งสิ้น
จากเว็ปเสียงประชาคม //www.civilvoice.net/columnist/tpi/51/013.php
Create Date : 18 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2551 11:19:26 น. |
|
0 comments
|
Counter : 712 Pageviews. |
|
|
|
| |