จัดซื้อเครื่องบินรบกริพเพนยุคชลิต พุกผาสุขเข้าข่ายขัด ม.190
ปูดอีก! จัดซื้อเครื่องบินรบ กริพเพน& ของกองทัพอากาศ ยุคชลิต พุกผาสุข& นอกจากเข้าข่ายขัด ม.190 ยังส่อพบความไม่ชอบมาพากลอีกเพียบ ทั้งเรื่องของงบประมาณ 1.9 หมื่นล้านที่สูงผิดปกติ จนมีการตั้งข้อสังเกตเงินอีก 5.2 พันล้านหายไปไหน แถมยังรีบเร่งจัดซื้อโดยไม่มีแผนล่วงหน้า ต้องตัดงบสวัสดิการที่อยู่อาศัยทหารผู้น้อย มาเป็นงบเริ่มต้น มัดมือชกให้ตั้งงบผูกพันถึง 5 ปี แถมการโยกงบยังไม่ผ่านสภา ขณะที่การเซ็นสัญญายังรวดเร็วสายฟ้าแลบ ตั้งกรรมการจัดซื้อไม่กี่วัน ผบ.ทอ. แจ้นลงนามจัดซื้อถึงสตอกโฮล์ม ชี้บินแพง-ซ่อมบำรุงแพง ซ้ำสเป็กยังไม่เป็นสากล
การจัดซื้อเครื่องบินรบ Gripen 39 C/D ของกองทัพอากาศ ที่มีการอนุมัติงบประมาณผูกพัน 5 ปี (2551-2555) วงเงิน 19,000 ล้านบาท ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในห้วงหลังการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 ที่มี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ นอกจากจะส่อว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ตามที่มีผู้ร้องเรียนแล้ว ยังส่อเค้าว่าอาจจะมีความไม่ชอบมาพากลทั้งในเรื่องของการจัดทำงบประมาณ ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งร้อน และเรื่องของสเป็ก ราคา ตลอดจนผลกระทบต่อการจัดกำลังฝูงบินของกองทัพอากาศในอนาคต ที่มีประเด็นน่าสงสัยอยู่หลายประการ
*ยื่นศาล รธน.สอบซื้อกริพเพน ในประเด็นมาตรา 190 นั้น นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคพลังประชาชน ในฐานะผู้ยกคำร่างพร้อมรวบรวมรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1 ใน 10 หรือจำนวน 70 คน ตามมาตรา 154 (1) ประกอบมาตรา 190 วรรคท้าย เพื่อส่งเรื่องให้ประธานสภาฯ ส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบกรณีที่กองทัพไทยทำสัญญาซื้อขายเครื่องบินกริ พเพน จำนวน 6 ลำ กับรัฐบาลสวีเดน กล่าวว่า ขณะนี้ต้องรอการตรวจสอบหลักฐานข้อมูลการทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวว่า เป็นไปตามตัวบทกฎหมายในมาตรา 190 (2) ที่ว่าด้วยการทำหนังสือสัญญา มีผลผูกพันงบประมาณของประเทศ อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาแล้วเห็นว่า กระบวนการทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายจริง และมีการนำสู่รัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ เรื่องทุกอย่างก็เป็นอันยุติไป
แต่ในทางกลับกัน หากมีการตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่า ไม่เป็นไปตามตัวบทกฎหมายที่รัฐธรรมนูญกำหนด คงต้องส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาตีความว่า หนังสือสัญญาดังกล่าวจะมีผลผูกพันงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ เพราะมีการจัดใช้งบประมาณกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท และมีงบประมาณผูกพันถึง 5 ปี ซึ่งคำกำกับความตรงนี้ต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณาตีความ
*กังขา!ร้อนรนโยกงบไม่ผ่านสภา ขณะเดียวกันนอกเหนือไปจากประเด็นรัฐธรรมนูญที่มีการพูดจากันไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดได้มีผู้ร้องเรียนถึง ประชาทรรศน์ ในความไม่ชอบมาพากล และความไม่เหมาะสมในการจัดซื้อเครื่องบินดังกล่าว ซึ่งพบว่ามีความน่ากังวลสงสัยอยู่หลายประการ
ผู้ร้องเรียนตั้งคำถามว่าในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และเมื่อเทียบศักยภาพในการป้องกันประเทศกับเพื่อนบ้านในปัจจุบัน ประเทศไทยมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องจัดซื้อเครื่องบินรบมูลค่าถึง 19,000 ล้านบาท ที่ยังจะต้องมีค่าอะไหล่ ค่าบำรุงรักษา ค่าเชื้อเพลิง ค่าหล่อลื่น ซึ่งสูงกว่าเครื่องบินรบ F-16 ที่ใช้อยู่เดิมถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ในเรื่องของงบประมาณก็ยังมีความน่าสงสัย เนื่องจากในปี 2551 ไม่มีการตั้งงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธ แต่กลับร้อนรนที่จะโอนงบประมาณจากงบพัฒนาหน่วย งบสวัสดิการ งบสร้างบ้านพักอาศัยของข้าราชการ และงบประมาณอื่นๆ ไปใช้เพื่อการดังกล่าว จนทำให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว โดยที่การโอนงบประมาณดังกล่าวยังไม่ผ่านความเห็นชอบของสภา และ สนช. ด้วย
*บินแพง-ซ่อมแพง-ไม่มาตรฐาน นอกจากนี้ในการที่กองทัพอากาศออกมาแถลงข่าวถึงความจำเป็น และความคุ้มค่าของโครงการนี้ ก็ยังปรากฏว่ามีการปกปิดข้อมูลสำคัญบางอย่างเอาไว้ ที่ส่อว่าประเทศชาติจะต้องมีภาระหนี้สินมูลค่ามหาศาลในอนาคต เพราะค่าใช้จ่ายทั้งการซ่อมบำรุง และค่าเชื้อเพลิงของเครื่องบินรุ่นนี้สูงกว่า F-16 กว่า 3 เท่า กล่าวคือ F-16 จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 150,000 บาทต่อชั่วโมง แต่กริพเพน มีค่าใช้จ่ายที่ 300,000 บาทต่อชั่วโมง ในช่วงแรก และจะเพิ่มเป็น 500,000 บาทต่อชั่วโมง ตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป รวมทั้งอะไหล่ การซ่อมบำรุงต่างๆ ยังแพงกว่ากันอย่างมาก
รวมถึงการที่กองทัพอากาศระบุว่า กริพเพนมีสมรรถนะดีเยี่ยมนั้นในความเป็นจริง ก็ยังไม่มีใช้แพร่หลายในหลายประเทศ การติดตั้งอุปกรณ์บางอย่างก็ไม่เป็นมาตรฐาน เช่น ปืนใหญ่อากาศยานที่มีขนาด 27 มม. ในขณะที่ปกติทั่วไปส่วนใหญ่จะมีขนาด 30 มม.
*ปลด 45 ลำเพื่อกริพเพนแค่ 6 ลำ นอกจากนี้ผลกระทบต่อกำลังทางอากาศอันเนื่องมาจากการจัดซื้อเครื่องบิน รบดังกล่าว จะต้องมีการประกอบกำลังในปัจจุบัน 133 เครื่อง เหลือเพียง 88 เครื่อง โดยจะต้องมีการปลดเครื่องบิน 3 ฝูง หรือ 45 เครื่อง เพื่อให้มีเงินเพียงพอที่จะบินเครื่องบินกริพเพน ได้ 6 เครื่อง
ที่สำคัญขีดความสามารถของเครื่องบิน 6 เครื่องดังกล่าว ไม่ได้มีขีดความสามารถสูงกว่า F-16 ที่กองทัพอากาศมีอยู่แล้ว 59 เครื่อง
อีกทั้งการใช้งบประมาณจำนวนมาก และค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วดังกล่าว ยังจะส่งผลให้เครื่องบินขับไล่ที่เหลือไม่ได้รับการพัฒนา เพราะขาดแคลนงบประมาณอีกด้วย
นอกจากนี้ ในการจัดซื้อยังพบว่าประเทศไทยมีราคาในการซื้อสูงกว่าหลายประเทศ โดยราคาต่อเครื่องพร้อมมูลค่าของอะไหล่และการฝึก เซาต์แอฟริกา ซื้อ 28 เครื่อง ตกเครื่องละ 42.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฮังการี ซื้อ 14 เครื่อง ตกเครื่องละ 66 ล้านดอลลาร์ เช็ก ซื้อ 14 เครื่อง คิดเป็นเงินเครื่องละ 55.36 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยจัดซื้อในราคาเครื่องละ 93 ล้านดอลลาร์
*ถามหาเงิน 5.2 พันล้านไปไหน ขณะเดียวกัน การจัดซื้อเครื่องบินของประเทศต่างๆ จะมีการตอบแทนการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมทหาร แต่ในส่วนของไทยกลับได้รับเพียง ระบบเรดาห์ Erieye เครื่องบินลำเลียง SABB ที่ปิดสายพานการผลิตไปตั้งแต่ปี 2005 และระบบ Data Link 3 Station
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการพิจารณาราคาจำหน่ายเครื่องบินโดยละเอียดแล้ว ยังพบว่าของที่ถูกระบุว่าเป็น Options ดังกล่าวนั้น ได้ถูกคิดราคาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยที่ตัวเครื่องบินกริพเพน จะมีราคาสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 9,900 ล้านบาท Erieye 2,475 ล้านบาท เครื่องบินลำเลียง SABB 396 ล้านบาท ระบบ Data Link 3 Station 990 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 13,761 ล้านบาท ซึ่งก็ยังเป็นข้อกังวลสงสัยอยู่ว่านอกจากจะมีความสับสนในเรื่องของแถมดัง กล่าวแล้ว ยังมีตัวเงินอีกประมาณ 5,239 ล้านบาท ที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน หรือถูกจ่ายเป็นค่าอะไร
*พิจารณาไม่ถึงเดือนลงนามจัดซื้อ สำหรับเครื่องบินรบในยุค 4.5 ที่มีเรดาห์ลอยฟ้าซึ่งมีคุณสมบัติในการตรวจจับระยะไกล ทั้งยังมีเครือข่ายติดต่อกับภาคพื้นดิน พื้นน้ำ ศูนย์บัญชาการ ที่ทำให้เพิ่มอำนาจในการรบ ที่มีอยู่ในขณะนี้มีทั้ง F-16 C และ F-16 D ของสหรัฐ SU-30 MKM ของรัสเซีย GRIPEN ของสวีเดน และราฟาลของฝรั่งเศส
การตัดสินใจเลือกซื้อกริพเพนของกองทัพอากาศ และการที่ ครม. สุรยุทธ์ อนุมัติเรื่องดังกล่าว โดยให้เป็นงบผูกพัน 5 ปี กล่าวคือ ปี 2551 เป็นเงิน 1,900 ล้านบาท ปี 2552 เป็นเงิน 7,065 ล้านบาท ปี 2553 เป็นเงิน 5,595 ล้านบาท ปี 2554 เป็นเงิน 2,960 ล้านบาท และปี 2555 เป็นเงิน 1,480 ล้านบาท ได้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ไม่สอดคล้องกับความจำเป็น การโยกงบประมาณและเสนอเป็นงบประมาณผูกพันในลักษณะมัดมือชกว่าจะต้องมีการ ตั้งงบประมาณให้ในปีถัดไปทั้งที่ไม่มีแผนล่วงหน้า ไม่มีการนำเรื่องเข้าสู่สภา และยังมีเรื่องของระยะเวลาที่มีขั้นตอนการดำเนินการค่อนข้างรวดเร็ว
โดยหลังครม.มีมติอนุมัติ เมื่อ 16 ตุลาคม 2550 ได้มีการลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดซื้อเมื่อ 16 มกราคม 2551 จากนั้นเพียงไม่ถึง 1 เดือน พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย ก็บินไปลงนามกับ Mr.Gunnar Holmgren ผู้อำนวยการองค์กรบริหารจัดการยุทธภัณฑ์ทางทหารสวีเดน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน
//prachachonthai.com/www/index.php?option=com_content&task=view&id=268&Itemid=1
ส่วนนี่คือความเห็นของผู้คัดค้าน
กรณีนี้ ไม่เข้าข่าย ม.190 นี่ครับ งบก็เป็นงบประจำปีของ ทอ. อยู่แล้ว ทอ. ได้ีงบประจำปีไปก็หักนั่น ตัดนี่ ออกเพื่อที่จะได้งบเหลือพอที่จะไปจ่ายในแต่ละปี
ส่วนเรื่องจรวด หรืออุปกรณ์เสริม ต่างๆมันรวมอยู่ในงบที่จ่ายไปอยู่แล้ว ทั้งจรวดทั้งระบบ Erieye ค่าบำรุงรักษา และอะไหล่จำนวนหนึ่ง
และที่สำคัญ เงินที่จ่ายไปไม่ใช่ได้แค่เครื่องบินและของในแพคเกจ แต่ยังมีการลงทุนกลับจากทางสวีเดน ที่จะเข้ามาสร้างงานและสร้างความรู้ให้ประเทศคู่ค้า ...
จากคุณ : Meow-Meow (piggy_and_kitty) - [ 28 ก.ค. 51 16:59:26 A:58.8.191.249 X: ]
พิจารณากันเองนะครับ เอ้อ...
และก็
กองทัพอากาศจำเป็นต้องมีเครื่องบินใหม่ เพื่อทดแทน F5 ซึ่งต้องปลดประจำการ ในปีหน้าเป็นต้นไป
ซึ่งเราได้ใช้จนเกินอายุไปมาก
และสถิติ เครื่องตกสูงมาก ชีวิตนักบินมีค่ามาากว่าครับ
แต่ถ้างบใช้ไม่ถูกต้อง ก็ควรจะจัดการให้ถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องงดการสั่งซื้อ
แต่ใช้วิธีจ่ายเงินวิธีอื่น หรืออย่างไรก็ได้ การเซ็นสัญญามันทำกันใหม่ได้ แต่ถ้ายกเลิก มีแต่เสียกับเสียครับ
เรื่องนี้ ลองไปฟังความเห็นห้องหว้ากอ ซึ่งมีนักบินจริงๆ อยุ่ด้วย ดีกว่าครับ
จากคุณ : Night_Angel - [ 28 ก.ค. 51 19:26:18 A:124.122.198.13 X: ]
Create Date : 28 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 2:10:13 น. |
|
2 comments
|
Counter : 538 Pageviews. |
|
|
|
โดย: มองกลางๆ IP: 58.64.103.143 วันที่: 8 สิงหาคม 2551 เวลา:12:45:23 น. |
|
|
|
โดย: รัก IP: 58.181.167.116 วันที่: 31 มกราคม 2552 เวลา:11:48:56 น. |
|
|
|
| |
แล้วเช็คก็ไม่เคยได้ซื้อครับเค้าเช่าสิบปี
แอฟริกาใต้ซื้อถูก เพราะของเค้าไม่ได้ติดตั้งระบบ Avionic บางส่วน ราคามันถึงได้ถูกอย่างนั้น และระบบ Avionic นี้แหละตัวแพงเลย
" Erieye 2,475 ล้านบาท เครื่องบินลำเลียง SABB 396 ล้านบาท"
เอามาจากไหนครับราคานี้ เครื่องบินติด Erieye กับเครื่องบินลำเลียง ราคารวมกันก็จะห้าพันล้านอยู่แล้วขั้นต่ำนะ ขึ้นอยู่กับรุ่น erieye ที่ติดบนเครื่องด้วย
19000-5000-990=13010 หารด้วย 34 เหลือ 382 ล้านดอลล่าห์ 6 ลำ
เฉลี่ยลำละ 63 ล้านดอลล่าห์ + souce code ราคานี้ก็สมเหตุสมผลนะ
เครื่องบินรุ่นเดียวกันไม่ได้หมายความราคาเท่ากันเสมอ ขึ้นอยู่กับ ออฟชั่นที่ติดตั้งไปบนเครื่องด้วย และออฟชั่นที่ติดเพิ่มเผลอราคามมันจะใกล้เีคียงกับราคาเครื่องอยู่แล้ว
รถรุ่นเดียวกันติดแม็ก ติดสปอยเลอร์ ติด cd ราคายังต่างกันเลย
และ F5 ยังไงมันก็ต้องปลด เพราะมันหมดอายุการใช้งานมานานแล้ว