ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่8):เบื้องลึก"ข้อมูลใหม่"หอการค้าถือหางปชป.-พธม.
โดย คุณรักในหลวงห่วงลูกหลาน ที่มา บอร์ดชุมชนฟ้าเดียวกัน 11 กันยายน 2552
หมายเหตุไทยอีนิวส์:ผู้ใช้นามปากกา"รักในหลวงห่วงลูกหลาน"ซึ่งเคยเขียนซีรีส์ยอดฮิต"ลากไส้สื่อเหี้ย"อันลือลั่น กลับมาอีกครั้งด้วยซีรีส์ชุดใหม่ลากไส้แวดวงNGO,นักวิชาการ,นักสิทธิมนุษยชน,นักกิจกรรมสังคม,นักศิลปิน,นักธุรกิจ,ศาล,องค์กรอิสระ และฝ่ายซ้ายเก่า ซึ่งเขาได้ตีแผ่วงการด้วยสำนวนฮาร์ดคอร์ดิบเถื่อนให้เห็นว่า เพราะเหตุใดแวดวงดังกล่าวจึงได้ผิดเพี้ยนเปลี่ยนจุดยืนมาสนับสนุนขบวนการอำมาตย์ได้อย่างน่าพิศวงอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งไทยอีนิวส์ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน และกรุณาตรวจทานแก้ไขก่อนการเผยแพร่เป็นตอนๆ
หลังจากว่าถึงองค์กรซ่อนเงื่อนสารพัดมาแล้ว ก็มีแฟนๆสอบถามมาว่าแวดวงพ่อค้านี่ก็แปลกๆดูลำเอียงเข้าข้างม็อบเหลือง กระทืบพวกเสื้อแดงเหลือเกิน มันเป็นอะไรยังไงของมัน เบื้องหลังเบื้องลึกคืออะไร ขอบอกไว้ก่อนว่า อันนี้มันเป็นแห้ว...แล้วจะหาว่าไม่บอก
คนวงนอกไม่รู้ขี้ รู้ไส้แวดวงพ่อค้า โดยเฉพาะพวกหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมไทย ก็คงคิดกันง่ายๆว่าที่พวกนี้ให้ท้ายเสื้อเหลืองพันธมิตร กระทืบเสื้อแดง ถือหางปชป. กระทืบเหลี่ยมจมธรณี คงเพราะพวกเสื้อแดงกับเหลี่ยมมันเลว พวกเหี้ยเหลืองกับปชป.เลิศเลอเป็นเทวดา นักธุรเขาเลยเลือกข้าง
แต่ใดๆในประเทศนี้ ล้วนแต่มีที่มาที่ไป เบื้องหน้าที่เขาพูดที่เขาแสดง ให้ดูด้วยว่าเบื้องหลังของพวกเขาคืออะไร..คือใคร?
ผม พาไปโฟกัสบทบาทของนายดุสิต นนทะนาคร ซึ่งเพิ่งได้เป็นประธานหอการค้าคนใหม่เมื่อตอนต้นปีนี้(และในแวดวงพ่อค้าก็ เป็นเรื่องอื้อฉาว ซุบซิบกันสนั่นวงว่า มีเบื้องหลังที่ห้ามพูดกันถึงที่มาที่ไปที่นายดุสิตได้เป็นประธานหอการค้า)
ดุสิต นนทะนาคร ผู้ก้าวขึ้นเป็นประธานสภาหอแบบพลิกล็อกเพราะ"ข้อมูลใหม่"
#พงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ทำได้ใกล้เคียงที่สุดคือการเป็น"ว่าที่"ประธานหอการค้า ก่อนจะสละสิทธิ์ท่ามกลางเสียงซุบซิบลั่นวงการค้า
ตาม คิวและตามสัญญาสุภาพบุรุษแล้ว เมื่อประมณฑ์ สุธีวงศ์ ลูกหม้อของค่ายปูนซิเมนต์ไทยหมดวาระลงแล้วในตอนต้นปีนี้ จะเป็นคิวของพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานคนที่ 1 ขึ้นเป็นแทน จนมีการแจกประวัติ"ว่าที่ประธานหอการค้าคนใหม่"และเตรียมเลี้ยงฉลองยกใหญ่( ลิ้งค์ ) แต่แล้วพอใกล้วันเลือกประธานเข้าจริงๆ ก็เกิด"ข้อมูลใหม่"ขึ้นมา อันมีผลให้นายพงษ์ศักดิ์ต้องประกาศไม่ขอชิงตำแหน่งนี้ โดยอ้างเหตุผลอย่างกะทันหันว่า ต้องไปดูแลธุรกิจทอผ้าของตัวเอง เพราะเจอผลกระทบทางเศรษฐกิจ และขอให้รองประธานคนที่2คือดุสิต นนทะนาคร ขึ้นเป็นแทน...
ซึ่งคนในวงการบอกว่า เป็นเหตุผลที่ต้องประกาศไปทั้งน้ำตา และไม่มีใครเชื่อ แต่ก็ต้อง"ตามนั้น" เพราะนี่เป็นเหตุผลที่ฟังแล้วดูจะกล้อมแกล้มไปได้ที่สุดแล้วต่อสถานการณ์ พลิกผันครั้งใหญ่ของวงการหอการค้า
อะไรคือเหตุของการพลิกผัน และทำไมต้องเป็นดุสิต?
ดุสิต มีบทบาทก่อนหน้านั้น โดยออกมาพูดตอนม็อบพันธมิตรยึดสนามบินว่า
"ไทยจะต้องยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ ภาคธุรกิจจะมีปัญหาแน่นอน โดยมองว่า การที่รัฐบาลไม่สามารถยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ขณะที่สังคมไทยก็มีความแตกแยก ไม่มีความสามัคคี ทำให้รัฐบาลหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงควรที่จะประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้นักการเมืองหรือพรรคการเมืองอื่น ๆ เข้ามาบริหารประเทศ อย่างไรก็ตาม หากนายกรัฐมนตรีไม่ลาออก ก็ควรที่จะประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่"
ต่อมาเมื่อมีการแก้ไขปัญหา พันธมิตรยึดสนามบินด้วยการรีบร้อนสั่งยุบพรรคพลังประชาชน มีผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 2 ธันวาคม
ตอนนั้นดุสิตซึ่งเป็นรองประธานสภาหอฯก็ออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีแถลงข่าวร่วมกับ สภาอุตสาหกรรม กับสมาคมธนาคารไทยว่า พรรคพวกแม้วพอได้แล้ว เป็นนายกฯมา 2 คนแล้ว ทั้งสมัคร สุนทรเวช ทั้งสมชาย บ้านเมืองก็ชิบหายมากพอแล้ว ให้คนอื่นคือฝ่ายมาร์ค-ประชาธิปัตย์ลองเป็นมั่ง พวกพ่อค้าจะได้ทำมาหากินกันเป็นปกติสุข...
ต่อมาไม่นาน ก็เกิดม็อบเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ไล่มาร์คตอนสงกรานต์ ซึ่งหากเป็นไปตามมาตรฐานเดิม ดุสิตก็ควรต้องออกมาแถลงข่าวให้ท้ายม็อบ และไล่รัฐบาลออกเพราะคุมม็อบไม่อยู่บ้านเมืองวุ่นวาย พ่อค้าทำการค้าขายไม่ได้ แต่หนนี้ดุสิตพูดอีกอย่างว่า
ภาคเอกชนเรียกร้องให้ผู้ที่ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาล ยุติการกระทำใดๆ ที่จะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนที่ผลกระทบจะส่งผลเสียหายไปมากกว่านี้ เอกชนได้พยายามร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศคลี่คลาย ส่วนรัฐบาลก็ได้ดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อทำให้บรรยากาศด้านการค้า การลงทุน รวมทั้งความเชื่อมั่นของประเทศดีขึ้น บุคคลที่เป็นต้นเหตุของการบั่นทอน ควรจะใช้สติทบทวนและไตร่ตรองโดยรอบคอบ ต้องมองถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ มิใช่ประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง
สำหรับสถานการณ์ชุมนุมของเสื้อแดงในวันที่ 19 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ดุสิตออกมาหนุนรัฐบาลเต็มที่ โดยกล่าวว่า
การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงนั้น ขึ้นอยู่กับประชาชนว่ามีความรัก ความสามัคคี และมองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักหรือไม่ ควรคิดว่าจะสามารถร่วมกันระดมความคิดว่าภายหลังจากที่เศรษฐกิจโลกดีขึ้น จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวรวมทั้งจะทำอย่างไรในการเสริมสร้าง ประโยชน์ให้กับประเทศชาติ
ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ก็เป็นกฎหมายสากลที่ใช้กันทั่วโลก ซึ่งจะเอามาใช้เมื่อมีความจำเป็น และไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าตกใจหากจะเอามาประกาศใช้ในภาวะที่ประชาชนในประเทศ ไม่มีความสามัคคี
ฟังแล้วก็ดูดีใช่มั๊ย ก็พ่อค้าพูดหนะ เขาบอกให้เงียบๆกันหน่อย ทะเลาะกันชิบหาย ให้มาร์คเป็นเหอะ บ้านเมืองจะได้สงบ พวกกรุจะได้ทำมาหาแดก..ใครออกมาแนวอื่นๆนี่ก็แปลว่าพวกมึงไม่รักสงบเหรอ สุดท้ายก็เสร็จโจร จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นแม่งสงบอย่างพวกสมาคมส้นตีนมันอ้างซักวัน
ลูกหม้อเครือซิเมนต์ไทยผู้สืบมรดกต่อจากลูกหม้อซิเมนต์ไทยอีกราย
หลัง พงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ยอมกลืนเลือดสละการชิงเก้าอี้ประธานหอแล้ว ดุสิตก็หมดก้างฉลุยขึ้นเป็นประธานสภาหอการค้าคนใหม่ฉลุยในวันที่ 26 มีนาคม 2552
ดุสิตจบปริญญาโทจากอเมริกา เป็นลูกหม้อทำงานกับเครือซิเมนต์ไทยมาแต่ต้นจนเกษียณ เขาเป็นมือบริหารปูนใหญ่ในรุ่นเดียวกับชุมพล ณ ลำเลียง มีตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของเครือซิเมนต์ไทยหลายบริษัท ตำแหน่งสุดท้ายเป็นที่ปรึกษาฝ่ายจัดการ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)ขึ้นชื่อเรื่องเป็นมือการตลาดของซิเมนต์ไทย
เป็นเครือซิเมนต์ไทยอันมีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นกิจการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
#ประมณฑ์ สุธีวงศ์ ลูกหม้อซิเมนต์ไทย ประธานหอฯคนก่อน ซึ่งออกมากันรันตีว่าพงษ์ศักดิ์จะได้เป็นประธานคนใหม่ ( ดูลิ้งค์ )แต่สถานการณ์พลิกต้องได้คนของเครือซิเมนต์ไทยเป็นประธานต่อ
ก่อน หน้าดุสิตนั้น ประธานหอการค้าไทยชื่อ ประมนต์ สุธีวงศ์ โดยเขามีโควต้ามาจากการเป็นประธานคณะกรรมการโตโยต้าประเทศไทย และเป็นคนไทยคนแรกที่เป็นประธานโตโยต้า
เขาเก่งกล้าสามารถมาจากไหน ? หากใครรู้จักบริษัทญี่ปุ่นดีก็จะพบว่าเขาใช้คนญี่ปุ่นเป็นประธานทั้งนั้น หรือไม่งั้นก็ต้องเรียนจบญี่ปุ่น เหมือนพรรคพวกผมที่อยู่ช.การช่างทำกับพวกกูมาไกกูมิ ต้องจบญี่ปุ่น ไม่งั้นหมดสิทธิ์ แต่ประมนต์นี่จบตรี โทจากเมกา...อ้าวแล้วมันมายังไงของมัน อัจฉริยะเหรอ..
คำตอบคือพอดีว่าประมนต์มาจากเครือซิเมนต์ไทย
นาย ประมณฑ์เป็นลูกหม้ออยู่ที่เครือซิเมนต์ไทยมาแต่หนุ่มยันเกษียณในปี2542 ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย..ปูนซิเมนต์ไทยที่มีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา กษัตริย์ถือหุ้นใหญ่นั่นเอง
เครือซิเมนต์ไทยถือหุ้นใหญ่ในโตโยต้า ประเทศไทย 10% เช่นเดียวกับบริษัทจากต่างประเทศที่มาลงทุนในไทยโดยทั่วไปที่เครือสำนักงาน ทรัพย์สินฯจะได้รับเกียรติให้เข้าไปร่วมถือหุ้นด้วยในฐานะเจ้าบ้านที่ดี รวมทั้งกรณีของรถไถนาคูโบต้า รถไถนาเดินตามที่มียอดขายสูงสุดในเมืองไทย ก็มีทรัพย์สินเข้าไปถือหุ้น 10 %
เมื่อควายเหล็กบุกหนัก ไปที่ไหนก็เลยมีแต่คูโบต้า จนดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิชัยพัฒนาต้องไปรณรงค์ใช้ควายจริงไถนาในตอนนี้ นะแหละครับ..
นายประมณฑ์ก็เช่นเดียวกับพ่อค้าใหญ่ของไทยทั่วไปคือมีลักษณะของการนำเงินไปผนวก กับปืนแล้วกลายเป็นอำนาจอันยากจะท้าทาย ในการรัฐประหาร19กันยายน เขาได้ตำแหน่ง สนช.อย่างที่ไม่ต้องเดาให้ยาก
ใขณะที่ต่อต้านขับไส รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นายประมณฑ์เคยเชียร์องคมนตรีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มาเป็นนายกฯหลังการรัฐประหาร19กันยาฯว่า
"ท่านเป็นคนดี เป็นที่เคารพนับถือ มีผลงานในอดีตเป็นที่ยอมรับ จึงเหมาะสมกับตำแหน่งนายกฯ"
ส่วนตอนดันมาร์คเป็นนายกฯก็มีประมนต์ลงนามในแถลงการณ์ประมาณนี้แหละ" พวกแม้วเป็นนายกฯมา2คนแล้วยุ่งชิบหาย ให้มาร์คเป็นมั่งเหอะ พวกพ่อค้าจะได้ทำมาหากินสงบสุข"
สันติ วิลาสศักดานนท์ คนสหพัฒน์ สปอนเซอร์หลักพันธมิตร-เนชั่ว
#สันติ วิลาสสักดานนท์ คนค่ายสหพัฒน์ สปอนเซอร์ใหญ่พันธมิตร
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญในเรื่องดันมาร์คเป็นนายกฯ..คนนี้เป็นใคร?
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กินตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เฉยๆ แต่ยังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง(SPI)บริษัทในเครือสหพัฒนพิบูล ยักษ์ใหญ่ที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคขายคนไทยมานานหลายทศวรรษ เป็นสหพัฒน์ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมาหลายปีจากการถูกพวกโมเดิร์นเทรด อย่างคาร์ฟู โลตัสเล่นงาน อ่วมแอ้ระแน้
วงจรธุรกิจที่ขายสินค้าป้อน โชห่วยที่เป็นขุมสมบัติมาแต่ยุคเจ้าสัวเทียม โชควัฒนา กำลังยอบแยบ จนกระทั่งณรงค์ โชควัฒนา ลูกชายเจ้าสัวเทียมคนที่4 ต้องออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในการต่อต้านการขยายตัวของห้างโมเดิร์นเท รด เป็นการเคลื่อนไหวที่แนบแน่นอย่างยิ่งกับพันธมิตรของสนธิ ลิ้มทองกุล และว่ากันว่าสหพัฒน์เป็นสปอนเซอร์หลักของพันธมิตร
ทั้งสันติและณรงค์ยังมีสายสัมพันธ์ในลักษณะเอาเงินไปเชื่อมกับปืนและเป็นอำนาจอำมา ตยาฯของสังคมไทย จึงไม่แปลกที่ทั้งสองได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช. )ในยุคที่คมช.ทำรัฐประหารสำเร็จในปี2549
สหพัฒน์จัดงานใหญ่ซุปเปอร์แกรนด์เซลทุกปี และทุกปีจะมีเครือเนชั่นจัดอีเว้นต์เป็นออกาไนเซอร์ให้ แล้วเปรมก็ต้องไปเปิดงานทุกปี มีอยู่ปีที่มีรูปน้ำลายหกเรี่ยราดใส่หนุ่มหล่อล่ำที่สหพัฒน์จัดไปต้อนรับ เอาใจนั่นไง
ส่วนคนสุดท้ายคืออภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย
คนนี้ไม่ค่อยมีเหี้ยอะไรเด่นนัก เข้าใจว่าเป็นแบงก์เกอร์จากแบงก์ของรัฐคนแรกนะที่ได้เป็นประธานสมาคมธนาคาร ไทย ก่อนนี้จะเป็นนายแบงก์จากธนาคารพาณิชย์ภาคเอกชนทั้งหมด
อภิศักดิ์ก็เรียนจบวปอ.เหมือนประมนต์ เหมือนสันติ สภาหอ สภาอุต แต่โทษทีไปนั่งตรงไหนก็บังเอิ๊ญว่า ชิบหายตรงนั้น ทั้งบงล.ไอเอฟซีที บรรษัทไอเอฟซีที แบงก์บีบีซี แบงก์นครหลวง ล่าสุดกรุงไทย ผมหละหวั่นใจว่าเดี๋ยวจะซวยไปอีกรายอยู่เนี่ย. .
ทั้ง3ตัวสภา สมาคมนี่จะพบว่าเป็นตัวแทน หรือมือปืนนั่นแหละ ตัวจริงหลังฉากก็อีกเรื่อง
ตัว จริงเสียงจริงใหญ่สุดทางแบงก์ก็เจ้าสัวชาตรี ป๋าแกก็รัดคอตีเข่าอยู่หมัดมาตั้งแต่มีวปรอ. ใหม่ๆโน่นแล้ว ใหญ่ทางการค้าก็พวกเครือซิเมนต์ไทย ไม่รู้ใครเป็นเจ้าของ ผมชักลืมๆเหมือนกัน ใหญ่ทางอุตสาหกรรมการค้าอุปโภคบริโภคก็เจ้าสัวธนินท์แล้วก็สหพัฒน์ พวกนี้ก็ต้องทำมาหาแดกกับเจ้ากับนายกับเจ้าของประเทศตัวจริงกันทั้งนั้น
แล้วพ่อค้าใหญ่เออออ เห็นดีเห็นงามไปตามๆกันไหม คำตอบคือไม่ทั้งหมด แต่มีแนวโน้มไปอย่างนั้น..อันนี้มันมีเหตุ
ความจริงคติไทยว่า10พ่อค้าไม่เท่า1พญาเลี้ยง พวกอำมาตย์จะหมิ่นแคลนพ่อค้าเอามากแต่ก่อนนะ แต่เกิดparadigm shiftเอาตอนป๋าเปรมเป็นนายกฯ
ไอเดียป๋าคือทำไงให้ทุนบวกปืนแล้วเป็น พลังมหาศาล เพื่อการซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้ ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่า วปรอ. หรือวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐและเอกชนขึ้น รุ่นแรกๆที่มาเรียนก็อย่างพวกเจ้าสัวชาตรี แบงก์กรุงเทพฯอะไรงี้
พ่อ ค้าต้องระดับของจริงเท่านั้นถึงได้มาเรียนที่นี่ ก็มาเรียนกับพวกนายพล เรียนกันปีกว่า เรียนกันแทบทุกวัน ตอนแรกก็เข้าค่ายลูกเสือละลายพฤติกรรม เรียนรู้กินนอน ไปเที่ยวดูงานเมืองนอกด้วยกัน ทำรายงานด้วยกัน ตกเย็นกินข้าว เสาร์อาทิตย์ตีกอล์ฟ ตกค่ำตีหม้อด้วยกัน มันก็เกิดการสร้างคอรัปชั่น เอ๊ย!คอนเน็คชั่นระหว่างเงินกับปืนขึ้นมา
หลังๆ สถาบันพระปกเกล้าของดร.ปื๊ด-บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ก็มีหลักสูตรคล้ายๆวปอ.นี่ขึ้นมาเหมือนกัน เอาพวกนายพล พวกพ่อค้าใหญ่ พวกนักวิชาการ เอ้นจีโอตัวเป้ง สื่อตัวพ่อตัวแม่ทั้งหลายไปสุมหัวสร้างคอรัปชั่น เอ๊ย!คอนเน็คชั่นกันขึ้น มันก็เป็นการเลื่อนไหลทางสังคมแบบไทยๆ ให้คนที่ว่ามีเงิน มีอำนาจ มีปืน มีสื่อในมือ มีปากพูด มีคนฟังมารวมตัวกัน แล้วก็ออกมาอย่างที่เห็นๆคือรวมก๊วนรวมแก๊งกันเสร็จ ก็เล่นพวกกันชิบหายเลยเมืองไทย
พวกนี้ก็จะสร้างคอนเน็คชั่นกันไป เช่น พอทหารทำปฏิวัติรัฐประหาร ก็เอาพวกพ่อค้าเพื่อนร่วมรุ่นไปเป็นรัฐมนตรี ไปเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ เอาไปนั่งเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจหาเงิน เพราะทหารหาเงินไม่เป็น...เส้นทางมันก็จะรวมกรรมเฉพาะกิจกันแบบนี้
นี่คือลักษณะที่ว่าเป็นเอกลักษณ์แบบไทยๆ หากคุณหวังว่าจะเกิดการปฏิวัติของกฎุมพี หรือของพวกพ่อค้า มึงก็ฝันไปเหอะ เพราะตอนนี้เงินกับปืนมันเสพสังวาสเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว
เสพสังวาสกันจนตกลูกออกมาเป็น"ประชาธิปไตยแบบไท้ยไทย"...เอวัง!
Create Date : 16 กันยายน 2552 |
Last Update : 16 กันยายน 2552 16:10:21 น. |
|
1 comments
|
Counter : 609 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คนไทยใจเกินร้อย IP: 118.172.49.79 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:43:55 น. |
|
|
|
| |