เมื่อชนชั้นศักดินาออกมาคัดค้านภาษีที่ดินและมรดก
ม.ร.ว.ปรียนันทนา ค้านรัฐออกกฎหมายภาษีที่ดิน 21:43 น.
ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ส.ว.สรรหา ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของรัฐบาลที่จะออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะจะทำให้เจ้าของกิจการไม่ว่าจะเป็นโรงแรม หรือคอนโดมิเนียม ต้องแบกภาระภาษี ซึ่งอาจจะกระทบต่อผู้บริโภค โดยการผลักภาระนี้ต่อไปยังผู้บริโภค และว่ารัฐบาลควรหาเวลาไปฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะปัญหาคนว่างงาน หรือโรงงานปิดตัวลงจะดีกว่า “ถ้ารัฐบาลออกกฎหมายนี้มาจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจถดถอยมากยิ่งขึ้น จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนให้รอบคอบ และดิฉันตั้งใจว่าจะตั้งกระทู้ถามรัฐบาลในการประชุมวุฒิสภาครั้งต่อไป โดยขณะนี้ดิฉันกำลังศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง” ม.ร.ว.ปรียนันทนา กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม.ร.ว.ปรียนันทนา ได้แสดงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 เป็นจำนวนถึง 1,200 ล้านบาท ในจำนวนนี้ เป็นที่ดิน 990,500,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 57,280,000 บาท และมีรายได้ประจำเป็นค่าเช่าบ้าน (ที่ดิน) 2,700,000 บาท
จากเว็ปเนชั่(ว)น
ประเมินทำรายได้เข้ารัฐเพิ่ม 6-7 หมื่นล้านบาท/ปี
นาย สมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ระบุหากรัฐบาลดำเนินการจัดเก็บภาษีมรดกในส่วนที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะส่งผลให้มีรายได้เข้ารัฐเพิ่มอีกปีละ 6-7 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้กฎหมายในเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนของการแก้ไขในรายละเอียด อีกเล็กน้อยเกี่ยวกับการเก็บภาษีที่ดินเพื่อการเกษตร เนื่องจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐไม่ควรมีการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมเพราะเกษตรกรก็มีทั้งคนจนและคนรวย
จากไทยโพสต์
ที่ผมเกรงก็คือความไม่เท่าเทียมกันทั้งประเทศ อาจมีคนบางกลุ่มละเว้นภาษีมรดกหรือใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อการหลีกเลี่ยง กฎหมายนี้อาจมีผลย้อนหลังหรือไม่มีสุดแต่ผู่พิพากษาและอาจมีบางกลุ่มซึ่งมี อำนาจอยู่ในรัฐบาลใช้กฎหมายนี้ทำให้กลุ่มที่มีอำนาจทางการเงินที่ส่งเสริม อีกฝ่ายเสียหายได้ส่วนกลุ่มทุนที่สนับสนุนตัวเองกลับไม่ต้องเสียภาษีมรดกใช้ ช่วงโหว่ทางกฎหมายต่อไป ถ้าใช้กฎหมายนี้ไปในทางที่ดีและถูกต้องรัฐจะมีรายได้มากขึ้น สังคมจะพัฒนามากขึ้นแต่น่ากลัวจะมีการนำรายได้นี้มาโกงกินกันต่อซึ่งคนที่ เสียภาษีตัวนี้รับประกันด่าสาดไปทั่วแน่นอนหนักยิ่งกว่าภาษีรายได้ เดี๋ยวค่อยต่อ การเก็บภาษีมรดกเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานและเป็น เรื่องที่คนไทยเคยทำแต่ใช้ได้เพียง 2 อาทิตย์เท่านั้น ซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วเป็นเพราะอะไร อาจเป็นที่บ้านเรามีเจ้าขุนมูลนายเยอะเลยใช้ไม่ได้ ภาษีมรดกในต่างประเทศใช้กันมากและประชาชนทำงานน้อยเพราะรัฐคอยเลี้ยงดูอยู่ รายได้ก้มาจากมรดกของผู้มั่งมีและกระจายไปสู่ประชาชนทั่วไปทำให้เวลาคนตกงาน ก็จะมีเบี้ยเลี้ยงและประชาชนเรียนฟรีรักษาฟรี มาตราฐานซีวิตสูงเหมือนคนยุโรปที่คนชั้นกลางกับคนรวยความเป็นอยู่ไม่ต่างกัน มาก ข้อเสียก้ใช้ว่าไม่มีการขยายตัวของ gdp ก็จะหดตัวและคงที่หรือไม่ค่อยโตเนื่องจาก คนจะไม่ขยันเพราะมีรัฐคอยเลี้ยงดู การลงทุนจะชะลอตัวลงเพราะคนรวยจะไม่ลงทุนต่อเนื่อง เนื่องจากลงไปแล้วสุดท้ายก็ทำให้รัฐชะมาก อาจทำให้มีปัญหาการว่างงานก็ได้ รัฐต้องหามาตราการลองรับด้วย เช่นการลดหย่อนภาษีของผู้ที่บริจาคเยอะหรือการช่วยเหลือสังคมหรือผู้ที่ถือ ตราสารของรัฐเป้นจำนวนมาก
จากคุณ : value invester (value invester) - [ 23 ม.ค. 52 13:10:35 A:58.64.114.116 X: ]
ภาษี - ระบบถ่ายเทเงินไปสู่เจ้าของที่ดิน สุธน หิญ suthon@clickta.com ไม่สงวนลิขสิทธิ์
ระบบภาษีของแทบทุกประเทศเป็นระบบที่ถ่ายเทเงินจากทุกคนไปให้แก่ชนชั้นเจ้าของที่ดิน
ลองคิดดู กิจกรรมของสังคมเอง เช่นการผลิตและแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการกัน และการบริหารบริการของรัฐ ซึ่งต้องใช้เงินจากภาษีทั้งหลาย ได้ไปทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น มีเทคโนโลยีสูงขึ้น ทำธุรกิจได้รวดเร็วขึ้น แล้วในที่สุดก็ไปเพิ่ม ราคา/ค่าเช่าที่ดิน เรื่องนี้ดำเนินมานานแล้ว ตั้งแต่ที่ดินยังไม่ค่อยมีราคา เพราะชุมชนยังมีขนาดเล็ก จนถึงปัจจุบันซึ่งชุมชนมีขนาดใหญ่ ประชากรหนาแน่น มีการคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัย ราคา/ค่าเช่าที่ดินก็ยิ่งสูงขึ้น เจ้าของที่ดินเป็นผู้ได้ประโยชน์ไป . . . ตลอดมา
ดังนั้น ภาษีอันดับแรกที่ควรเก็บก็คือ ภาษีที่ดิน
ที่จริงนั้น ตามกฎธรรมชาติของสังคมมนุษย์ ค่าเช่าที่ดินต้องมี แพงบ้าง ถูกบ้าง มันแสดงถึงศักยภาพ มากบ้าง น้อยบ้าง ของที่ดินนั้นๆ ที่จะให้ประโยชน์ได้ และเมื่อหักค่าเช่าที่ดินออกแล้วยังทำให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนลงแรงในที่ดิน ต่างทำเลกันมีความเท่าเทียมกันด้วย เพียงแต่ค่าเช่านี้ควรเข้ารัฐมากกว่าปล่อยให้เข้ากระเป๋าเอกชน
อีกประเภทหนึ่งของภาษีที่ดิน คือ ค่าภาคหลวงหรือภาษีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ (ที่ดินหมายรวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมด้วย) ทั้งนี้ควรเก็บโดยคิดถึงการสูญเสียทรัพยากรไปชนิดที่เอากลับคืนมาได้ยากหรือ ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้เลย ด้านสิ่งแวดล้อม ถ้าใครทำให้เกิดมลภาวะก็ควรเป็นผู้จ่ายสำหรับการแก้ไข ทั้งนี้ควรคิดเอากับผู้ผลิตรายใหญ่ โดยคำนึงไปถึงขั้นสุดท้ายที่ผลผลิตเสื่อมคุณภาพจนต้องทิ้งกลายเป็นขยะ ซึ่งอาจเป็นขยะพิษที่ยากแก่การทำลาย ค่าแก้ไขมลภาวะนี้แม้คิดเอากับผู้ผลิต แต่มันก็เป็นต้นทุนซึ่งในที่สุดผู้บริโภคก็ต้องรับภาระตามที่ควรเป็นอยู่ แล้ว
คนหนึ่งๆ อาจเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้ง ๓ ปัจจัย คือ ที่ดิน แรงงาน ทุน (การประกอบการ รวมอยู่ใน แรงงาน ซึ่งแบ่งเป็น แรงสมอง และ แรงกาย) หรือปัจจัยเดียว หรือสองปัจจัยก็ได้ แต่ในการพิจารณาปัญหา เราจะต้องแยกปัจจัยเหล่านี้ออกดูเป็นแต่ละปัจจัยไป
อาจมีผู้ค้านว่า คนอื่นทั้งหลายก็ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมของสังคมและการบริหารบริการของรัฐ ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น การประกอบอาชีพก็ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ถูกต้อง! แต่ . . . การประกอบอาชีพอื่นๆ ที่มิใช่การเป็นเจ้าของที่ดิน คือการต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่คนในสังคมด้วยกันอยู่แล้ว ส่วนของแถมที่เขาไม่ปรารถนาคือการต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินสูงขึ้น
แต่การได้ที่ดินมากเกินส่วนของเจ้าของที่ดินแต่ละคนกลับเป็นการบั่นทอนสิทธิในที่ดิน ซึ่งจำเป็นเสมอต่อการเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพของคนส่วนที่เหลือ ที่ดินเป็นเงื่อนไขของชีวิต ขาดที่ดิน ชีวิตก็ดับ
การซื้อที่ดินมิใช่การลงทุนที่แท้จริง แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนมือผู้ถือสิทธิในสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากการลงทุนลงแรงผลิต
การที่แต่ละคนมาร่วมมือกัน แบ่งงานกันในสังคม ก่อผลผลิตและบริการ แล้วนำมาแลกเปลี่ยนขายซื้อกัน ทำให้มนุษย์สามารถมุ่งความสนใจไปฝึก-ศึกษาให้มีความชำนาญเฉพาะอย่าง (specialization) ทำให้เกิดความรู้สั่งสม ศิลปะวิทยาและอารยธรรมก้าวหน้า และเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสนองความต้องการแก่ทั้งตนเองและผู้อื่น ใครมีรายได้มากแสดงว่าเขามีประสิทธิภาพสูง จึงมีคนต้องการติดต่อซื้อขายด้วยมาก
นี่เป็นการช่วยให้สำเร็จผลตามจุดประสงค์ของรัฐบาลอยู่แล้ว คือ ความอยู่ดีกินดี ของคนหมู่มากในสังคม
(หลายคนกล่าวว่าพวกรายได้สูงมักใช้การผูกขาด การมีอำนาจเหนือตลาด ใช้เล่ห์เหลี่ยมทุจริต เรื่องนี้ราชการต้องรับภาระควบคุมแก้ไข แต่ไม่ควรแก้ด้วยการลงโทษเก็บภาษีคลุมไปหมดทุกคน)
ความอยู่ดีกินดี ย่อมหมายถึงการได้ซื้อสินค้าและบริการในราคาที่ไม่แพงด้วย คนเราทำงานผลิตก็เพื่อจะได้บริโภคกันทั้งนั้น ไม่วันนี้ก็วันหน้า การใช้จ่ายเพื่อบริโภคก็เป็นการต่างคนต่างช่วยกันให้มีงานทำมีรายได้
ดังนั้นจึงไม่ควรจะถูกขัดขวางเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่กลับจะต้องส่งเสริม ด้วยการยกเว้นภาษี ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้ ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีโรงเรือน อากรแสตมป์ ฯลฯ
ปัจจุบันคนจนไร้ที่ดิน ต้องเสีย ๒ ต่อ คือ ๑. อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเสีย ภาษีทางอ้อม หรือ ภาษีถอยหลัง จำพวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีสินค้าเข้า (เสียมากเมื่อเทียบกับรายได้ เพราะได้มาเท่าไรก็อาจต้องจ่ายหมด ไม่มีเหลือเก็บ ซ้ำอาจต้องกู้) ๒. แล้วกลับต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินเพิ่มขึ้นๆ อีกด้วยเนื่องจากภาษีที่ตนเองต้องจ่ายตามข้อ ๑. ถูกนำไปสร้างถนน ทำท่อระบายน้ำเสีย บริการสาธารณะต่างๆ จัดเจ้าพนักงานดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย ป้องกันอัคคีภัยอันตรายทั้งหลาย . . . ฯลฯ . . . ฯลฯ . . . ซึ่งไปทำให้ชุมชนมีความน่าอยู่ขึ้น ก็เลยทำให้ที่ดินมีราคาหรือค่าเช่าสูงขึ้นๆ (ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว)
ผู้ได้ประโยชน์คือปัจเจกชนแต่ละคน แต่ละบริษัท ที่ได้ค่าเช่าหรือราคาที่ดินไป หรือแม้แต่เก็งกำไรเก็บกักที่ดินไว้ก่อน โดยไม่ต้องทำอะไร (หมายถึงเฉพาะที่ดิน ไม่รวมค่าเช่าห้องหรืออาคาร ซึ่งต้องคิดแยกจากที่ดิน การสร้างห้องหรืออาคารคือการลงทุนลงแรงผลิตเศรษฐทรัพย์ มีความสมควรที่จะได้รับผลตอบแทน) ทำให้ที่ดินมากมายถูกเก็งกำไรซื้อหา เก็บกักปิดกั้นไว้ ซึ่งใครๆ ที่พอมีเงินก็ทำกันทั่วไป เป็นการรวมหัวผูกขาดที่กว้างขวางที่สุดโดยไม่ต้องนัดหมาย คนจนก็ยิ่งลำบากมากขึ้นในการจะมีที่ดินเป็นของตนเอง และผู้คนต้องหาที่อยู่อาศัยกระจายห่างไกลจากชุมชนออกไป (leapfrogging) โดยไม่สมควร เลยต้องพึ่งพายานพาหนะสำหรับการขนส่งไปมาติดต่อกัน เสียเงินมากขึ้นไปอีก เสียเวลาเดินทางในการจราจรที่ติดขัดอัดแอ กลายเป็นคนเร่งร้อนและไม่มีเวลาให้ครอบครัว ครอบครัวแตกแยก
เราอาจไม่ค่อยได้คิดกัน หรือคิดไม่ถึง ว่าถ้าไม่มีการเก็งกำไรเก็บกักที่ดิน ที่ดินจะมีมากมายเพียงพอสำหรับทุกคน
รัฐจึงควรถ่ายเทภาษีที่เป็นภาระต่อการทำงานและการลงทุน กลับไปให้เป็นภาระต่อการถือครองที่ดินแทน (แต่ควรทำเป็นโครงการระยะยาว อาจเป็น ๒๐-๓๐ ปี ให้มีเวลาปรับตัวกันได้พอควร และถือเป็นการชดใช้ให้แก่เจ้าของที่ดินไปในตัว ซึ่งความจริงการเปลี่ยนแปลงภาษีไม่ได้มีการชดใช้กัน แต่การชดใช้ก็มีอยู่แล้ว โดยการยกเลิกหรือลดภาระภาษีจากการลงทุนลงแรง และการที่เมืองไทยจะน่าอยู่ขึ้น)
ถึงแม้จะลดภาษีต่างๆ ไม่ได้หมด ยังจะต้องมีอยู่บ้าง เพื่อให้รัฐมีรายได้มากพอ ก็ยังดีกว่าไม่ลดเลย
ผลดี (ภาษีทั้งหลายเก็บจากสิ่งใด ก็มีผลทำให้สิ่งนั้นแพงขึ้น แต่ภาษีที่ดินมีผลตรงข้าม) ๑. การเลิก/ลดภาษีเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมาก ซึ่งดีกว่าแบบของสหรัฐฯ ที่ทำมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงชั่วคราว มิฉะนั้นรัฐบาลจะเป็นหนี้มหาศาล เพราะไม่ได้เก็บภาษีที่ดินแบบที่ผมเสนอมาชดเชย ซึ่งภาษีที่ดินก็เป็นอีกแรงหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ลองคิดด้วยว่า ถ้าไม่เลิก/ลดภาษี ผลก็คือตรงข้ามกับการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือเปล่า?) ๒. คำว่า มนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน เป็นจริงมากขึ้น เพราะภาษีที่ดินแบบนี้ทำให้ทุกคนดุจเป็นเจ้าของที่ดินเสมอภาคกัน ๓. ราคา/ค่าเช่าที่ดินจะลด เพราะที่ดินจะไม่ถูกเก็งกำไรเก็บกักปิดกั้นไว้ แต่จะเปิดออกเพื่อหาประโยชน์ให้คุ้มภาษีที่ดิน การว่างงานจะลด ค่าแรงจะเพิ่ม ผลตอบแทนต่อการใช้ทุนก็เพิ่ม ๔. ซ้ำแรงงานและทุนไม่ต้องเสียภาษีทางตรงจำพวกภาษีเงินได้ หรือเสียน้อย จึงมีรายได้สุทธิเพิ่ม ๕. สินค้าจะมีราคาถูก เพราะการลดภาษีทางอ้อมจำพวกภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรสรรพสามิต และอากรขาเข้า ความสามารถแข่งขันกับต่างประเทศจะสูงขึ้นด้วย และต่างชาติจะนิยมมาเที่ยวไทย แบบฮ่องกง สิงคโปร์ ๖. เกิดความคล่องตัวในการย้ายถิ่นฐาน เพราะทั้งที่ดินและบ้านจะมีราคา/ค่าเช่าถูกลง และหาได้ง่ายขึ้น ที่ดินในเมืองจะได้รับการใช้ประโยชน์มากขึ้น มีบ้าน แฟลต คอนโดให้เช่ามากขึ้น ค่าเช่าต่ำลง ปัญหาการเดินทางเช้าเข้าเมืองเย็นกลับออกนอกเมืองที่ติดขัดอัดแอเสียเวลามาก จะบรรเทาลง ปัญหาแหล่งเสื่อมโทรมหรือชุมชนแออัดในเมืองจะบรรเทาลงเช่นเดียวกัน ๗. กรณีพิพาทขัดแย้งแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินจะลดลงมากโดยอัตโนมัติ
คนจำนวนมากเกรงว่าการเก็บภาษีที่ดินแทนภาษีอื่นๆ จะทำให้ตนและครอบครัวเดือดร้อน ขอให้คิดให้จริงจัง ท่านจะไม่ต้องจ่ายภาษีอื่นที่เคยจ่าย ท่านและสมาชิกทั้งครอบครัวเคยต้องเสียภาษีเงินได้ รวมกันแล้วทั้งปีเท่าไร แล้วยังภาษีทางอ้อมปัจจุบันซึ่งผู้ค้าบวกเข้าในราคาสินค้า รวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ๗% (ยามปกติจะเก็บ ๑๐%) ลองรวมดูทั้งปีเถิด!
การเสนอให้เก็บภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน หรือเก็บภาษีเงินได้ในอัตราก้าวหน้ายิ่งขึ้น (ที่คนจำนวนมากอยากให้ทำ) ก็เช่นเดียวกัน เป็นการทำลายล้างซึ่งกันและกัน คือถ่วงรั้งกำลังใจทำงาน หรือคือลดความต้องการที่จะร่วมมือกันและแบ่งงานกัน และลดโอกาสในความอยู่ดีกินดีและการก้าวหน้าของศิลปะวิทยาและอารยธรรม
แต่ มรดกและทรัพย์สินส่วนหนึ่งคือ ที่ดิน หรือไม่ก็ต้องอาศัยตั้งอยู่บนที่ดิน ถ้าเราเก็บภาษีที่ดินเสมือนที่ดินเป็นของรัฐหรือประชาชน นั่นจะเป็นการลดความแตกต่างในรายได้และฐานะมากแล้ว
การเก็บภาษีที่ดินแบบของ Henry George ที่ผมเสนอนี้ไม่ต้องมาคิดว่าถ้าใครมีที่ดินมากหรือปล่อยรกร้างจะเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า หรือยึดหรือบังคับเช่าหรือซื้อจากเจ้าของมาจัดสรร ซึ่งในกรณีเจ้าของที่ดินเป็นบริษัท ใหญ่น้อยแตกต่างกันมากมายหลายบริษัท และซ้ำซ้อนกับฐานะเจ้าของที่ดินของหุ้นส่วนแต่ละคนด้วย คงจะเป็นปัญหาที่ต้องออกกฎเกณฑ์กันละเอียดทีเดียว อาจถึงกับเป็นไปไม่ได้ และยังเป็นการยากแก่การตรวจสอบทั้งโดยภาครัฐเองและภาคประชาชน กลายเป็นช่องทางทำมาหากินของข้าราชการและนักการเมือง หน่วยงานราชการก็ต้องขยายใหญ่โตขึ้น แต่ภาษีที่จะได้จะไม่มากเท่าแบบของ Henry George และไม่ได้แก้ ปัญหาขั้นฐานราก ด้านการมี/ไม่มีที่ดิน หรือมีมากน้อยดีเลวผิดกัน ซึ่งคือความไม่เท่าเทียมกันของคนทั้งประเทศ
หมายเหตุ ความคิดของHenry George นี้ Karl Marx เรียกว่า ที่มั่นด่านสุดท้ายหรือการต่อสู้ดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของลัทธินายทุน (Capitalism's Last Ditch) แต่พวกทุนนิยมจำนวนมากกลับเรียกว่าเป็น สังคมนิยม ส่วน Henry George เองกล่าวไว้ในคำนำของหนังสือ Progress and Poverty ว่าสิ่งที่ท่านได้พยายามกระทำนั้นถือว่าก่อให้เกิดความสอดคล้องต้องกัน ระหว่างอุดมคติของฝ่ายเสรีนิยมในเรื่อง "เสรีภาพ" และ "ปัจเจกนิยม" (Individualism) กับจุดประสงค์ของฝ่ายสังคมนิยมในเรื่อง "ความยุติธรรม" ทางเศรษฐกิจ "เป็นการเชื่อมสัจจะตามความคิดของสำนัก Smith และ Ricardo กับสัจจะตามความคิดของสำนัก Proudhon และ Lassalle ให้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"
จาก //www.marxists.org/archive/marx/works/1881/letters/81_06_20.htm Karl Marx เขียนจดหมายตอบ Friedrich Adolph Sorge เมื่อ ๒๐ มิ.ย.๒๔๒๔ วิจารณ์ว่า Henry George เป็นคนล้าหลังอย่างสิ้นเชิง . . . . คำสอนหลักของเขา [Henry George] คือทุกสิ่งจะเรียบร้อยถ้ามีการจ่ายค่าเช่าที่ดินให้แก่รัฐ ท่าน [Sorge] จะเห็นได้ว่าการจ่ายค่าเช่าที่ดินแบบนี้มีอยู่แล้วในบรรดามาตรการ ช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่เขียนไว้ใน The Communist Manifesto . . . .
ดูเพิ่มเติมได้จาก askhenry.com //www.geocities.com/RainForest/3046/ //www.foldvary.net cepa.newschool.edu/het/ ในส่วนที่เกี่ยวกับ Henry George และหนังสือ Progress and Poverty ของท่านที่เขียนไว้ ๑๒๔ ปีแล้ว ซึ่งอ่านได้ที่ //www.schalkenbach.org/library/george.henry/ppcont.html (ภาคไทย คือ ความก้าวหน้ากับความยากจน ซึ่งคุณกฤตณบวรอนุเคราะห์นำขึ้นเว็บที่ //www.thai.net/econ_buu/suthon)
ที่มา ต้นขั้ว
ภาษีที่ดิน แทน ทุกภาษี เลยคับ
เพราะอาศัยแนวคิดที่ว่า
----------------------- คนเราทำงานผลิตก็เพื่อจะได้บริโภคกันทั้งนั้น ไม่วันนี้ก็วันหน้า การใช้จ่ายเพื่อบริโภคก็เป็นการต่างคนต่างช่วยกันให้มีงานทำมีรายได้
ดังนั้นจึงไม่ควรจะถูกขัดขวางเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่กลับจะต้องส่งเสริม ด้วยการ ยกเว้นภาษี ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้ ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีโรงเรือน อากรแสตมป์ ฯลฯ -----------------------
เมื่อภาษีที่ดินแพง ที่ดินจะมีราคาถูก คนทั่วไปจะไม่ค่อยอยากครอบครองที่ดิน ในที่สุด ที่ดินจะผันไปอยู่ในมือของผู้มีความสามารถเอาไปต่อยอด ให้คุ้มกับค่าภาษีที่แพง จะเกิดการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง ปราศจากที่ดินรกร้างว่างเปล่า
ภาษีที่ดิน นอกจากจะคำนึงถึงทำเลแล้ว ยังคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากตั้งโรงงานผลิตของที่ ในที่สุดแล้ว recycle ไม่ค่อยได้ ก็จะเสียภาษีแพงกว่าปรกติ
หากทำได้ดังนี้ จะเกิดการแข่งขันสูง สินค้าจะมีราคาถูก และคุณภาพสามารถสู้กับต่างประเทศได้ เพราะรัฐไม่ได้เก็บภาษีสรรพสามิตของที่นำเข้า เพียงแต่ของที่ผลิตในประเทศที่สามารถส่งออกได้ อาจเสียภาษีที่ดินถูก ทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างกว้างขวาง ประชาชนได้ใช้ของมีคุณภาพสูงทัดเทียมต่างประเทศ ในราคาที่เหมาะสม
วิธีเก็บจากต้นตออย่างนี้ ดีกว่าไปเสียเวลาพิจารณาภาษีเป็นราย ๆ เป็นครั้ง ๆ ว่าของที่นำเข้านี้ สมควรจ่ายภาษีเท่าไร ปัญหาคอรัปชั่นก็จะลดลงไปเอง
จากคุณ : จขกท (ธัชกร) - [ 24 ม.ค. 52 18:25:36 A:115.67.241.132 X: ]
ส่วนตัวผมเจ้าของBlogมีความเห็นส่วนตนว่า คนที่มีอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ดินเป็นจำนวนมากๆเนี่ย สมควรจะเอาที่ดินของตนมาเทขายหรือปล่อยเช่า ให้เกษตรหาประโยชน์ทำธุรกิจโดยเฉพาะการเกษตรให้มากๆไม่ใช่มีแล้วก็เก็บมาดองไว้เฉยๆ หวังจะเอามาปั่นราคาในตอนหลัง โดยเฉพาะการขึ้นภาษีตามราคาประเมินให้มากกว่านี้เพื่อบังคับให้บรรดาเจ้าผู้ครองที่ดินต้องรีบคายที่ดินของตนออกมาซะ ถ้าไม่มีความสามารถในการนำที่ดินไปพัฒนาเพื่อสร้างผลตอบแทนเพื่อนำมาชำระค่าภาษีที่แสนจะแพง ส่วนรายได้จากการทำธุรกิจที่ดินก็ต้องมีการเก็บภาษี ข้ออ้างในเรื่องที่อาจจะมีการผลักภาระให้ผู้บริโภคนั้นเอาเข้าจริงๆมันไม่ค่อยกระทบเท่าไหร่เพราะผู้บริโภคในส่วนนี้มีแต่พวกผู้มีอันจะกินทั้งนั้นไม่เกี่ยวข้องกับรากหญ้าเลย ที่ควรจะยกเว้นภาษีก็คือ ธุรกิจการเกษตรธรรมชาติ เพราะผลตอบแทนของธุรกิจนี้มีน้อย แุถมยังไม่มีความแน่นอนมั่นคง แต่ประเทศจำเป็นต้องมีเพื่อรับประกันความมั่งคงทางอาหารการกินให้กับชาติ อีกทั้งจะเป็นการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์วิทยาที่ดีอีกด้วย
Create Date : 26 มกราคม 2552 |
Last Update : 26 มกราคม 2552 14:37:52 น. |
|
3 comments
|
Counter : 580 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Big Spender วันที่: 26 มกราคม 2552 เวลา:7:27:38 น. |
|
|
|
โดย: 123 IP: 118.173.255.186 วันที่: 26 มกราคม 2552 เวลา:16:52:16 น. |
|
|
|
โดย: เบื่อ IP: 203.131.211.147 วันที่: 26 มกราคม 2552 เวลา:19:40:45 น. |
|
|
|
| |
|
|
เห็นด้วยกับเจ้าของบล็อกค่ะ