ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

ตีแผ่ประวัติการเคลื่อนไหวทางการเมืองของมหาจอมปลอม(จำลอง)

รื่องใหม่ที่อยากจะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในวันนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของขบวนการพันธ มิตรที่กำลังก่อการร้ายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข อย่างไม่หยุดยั้ง และไม่รั้งรอแม้แต่วินาทีเดียวที่จะทำให้ประเทศชาติล่มสลาย พร้อมๆ กับความเดือดร้อนของประชาชนที่เพิ่มพูนทบเท่าทวีคูณอย่างรวดเร็ว

จำลอง ศรีเมือง คือ คนที่อยากจะนำมาเสนอในวันนี้ ด้วยเหตุที่ว่าคนคนนี้คือ ตัวอันตรายต่อสถาบันหลักของชาติ อย่างร้ายแรง แต่ด้วยภาพนักบุญจอมปลอมที่เขาสร้างสวมทับร่างซาตานของตนเอง เพื่อหลอกตาประชาชน ทำให้ซาตานตนนี้ ยังคงหลอกลวงผู้คนจำนวนมากที่ขาดเขลาเบาปัญญา ไม่ไตร่ตรองศึกษาอย่างถ้วนถี่ หลงผิดและเดินตามไปได้โดยง่าย

ถึงแม้ว่าจะมีประชาชนจำนวนมาก ตาสว่าง และรู้ทัน กลเกมของซาตานในคราบร่างของนักบุญผู้ใฝ่ธรรมะ แต่เอาชนะกิเลสในใจตนเอง ที่มุ่งแสวงหาอำนาจโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ ทุกลมหายใจเข้าออกไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนำจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อซาตานตนนี้ อย่างหัวปักหัวปำ ไม่ลืมหูลืมตา จนมีอาการน่าเป็นห่วง ดังเช่นกลุ่มคนที่ไปนอนนั่งฟังคาถาล้างสมองของเขาที่ถนนราชดำเนิน อยู่ในขณะนี้

จำลอง ศรีเมือง น่าจะเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่แสดงออกถึงความมุ่งมั่นต่อจุดมุ่งหมายของตนเอง ที่จะท้าทายและทำลายสถาบันสำคัญของชาติ ทั้ง 3 สถาบันในคราเดียวกัน และมีความซื่อสัตย์ต่อภารกิจภายในจิตใจของตนเองอย่างแน่วแน่ ชนิดที่แก้ไขไม่ได้ มาอย่างยาวนานหลายสิบปี

ไม่น่าเชื่อ จำลอง ศรีเมือง จะเป็นบุคคลที่เคยเข้ารับการอบรมบ่มเพาะอุดมการณ์ความรักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ มาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า หรือ โรงเรียนนายร้อยจปร. ซึ่งเป็นสถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตนายทหารที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหาษัตริย์ สูงสุด กระทั่งชีวิตก็สละได้ เพื่อปกป้อง 3 สถาบันหลักของชาติ

เหตุที่ต้องบอกว่าไม่น่าเชื่อก็เพราะ จำลอง ศรีเมือง ได้แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์มาอย่างต่อเนื่องว่า เขาไม่ได้เป็นผู้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์และความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ดังเช่นนายทหารอื่นๆ ของกองทัพ รวมไปถึงประชาชนคนทั่วไป ด้วย

จะเชื่อใจ จำลอง ศรีเมือง เป็นคนที่มีความรักชาติได้อย่างไร ในเมื่อคนคนนี้เป็นต้นเหตุก่อวิกฤติให้แก่ประเทศชาติเสียหาย และประชาชนเดือดร้อนมาครั้งแล้วครั้งเล่า

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จำลอง ศรีเมือง ก็เข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะหน่วยข่าวของกองทัพ และแวะเวียนไปแทรกซึมอยู่กับประชาชน ที่ช่วยกันรุมฆ่านักศึกษาหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันเป็นชนวนให้แผ่นดินไทยแยกเป็นหลายเสี่ยง และคนไทยแตกเป็นหลายก๊ก กว่าจะกลับคืนสู่ความสงบได้ ก็ใช้เวลานานนับสิบปี

เหตุการณ์นายทหารยังเติร์กบีบบังคับให้พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลางสภาฯ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2523 จำลอง ศรีเมือง ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มทหารยังเติร์ก ที่ร่วมกดดัน และ เชิด เปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แทน โดยมี จำลอง ศรีเมือง เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

เหตุการณ์เมษาฮาวาย หรือ ปฏิวัติ 1 เมษายน 2524 จำลอง ศรีเมือง ก็เป็นหนึ่งในนายทหารจปร. 7 ที่นำกำลังก่อการรัฐประหาร หมายจะล้มล้างรัฐบาล เปรม ติณสูลานนท์ เพราะเห็นว่าไม่สามารถควบคุมนายกรัฐมนตรี ให้อยู่ในคำสั่งของกลุ่มตนและพวกพ้องได้ แต่ไปไม่ถึงเป้าหมาย ต้องพ่ายแพ้กลายเป็นกบฎ ในที่สุด

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 จำลอง ศรีเมือง เป็นตัวตั้งตัวตี เป็นผู้ปลุกระดมประชาชนให้ออกมาต่อต้านการสืบทอดอำนาจของรสช. ที่นำโดย สุจินดา คราประยูร ด้วยแคมเปญ "นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง" และสโลแกน "คนโกหก ไม่ทำบาป ไม่มี" พร้อมกับเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง

การชุมนุมของประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 จบลงด้วยบาดแผลใหญ่ของชาติไทย เมื่อประชาชนที่ถูก จำลอง ศรีเมือง ปลุกระดมให้เข้าสู้กับกองทัพ กลายเป็นเบี้ยบนกระดาน ให้ จำลอง ศรีเมือง ใช้เป็นเครื่องเซ่นสังเวยเกมชิงอำนาจรัฐ จนต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก ด้วยแผนการและมันสมองอันชั่วร้ายของซาตานตนนี้

กว่าประชาชนทั้งประเทศจะรู้ความจริง ว่าเบื้องหลังเหตุการณ์นองเลือดเป็นเช่นไร และ จำลอง ศรีเมือง หลอกประชาชนผู้ชุมนุม ให้มานั่งตากแดด ตากน้ำค้าง แต่ตัวเองหลบไปนอนในห้องแอร์ของโรงแรม และประกาศชัยชนะของตนเองบนกองเลือดของประชาชน เมื่อยั่วยุให้ทหารลงมือสลายม็อบด้วยความรุนแรง พาชีวิตผู้คนจำนวนหลายพันคนไปเสี่ยงกับห่ากระสุนปืน โดยไม่คิดรับผิดชอบใดๆ นอกจากความหิวกระหายในอำนาจ และชัยชนะบนซากศพของคนไทย และซากปรักหักพังของประเทศไทย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า จำลอง ศรีเมือง คนนี้ เป็นคนที่พยายามสร้างเงื่อนไข เรียกร้องให้ทหารก่อการรัฐประหาร เป็นคนเดียวกับที่เรียกร้องปลุกระดมประชาชนให้ต่อต้านการสืบทอดอำนาจของทหาร เมื่อ พฤษภาคม 2535

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า จำลอง ศรีเมือง คนนี้ เป็นคนที่เรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญให้นายกรัฐ มนตรีมาจากการเลือกตั้ง แต่ตนเองสนับสนุน เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง และ ยังเข้าไปนั่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

รวมถึงสนับสนุนให้มีสมาชิกวุฒิสภา ที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย และขณะนี้กำลังปลุกระดมประชาชน ให้ขับไล่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้มีนายกรัฐมนตรีจากการแต่งตั้งแทน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า จำลอง ศรีเมือง คนนี้ จะเป็นคนตระบัดสัตย์ ไม่อยู่ในศีลในธรรม ดังที่สร้างภาพจอมปลอมหลอมทับตัวเองเพื่อหลอกตาประชาชน และเป็นคนที่เคยประกาศก้องว่า "คนโกหก ไม่ทำบาป ไม่มี" เพราะทุกอย่างที่เคยพูดไว้ วันนี้ จำลอง ศรีเมือง กระทำมันไปทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว

พฤติกรรมทางการเมือง การจ้องหาโอกาส ฉกฉวยชิงจังหวะช่วงชิงอำนาจรัฐ อย่างต่อเนื่องที่ผ่านมากว่า 30 ปี ของ จำลอง ศรีเมือง ทำให้ประเทศชาติต้องเสียหาย ประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตาย คิดเป็นมูลค่ามากมายมหาศาล จนเกินกว่าจะคำนวณเป็นตัวเงินได้ โดยเฉพาะความแตกแยกของคนในชาติ และความมั่นคง เสถียรภาพ สถานะของประเทศที่ตกต่ำในสายตาของชาวโลก

พฤติการณ์ของ จำลอง ศรีเมือง เท่าที่ยกมาเป็นเพียงส่วนน้อย แต่ก็พอจะทำให้เชื่อได้ว่า จำลอง ศรีเมือง ไม่ใช่ผู้รักชาติ อย่างแน่นอน

พฤติกรรมทางด้านการปกป้องพระศาสนา ยิ่งนับเป็นจุดด่าง และจุดด้อยของ จำลอง ศรีเมือง เพราะ จำลอง ศรีเมือง คือ ผู้สนับสนุนหลักของ โพธิรักษ์ และสำนักสันติอโศก ซึ่งเป็นจำเลยของมหาเถรสมาคม และถูกมหาเถรสมาคม ยื่นฟ้องต่อศาล ว่าเป็นขบวนการที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย ต่อสู้คดีกันถึง 3 ศาล สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินว่าโพธิรักษ์ ไม่ใช่พระ มีความผิดฐานแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และนักบวชในสำนักอโศก ก็ไม่ใช่สงฆ์ เพราะไม่ได้รับการอุปัชฌาย์โดยพระอุปัชฌาย์ตามกฎของพระพุทธศาสนา

ทั้งๆ ที่ถูกศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิด และ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ หลงผิด เข้าใจผิด แต่ โพธิรักษ์ และ สันติอโศก ก็ยังลอยนวลอย่างมีหน้ามีตาอยู่ในสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมพุทธ ได้ เพราะการสนับสนุนของ จำลอง ศรีเมือง นั่นเอง

โพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก และ จำลอง ศรีเมือง มีเป้าหมายทางการเมืองร่วมกัน อย่างชัด เจน นับตั้งแต่การวางแผนให้ จำลอง ศรีเมือง ลงสมัครผู้ว่าฯกทม. แล้วขายฐานเป็นการสร้างพรรคพลังธรรม

เพื่อเข้าไปแสวงหาอำนาจรัฐ โดยมีแผนการที่ระดมมวลชนสนับสนุนจำลอง ศรีเมือง เป็นนายกรัฐมนตรี ให้จงได้ และแผนการทั้งหมดเกือบจะเป็นความจริงได้หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ หากว่าจำลอง ศรีเมือง ไม่โดนเกมการเมืองของประชาธิปัตย์ สกัดจนสะดุดหัวทิ่มกับข้อหา "จำลองพาคนไปตาย" ส่งผลให้พรรคพลังธรรม พ่ายแพ้ย่อยยับในการเลือกตั้งเดือนกันยายน 2535

จากที่ควรจะได้เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ในฐานะผู้นำการต่อสู้กับ รสช. ต้องกลายมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีประชาธิปัตย์ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ก่อนจำลอง ศรีเมือง จะหักหลังประชาธิปัตย์ ด้วยการถอนตัวออกจากรัฐบาล หลังประชาธิปัตย์ ถูกตราหน้าว่าคอรัปชั่นกินแผ่นดินหลวง กรณีสปก.4-01 อันอื้อฉาว

โพธิรักษ์ กับ จำลอง ศรีเมือง หายหน้าหายตาไปจากแวดวงการเมือง นับแต่พรรคพลังธรรม ล่มสลาย จนกระทั่ง จำลอง ศรีเมือง ประกาศเข้าร่วมกับสนธิ ลิ้มทองกุล ขับไล่ทักษิณ ชินวัตร โพธิรักษ์ ก็นำนักบวช และ ไพร่พลจากสำนักสันติอโศก เข้าร่วมสมทบม็อบพันธมิตร ก่อการเคลื่อนไหวโดยมีเป้าหมายทางการเมือง ทันที และครั้งนี้ก็เช่นกัน โพธิรักษ์ กับ จำลอง จับมือกันแนบแน่น เป็นกำลังหลักให้ม็อบพันธมิตร ขับไล่ สมัคร สุนทรเวช


แม้จะไม่ประกาศอย่างชัดแจ้งว่า มีเป้าหมายอย่างไร สำหรับ โพธิรักษ์ และ สำนักสันติอโศก แต่ก็คงไม่ยากที่จะคาดเดาถึงเป้าหมายที่จะสถาปนาลัทธิอโศก ให้เป็นศาสนาพุทธอีกนิกายหนึ่ง ในสยามประเทศ และเผยแผ่ลัทธิอโศก ตลอดจนแนวทางของชาวอโศก ให้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ แข่งกับพระพุทธศาสนา

และแสวงหาอำนาจรัฐ เพื่อออกกฏหมายบีบบังคับมหาเถรสมาคม ต้องยอมรับลัทธิอโศก เทียบเท่าพระพุทธศาสนา หรือ ศาสนาอื่นในประเทศไทย ตลอดจนการยอมรับโพธิรักษ์ เป็นผู้นำศาสนาพุทธอีกนิกายหนึ่ง เสมอเท่ากับสมเด็จพระสังฆราช หรือ ผู้นำศาสนา อื่นๆ ด้วย

ทั้งๆ ที่รู้ว่าสันติอโศก เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา และ โพธิรักษ์ เป็นจำเลยของมหาเถรสมาคม แต่ จำลอง ศรีเมือง ก็ยังคงยืนกรานที่จะสนับสนับสนุนโพธิรักษ์ และสันติอโศก ให้ดำรงคงอยู่ต่อไป โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา มหาเถรสมาคม และ คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ชี้ว่าโพธิรักษ์ คือผู้กระทำความผิดต่อพระพุทธศาสนา

จึงยากจะเชื่อว่า จำลอง ศรีเมือง คือ ผู้ที่มีความปรารถนาดีต่อพระพุทธศาสนา และ มีจุดมุ่งหมายที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เนื่องจากจำลอง ศรีเมือง ยังคงนับถือผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา เป็นศาสดา และส่งเสริมลัทธความเชื่อ ที่เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา อย่างต่อเนื่องยาวนานจนถึงทุกวันนี้

สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญที่สุดที่คนไทย เคารพเทิดทูนไว้สูงสุด ก็ไม่ได้อยู่ในหัวใจของ จำลอง ศรีเมือง และ ไม่ได้อยู่เหนือการท้าทายของซาตานตนนี้

เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้ามายุติเหตุการณ์นองเลือด พฤษภาทมิฬ 2535 ทรงมีรับสั่งกับ จำลอง ศรีเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อเหตุจนเกิดการนองเลือด และความเสียหายแก่ประเทศชาติ และประชาชน ความตอนหนึ่งว่า

"ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน คือ พลเอกสุจินดา และ พลตรีจำลอง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชน เฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง

ฉะนั้น จึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้ากัน แต่หันเข้าหากัน และสองท่าน เท่ากับเป็นผู้แทนฝ่ายต่างๆ คือไม่ใช่สองฝ่าย ฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร สำหรับให้ประเทศไทย ได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับคืนมาได้ด้วยดี อันนี้ก็เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่าน ก็เข้าใจว่า จะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจากซากปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในส่วนตัวมากว่าได้ทำดี แก้ไขอย่างไรก็แล้วแต่ที่จะปรึกษากัน ก็มีข้อสังเกตดังนี้.."


พระราชดำรัสอันเป็นมงคลแก่คนไทยทั้งชาติ ในคืนวันนั้น ได้นำมาซึ่งการยุติปัญหาความขัดแย้งทั้งปวง เนื่องจาก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รับใส่เกล้าฯ แล้วปฏิบัติทันที ด้วยการสั่งให้ทหารหยุดใช้ความรุนแรง ไม่เผชิญหน้ากับประชาชนที่ถูกจำลอง ศรีเมือง ปลุกระดมออกมา จากนั้น สุจินดา คราประยูร ก็กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความรับผิดชอบ

แต่ดูเหมือนว่า พระราชดำรัสที่เป็นมหามงคลแก่คนไทยทั้งชาติ จะไม่ได้เข้าหู และไม่ได้เข้าหัวของ จำลอง ศรีเมือง แม้แต่น้อย หรือ จำลอง ศรีเมือง ลืมไปหมดแล้วก็เป็นได้ จึงได้กระทำการในลักษณะเดียวกับเมื่อปี 2535 ขึ้นอีกครั้ง ก่อการปลุกระดมมวลชน

และสร้างสถานการณ์การเผชิญหน้า ทำให้คนในชาติแตกแยกกัน ทำให้ประเทศไทยเสียหาย ประชาชนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว ไม่แตกต่างพฤติกรรมเมื่อปี 2535 เว้นแต่ยังไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตาย เนื่องจาก สมัคร สุนทรเวช ไม่มีความปรารถนาดีที่จะบดขยี้เข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเอง

ไม่น่าเชื่อว่า จำลอง ศรีเมือง คนนี้ ที่กำลังก่อการปลุกระดมมวลชน ขับไล่รัฐบาล จะเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้าเฝ้า และพระราชทานพระราชดำรัสเตือนสติ ให้ยุติการเผชิญหน้าของคนในชาติ มาแล้วเมื่อปี 2535

เพราะพฤติกรรมของจำลอง ศรีเมือง ในขณะนี้ กระทำราวกับว่าไม่เคยได้ยินรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาก่อน หรือ หากเคยได้ยิน ก็คงลืมไปหมดแล้วว่าทรงรับสั่งไว้อย่างไร

จริงอยู่ว่า พระราชกระแสรับสั่งดังกล่าว มีมาตั้งแต่ปี 2535 ขณะนี้ เป็นปี 2551 เป็นคนละเวลา คนละเหตุการณ คนละสถานการณ์ แต่หากพิจารณาให้ดี จะเห็นได้ว่าแม้จะต่างกันในเรื่องเวลา แต่พฤติกรรมของจำลอง ศรีเมือง กลับย้อนรอยเหมือนเดิมทั้งหมด จึงเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่ง ที่บุคคลซึ่งอ้างว่าจงรักภักดี และ รับกระแสพระราชดำรัสไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม จะไม่หวนระลึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2535 ก่อนที่จะลงมือกระทำการใด ๆอันเป็นการขัดกระแสพระราชดำรัสอีกครั้งหนึ่ง

พฤติกรรมของ จำลอง ศรีเมือง ที่ไม่สนองต่อกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

และยังคงสร้างความแตกแยกแก่คนในชาติ สร้างสถานการณ์การเผชิญหน้ากันของคนในชาติ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่ง ว่าเป็นการทำให้ประเทศ ชาติเสียหาย เช่นที่กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ จึงเป็นพฤติกรรมที่ยากจะเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำด้วยความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สถาบันพระมหากษัตริย์

เมื่อสรุปรวบพฤติกรรมของ จำลอง ศรีเมือง นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในวันนี้ จึงยากจะเชื่อได้ว่า จำลอง ศรีเมือง คือ คนไทยที่มีอุดมการณ์ และความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็น 3 สถาบันหลักของชาติไทย

ตรงกันข้าม จากพฤติกรรมที่ได้นำมาเรียบเรียงไว้นี้ กลับน่าเชื่อว่า จำลอง ศรีเมือง คือ บุคคลผู้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อจะทำลายสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา และท้าทายสถาบันพระมหา กษัตริย์ ชนิดที่ไม่เคยมีคนไทยคนใดกล้ากระทำเช่นนี้มาก่อน

แม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่า จำลอง ศรีเมือง มีเป้าหมายเช่นไรในการปลุกระดมมวลชนขับไล่รัฐบาลอยู่ในขณะนี้ แต่ ประการหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้ก็คือ คนที่มักใหญ่ใฝ่สูง และทะเยอทะยาน ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักพอ แม้วัยจะล่วงเลยเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต แต่ยังคงแสวงหาอำนาจอยู่ทุกวี่วัน เช่นนี้ ย่อมจะมีเป้าหมายที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่แท้

โดยเฉพาะเป้าหมายที่จะครอบงำสถาบันชาติ และ ศาสนา โดยไม่นำพาต่อความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยทั้งชาติ เคารพเทิดทูนสูงสุด

จึงพึงต้องระวังให้ดี วันใดที่ ซาตานในคราบร่างของนักบุญจอมปลอม ชื่อ จำลอง ศรีเมือง เดินทางถึงเป้าหมายของเขา วันนั้น พวกเราคนไทยทั้งชาติทั้งแผ่นดิน อาจจะต้องเสียใจที่สุดในชีวิตก็เป็นได้

การเดินตาม จำลอง ศรีเมือง จึงเป็นการเดินที่พึงต้องระมัดระวังเป็นที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะเป็นคนหนึ่งที่เดินเข้าไปร่วมกับขบวนการทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยไม่ทันรู้ตัว

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบางส่วนที่พระราชทานแก่ พลเอกสุจินดา คราประยูร และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง
วันพุธที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕

"คงเป็นที่แปลกใจ ทำไมถึงเชิญให้ท่านมาพบกันอย่างนี้ เพราะว่าทุกคนก็ทราบว่า เหตุการณ์มีความยุ่งเหยิงอย่างไร และทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ แต่ที่จะแปลกใจก็อาจมีว่า ทำไมเชิญพลเอกสุจินดา คราประยูร และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เพราะว่า อาจมีผู้ที่แสดงเป็นตัวละครมากกว่านี้ แต่ว่าที่เชิญมาเพราะว่า ตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน แล้วก็ในที่สุด เป็นการต่อสู้ หรือการเผชิญหน้ากว้างขวางขึ้น ถึงได้เชิญ ๒ ท่านมา"

....................................................................

ขอขอบคุณ ----ฟ้าฟื้น----




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2551    
Last Update : 16 มิถุนายน 2551 15:23:04 น.
Counter : 534 Pageviews.  

ปีกซ้ายพฤษภา: คำถามถึงภาคประชาชนใต้ปีกพันธมิตร

ปีกซ้ายพฤษภา: คำถามถึงภาคประชาชนใต้ปีกพันธมิตร
พุธ ที่ 11 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2551


พงษ์เลิศ พงษ์วนานต์

การวิจารณ์แนวทางการเคลื่อนไหวรอบล่าสุดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยประภาส ปิ่นตบแต่ง ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์แท็บบลอยด์ ฉบับวันที่ 1 มิ.ย. 2551 ดูจะส่งผลสะเทือนพอสมควรต่อพันธมิตรฯ ซีกที่ว่ากันว่าเป็น ‘ภาคประชาชน’ คนกลุ่มนี้ต้องแก้เกมด้วยการออกแถลงการณ์ของคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.ใต้) ประกาศสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ “ในทุกรูปแบบ “ รวมทั้งนำตัวแทน ‘ภาคประชาชน’ จากภาคใต้ เหนือ อีสาน และตะวันออก ขึ้นเรียงหน้ากระดานปราศรัยบนเวทีพันธมิตรเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา

คำว่า ‘ภาคประชาชน’ นี้ ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่าน่าจะหมายถึง เอ็นจีโอและกลุ่มประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ที่เคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องในประเด็นความเดือดร้อนต่างๆ ที่เอ็นจีโอทำงานอยู่ด้วย

ที่ผ่านมา ศัตรูหลักตลอดกาลของ ‘ภาคประชาชน’ ก็คือ ทุนนิยมและรัฐ

ในปัจจุบันนี้ ศัตรูตัวแรก หรือศัตรูฝ่ายทุนนิยม ดูจะมีความหมายเฉพาะเจาะจงไปที่ทุนข้ามชาติ กับทุนที่เพิ่งเติบโตขึ้นมาใหม่ พูดให้ง่ายคือทุนโลกาภิวัตน์และทุนสามานย์ ส่วนทุนอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ดูจะไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าใดนัก ที่พิเศษในตอนนี้คือ ปรากฏมี ‘ทุนฝ่ายเทพ’ อยู่ด้วย ซึ่งก็คือทุนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของทุนสองอันแรกนั่นเอง

ศัตรูที่เป็นรัฐในตอนนี้คือ เผด็จการรัฐสภาที่ครอบงำโดยนายทุนขั้วสามานย์และนักเลือกตั้ง ส่วนทหารและอำมาตยาธิปไตยไม่ใช่ศัตรูอีกต่อไป หากแต่ตรงกันข้ามกลับกลายมาเป็นที่พึ่งของ ‘ภาคประชาชน’

ศัตรูทั้งหมดนี้รวบยอดมาอยู่ในตัวคนๆ เดียวคือ ทักษิณ ชินวัตร

น่าสังเกตว่าคำแถลงของกป.อพช.ใต้ ย้ำคำว่า ‘ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา’ ของระบอบทักษิณอยู่บ่อยครั้ง นั่นหมายความว่าพวกเขาจงใจลืมช่วงปีกว่าๆ ของคมช.และรัฐบาลสุรยุทธ์ไปเลย

ท่าทีอย่างนี้คือท่าทีของภาคประชาชนส่วนใหญ่ ‘ในรอบเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา’

‘ภาคประชาชน’ มีปัญหามากมายสารพัดกับ ‘ระบอบทักษิณ’ แต่กลับนิ่งเฉยกับ ‘ระบอบอมาตยาธิปไตย’ ถึงขั้นที่หลายคนหันไปปรองดอง นับญาติเป็นพี่เป็นน้องกับขุนศึกบางคนด้วยซ้ำไป

‘ภาคประชาชน’ มีปัญหากับการขายหุ้นเลี่ยงภาษีของทักษิณ แต่กลับไม่มีปัญหากับการเบิกค่าใช้จ่ายในการรัฐประหาร 19 กันยาของคมช. ไม่มีปัญหากับการควบตำแหน่งรับเงินสองสามทางของคมช. ไม่มีปัญหากับการขึ้นเงินเดือนพิเศษ 2 ขั้นให้กับบุคลากรในสังกัดคมช. ไม่คัดค้านงบประมาณกองทัพที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะงบซื้อเครื่องบินของกองทัพอากาศและเรือดำน้ำของกองทัพเรือหลายหมื่นล้านบาท ไม่วิพากษ์วิจารณ์การขึ้นเงินเดือนองคมนตรีและรัฐบุรุษโดยรัฐบาลสุรยุทธ์เพียงไม่กี่วันก่อนพ้นวาระ (หลังจากนั้นไม่นานสุรยุทธ์ก็กลับมาเป็นองคมนตรี) ไม่ตั้งคำถามกับการใช้งบประมาณกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาทเพื่อทำงานมวลชนระดับหมู่บ้านของคมช. (จากคำแถลงของพล.อ.มนตรี สังขทรัพย์, บางกอกโพสต์ 22 ส.ค. 2550) ฯลฯ

‘ภาคประชาชน’ มีปัญหาเหลือเกินกับการแทรกแซงองค์กรอิสระและอำนาจตุลาการโดยทักษิณ แต่ไม่มีปัญหาแม้แต่นิดเดียวกับการที่คมช.ตั้งองค์กรอิสระเสียเอง หรือการกำหนดที่มาขององค์กรอิสระแบบใหม่ให้มาจากการตัดสินใจของศาลเพียงไม่กี่คน หรือการแทรกแซงตุลาการโดยอำนาจอื่นที่อยู่เหนือคมช.

‘ภาคประชาชน’ ไม่มีปัญหากับการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ไม่มีปัญหากับรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ไร้ความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่กระบวนการแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างฯ ไปจนถึงการบังคับลงประชามติแบบมัดมือชก แต่กลับเป็นเดือดเป็นแค้นกับการแก้รัฐธรรมนูญ 2550

น่าขำที่ ‘ภาคประชาชน’ ส่งคนลงสมัครวุฒิสมาชิกในระบบสรรหาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะในบรรดาตัวแทน ‘ภาคประชาชน’ ที่เข้าประกวดนั้น ไม่มีใครเข้าตากรรมการสรรหาทั้ง 7 คนเลย

‘ภาคประชาชน’ บางส่วนเพิ่งจะมามีปัญหากับสนช.เอาก็ต่อเมื่อลิเกใกล้จะเก็บวิกแล้ว คงเป็นเพราะว่าสนช.ออกกฎหมายมาไม่ถูกใจซะมากกว่าอะไรอย่างอื่น

‘ภาคประชาชน’ มีปัญหากับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของทักษิณ แต่ไม่มีปัญหากับความเปลี่ยนแปลงแบบย้อนยุคที่ให้ทหารกลับเข้าไปกุมรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง บางแห่งมีความชอบมาพากลถึงขนาดพวกเดียวกันเองแท้ๆ อย่างผู้จัดการ-สะพรั่ง-บรรณวิทย์ ยังแตกคอออกมาบลัฟกันเองในเรื่อง ‘เหลือบในคราบวีรบุรุษ’ กับ ‘1 ปี TOT’

น่าอนาถที่ “ภาคประชาชน” ไม่เข้าใจว่าจะเป็นพรรคการเมืองไหน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขั้ว ‘ทุนสามานย์’ หรือขั้ว ‘ทุนคุณธรรม’ ก็ล้วนแล้วแต่มีแนวทางแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเข้ากระเป๋าใคร

‘ภาคประชาชน’ เคียดแค้นชิงชังโลกาภิวัตน์ ขุ่นแค้นถึงขั้นเคยขอนายกฯ พระราชทาน โดยมาตรา 7 พร้อมพ่วงประเด็นยกเลิก FTA ไปด้วย แต่ครั้นได้สุรยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี ผลงานชิ้นแรกๆ ของนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งคือการบินไปเซ็น FTA กับญี่ปุ่น

ความผิดหวังในครั้งนั้นทำให้ ‘ภาคประชาชน’ ต้องหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยการเคลื่อนไหวให้ยกเลิก FTA ที่ศาลหลักเมือง (FTA วอทช์หันพึ่งศาลหลักเมือง หวังดลใจ ‘สุรยุทธ์’ ล้มเซ็นสัญญาญี่ปุ่น, แนวหน้า, 2 เม.ย. 2550) เมื่อไม่เป็นผล ‘ภาคประชาชน’ ก็ต้องกลับลำหันมาพึ่งระบบรัฐสภา โดยบอกว่า รัฐบาลสุรยุทธ์เป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราว ไม่มีสิทธิตัดสินใจ ต้องรอรัฐบาลและรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง

ในรอบเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา น่าจะสรุปได้แล้วกระมังว่าขั้วอำนาจสองฝ่ายฟาดฟันกันเพราะความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และที่สำคัญ ผลประโยชน์ของแต่ละขั้วก็ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของมวลชนของ ‘ภาคประชาชน’ เองด้วย

ในช่วง คมช.และรัฐบาลสุรยุทธ์มีอำนาจ พวกเขาเคยมีท่าทีชะลอโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซียที่ อ.จะนะ จ.สงขลา บ้างไหม? โรงไฟฟ้าจะนะโรงที่สองผุดขึ้นมาในแผนก็ในช่วงรัฐบาลสุรยุทธ์นี้เอง

ถ้าจะตอบปัดไปว่าโรงไฟฟ้าโรงที่สองนี้เป็นมรดกบาปของทักษิณ ก็ต้องไม่ลืมว่า ในปี 2541 ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีไทยและมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นสักขีพยานในการลงนามโครงการฯ ระหว่างปตท.กับเปโตรนาส ที่สวนพล.อ.เปรม จ.สงขลา รวมทั้ง พล.อ.จรัล กุลละวนิชย์ ประธานประชาพิจารณ์อาบเลือดในปี 2543 ก็มาเป็นรองประธานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในยุคคมช.

โครงการโรงถลุงเหล็กสหวิริยาที่อ.บางสะพาน จ.ประจวบฯ ที่มีความขัดแย้งในพื้นที่จนปะทะกันเลือดตกยางออก คนตายไปหนึ่งคน ก็เกิดในช่วงรัฐบาลสุรยุทธ์เช่นกัน

‘ภาคประชาชน’ พอใจไหมกับ พรบ.ป่าชุมชนฉบับสนช. ที่เฝ้ารอคอยมานานแสนนาน?

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

พรบ.ความมั่นคง

ฯลฯ

เมื่อขั้ว ‘คุณธรรม’ เอาชนะขั้ว ‘ทุนสามานย์’ ได้เบ็ดเสร็จแล้ว การปฎิรูปที่ดิน การกระจายการถือครองปัจจัยการผลิต การเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า การเก็บภาษีมรดก ฯลฯ จะสามารถเป็นไปได้หรือไม่?

ระบอบทักษิณแทรกแซงและทำลายกลไกการตรวจสอบ แล้ว ‘ภาคประชาชน’ สามารถตรวจสอบ ‘ระบอบคุณธรรม’ ได้สักครั้งหนึ่งไหม?

หลังการรัฐประหาร 19 กันยา อำนาจจากขั้วทุนสามานย์ถูกโยนกลับไปอยู่ที่อีกขั้วหนึ่ง แต่ภาคประชาชนก็ไม่สามารถตรวจสอบผู้ครองอำนาจได้อยู่ดี เพราะฝ่ายนั้นว่ากันว่ามี ‘คุณธรรม’ และ ‘จริยธรรม’

‘ภาคประชาชน’ เกิดอาการตาลุกน้ำลายสอ เมื่อเห็นมวลชนเรือนหมื่นของสนธิ ลิ้มทองกุล ชนิดที่ยากจะหามาได้ด้วยตัวเอง จึงเกิดความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะใช้เป็นโอกาสในการให้ข้อมูล ‘ให้การศึกษา’ แก่ชนชั้นกลางเสื้อเหลืองทั้งหลายให้เห็นถึงความทุกข์ยากของมวลชนผู้ยากไร้

แต่แล้วในรอบเกือบ 2 ปีที่ผ่านมานี่เป็นอย่างไร? หลังจากโค่นทักษิณลงไปได้แล้ว (ชั่วคราว) ชนชั้นกลางเสื้อเหลืองได้ถือเป็นธุระบ้างไหมกับ ‘วาระของภาคประชาชน’?

นอกจากความเกลียดทักษิณแล้ว มีอะไรที่มวลชนเสื้อเหลืองกับมวลชนของ ‘ภาคประชาชน’ มีผลประโยชน์ร่วมกันจริงๆ บ้าง?

มวลชนเสื้อเหลืองเดือดร้อนไหมกับการที่รัฐบาลสุรยุทธ์พลิกมติครม.ให้ปิดเขื่อนปากมูนถาวรจากการแทรกแซงของคมช.? (ดู สมัชชาคนจน ออกแถลงการณ์ ซัด คมช. ‘รังแกคนจน’ และ ผลักไสชาวแม่มูน ปิดเขื่อนต่อ ไล่พ้นทำเนียบรัฐบาล)

ในตอนนี้ เป็นไปได้ว่าชนชั้นกลางเสื้อเหลืองอาจจะมีความเห็นใจย้อนหลังให้กับสมัชชาคนจนที่ถูกสลายการชุมนุมจากข้างทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2546 เพราะคนที่เป็นเจ้ากี้เจ้าการควบคุมการรื้อเพิงพักของสมัชชาคนจนในวันนั้น คือผู้ว่ากทม.ที่ปัจจุบันนี้เป็นนายกฯ นอมินีของทักษิณที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช นั่นเอง

‘ภาคประชาชน’ ส่งตัวแทนลง สว.สรรหา โดยไม่รังเกียจกับเนื้อหาและที่มาของกติกาที่ร่างโดยอำมาตยาธิปไตย ใช่หรือไม่ว่าภาคประชาชนมีลักษณะหลงตัวเอง (self-righteous) และอำนาจนิยม จนคิดว่าตนเองสามารถดลบันดาลความเป็นธรรมให้กับพี่น้องมวลชนผู้ยากไร้ได้โดยไม่ต้องยึดติดกับรูปแบบใดๆ ?

มันเป็นความมักง่ายที่จะเหมารวมทุกอย่างให้เป็นทักษิณ มันอธิบายง่าย สร้างอารมณ์ร่วมได้ง่าย เพราะมันเห็นเป็นตัวปีศาจชัดเจนดี แต่การเด็ดหัวทักษิณ ถามว่าจะแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่ภาคประชาชนได้พรรณนามานี้ได้หรือไม่? หรือต้องให้สนธิ ลิ้มทองกุล สร้างระบอบอะไรขึ้นมาใหม่เพื่อจะทำลายล้างต่อไปอีก?

บรรจง นะแส เลขาธิการกป.อพช.ใต้ ปิดท้ายรายการบนเวทีพันธมิตรในคืนวันที่ 5 มิ.ย.นั้นว่า “ต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจก่อน ประชาธิปไตยกินได้ กินไม่ได้ ไม่มีความหมาย” (‘ประชาธิปไตยกินได้’ คือคำขวัญของสมัชชาคนจนที่ไม่เข้าร่วมกับพันธมิตร)

แล้วใครล่ะที่ ‘ภาคประชาชน’ คาดหวังจะให้เป็นผู้ปฎิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ (ให้เป็นธรรมขึ้นมาได้)?

ที่มา : //www.prachatai.com/05web/th/home/12466




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2551    
Last Update : 13 มิถุนายน 2551 0:38:48 น.
Counter : 534 Pageviews.  

เครื่องบิน'กริฟเฟน'รวม12 ลำมูลค่า20,000ล้านแต่ไทยซื้อมูลค่ากว่า34,000 ล้าน

เอ็นจีโอ-สื่อสวีเดนโวยรัฐบาลขายเครื่องขับไล่'กริฟเฟน' รัฐบาลไทยซึ่งเป็นเผด็ ขณะที่ชอบอ้างว่าวางตัวเป้นกลาง เว็บไซต์สารานุกรมดังระบุราคาแค่ลำละ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวม12 ลำ มูลค่า 20,000 ล้าน แต่ไทยซื้อมูลค่ากว่า 34,000 ล้าน ทอ.แจงไม่มีค่านายหน้า


ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมว่า หนังสือพิมพ์'ดิ อินเตอร์เนชั่นแนล เฮรัลด์ ทรีบูน'รายงานเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมว่า กรณีที่ทางกาสวีเดนเตรียมขายเครื่องบินรบเอนกประสงค์ กริฟเฟน ให้กับกองทัพอากาศไทยกำลังกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในสวีเดน เพราะมีหลายฝ่ายออกมาคัดค้าน หลังจากที่มีการประกาศความตกลงที่จะซื้อขายดังกล่าวกันในสวีเดนเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เสียงคัดค้านเป็นเพราะเห็นว่ารัฐบาลไทยในเวลานี้เป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง

ทั้งนี้นายโอลา แมตต์สัน เลขาธิการสมาคมสันติและการรอมชอมแห่งสวีเดน (เอสพีเอเอส) ระบุว่า รัฐบาลสวีเดนไม่ควรขายอาวุธให้กับประเทศไทยที่เป็นประเทศเผด็จการทหาร ในขณะที่นายแจน โอเอล แอนเดอร์สสัน ผู้อำนวยการโครงการสถาบันกิจการระหว่างประเทศ ที่เป็นสถาบันทางวิชาการอิสระของสวีเดน ชี้ว่าการที่สวีเดน ซึ่งเป็นประเทศเป็นกลาง ยึดถือแนวทางเป็นกลางมายาวนาน กลับมาผลักดันกิจการขายอาวุธระหว่างประเทศ นอกจากจะทำให้การดำรงความเป็นกลางยุ่งยากขึ้นแล้วยังทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศที่ส่งเสริมเสรีภาพ สันติภาพไม่ได้รับการเชื่อถืออีกต่อไป

ผู้สื่อข่าวระบุด้วยว่าจากการตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์วิกิพีเดีย ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า กริฟเฟน หรือ กริฟฟิน เป็นเครื่องบินรบแบบอเนกประสงค์ สามารถปฏิบัติภารกิจได้หลายภารกิจ ทั้งประจันบาน, โจมตี (ด้วยจรวดจากอากาศสู่อากาศ) และ เครื่องบินตรวจการณ์ ขณะนี้มีประจำการอยู่ในกองทัพอากาศของ 4 ประเทศ ประกอบด้วย สวีเดน, แอฟริกาใต้, ฮังการี และสาธารณรัฐเชค โดยจนถึงเดือนกันยายนปี 2549 ที่ผ่านมามีการสร้างเสร็จและส่งมอบแล้วรวม 184 ลำ ยังมีคำสั่งซื้อคงค้างอยู่อีก 232

วิกิพีเดีย ระบุว่าราคาขายต่อลำไว้ว่า อยู่ที่ 25 ล้านดอลลาร์ในปี 2541 และ 45-50 ล้านดอลลาร์ในปี 2549 ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น มูลค่าของเครื่องบินดังกล่าวที่ทางการไทยจัดซื้อรวม 12 ลำจะเท่ากับเพียง 600 ล้านดอลลาร์ หรือราว 20,400 ล้านบาท (ที่อัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่กองทัพอากาศของไทยระบุจะซื้อเครื่องดังกล่าวตากสวีเดนสูงถึง 34,500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตุว่า เครื่องบินกริฟเฟน มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 รุ่น คือ เจเอเอส 39เอ, เจเอเอส 39บี, เจเอเอส39ซี, เจเอเอส 39ดี และ เจเอเอส 39อี/เอฟ และวิกิพีเดียไม่ได้ระบุแต่อย่างใดว่า ราคาต่อหน่วยดังกล่าวเป็นราคาของรุ่นใด ในขณะที่ทางกองทัพอากาศไทยระบุว่าจะจัดซื้อเครื่องบินกริฟเฟนรุ่น เจเอเอส 39ซี/ดี (เครื่องบินรบในสมรรถนะเดียวกับเครื่องบินรบของนาโต้ ที่มีที่นั่งเดี่ยวและ 2 ที่นั่ง)

น.อ.มณฑล สัชฌุกร รองเจ้ากรมกิจการพลเรือน และรองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ทดแทนเอฟ 5 อีเอฟ ซึ่งกองทัพอากาศมีข้อสรุปที่จะซื้อเครื่องบินกริฟเฟนของสวีเดน ว่า ขณะนี้ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ ยังไม่มีการลงนามเซ็นสัญญาอะไรกับทางสวีเดน เพราะการจัดซื้อครั้งนี้ดำเนินการด้วยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปกองทัพอากาศจะเสนอโครงการไปยังกระทรวงกลาโหมเพื่อพิจารณาเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่ออนุมัติให้กองทัพอากาศจัดซื้อเครื่องบินกริฟเฟนเข้าประจำการ ส่วนขั้นตอนการลงนามอยู่ที่รัฐบาลจะมอบหมายให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามหรือจะให้กองทัพอากาศลงนามสัญญาก็ได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อไปตามระเบียบ

รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า สำหรับการจัดซื้อของกองทัพอากาศครั้งนี้เป็นการของบประมาณประจำปี 2551 ตามปกติที่กองทัพอากาศจะได้รับการพิจารณา ไม่ใช่เป็นงบพิเศษเพื่ออนุมัติจัดซื้อ แต่เป็นการเกลี่ยงบประมาณในโครงการต่างๆของกองทัพอากาศ ซึ่งเราได็ดำเนินการคัดเลือกโครงการที่มีความเร่งด่วนและระงับโครงการบางอย่างที่จะเสนอของบประมาณในปี 2552 ออกไป เพราะกองทัพอากาศมีความจำเป็นที่จะต้องจัดซื้อเครื่องบินขับไล่มาทดแทนเครื่องบินเอฟ 5 ที่จะปลดประจำการไป ทั้งนี้ การจัดซื้อเครื่องบินกริฟเฟนนี้ เราดำเนินการด้วยเงินงบประมาณไม่มีการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือบาร์เตอร์เทรดตามนโยบายเดิมของรัฐบาลที่ผ่านมา รวมทั้งไม่มีค่าขายหน้าหรือค่าคอมมิสชั่นใด เพราะเป็นการจัดซื้อด้วยวิธีแบบรัฐต่อรัฐ

"เหตุผลสำคัญที่กองทัพอากาศเลือกที่จะซื้อเครื่องบินกริฟเฟน เพราะกองทัพอากาศพิจารณาอย่างรอบด้าน และสวีเดนมีข้อเสนอให้กับเราแบบเต็มออฟชั่น สิ่งสำคัญที่สุดคือสวีเดนมอบซอล์ทโครตเดต้า ซึ่งเป็นรหัสข้อมูลเครื่องให้กับเราไว้เพื่อพัฒนาระบบได้เองในอนาคต ซึ่งไม่มีประเทศใดมอบรหัสตัวนี้ให้กับไทย บ่งบอกถึงความจริงใจ รวมถึงการสนับสุนนหลังการขายสวีเดนที่ดีมาก ซึ่งกองทัพอากาศแทบไม่จำเป็นที่จะต้องซื้ออะไรเพิ่มเติม"รองโฆษกกองทัพอากาศกล่าว

น.อ.มณฑล กล่าวว่า ส่วนที่มีเสียงวิจารณ์ว่ากองทัพอากาศใช้เหตุผลที่ซื้อเครื่องบินกริฟเฟน เพราะอ้างข้อกฎหมายที่สหรัฐไม่ขายอาวุธให้กับประเทศรัฐประหารนั้น ซึ่งวันที่แถลงข่าวมีสื่อมวลชนถามประเด็นนี้ ผู้บัญชาการทหารทหารอากาศไม่ได้ระบุว่าเหตุผลที่ซื้อเครื่องบินกริฟเฟนด้วยเหตุผลข้างต้น ท่านชี้แจงชัดเจนว่าการซื้อเครื่องบินเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางทีเรามีเงินที่จะซื้อ แต่ประเทศผู้ขายเขาไม่ยอมขายให้ก็ได้ โดยเฉพาะระบบอาวุธ ซึ่งหากเราซื้อเครื่องบินรบ แต่ติดปัญหาที่ไม่ได้อาวุธตามต้องการ ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก เพราะเราจะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุด และผู้บัญชาการทหารอากาศก็ยืนยันชัดเจนว่า เครื่องบินกริฟเฟนสมรรถะการรบไม่ได้ด้อยกว่าเครื่องบินรุ่นอื่นที่พิจารณาเลย และเหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์ของเรามากที่สุด ซึ่งเราส่งนายทหารระดับสูงของกองทัพไปทดลองขับเครื่องบินทั้ง 3 รุ่น คือ เครื่องบินเอฟ 16 ซีดี เครื่องบินซู 30 และเครื่องบินกริฟเฟน ซึ่งสมรรถะของเครื่องบินกริฟเฟนไม่ได้ด้อยกว่าเครื่องบินรุ่นอื่นเลย

'เครื่องบินทุกรุ่นเป็นเครื่องบินที่ดี แต่อะไรคือสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุด เครื่องบินเอฟ 16 ซีดีของสหรัฐก็ดี แต่ติดปัญหาบางอย่างที่กล่าวมา ยกตัวอย่างมีประเทศหนึ่งที่เล็กขอซื้อเครื่องบินเอฟ 16 แต่เขาไม่แถมระบบอาวุธที่ดีและทันสมัยให้ ด้วยเหตุผลประเทศนี้คงไม่มีความจำเป็นต้องใช้อาวุธที่หนักและทันสมัย แต่เมื่อมีประเทศหนึ่งที่ใหญ่กว่ากลับให้อาวุธที่ดีและทันสมัย มากกว่าประเทศที่เล็ก อย่างนี้กถือว่าไม่แฟร์กลับประเทศผู้ซื้อ ขณะที่เครื่องบินซู 30 ก็เป็นเครื่องที่ดี แต่มีปัญหาที่เครื่องบินชนิดนี้ลำใหญ่ใช้น้ำมันจำนวนมาก ดังนั้น ในอนาคตเราจะรับปัญหาตรงนี้ได้หรือไม่ หากไม่มีเงินเติมน้ำมันก็เท่ากับเสียเปล่า ซึ่งเครื่องบินกริฟเฟนเป็นเครื่องที่เล็ก และทันสมัยมีความคล่องตัวสูง ด้วยราคาขนาดนี้ถือว่าดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับกองทัพไทย ที่สำคัญคือออฟชั่นที่เขาเสนอให้เรา ซึ่งดีกว่าข้อเสนอของประเทศอื่น'รองโฆษกกองทัพอากาศกล่าว

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของ'มติชน ออนไลน์'พบว่า เครื่องบินกริฟเฟ็น เป็นเครื่องบินรบผลิตโดยบริษัท'Saab'โดยบริษัทนี้ทำหน้าที่เป็นผู้ทำสัญญาและรับผิดชอบด้านการ,การตลาด และคอยโฆษณาสนับสนุนเครื่องบินรุ่นนี้ทั่วโลกด้วย มีการผลิต'ตั้งแต่เมื่อปี 1996 และโดยถูกใช้ในสวีเดนและขายให้แก่บางประเทศ เช่น แอฟริกาใต้,ฮังการี และสาธารณรัฐเชก

เครื่องบิน'กริฟเฟ็น'เป็นเครื่องบินประเภทนักบินคู่ มีสมรรถภาพถูกออกแบบให้เป็นเครื่องบินที่มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และความคล่องตัวในการบิน และสวีเดนได้เลือกที่จะพัฒนาเครื่องบินกริฟเฟ็น แทนการซื้อเครื่องบินเอฟ 16 จากประเทศดังๆ โดยสมรรถภาพหนึ่งที่น่าสนใจของเครื่องบินสวีเดนรุ่นนี้ก็คือ สามารถลงจอดบนทางหลวง(ตามยุทธศาสตร์ด้านกลาโหมของสวีเดน)และสามารถเติมน้ำมัน หรือติดอาวุธใหม่ได้ภายใน 10 นาที ซึ่งใช้เจ้าหน้าที่ทหารจำนวนไม่มากนัก ที่สามารถใช้รถบรรทุกเข้าทำการเติมน้ำมันหรือติดอาวุธดังกล่าวให้แก่เครื่องบินลำน




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2551    
Last Update : 9 มิถุนายน 2551 23:27:22 น.
Counter : 1618 Pageviews.  

ปตท.กับโสภณ สุภาพงษ์

คอลัมน์ขี่พายุ : นักเล่านิยายพลังงาน
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 05 October 2006 04:09

ดูเหมือนคนกลุ่มหนึ่งจะเคียดแค้นเอาเป็นเอาตายกับปตท.มาก ทำทุกทางเพื่อให้ปตท.กลับคืนเป็นรัฐวิสาหกิจ และเอาปตท.ออกจากตลาดหุ้นให้ได้
ใช้เล่ห์ใช้กลกันสุดฤทธิ์สุดเดช โดยไม่ยึดถือความเป็นจริงกันแล้ว
โสภณ สุภาพงษ์ อดีตผู้บริหารบริษัทบางจากฯ และอดีตสว. ก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนแถวหน้าในการถอดถอนปตท.ออกจากการแปรรูป
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คุณโสภณได้เขียนบทความ ส่งไปลงตีพิมพ์ในน.ส.พ.รายวันฉบับหนึ่ง คล้ายจะฟ้องร้องคณะปฏิรูปฯและนายกฯคนใหม่ ภายใต้ชื่อบทความว่า "เรื่องด่วนที่นายกฯสุรยุทธ์และพล.อ.สนธิต้องทำไว้ให้ชาติ"
อ่านแล้วก็รู้สึกสังเวชใจ ทำไมคุณโสภณจึงใช้มายาคติเช่นนี้ และบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างมหันต์
คุณโสภณนี่แหละ คือ เสาหลักแห่งข้อมูลทางด้านพลังงานให้แก่พวกภาคประชาสังคม เอ็นจีโอทั้งหลาย และก็ทำผลงานสำเร็จไประดับหนึ่งแล้วด้วย ในการที่ศาลปกครองรับคำฟ้องถอดถอนปตท.
คุณโสภณเจียระไนยไว้อย่างน่าตกใจ ดังข้อความบางท่อน ที่ผมจะยกมาดังนี้
"ต้องขจัดระบอบทุนนิยมสามานย์สุดขั้วที่ใช้เงินงบประมาณหลอกซื้ออำนาจอธิปไตยจากชาวบ้าน และใช้อำนาจที่ได้นั้นกวาดต้อนทรัพย์สินรัฐวิสาหกิจและสัมปทานมหาศาลมาเป็นของพวกตนผ่านตลาดหุ้น
ตัวอย่างเช่น หุ้นปตท.ที่มีราคาปัจจุบัน 210,000 ล้านบาทนั้น ได้ถูกขายกันเองในปี2545 ด้วยราคาไม่ถึง 30,000 ล้านบาท โกงกำไรให้พวกรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐกันเอง 180,000 ล้านบาท และได้ใช้ปตท.ของพวกตนเข้าครอบครองโรงกลั่นทั้งหมด ขึ้นราคากันอย่างไม่อาย
เอากำไรจากประชาชนโดยปตท.และกลุ่มโรงกลั่น จากที่เคยได้กำไร 22,000 ล้านบาทในปี2545 ได้เพิ่มราคาน้ำมันเอากำไรจากประชาชนถึง 196,000 ล้านบาทในปี2548 เอากำไรเพิ่มอย่างไม่เป็นธรรมจากคนยากคนจนไปมากกว่า 170,000 ล้านบาท"
ตัวเลขที่คุณโสภณยกมา ดูเหมือนจริง แต่ยกเมฆขึ้นมาทั้งดุ้น
ราคาปัจจุบันของปตท.ต้องประมาณ 5.9 แสนล้านบาทครับ (เอาราคาปิด 212 บาท คูณจำนวนหุ้นจดทะเบียน 2,804 ล้านหุ้น) ไม่ใช่ 2.1 แสนล้านบาท แต่เอาหละ เมื่อคุณโสภณจะใช้ฐานราคานี้ ก็ต้องผสมโรง ตามแห่ไปกับคุณโสภณด้วย
คุณโสภณเล่นตัดตอนตัวเลข เอาจำนวนหุ้นเพิ่มทุนออกขายประมาณ 800 กว่าล้านหุ้น แล้วเอาราคาไอพีโอ 35 บาท คูณเข้าไป มันก็ได้ตัวเลขออกมาแถวๆ 3 หมื่นล้านบาทดังว่า
ตานี้คุณโสภณก็บิดข้อมูลดังกร๊วบ โดยเอามูลค่าหุ้นปตท.เต็มตามราคาตลาดเป็นตัวตั้ง เอาส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่ออกจำหน่ายมาลบออกไป ส่วนต่างที่เกิดขึ้น คุณโสภณก็โมเมหน้าตาเฉยว่า ถูกโกงไปตั้ง 1.8 แสนล้านบาท
จำนวนหุ้นส่วนที่ยังอยู่กับกระทรวงคลังและกองทุนวายุภักษ์อีก 68% ในราว 1,900ล้านหุ้น คุณโสภณจงใจไม่พูดถึงเลย
มาถึงตัวเลขกำไรของปตท. คุณโสภณก็โมเม นับเลขไม่เป็นอีก
ไปเอาตัวเลขผลกำไรปตท.ปี48มาจากไหน ตั้ง 1.9 แสนล้านบาท ทั้งที่น่าจะรู้ดีในฐานะอดีตผู้บริหารบางจาก ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นว่า การนับผลกำไรของบริษัท ที่ลงทุนมากมายในบริษัทลูกอย่างปตท. เขาจะไม่นับผลกำไรซ้ำซ้อนกัน
เช่นปตท.ถือหุ้นในไทยออยล์ 50% ไทยออยล์ มีกำไร 1.8 หมื่นล้านบาท เวลาจะบันทึกเป็นผลกำไรปตท. เขาก็จะบันทึกตามส่วนได้เสีย50% คือ 9 พันล้านบาท ไม่ใช่นับทั้ง100%แบบคุณโสภณ
ตัวเลขผลกำไรปี48ของปตท. ที่คุณโสภณปล่อยออกมาถึง 1.96 แสนล้านบาท ทั้งที่ตัวเลขทางการที่ปตท.แจ้งตลาดฯและจ่ายภาษีสรรพากรเพียง 8.5 หมื่นล้านบาท ก็คงจะเกิดจากการบวก+บวกอย่างสนุกสนานของคุณโสภณนั่นเอง
ปตท.ลงทุนในปตท.สผ. ในไทยออยล์ ในโรงกลั่นระยอง หรือในโรงกลั่นบางจาก ที่คุณโสภณจากมา แต่ละโรงมีกำไรเท่าไหร่ คุณโสภณก็คงจะบวก+บวกแบบเต็ม100
เพื่อให้เกิดตัวเลขอลังการ ที่ปตท.ขูดรีดประชาชน
อย่างนี้มันไม่แฟร์ครับ ไม่แฟร์ทั้งต่อปตท. และไม่แฟร์ทั้งต่อประเทศชาติ ที่จะเอาการล้มปตท.เป็นธงชัยในการล้มการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งปวง
คุณโสภณ เธอเล่นบทนักกายกรรมข้อมูล เล่านิยายพลังงานมาโดยตลอด


คำถามที่ "คุณโสภณ สุภาพงษ์" ควรตอบ

วิถีทุน : จุมพฏ สายหยุด กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนเกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มพลังงานเมื่อค่ำคืนวันที่ 18 ก.ค.ในงาน SET Award 2005 ได้มีการมอบรางวัลสุดยอดผู้นำธุรกิจยอดเยี่ยมแห่งปี 2005 หรือ Best CEO ให้แก่คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.

นอกจากนี้แล้ว ปตท.ยังคว้าอีกสองรางวัลคือ Best Performance สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่มีฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานดีเด่นในปี 2547 ส่วนรางวัลสำคัญยิ่งยวดและจะเกี่ยวข้องกับประเด็นในวันนี้คือรางวัลที่สามที่ปตท.ได้รับ คือ Best Corporate Governance Report ให้แก่บริษัทจดทะเบียนที่โดดเด่นด้านปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี 15 ข้อตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด

ปรบมือให้กับรางวัลเพียงชั่วข้ามคืน วันถัดมา คุณโสภณ สุภาพงษ์ ก็ออกมาให้ข่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐ โดยกระทรวงพลังงานมีส่วนรู้เห็นกับนักการเมืองในการเอาเปรียบกำหนดราคาน้ำมันดีเซลสูงกว่าต้นทุนจริง 3 บาทต่อลิตร โดยการสร้างต้นทุนสูงเกินจริงให้แก่บริษัทน้ำมันที่ตนเองบริหาร ผลก็คือโรงกลั่นทั้งสี่ของ ปตท.ซึ่งได้แก่ โรงกลั่นน้ำมันสตาร์ ไทยออยล์ บางจาก และระยอง ซึ่งเคยมีกำไรรวมกัน 4,090 ล้านบาทในปี 2545 มีกำไรเพิ่มเป็น 45,917 ล้านบาทในปี 2547 ซึ่งคุณโสภณคำนวณให้ดูว่า มีกำไรเพิ่มขึ้นมหาศาลถึง 1,122 เปอร์เซ็นต์ หรือเพิ่มขึ้น 4 หมื่นล้านบาทต่อปี

ผมเริ่มงงเพราะไปใช้หลัก "ต่อปี" ได้อย่างไร? หรือเห็นว่าดูตระการดี แล้วพออ่านไปอ่านมาจะเห็นวิธีการคำนวณชวนงงอีกหลายจุด จะว่าหนังสือพิมพ์เขียนผิดก็ไม่ใช่ เพราะลองเปรียบเทียบหลายฉบับก็เขียนเหมือนกัน เช่นมีอยู่ตอนหนึ่งที่บอกว่า "...โรงกลั่นระยองของ ปตท.มีกำไรหลังหักภาษีในปี 2547 สูงถึง 10,829 ล้านบาทต่อลิตร"...ก็ไม่แน่ใจว่านี่เป็นมาตรฐานด้านบัญชีใหม่หรืออย่างไร

หากมีการกระทำกันในลักษณะนั้นจริง ก็แปลว่า ปตท. และบริษัทในเครือเอาเปรียบผู้ใช้น้ำมันอย่างร้ายแรง สมควรที่จะโดนยึดรางวัล Best Corporate Governance Report คืน หาไม่แล้วคงไม่สามารถจะเชื่อถือมาตรฐานการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี 15 ข้อ ที่ตลาดหลักทรัพย์วางไว้ได้อีกต่อไป นี่ล่ะที่ผมบอกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นในสยามประเทศ

การมาบอกกับสังคมเรื่อง ต้นทุนปลอมของน้ำมันของคุณโสภณนั้นมีมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ในครั้งล่าสุดนี้ผมเห็นว่าความสนใจของสังคมดูลดลงไปมาก แต่ก็กลับเป็นโอกาสที่ดีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ อย่างเช่นกระทรวงพลังงานจะได้ออกมาชี้แจงเพื่อสร้างความสมดุลด้านข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนอกจากจะชี้แจงแล้ว ก็ยังท้าทายให้ถามกลับอีกด้วย

เรื่องที่กระทรวงพลังงานต้องชี้แจงนั้น มี 4 ประเด็น คือ ประเด็นที่ 1 เรื่องการอิงสิงคโปร์ เป็นเรื่องต้นทุนปลอม ประเด็นที่ 2 การเปลี่ยนไปอิงราคาน้ำมันดิบ ประเด็นที่ 3 กรณีข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐพัวพันราคาน้ำมัน และประเด็นที่ 4 ค่าการกลั่นที่สูงขึ้น

ในเนื้อที่ที่จำกัด ผมจึงขอเสนอเพียงประเด็นแรกเท่านั้น

ในประเด็นเรื่องการอิงสิงคโปร์ ที่คุณโสภณบอกว่า เป็นต้นทุนปลอมนั้น ทางกระทรวงพลังงาน เขาบอกว่าการอิงราคาตลาดสิงคโปร์เป็นการสะท้อนตามตลาดเอเชียที่มีการซื้อขายจริง มีหลักฐานที่ปรากฏแน่ชัดว่า มีการซื้อขายในแต่ละวันว่าเป็นเท่าไหร่ ซึ่งสามารถตรวจสอบราคาได้

นอกจากนี้ตลาดน้ำมันสิงคโปร์ เป็นตลาดเสรีไม่มีบุคคลใดหรือรัฐบาลใดเข้าไปแทรกแซงราคาได้ และเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งประเทศในเอเชียทั้งหลายใช้เป็นแหล่งอ้างอิง

ในประเทศใหญ่อย่าง จีน ญี่ปุ่น ก็อิงราคาตลาดสิงคโปร์ นอกจากนั้นโรงกลั่นไทยได้บวกเพิ่มราคาขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเกิดจากคุณภาพของน้ำมันของประเทศไทยที่สูงกว่าสิงคโปร์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นอีกเล็กน้อย

สาเหตุที่ราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศจีนขยายตัว แต่โรงกลั่นน้ำมันในเอเชียมีกำลังผลิตที่ใกล้เต็มกำลังสูงสุด ซึ่งในอนาคตเมื่อมีการขยายกำลังผลิตของโรงกลั่น ก็จะทำให้ราคากลับเข้าสู่ภาวะปกติ มาถึงตรงนี้ทางกระทรวงพลังงาน ก็เลยบอกว่า

"ดังนั้นราคาตลาดสิงคโปร์จึงไม่ใช่ต้นทุนปลอม แต่เกิดจากความต้องการที่สูงขึ้น ซึ่งสามารถยืนยันได้ ไม่ใช่เรื่องที่นักการเมือง ข้าราชการ เข้าไปมีส่วนพัวพันอย่างที่กล่าวหา ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นตามกลไกตลาดเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงไม่มีใครเรียกว่าเป็นต้นทุนปลอม

ในทางตรงข้ามเป็นที่ยอมรับกันไปทั่วโลก ขณะที่วิธีการคิดราคาน้ำมันสำเร็จรูปจากต้นทุนน้ำมันดิบที่คุณโสภณเสนอไม่เป็นที่นิยมใช้ เพราะในทางปฏิบัติมีอุปสรรคหลายประการ ซึ่งถ้าเห็นว่า วิธีดังกล่าวเป็นวิธีที่เหมาะสม อยากขอให้คุณโสภณ ช่วยเปิดเผยว่า ปฏิบัติอย่างไรและมีการปฏิบัติอยู่ที่ประเทศใดบ้าง"

ผมเห็นว่าคุณโสภณน่าจะใช้โอกาสทองนี้ รับคำท้า ชี้แจงเรื่องนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นสังคมอาจจะเริ่มตั้งคำถามกลับกับคุณโสภณในประเด็นที่เป็น "นักยุทธวิธี"

ผมยังแปลกใจมากอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ในเมื่อคุณโสภณ เป็นสมาชิกวุฒิสภา หากเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงจริง ทำไมไม่นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสักชุด นอกเหนือจากการพูดผ่านนักข่าวโยนให้นายกรัฐมนตรีไปตามทวงเงินคืน กรรมาธิการจะได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง

หรือว่า คุณโสภณไม่ต้องการเผชิญหน้ากับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ก็เลยหันมาที่สื่อมวลชนเป็นระยะๆ อย่างทุกวันนี้


บทความนี้เอามาลงเนื่องจากการมาออกรายการตาสว่างของคนคนนี้ มีการหมกเม็ดข้อมูลครับ ตามข้างล่างครับ

คุณโสภณพูดให้คนดูรายการเข้าใจว่า น้ำมันตอนนี้มันแค่ 27 บาทต่อลิตร แต่ ปตท. ขาย 40 ได้กำไร 13 บาท

ซึ่งจริงๆแล้ว 27 บาทต่อลิตร คุณโสภณต้องอธิบายด้วยนะว่ามันคือน้ำมันดิบที่ขายกัน

ส่วนกำไร แสนล้านของ ปตท. คุณโสภณ พูดถูก แต่พูดไม่หมดอีกแล้ว

แสนล้าน ได้กำไรจากการขายน้ำมันแค่ 3-4 พันล้านบาท คืดเป็นประมาณ 10% ของรายได้ทั้งหมดของ ปตท.

เพราะรายได้หลักของ ปตท. มาจากการขายก๊าซธรรมชาติ และ ปิโตเคมี

วิธีการตอนนี้ไม่ใช่โจมตี ปตท. แบบที่คุณโสภณทำ ปตท. แปรรูปหรือไม่แปรรูปผมเชื่อว่าราคาขายหน้าปั้มไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพราะยุค พล.อ.เปรม

น้ำมันแค่ 20 ดอลล่า/บาเรล ขายหน้าปั้มยัง 9-10 บาท ลองเปรียบเทียบเรื่องความต่างของค่าเงินและราคาขายตอนนี้นะครับ

ราคาน้ำมันยุคนั้นขาย 20 ตอนนี้ 132 ต่างกัน 6 เท่าตัวกว่า แต่ราคาขายหน้าปั้ม ตอนนั้น 10 กับตอนนี้ 40 ต่างกัน 4 เท่าตัว ถ้าหัวเฉลี่ยกันกับเรื่องของเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นจึงทำให้ต้นทุนถูกลง

มันไม่ต่างกันเลย ระหว่างแปรรูปหรือไม่แปรรูป
(อันนี้ผมพูดกลางๆซึ่งบางคนที่เข้าข้าง ปตท. บอกว่าถูกกว่าสมัย พล.อ.เปรมอีก
เพราะเรื่องเงินเฟ้อและค่าเงิน)

แต่น่าจะคุยเรื่องการชดเชยเงินรายได้ของ ปตท. เอามาสำรองแทนส่วนภาษีทดแทนได้หรือเปล่า (ไม่ใช่เป็นกองทุนน้ำมันนะ)

ไม่ใช่พูดความจริงแต่พูดไม่หมดแบบนี้ ผมเห็นหลายคนในห้องนี้เชื่อกับสิ่งที่คุณโสภณนำเสนอมาเสียด้วยสิ

คุณสัญญาวันนี้ถ้าจะเป็นผู้ดำเนินรายการที่ดี สมควรเอาคุณประเสริฐ ผู้จัดการใหญ่ ปตท. มานั่งคู่ไปด้วย

ไม่ใช่ปล่อยให้พูดฝ่ายเดียวแบบนี้

มีรายการแบบนี้ผมคิดถึงจับเข่าคุยกันจริงๆนะ

จากคุณ : นายแมมมอส - [ 28 พ.ค. 51 01:58:20 ]


ปตท.ตอกหน้าโสภณ มั่วนิ่มตัวเลขน้ำมัน :เปิดช่องผู้ถือหุ้นยื่นฟ้อง "บางจาก"โอดติดลบ5เหรียญ

กรุงเทพฯ--29 พ.ค.--ข่าวหุ้น

ปตท.สวนกลับ"โสภณ สุภาพงษ์"เพิ่งตื่นหรือไง!มั่วนิ่มตัวเลขน้ำมัน สอนมวยโลกเข้าไปถึงกันแล้ว ระบุชัดตัวเลขน้ำมันลิตรละ 27 บาทเวอร์เกินไป "จิตรพงษ์"พร้อมแจงตัวเลขต้นทุน ยันขยับขึ้นราคาขายตามตลาดโลกไม่ได้บิดเบือน ลั่นผู้ถือหุ้นมิสิทธิ์ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ด้าน 4 โรงกลั่น จำใจสนองนโยบายลดค่ากลั่นดีเซล 1 บาทต่อลิตร "บางจาก"โอดค่ากลั่นหายวับ 5 เหรียญต่อบาร์เรล
จากกรณีนายโสภณ สุภาพงษ์ สว.กทม.อดีตผู้บริหารโรงกลั่นบางจาก ออกมากล่าวหาว่าโรงกลั่นมีการบิดเบือนราคาจำหน่ายน้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่ค้ากำไรเกินควรมีการกำหนดราคาดีเซลหน้าโรงกลั่น ให้มีกำไรสูงกว่าต้นทุนน้ำมันดิบ ปกติราคาดีเซลควรอยู่ที่ระดับ 27-28 บาทต่อลิตร แต่ปัจจุบันราคาดีเซลอยู่ที่ 38-39 บาทต่อลิตร อีกทั้งการลดค่าการกลั่นในส่วนของดีเซล 1 บาทต่อลิตร มองว่าน้อยเกินไปหากเทียบกับกำไรที่โรงกลั่นได้
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)หรือ PTT เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ปตท.ก็จำเป็นต้องปรับราคาเพิ่มขึ้น เพราะต้นทุนผลิตที่สูงขึ้นเช่นกัน ส่วนผู้ที่ออกมาพูดว่าโรงกลั่น บิดเบือนราคาน้ำมันนั้น เขาคงไม่ทราบว่าราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น
ทั้งนี้หากจะมีการฟ้องร้องเรื่องโรงกลั่นขึ้นราคาน้ำมัน ปตท.ก็มีข้อมูลยืนยันเกี่ยวกับตัวเลขต้นทุนการผลิตน้ำมันมาเพื่อยืนยันว่า ต้นทุนราคาน้ำมันดิบเมื่อบวกกับภาษีสรรพสามิตบวกกับค่าการตลาดแล้วราคาควรอยู่ที่ระดับใด
"ผมไม่ทราบว่านายโสภณ ที่ออกมาพูดยืนหลับหรือเพิ่งตื่นหรือไม่ เพราะตอนนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเราก็จำเป็นต้องปรับราคาตามต้นทุน เรามีข้อมูลตัวเลขการผลิตน้ำมันยืนยัน ราคาน้ำมันดิบบวกภาษีแล้วราคาจะอยู่ที่ 27-28 บาทได้อย่างไร ถ้าเขาฟ้องเราก็ต้องพิสูจน์ว่าต้นทุนขึ้นจริงตอนนี้ราคาน้ำมันในสถานีบริการของปตท.ส่วนใหญ่ก็ยังถูกกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ ขณะเดียวกันปตท.ต้องแบกรับภาระค่าการตลาดที่ติดลบอีกด้วย"นายจิตรพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ดีวานนี้(28 พ.ค.)คณะกรรมการบริษัทได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือ โดยการลดค่าการกลั่นดีเซลลง 1 บาทต่อลิตรเบื้องต้นโรงกลั่นในเครือปตท.น่าจะดำเนินตามนโยบายดังกล่าว เพื่อช่วยลดปัญหาในช่วงน้ำมันแพง เป็นระยะเวลา 5 เดือนคาดว่า 4 โรงกลั่นของไทยน่าจะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานภายในวันที่ 30พ.ค.เพื่อหาข้อสรุปแนวทางดังกล่าว
"ผมไม่ได้เข้าร่วมประชุม แต่เท่าที่ทราบโรงกลั่น ก็น่าจะดำเนินตามนโยบายลดค่าการกลั่นดีเซลลง 1 บาทต่อลิตร ค่าการกลั่นน้ำมันแต่ละตัวไม่เท่ากันแต่เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หากลดค่าการกลั่นลง จะกระทบผลประกอบการโรงกลั่นหรือไม่นั้นยังไม่ทราบ ส่วนบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ผู้ถือหุ้นอาจออกมาเรียกร้อง กรณีที่ทำให้เกิดความเสียหายได้"นายจิตรพงษ์กล่าว
ขณะที่นายวิชัย พูลวรลักษณ์ นายกสาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า หากผู้ถือหุ้นเห็นว่าการปรับลดค่าการกลั่นดีเซลครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ก็สามารถรวบรวมกันให้ได้สัดส่วน 10% ขึ้นไป เพื่ออให้บริษัทเปิดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาผลกระทบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ รักษาการผู้อำนวยการอาวุโสสายตลาดอุตสาหกรรม และน้ำมันหล่อลื่น บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)หรือ BCP กล่าวว่า หากโรงกลั่นบางจากจะต้องลดค่าการกลั่นดีเซล 1 บาทต่อลิตร หรืออยู่ที่ประมาณ 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลโดยคำนวนจากกำลังการผลิตดีเซล 20-30%ของกำลังการผลิตทั้งหมดอยู่ที่ 6 หมื่นบาร์เรลต่อวันดังนั้นเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการงวดไตรมาส 2-3 อย่างแน่นอน เนื่องจากค่าการกลั่นเฉลี่ยย่อมปรับลดลง
"กระทรวงพลังงานให้เวลาการหาข้อสรุปแนวทางแต่ละโรงกลั่น คาดว่าจะเข้าพบอีกครั้งภายในวันศุกร์นี้ เพราะเราเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯจำเป็นต้องขอมติที่ประชุมบอร์ดและผู้ถือหุ้นก่อน"นายยอดพจน์กล่าว
พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้ส่งสัญญาณเร่งรัดให้โรงกลั่นน้ำมันทั้ง 4 แห่งตัดสินใจลดค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร ภายในวันพรุ่งนี้(30 พ.ค.)เบื้องต้นแนวโน้มไปในทางที่ดี
โดยข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.)ชี้ให้เห็นว่าปี 2549 และ2550 ที่ผ่านมา โรงกลั่นมีส่วนต่างราคาน้ำมันดิบกับน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 3 บาทต่อลิตร หรือมีกำไร 1,000 ล้านบาทแต่ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ มีส่วนต่างเพิ่มขึ้นเป็น 8 บาทต่อลิตรหรือมีกำไร 4,000-5,000 ล้านบาท ขณะที่วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมามีส่วนต่างเพิ่มขึ้นเป็น10 บาทต่อลิตร จึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงพลังงาน ที่จะดูแลประชาชน เพื่อลดผลกระทบจากภาวะน้ำมันแพง
นอกจากนี้สัปดาห์หน้ากระทรวงพลังงานยังเตรียมเชิญผู้ประกอบการค่ายรถยนต์ อาทิ เจเนอรัล มอเตอร์ส,ฟอร์ด (ประเทศไทย) และวอลโว่ เข้ามาหารือถึงความพร้อมเพื่อผลักดันให้เกิดการใช้น้ำมันอี85
สำหรับความคืบหน้าสถานีบริการ NGV นั้น ล่าสุดปตท.เปิดสถานีบริการ NGV หลักทุ่งครุ ถนนประชาอุทิศ มีกำลังการผลิตก๊าซ NGV 70 ตันต่อวันทำให้กำลังการผลิต NGVของสถานีแม่ทั้งหมดเป็น 1,670 ตันต่อวันภายในเดือนก.ค.นี้สถานีบริการก๊าซเอ็นจีวีจะมีความสะดวกมากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นธรรมทั้งปริมาณและสถานีให้บริการ
รวมทั้งจะมีการวางแผนเส้นทางของการใช้ก๊าซเอ็นจีวีระยะยาวตั้งแต่เดือนธ.ค.นี้ถึงปี 2555 ว่าจะมีสถานีเสริม สถานีแม่และอู่ใหญ่ให้บริการอย่างสะดวกจะมีข้อมูลออกมาชัดเจนว่าต้องใช้เงินทุนเท่าไร
ปัจจุบันปตท.มีสถานีบริการ NGV จำนวน 200 แห่งทั่วประเทศและเพิ่มขึ้นเป็น 300 แห่งภายในสิ้นปีนี้ อีกทั้งยังมีสถานีบริการ NGV ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ รอดเปิดให้บริการอีก 34 แห่งและอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 46 แห่ง โดยปตท.จะพยายามเปิดให้บริการสอดคล้องกับการเพิ่มความสามารถในการจ่ายก๊าซ NGV ของสถานีแม่--จบ--

รายละเอียดครับ จากข่าวหุ้น




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2551 17:43:56 น.
Counter : 1095 Pageviews.  

เบื้องหลังที่เลวร้ายของกลุ่มนายทุน+ธนาคารกรุงเทพฯที่ทำร้ายชาวนาไทย

วิกฤตน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ฉุดดึงราคาสินค้าทั่วโลกให้สูงตามไปหมด

ข้าว ซึ่งเป็นสินค้าอย่างหนึ่ง ก็ต้องขยับขึ้นตามไป ประกอบกับความแปรปรวนที่รุนแรงของดินฟ้าอากาศจากภาวะโลกร้อน จึงได้เพิ่มความเสี่ยงในการลดลงอย่างฮวบฮาบของอุปทานข้าว ราคาข้าวในตลาดโลกจึงถูกหนุนให้สูง โอกาสลดต่ำลงเป็นไปได้น้อยมาก

นักวิชาการจากสถาบันวิชาการ TDRI ท่านหนึ่ง ที่เชี่ยวชาญด้านข้าวกล่าวว่า ข้าวจะมีระดับราคาที่สูงอยู่เช่นนี้ ไม่น้อยกว่า 2 ปี ราคาข้าวส่งออกปัจจุบันอยู่ในระดับ 1,200-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หรือ 38,100-41,275 บาทต่อตัน(อัตราแลกเปลี่ยน 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) แต่ราคาข้าวที่ชาวนาขายอยู่ที่ 12,000 บาทต่อตัน ราคาข้าวส่งออกจึงมีราคาสูงกว่าเกือบ 3 เท่าครึ่ง และมีส่วนต่างของราคาถึง 28,000 บาทต่อตัน

ประมาณการคาดว่า สามารถขายข้าวได้ไม่น้อยกว่า 9 ล้านตัน คิดเป็นเงินกำไรจากส่วนต่างนี้ไม่น้อยกว่า 252,000 ล้านบาท ซึ่งตกอยู่ในมือของนายทุน ผู้เกี่ยวข้องกับการส่งออกไม่กี่ราย

ส่วนชาวนาที่ต้องเสี่ยงทุกอย่าง ทั้งด้านต้นทุนการผลิต และดินฟ้าอากาศที่ไม่แน่นอน เสี่ยงไปตามยถากรรม มีเงินเหลือภายหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วอยู่เพียง 6,000 บาทต่อตัน คิดเป็นเงินโดยรวมที่ชาวนาหลายล้านคนได้รับ กว่า 54,000 ล้านบาท เทียบกันไม่ได้เลย กับนายทุนส่งออกใหญ่ 10 ราย ที่ได้กำไรหลายแสนล้านบาท เช่นนี้หรือคือความเป็นธรรม!!?

ทุกครั้ง เมื่อมีปัญหาราคาข้าว หรือสินค้าการเกษตรอื่นๆ ทั้งนักวิชาการ สื่อสารมวลชน พ่อค้า นักการเมือง มักท่องบทสวดแห่งกลไกตลาดเสรีของอุปสงค์อุปทาน โดยไม่ดูรายละเอียด หากตลาดในประเทศเป็นตลาดเสรีจริง เหมือนในตลาดโลกแล้ว ทำไมส่วนต่างของราคาข้าวส่งออก กับราคาข้าวที่ชาวนาขาย จึงมีราคาต่างกันลิบลับมากมายเกือบ 3 เท่าครึ่งเช่นนี้ ?

ปัญหาก็คือ กลไกตลาดข้าวภายในประเทศ เป็นตลาดเสรีจริงหรือ? ในสายการผลิตและจำหน่ายข้าว จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องคือ ชาวนา โรงสี และพ่อค้าส่งออก ชาวนาผู้ผลิต มีจำนวนหลายล้านคน โรงสีขนาดกลางและขนาดย่อม ก็มีหลายร้อยแห่ง โรงสีขนาดยักษ์ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นโรงสีของผู้ส่งออก ที่มีอยู่ไม่กี่ราย ตามจำนวนผู้ส่งออกรายใหญ่

จากข้อมูลการส่งออกข้าวล่าสุด ในไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.)ของปี พ.ศ.2551

ผู้ส่งออก ...............ปริมาณ(ตัน)....... เปอร์เซ็นต์
1.นครหลวงค้าข้าว ........610,318 .......26.2
2.เอเชีย โกลเด้นไรซ์ ......512,648 .......22.0
3.พงษ์ลาภ ............303,050 .......13.0
4.ข้าวไชยการ ..........199,725 ....... 8.6
5.ซีพีอินเตอร์เทรด .......158,934 ....... 6.8
6.บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง ....152,563 ....... 6.5
7.ไรซ์แลนด์อินเตอร์เนชั่นแนล .113,635 ....... 4.9
8.กมลกิจ .............101,090 ....... 4.3
9.ไทยฟ้า (2511) .......99,680 ....... 4.3
10.ไทยมาพรรณ .........81,192 ....... 3.5

จำนวนผู้ส่งออกรายใหญ่ มีเพียง 10 ราย มี 5 รายใหญ่อันดับต้นๆ ที่ส่งออกรวมกันแล้วถึง 76.6% หรือกว่า 3 ใน 4 ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมด

สำหรับไตรมาสแรกของปี 2551 กลุ่ม 5 บริษัทนี้ ส่งออกไปรวม 1.78 ล้านตัน จากการส่งออกทั้งหมด 2.33 ล้านตัน และ 2 ใน 5 รายนี้คือ นครหลวงค้าข้าว และเอเชียโกลเด้นไรซ์ ซึ่งส่งออกเกือบครึ่งหนึ่งถึง 1.12 ล้านตัน!

กลุ่มผู้ส่งออกข้าวยักษ์ใหญ่ 5 รายนี้ เป็นหลักของสมาคมผู้ส่งออกข้าวต่างประเทศ เป็นทุนพาณิชย์ผูกขาดแบบพันธมิตรธุรกิจ หรือคาร์เทล (Cartel) ภายใต้การสนับสนุนทางการเงิน จากธนาคารพาณิชย์เก่าและใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น

พวกนี้เป็นกลุ่มพ่อค้า และนายเงินเชื้อสายจีน ที่เกิดขึ้นและเติบโตภายใต้การอุปถัมภ์ของกลุ่มขุนศึก นับตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมาจนปัจจุบัน เป็นกลุ่มทุนพาณิชย์การเงินผูกขาดเก่า ที่มีอิทธิพลครอบครองกำไรส่วนต่างของราคาข้าวนับแสนล้านบาท จากการส่งออกที่ได้รับประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ พวกเขาจึงต้องรักษาผลประโยชน์ในพกในห่อจนถึงที่สุด!

ส่วนกลุ่มโรงสีขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีอยู่ประมาณ 200-300 ราย ได้จัดตั้งสมาคมโรงสีข้าวของตนขึ้นใหม่ เช่น สมาคมโรงสีข้าวไทย เป็นต้น พวกนี้ไม่ใช่เครือข่ายของสมาคมโรงสีขนาดยักษ์ ที่เป็นของพ่อค้าส่งออกรายใหญ่ ได้เคยเคลื่อนไหวต่อสู้ เพื่อให้สามารถส่งออกข้าวเองได้ แต่ก็เป็นไปตามยถากรรม ขาดเงินทุนหมุนเวียน จนเป็น NPL กันเป็นส่วนใหญ่ ในเครดิตบูโร และธนาคารได้ใช้อ้างเพื่อไม่ยอมให้กู้อีก ถูกเบี้ยปรับที่โหดมากตามกฎหมายแพ่งโบราณเล่นงาน และอาจโดนคดีอาญาตามกฎหมายเช็คอีกต่างหาก จำต้องอยู่ภายใต้แอกอุปถัมภ์ของพ่อค้าส่งออกรายใหญ่ ที่ยืดเวลาจ่ายค่าข้าวให้โรงสีถึง 3 เดือน หากต้องการเร็ว ก็ต้องกู้เงินจากนายหน้ารวบรวมข้าว ของพ่อค้าส่งออกที่เรียกว่า “หยง” ในอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน

กลุ่มโรงสี SMEs เหล่านี้จึงยากที่จะหลุดรอดจากข่ายใยแมงมุมนี้ไปได้ และไม่อาจมีศักยภาพที่เป็นกลไกถ่วงดุล การผูกขาดกับพ่อค้าส่งออกใหญ่ได้ เพื่อให้เกิดตลาดเสรี ในวงการข้าวได้โดยแท้จริง?

สมัยรัฐบาลทักษิณ ได้เคยสลายการผูกขาดยาง ของกลุ่มคาร์เทลยางภาคใต้ได้สำเร็จ จนทำให้ราคายางที่เคยต่ำกว่า 20 บาทต่อกิโลกรัม เขยิบเป็น 70 บาทต่อกิโลกรัม เหมือนในปัจจุบัน

แล้วเริ่มสลายกลุ่มคาร์เทลข้าวในลำดับถัดมา โดยหนุนกลุ่มบริษัทเพรสซิเด้นท์ อะกริ เทรด เข้ามาแทรก แข่งขันกับบล็อกพันธมิตรผูกขาดคาร์เทลข้าวนี้ แต่ก็ถูกต้านอย่างหนัก จากกลุ่มธนกิจคาร์เทลข้าว โดยบีบให้กลุ่มสหพัฒน์ฯ ถอนหุ้นออกจากบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ จนขาดสภาพคล่องในช่วงประมาณปี 2548 ตอนเกิดกระแสการโค่นรัฐบาลทักษิณ ตามมาด้วยรัฐประหาร คมช.เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

กลุ่มเจ้าหนี้ ภายใต้การนำของธนาคารกรุงเทพ และไทยธนาคาร ซึ่งได้รับการประคบประหงม 18,000 ล้านบาท จากอดีตผู้ว่า ธปท. ได้ฟ้องคดีแพ่งและอาญา ต่อบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ จนอาจจะล้มละลาย กลุ่มผู้ส่งออกข้าวจึงได้ผงาดขึ้นอย่างไร้คู่แข่ง ซ้ำยังแสดงความแข็งแกร่งนี้ จากการที่กลุ่ม 5 เสือส่งออก ได้รับการประมูลรับซื้อข้าวจากรัฐบาลทหาร คมช. เมื่อปลายปีที่แล้ว (2550) ขณะใกล้มีการเลือกตั้งใหม่ ด้วยราคาที่ต่ำ และต่ำกว่าที่รัฐบาลทักษิณขายให้แก่กลุ่มบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ ในราคาประมาณ 6,000-7,000 บาทต่อตัน และเป็นการประมูลอย่างลุกลี้ลุกลนผิดปรกติ แล้วยังไม่เห็นมีสื่อไหนโวยวายว่า ทำให้ราคาข้าวในตลาดตกต่ำ

จากนั้นก็รีบขายส่งออกไปทันที ในไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค. 2551) จำนวน 1.78 ล้านตัน ในราคา 1,100-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ได้กำไรทันทีกว่า 70,000 ล้านบาท

เมื่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบรัฐบาลทักษิณ หวังช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาดี และไม่เสียโอกาสจากราคาข้าวที่สูงมากในตลาดโลก ได้พยายามจะสลาย กลุ่มผูกขาดการเงินคาร์เทลค้าข้าวเก่านี้อีกครั้ง โดยธนาคารกรุงไทยให้บริษัท สยามอินดิโก้ จำกัด ที่มีสายสัมพันธ์เดิม กับกลุ่มเพรสซิเด้นท์ฯ กู้ยืมเงินไปจ่ายเช็คเงินสดให้กลุ่มโรงสี SMEs 200 กว่าแห่ง เพื่อให้ไปซื้อข้าวจากชาวนา ในราคา 16,000 บาทต่อตัน ตามนโยบายรัฐบาล และให้กิจกรรมการค้านี้ ผ่านธนาคารกรุงไทยแต่ผู้เดียวโดยตรง ...

นี่นับเป็นกลยุทธ์แก้ปัญหา กลเกมกดราคาข้าวของชาวนา อันเป็นเหลี่ยมทางการเมือง ที่มุ่งโจมตีรัฐบาล ซึ่งได้ตั้งแนวต้านร่วม ไม่รับซื้อข้าวจากชาวนาของกลุ่มธนกิจคาร์เทลข้าวยักษ์ใหญ่ ที่อ้างว่า ทะเลมีมรสุม เรือไม่อาจรับสินค้าได้ จึงมีสต็อกข้าวอยู่เต็มในโกดัง

โรงสีเลยกลายเป็นเหยื่อ หรือ “แพะ” ที่ถูกโจมตีว่า เป็นตัวการกดราคาข้าวชาวนา

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของความขัดแย้งที่รุนแรง จากการช่วงชิงผลประโยชน์อันมหึมา!

กลไกตลาดข้าวที่ผูกขาด และอิทธิพลของกลุ่มผูกขาดธนกิจคาร์เทลข้าวนี้ ย่อมไม่ใช่กลไกตลาดเสรี ดังเช่นในตลาดโลก ความหวังของชาวนาที่จะได้รับราคาข้าวที่สูง จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยง่าย ยังจะมีความยากลำบากรออยู่ข้างหน้า เพราะเดิมพันกันด้วยอำนาจรัฐ ในยุทธประชาธิปไตยครั้งใหม่ขณะนี้?

หมายเหตุ-TEN: ความเห็นของผมต่อบทความดังกล่าวคือ มีความคลาดเคลื่อนข้อใหญ่ในการคำนวณราคากำไรของผู้ส่งออกโดยนักวิชาการที่อ้างว่าเชี่ยวชาญจาก TDRI เช่นข้าวเปลือกหนึ่งตัน สีเป็นข้าวสารได้ประมาณ 650 กิโลกรัมเท่านั้นที่จะเอาไปใช้คำนวณ ไม่ใช่ 1000 กิโลกรัม เป็นต้น และในมุมมองต่อชาวนาซึ่งเก่งด้านการเพาะปลูก การเกษตร แต่เก่งด้านการค้า การเงิน การธนาคารน้อยกว่า โรงสี หยง และผู้ส่งออก จะต้องมีรัฐเข้ามาช่วยดูแล สร้างความสมดุลย์ เช่น การกำหนดราคาข้าวเปลือกที่เหมาะสมต่อสถานการณ์แล้วประกัน การจัดสรรเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ (เพื่อใช้หมุน ลงทุน หรือไม่ให้ถูกบีบในการต่อรอง) จนกระทั่งการจัดสรรสวัสดิการต่างๆ ทางอ้อม เป็นต้น...

จากคุณ : oceanboy - [ 22 พ.ค. 51 20:24:51 A:202.57.175.198 X: ]

ราคา1,200-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หรือ 38,100-41,275 บาทต่อตัน(อัตราแลกเปลี่ยน 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) เป็นราคา..ข้าวสาร..ข้าวเจ้า ครับ

ราคาชาวนาขายอยู่ที่ 12,000 บาทต่อตันเป็นราคา"ข้าวเปลือก-ข้าวเจ้า"ครับ

ส่วนต่างราคา
ต่างของราคาถึง 28,000 บาทต่อตัน
...ไม่ถูกต้องครับ....
ข้าวเปลือก...1 ตันเมื่อสีเป็นข้าวสารแล้ว...น้ำหนักเปลือกข้าวหายไป...ความชื้นหายไปจนเกือบไม่เหลือ......ข้าวเปลือก 1 ตัน...ได้ข้าวสาร ไม่ถึง 1 ตันครับ...
นอกจากนั้นก็จะมีค่าใช้จ่ายในการ ขนส่ง..ค่าสี..ค่ากระสอบ..ค่าแรงงาน..ค่าการจัดการ ฯลฯ
ส่วนต่างราคา
ต่างของราคาถึง 28,000 บาทต่อตันจึง...."มั่ว"..ครับ

บ้านผมทำนา ผมก็เคยทำนา ผมเคยสีข้าว ผมเคยขายข้าว ผม....เป็นลูกชายของชาวนาครับ

ไม่รู้จริง...โปรด...อย่ามั่ว...ครับ

ประสบการณ์ส่วนตัวของผมบอกว่า ปริมาตรข้าวเปลือก...เมื่อสีเป็นข้าวสาร
ปริมาตรข้าวสารจะเป็นประมาณ ครึ่งนึงของข้างเปลือก
....
ส่วนน้ำหนัก...ไม่เคยชั่งเปรียบเทียบดูครับว่า มันหายไปเท่าไร

แต่ถ้าจะให้กะประมาณ ด้วย น้ำหนักการหิ้วด้วยแขนของผม ประมาณว่า...น้ำหนัก ขณะสีใหม่ ๆ จะเหลือประมาณ 70 % ของข้าวเปลือก ทิ้งไว้ 2-3 วัน จะเบา ลงอีกเพราะความชื้นหายไปง่ายกว่าข้าวเปลือก

ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ตรงครับ

ไม่ได้เข้าข้างโรงสี ผมลูกชาวนา...ผมพูดเรื่องจริง

...เจตนา การมั่วตัวเลข...ของเข้าของกระทู้
...แค่เห็น การเอาราคาข้าวสาร ลบด้วย ราคาข้าวเปลือก....แล้วสรุปว่าเป็นส่วนต่าง
...แค่นี้ก็...น่าสงสัยในเจตนาแล้ว

ข้าวเปลือกเมื่อเปลี่ยนสภาพเป็นข้าวสาร ที่ความชื้นพอเหมาะกับการเก็บเข้าโกดัง..น้ำหนักหายไป ครึ่งต่อครึ่ง ของน้ำหนักข้าวเปลือกจากทุ่งนาครับ

สมัยก่อน...ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวยังมีขั้นตอน การเกี่ยว..ตาก...กู้(มัดด้วยตอกไม่ไผ่อ่อนตากแห้งหมาด ๆ)..หาบ..ทำลอมข้าว ทิ้งไว้เกือบเดือน..ก่อนจากตีข้าว(นวดข้าว)..แล้วเก็บขึ้นเล้า(ยุ้งฉาง)

กว่าจะขาย..ความชื้นเหลือน้อยมาก

แต่ปัจจุบัน...ใช้รถเกี่ยวข้าวแล้ว แยกเมล็ดลงกระสอบเลย...ไม่มีขั้นตอน แบบสมัยก่อน ความชื้นจึงสูงมาก

ลองพิจารณาตัวเลขใหม่นะครับ (น้ำหนักหายไป 2 เท่าเป็นค่าประมาณการโดยประสบการณ์ส่วนตัว-อาจจะไม่ถูกต้องมากนัก)

(ราตาข้าวสาร) - 2(ราคาข้าวเปลือก)= ส่วนต่าง

38,100-2(12,000 )=14,100

14,100.- ลองหักค่า ขนส่ง ค่าสี ค่าดอกเบี้ยธนาคาร ค่าการจัดการ ค่าอื่น ๆ
จะเหลือส่วนต่างเป็นกำไรมากน้อยเท่าไหร่...อันนี้ผมไม่ทราบ เพราะไม่เคยทำธุรกิจข้าว เคยแต่ปลูกไว้กิน และ ขายบางส่วน

ประเด็นของผม อยู่ที่ จขกท. เอาราคาข้าวสารเป็นตัวตั้งลบด้วยราคาข้าวเปลือก ครับ

จากคุณ : ss.hh - [ 22 พ.ค. 51 22:24:00 A:222.123.57.179 X: ]

ปมปัญหาที่คาอยู่ในใจของท่านผู้อ่านทุกคน ก็คือ ไม่ได้ระบุชื่อใครคือกุนซือใหญ่ของห้าเสือค้าข้าว ถ้าบอกชื่อออกไป ทุกคนต้องเข้าใจหมดเลยครับ โดยแทบไม่ต้องอธิบายเลยครับ

จากคุณ : บุรุษหน้าเหล็ก - [ 23 พ.ค. 51 12:32:31 A:222.123.237.35 X: ]


Key Name ได้แก่
นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
นายปราโมทย์ วานิชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย

Note : ผู้รวบรวม


วงจรการตลาดข้าว
ประกอบด้วยชาวนา มีจำนวนนับล้าน
พ่อค้าข้าวเปลือกคนกลาง มีเป็นพัน ไปถึงหมื่น ทำหน้าที่รวบรวมข้าวเปลือกจากชาวนาไปให้โรงสี
โรงสี มีประมาณหมื่นราย ทำหน้าที่แปรสภาพข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร
หยง หรือนายหน้า มีจำนวนไม่เกินร้อย ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการขายข้าวสารจากโรงสีให้กับร้านข้าวสาร หรือ ผู้ส่งออก
ร้านข้าวสาร มีหลายระดับ ตั้งแต่ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว สี่ปั๊ว ไปจนถึงโมเดิรฺนเทรดต่าง ๆ แต่ระดับร้านค้าที่เป็นระดับยี่ปั๊วมีไม่เกิน 100 ราย
ผู้ส่งออกข้าว มีไม่เกิน 100 แต่พวกที่มีศักยภาพ และมีบทบาทในปัจจุบันมีไม่เกิน 10 ราย และถ้านับรายที่ใหญ่จริง ๆ ไม่เกิน 5 ราย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าจากต้นทางไปยังปลายทางนั้น จะถูกควบคุมด้วยคนจำนวนไม่กี่คน ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดราคากลับไปยังชาวนา และยังประกอบไปด้วยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทางการค้าหลายชั้น นั่นก็หมายความว่า แต่ละชั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องมีค่าใช้จ่าย และต้องการผลกำไร
มันเป็นไปไม่ได้ที่ราคาข้าวสารจะถูก และราคาข้าวเปลือกจะแพง เนื่องจากข้าวเปลือกเป็นวัตถุดิบขั้นต้นที่จะถูกแปรไปเป็นข้าวสาร และผ่านกระบวนการการตลาดที่ซับซ้อนอีกหลายขั้นตอน ซึ่งในแต่ละขั้นตอนต่างก็มีค่าใช้จ่ายและต้องการผลกำไรทั้งสิ้น
และจากวงจรทางการค้าเราจะเห็นว่าตัวจักรสำคัญของกระบวนการทางการตลาดนั้น ผู้ส่งออกนับเป็นตัวจักรที่สำคัญ ที่สามารถที่จะชี้อนาคตของราคาข้าวได้อย่างไม่ต้องมีข้อสงสัย
และจากจำนวนของผู้ส่งออกที่มีน้อยรายนี้เอง ทำให้ผู้ส่งออกสามารถที่จะเลือก ที่จะซื้อ หรือไม่ซื้อ ให้ราคาสูงหรือต่ำ ในตลาดข้าวได้อย่างง่ายดาย ดังจะเห็ได้จากปัจจุบันที่ราคาข้าวในตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 1,000 $US/ 1 ตัน ซึ่งเมื่อเทียบกลับมาเป็นเงินบาทแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 32,000 บาท แต่ราคาข้าวสารในประเทศขณะนี้ ผู้ส่งออกรับซื้ออยู่ที่กิโลกรัมละ 24 บาท หรือ 24,000 บาท/ตัน เท่านั้นเอง

จากคุณ : ข้าวเขียว - [ 23 พ.ค. 51 23:44:50 A:117.47.167.152 X: ]




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2551 3:45:05 น.
Counter : 491 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.