ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

รวมบทความวิพากษ์บทบาทของโฆษกกับผู้บัญชาการทหารบกในช่วงเลือกตั้งปี2554

พ.อ.สรรเสริญ ปล่อย "ไก่อู" อ้างพระราชนิพนธ์ ร.6 "เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง" แท้จริงเป็นกลอน "นเรศ นโรปกรณ์"

หลังจาก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก แถลงข่าวยืนยันว่า "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์จะออกรายการพิเศษทางช่อง 5 และช่อง 7

นอกเหนือจากปฏิเสธข่าวนั้นแล้ว เสธ.ไก่อู ยังชี้แจงเพิ่มเติมถึงเนื้อหาที่พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ด้วย โดยพยายามจะย้ำว่าทหารมีเจตนารมณ์ยึดมั่นในอุดมการณ์รับใช้ประเทศชาติ

และเพื่อเพิ่ม "น้ำหนัก" ของการแถลงข่าว เขาจึงยกบทกลอนบทหนึ่งขึ้นมา

เสธ.ไก่อู ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นและมั่นใจว่าเป็น "พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6"

“ผมมีคำกลอน 1 กลอน ซึ่งไม่ได้ต้องการจะเอาใจใคร ผมจำได้ว่าเราเคยได้รับการสอนสั่งมาตั้งแต่เป็นสมัยนักเรียน ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 ความว่า

เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง ฤๅจะมุ่งมาศึกษา

เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดกระนั้นฤๅ

แท้จริงเจ้าควรคิด จงตั้งจิตและยึดถือ

รับใช้ชาติไทยคือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน...


….ทุกคนที่เป็นทหารยึดมั่นใจเจตนารมณ์อันนี้มาโดยตลอด"

ฟังดูหนักแน่นและน่าเชื่อถือ

แต่สำหรับนักกิจกรรมนักศึกษารุ่นเก่า ฟังบทกวีเสริมความรักชาติของพ.อ.สรรเสริญแล้ว.อึ้ง

ก่อนจะ...ยิ้ม

แล้ว...หัวเราะ

เพราะ พ.อ.สรรเสริญ ปล่อย "ไก่อู" ตัวใหญ่

มีการแซวกันว่าถ้าเป็น "คนเสื้อแดง" อ้างกลอนบทนี้ว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของ ร. 6


เขาอาจเจอมาตรา 112
.................

เพราะ "เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง....." ไม่ใช่พระราชนิพนธ์ ของรัชกาลที่ 6
บทกวีนี้คุ้นเคยกันดีในหมู่นักกิจกรรมรุ่นก่อน 14 ตุลาคม 2516 ยาวนานมาถึงรุ่นเดือนพฤษภาคม 2535

"นเรศ นโรปกรณ์" แต่งกลอนบทนี้เมื่อก่อนปี 2500 ซึ่งเป็นยุค "สายลมแสงแดด"

นักศึกษาสมัยนั้นไม่สนใจเรื่องราวทางสังคม ทั้งที่ประเทศชาติเป็นเผด็จการ "นเรศ" จึงแต่งกวีบทนี้ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของนักศึกษา

และเนื้อหาที่ถูกต้องก็คือ

"เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง หรือจะมุ่งมาศึกษา

เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดเท่านั้นฤๅ

แท้ควรสหายคิด และตั้งจิตร่วมยึดถือ

รับใช้ประชาคือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน
"

สังเกตุคำว่า "แท้ควรสหายคิด" และ "รับใช้ประชา"

ไม่ใช่ "แท้จริงเจ้าควรคิด" และ "รับใช้ชาติไทย" ตามสำนวนของเสธ.ไก่อู

การใช้คำว่า "สหาย" และ "รับใช้ประชา" เพราะนี่คือบทกวีของ "ฝ่ายซ้าย"

"นเรศ" เขียนกวีบทนี้ขึ้นมาตอนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

ต่อมาเมื่อรัฐบาลจอมพล.ป.พิบูลสงคราม กวาดล้างทางการเมืองครั้งใหญ่

"นเรศ" ก็ถูกจับในข้อหากบฎและกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์

ข้อหาฮิตในยุคเผด็จการ ซึ่งกำลังย้อนกลับมาฮิตอีกครั้งในวันนี้

กวีบทนี้ว่ากันว่าเป็นแรงบันดาลใจทำให้ "วิทยากร เชียงกูล" เขียน "เพลงเถื่อนสถาบัน" ในหนังสือ "ฉันจึงมาหาความหมาย" เมื่อปี 2511

และมีวรรคทองที่ส่งผลสะเทือนทางความคิดอย่างรุนแรง

"ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง

ฉันจึงมาหาความหมาย

ฉันหวังเก็บอะไรไปมากกมาย

สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
"

เป็นบทกวีที่กระตุ้นความคิดของนักศึกษาในยุคสมัยนั้น

จากจุดเล็กๆ จุดแรกของบทกวี "เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง..." มาเชื่อมต่อกับจุดต่อมา "ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง..." จนกลายเป็น "สึนามิทางประชาธิปไตย"

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

โค่นล้มเผด็จการทหาร จอมพลถนอม กิตติขจร

ที่มา มติชน

Noteเพิ่มเติม: นเรศ นโรปกรณ์ หรือชื่อเดิม สิงห์ชัย มังคนรา เกิดเมื่อ 1 กรกฎาคม 2473 ที่ จ.สุรินทร์ ก่อนเข้ากรุงเทพฯ มาเรียนวิชานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เคยถูกจับในกรณีกบฏสันติภาพเมื่อปี พ.ศ. 2495 พร้อมกับนักเขียน และนักหนังสือพิมพ์หลายคน

นเรศ นโรปกรณ์ ถือเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และกวีชื่อดังในช่วงทศวรรษ 2500 เคยทำงานที่สยามรัฐรายวัน และเขียนบทความ “กงล้อการเมือง” ผลงานที่สร้างชื่อคือเขียนคอลัมน์ “สาวเอยจะบอกให้”

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ตามมาด้วยการทำรัฐประหารของ พล.ร.อ.สงัด ชะลออยู่ มีการประกาศปิดหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ จากนั้นมีการตั้งคณะกรรมการตรวจข่าวหนังสือพิมพ์ ตั้งคณะกรรมการพิจารณาเงื่อนไขการอนุญาตให้ออกหนังสือพิมพ์

จากนั้นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องไปรายงานตัวเพื่อรับเงื่อนไขการออกหนังสือพิมพ์ โดยคณะกรรมการได้ตั้งเงื่อนไขสำหรับหนังสือพิมพ์ที่จะออกต่อไปว่า จะต้องห้ามนักหนังสือพิมพ์บางคนในหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับทำงานในหนังสือพิมพ์ต่อไปอีก โดยมีนักเขียน นักหนังสือพิมพ์หลายคนที่ถูกห้าม เช่น มานิจ สุขสมจิตร สมบูรณ์ วรพงษ์ สุวัฒน์ วรดิลก เป็นต้น รวมทั้ง “นเรศ นโรปกรณ์” ที่ถูกห้ามเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์เดลิไทม์

สำหรับนเรศ นโรปกรณ์เสียชีวิตในวัย 79 ปี ด้วยโรคปอดติดเชื้อ เมื่อ 8 มี.ค. ปี 2552 ที่ จ.จันทบุรี


จากใจประชาชนคนหนึ่งถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดย ตวงพร อัศววิไล

“ผมอยากฝากให้ทุกคนออกมาเลือกตั้ง ใช้สติมีเหตุผล รู้จักคิดว่า เลือกอย่างไรบ้านเมืองจะปลอดภัย ทำอย่างไรสถาบันจึงจะปลอดภัย ทำอย่างไรคนดีจึงจะได้เข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง”

“อย่าให้คนเขาดูถูกว่า ท่านชักจูงง่าย ชักจูงไปไหนก็ได้ ไปเลือกใครท่านก็ไปเลือก โดยไม่ได้ดูว่าคนนั้นดีหรือไม่ มีคุณธรรมหรือไม่ เขาทำผิกกฎหมายหรือไม่ เลือกคนที่ดี คนที่สุภาพตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเข้าไปทำงานแล้วกัน”

ต้องบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่า เป็นคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 ก่อนการเลือกตั้ง 20 วัน วาทะของผบ.ทบ.ได้รับการถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และ ช่อง 7 เป็นการชี้แจง “บทบาทของกองทัพต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน”
เช้าวันรุ่งขึ้นคำพูดของ ผบ.ทบ.ปรากฎอยู่บนพาดหัวของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ มีอยู่ 2 ฉบับที่ตีความนัยตรงกัน คือ ไทยโพสท์ และโพสท์ ทูเดย์ พาดหัวตัวไม้ว่า “โหวตเพื่อพ่อ” โหวตเพื่อสถาบัน”

“โหวตเพื่อพ่อ” “โหวตเพื่อสถาบัน” ดีต่อสถาบันตรงไหน?

คำพูดของ ผบ.ทบ. หลายช่วงหลายตอน ที่ถูกนำไปตีความว่า “โหวตเพื่อพ่อ” “โหวตเพื่อสถาบัน” เป็นผลดีต่อสถาบันตรงไหน เป็นคำถามที่ประเมินดูแล้วได้คำตอบว่า ไม่เป็นผลดีต่อทั้งสถาบัน และการเมืองไทย เนื่องจากเป็นการดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง

การเลือกตั้ง เป็นกลไกตามระบอบประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ใช้ 1 สิทธิ 1 เสียงของแต่ละคนที่มีโดยเสมอกัน ในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้ามาทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร และฝ่ายค้าน ตามระบบรัฐสภา การเลือกตั้งจึงมีความหมายโดยสมบูรณ์พร้อมในตัว ไม่ควรถูกนำไปโยงเข้ากับสถาบันให้เกิดความสับสนตามมา

ผลจากคำพูดของ ผบ.ทบ.จึงเป็นการชี้นำทางการเมือง และทำให้เกิดคำถามตามมาว่า หากผลการเลือกตั้งออกมาไม่เป็นไปตามที่ ผบ.ทบ.ต้องการ หมายความว่า บ้านเมือง และสถาบัน กำลังตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นหรือ

ลองจินตนาการเล่นๆว่า ถ้าคนที่พูดไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ เขาอาจจะถูกดำเนินคดี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไปแล้ว

พลเอกประยุทธ์ แสดงความเห็นว่า ไม่ควรมีการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 และยอมรับว่าคดีความที่เกี่ยวกับการละเมิดสถาบันเพิ่มสูงขึ้นมาก ทั้งทาง เว็บไซต์ เฟซบุ๊กและสื่อสิ่งพิมพ์ หากพลเอกประยุทธ์ เปิดใจให้กว้าง รับฟังข้อเสนอในแวดวงวิชาการ เช่น กลุ่มนิติราษฏร์ ที่เสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และเปิดเวทีให้มีการถกแถลงเกี่ยวกับกฎหมายละเมิดสถาบันอย่างกว้างขวางโดยมีเหตุผลทางวิชาการรองรับ น่าจะเป็นผลดีทั้งต่อสถาบัน และประชาชน

คำถามที่พลเอกประยุทธ์ เปิดประเด็นต่อสังคมเอาไว้ว่า “เป็นเพราะพระองค์ท่านทรงเมตตา ไม่ต้องการดำเนินคดีกลับกลายเป็นว่าทำให้คนเหล่านี้ได้ใจหรือไม่” ก็น่าจะได้รับคำตอบ

ทัศนคติแบบ “อำนาจนิยม” ระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ “ซ้ายหัน – ขวาหัน”

ทัศนคติของ ผบ.ทบ. ทั้งต่อประชาชน และสื่อสารมวลชน เป็นทัศนคติแบบอำนาจนิยม ภายใต้ระบบบังคับบัญชาแบบทหาร ที่มีลำดับชั้นของผู้บังคับบัญชา -ผู้ใต้บังคับบัญชา เชื่อว่าต้องมีการกำกับดูแล ควบคุม เพื่อไม่ให้ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด และไม่เชื่อว่าประชาชนจะมีวิจารณญาณในการเลือกรับข้อมูลข่าวสาร
พลเอกประยุทธ์ มองสื่อสารมวลชน แบบกำกับ ควบคุม จึงนิยาม “สื่อในระบบ”ว่าหมายถึง สื่อสิ่งพิมพ์ โฆษณาทีวี “ สื่อนอกระบบ” หมายถึง โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ที่ออกอากาศ2 ฝ่าย ทั้งเหลือง และ แดง ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่คนไทย

แต่หากอธิบายโดยใช้แนวคิดการถือกำเนิดของ “สื่อทางเลือก” ที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความสมดุลกับ “สื่อกระแสหลัก” แม้จะมีคำอธิบายหลายทฤษฎี แต่ต้องยอมรับว่าเหตุผลหนึ่งของการเกิด “สื่อทางเลือก” เป็นเพราะสื่อกระแสหลักไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการรับรู้ข่าวสารได้
ดังนั้นการที่ผบ.ทบ.ด่วนสรุปว่า ประชาชนถูกชักจูงโดยกลุ่มคนบางประเภทที่ไม่หวังดี และยังทำให้มีผลตอบสนองย้อนกลับมาทำให้กองทัพมีปัญหากับประชาชน จึงเป็นข้อสรุปที่โยนบาปให้สื่อนอกระบบ หรือสื่อทางเลือกมากเกินไป

บาดแผลระหว่าง “ประชาชน” กับ “กองทัพ” จะยังเป็น “แผลกลัดหนอง” ตราบเท่าที่ความจริงเบื้องหลังความตาย 91 ศพในช่วงเดือน เมษา-พฤษภา 53 ยังเป็นปริศนาดำมืด

จาก 2475 ถึง 2554 79 ปี มาแล้ว แต่ประเทศไทยยังไม่ก้าวข้ามยุค 2499 อันธพาลครองเมือง?
ในทัศนะของ ผบ.ทบ. ยอมรับว่า ความคิดให้มีการเปลี่ยนแปลงสถาบัน เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2475 แม้จะผ่านกาลเวลามาแล้ว 79 ปี แต่ความคิดนี้ยังคงดำรงอยู่ โดย ผบ.ทบ.ตั้งข้อสังเกตุว่า ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวที่มากขึ้นแบบไม่ปกติ

79 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง ทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา 2616 6 ตุลา 2519 พฤษภา 2535 ล่าสุดคือเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553 ถ้าเปิดใจกว้างยอมรับผลงานวิจัยของนักวิชาการต่างประเทศ จะพบข้อสรุปที่ตรงกันว่า ประชาชนมีการเรียนรู้และซึมซับบทเรียนทางการเมืองในอดีต จนเกิดการตื่นรู้ทางการเมือง

คำอธิบายข้างต้น น่าจะใช้อธิบายวาทกรรม “ตาสว่าง” ที่เกิดขึ้นในวิกฤติทางการเมืองรอบล่าสุดได้
หากยอมรับว่า 79 ปีที่ผ่านมา ทุกองคาพยพในสังคมไทยมี Dynamic มีความเปลี่ยนแปลงไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ การ “ปรับตัว” ของทุกองคาพยพให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนไปจึงมีความจำเป็น
ปัญหาการละเมิดสถาบันเบื้องสูงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ควรจะมีการเรียนรู้บทเรียนจากต่างประเทศที่มีการดำรงอยู่ของสถาบัน เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น มากกว่าจะใช้แนวคิดแบบอำนาจนิยม โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการ จับกุมคุมขัง

การปกป้องสถาบันที่ดีที่สุด คือ การเชิดชูสถาบันไว้เหนือการเมือง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาตลอด คือ การใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำแล้วซ้ำอีก (เหตุผลหนึ่งในการรัฐประหารทุกครั้ง คือ การละเมิดสถาบันเบื้องสูง)

การเปลี่ยนแปลงการปกครองผ่านมาแล้ว 79 ปี แต่ประเทศไทยยังไม่ก้าวข้ามยุค 2499 อันธพาลครองเมือง แบบที่คู่ขัดแย้งทางการเมืองชี้นิ้วใส่กันอยู่ในเวลานี้

การแสดงทัศนะของพลเอกประยุทธ์ครั้งนี้ ไม่ได้แตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา เพียงแต่เป็นการแสดงจุดยืนทางการเมืองก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเพียง 2 สัปดาห์เศษ ๆ และผลจากการแสดงทัศนะของผบ.ทบ.ในครั้งนี้ ถูกนำไปตีความว่า “โหวตเพื่อสถาบัน” ไม่ว่าเจตนาที่แท้จริงของ ผบ.ทบ. จะเป็นอย่างไร

ผลการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎา จะเป็นคำตอบให้กับ ผบ.ทบ. ว่า คนไทยทั้งประเทศโหวตเพื่อ…. ???

น่ายินดีอยู่บ้างที่การแสดงทัศนะของพลเอกประยุทธ์ครั้งล่าสุดนี้ พบสัญญาณด้านบวก จากผู้นำสูงสุดของกองทัพ ว่า “ได้ยิน” เสียงสะท้อนที่แตกต่าง แต่อาจจะยังไม่มีสมาธิเพียงพอจะ “ฟัง” เสียงสะท้อนเหล่านั้นอย่างตั้งใจ

“วันนี้ไม่ปกติ ผมจำเป็นต้องออกมาพูด หรือทหารต้องออกมาเคลื่อนไหวบ้าง ไม่ใช่ทหารจะผูกขาดความจงรักภักดี แต่ในฐานะที่ทหารเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ต้องพิทักษ์ปกป้องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
“อย่ามาบอกว่า ผมเป็นทหารมาห้ามสื่อ มีอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ใช่ แต่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะประชาชน”

การแสดงออกผ่านคำพูดต่างกรรม ต่างวาระของ ผบ.ทบ. ผลักไสคนไทยจำนวนไม่น้อยให้ไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อพิจารณาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ ตัวฉันเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น แต่ยังมีจุดยืนที่พร้อมจะรับฟังและโต้แย้งด้วยตรรกะของเหตุและผล

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชะตาชีวิตของผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมือง จะไม่จบลงด้วยการ “ลั่น” กระสุน หรือ “เล็ง” ด้วยสไนเปอร์ เหมือนโศกนาฎกรรมเมื่อเดือน เมษา- พฤษภา 53 ที่ผ่านมา

ที่มา Weblogของคุณตวงพร อัศววิไลในWeb VoiceTV

ใบตองแห้งออนไลน์: มันส์พะยะค่ะ! (มันส์โคตรโคตร)

Fri, 2011-06-17 09:07

มันส์พะยะค่ะ มันส์หยดติ๋ง มันส์โคตรโคตร มันส์ chip หาย... ผมอุทานเป็นภาษาวัยรุ่นหลากยุค เมื่อเห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาสัมภาษณ์พิเศษกับช่อง 5 ช่อง 7 อย่างที่ไทยโพสต์เอาไปพาดหัวตรงเป้าว่า “เลือกเพื่อสถาบัน ผบ.ทบ.ปลุกล้มก๊วนคนชั่ว”

แม้ไก่อูจะพยายามแก้ต่างว่า ผบ.ทบ.ไม่ได้สนับสนุนพรรคไหน หรือต่อต้านพรรคไหน แต่ชาวบ้านเขาไม่ได้กินแกลบนะครับ ฟังแล้วไม่ได้ต่างกันเลยกับ กนก รัตน์วงศ์สกุล เขียนลงเฟซบุคว่า “อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย”

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์พูดอย่างที่แปลเนื้อหาได้ชัดเจนว่า “อย่าให้พวกล้มเจ้ายึดประเทศไทย” ซึ่งเมื่ออนุมานตาม “ผังล้มเจ้า” ของ ศอฉ.ที่ทำให้ไก่อูกลายเป็นไก่เนื้อแดงดินประสิว ท่านจะหมายถึงใครอีกเล่า ถ้าไม่ใช่มวลชนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยที่ยืนตรงข้ามพวกท่านมาตลอดตั้งแต่รัฐประหาร

แถมท่านยังออกมาพูดตอนที่พรรคเพื่อไทยนำลิ่วในโพลล์ จน ปชป.ดิ้นพล่าน และต้องมีขบวนการเตะตัดขาต่างๆ นานา

แถมท่านยังออกมาพูดวันเดียวกับที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เข้าไปพบ แต่ไก่อูยังอ้างหน้าตาเฉยว่าไม่ได้ไป

โธ่ๆๆๆ จะให้ชาวบ้านเชื่อใครระหว่างไก่อูกับนักข่าว ในเมื่อเดาะยกบทกวี “เพียงหวังจักเฟื่องฟุ้ง หรือจึงมุ่งมาศึกษา...” ไก่อูยังปล่อยกระต๊ากๆ เต็มกองทัพบก ว่าเป็นพระราชนิพนธ์ ร.6 ทั้งที่เป็นบทกวีของนเรศ นโรปกรณ์ เขียนไว้ก่อนปี 2500 ก่อนถูกจับเข้าคุกยุคเผด็จการสฤษดิ์ในข้อหาคอมมิวนิสต์

ให้ตาย อับอายขายขี้หน้าไปทั้งสถาบัน จปร.น่าจะเรียกตัวกลับไปติววิชาวรรณคดีไทยใหม่ ขืนปล่อยไประวังขวัญใจสาวเฟซบุคจะบอกว่า “สาวเอยจะบอกให้” เป็นงานเขียนของหลวงวิจิตรวาทการ

ขวัญใจจริตตก
สถานการณ์การเลือกตั้งมาถึงวันนี้ ต้องซูฮกยกนิ้วให้ยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ว่าซูดด...ยอดจริงๆ ครับ จากที่เสื้อแดงประณามรัฐบาล ปชป.ฆ่าประชาชน เป็นร่างทรงอำมาตย์ ครบรอบปีพฤษภาอำมหิต พรรคเพื่อไทยกลับพลิกไปหาเสียงด้วยการชูนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และชูคำขวัญ “ไม่คิดแก้แค้นแต่จะแก้ไข” พร้อมกับเปิดตัวยิ่งลักษณ์ ซึ่งพร้อมทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นร่างทรงพี่ชาย อีกด้านเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนนิ่มนวล ไม่ก้าวร้าวเหมือนทักษิณ แสดงท่าทีพร้อมจะ “ปรองดอง” เพื่อความสงบ

ตอนแรกผมก็หงุดหงิด บ่นว่าทำไมไม่พูดเรื่อง “โค่นอำมาตย์” คืนประชาธิปไตย คืนความเป็นธรรม แก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปศาล ปฏิรูปกองทัพ ฯลฯ แต่อย่างว่า ผมไม่ใช่นักการเมือง พรรคเพื่อไทยมองออกว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการในวันนื้คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความสงบ

เรื่องแก้เศรษฐกิจ ที่จริงนโยบายพรรคเพื่อไทยก็ไม่โดดเด่นอะไร เพียงแต่ ปชป.อยู่มาสองปีกว่า โชว์ความไร้ประสิทธิภาพจนชาวบ้านเขาเบื่อหน่ายแล้ว

พรรคเพื่อไทยแค่หาเสียงไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทุกอย่างก็เข้าล็อก เป็นไปตามสัจธรรมที่พวกพันธมิตรรู้ซึ้ง จนทำป้ายประชดชีวิต “เลือกพรรคไหนก็แพ้ทักษิณ” (Vote No เสียดีกว่า แม้แต่ยอดมนุษย์อุลตร้าแมน ก็ยังรู้ว่าสู้ทักษิณไม่ได้ จึงต้อง Vote No)

พอโพลล์นำลิ่ว กระแสขึ้น ทุกอย่างก็มาเอง แต่แทนที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น ฝ่ายตรงข้ามกลับเริ่มก่อน ตั้งแต่แก้วสรร-หมอตุลย์ ซึ่งพอโผล่มาในช่วงที่เพื่อไทยติดลมบนซะแล้ว ในสายตาสาธารณะ ก็กลับถูกมองว่า “ตามรังควาน” “เล่นไม่เลิก” และกลับไปทำให้ยิ่งลักษณ์ได้คะแนนสงสารเห็นใจมากขึ้น

ปชป.ก็ดิ้นพล่าน โดยเฉพาะเมื่อเจอยุทธการอันกล้าหาญชาญชัยของมวลชนเสื้อแดง ไปชูป้าย 91 ศพ และ “ของแพง” “ดีแต่พูด” อยู่กลางมวลชนประชาธิปัตย์ ทำเอาขวัญใจจริตนิยมจิตตก ปรี๊ดแตก เหลือเชื่อว่านายกฯ ผู้ดีอังกฤษศิษย์ออกซ์ฟอร์ด ไปยืนโต้วาทีเอาชนะคะคานชาวบ้านอยู่กลางตลาด

“พี่ผู้ชายที่มายกป้ายดีแต่พูด ผมเข้าใจว่าคงไม่มีลูกจึงไม่ได้เรียนฟรี มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายหรือเปล่า เพราะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ให้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุครบถ้วนทุกคนแล้ว”

โห แปะ แปะ แปะ ขอปรบมือให้ ท่านนายกฯ รูปหล่อ ชนะการดีเบทขาดลอย สง่างามเหลือเกิน

เท่านั้นไม่พอ ไม่รู้ว่ามีปมอะไรในใจนักหนา แทนที่จะเก๊กหน้าหล่อไปเดินหาเสียงกับแม่ยก กลับเอาเวลาไปเขียนความในใจลงเฟซบุค เขียนออกมา 3 ภาค เป็นเรื่องทั้ง 3 ภาค โดยเฉพาะภาค 2 ที่ทำให้ชุมพล ศิลปอาชา ออกมาสวนว่า ถ้าไม่โดนบีบโดย “พลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ก็คงไม่ร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์

ถึงแม้ชุมพลออกมาขอโทษและกลบเกลื่อน แต่ใครจะเชื่อ ในเมื่อชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “พลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”

จำได้ไหมครับก่อนหน้านี้อภิสิทธิ์ก็บอกว่าทำตามที่บรรหารต้องการทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว ไม่ได้พาลูกเมียไปเที่ยวบึงฉวาก ตกลงจะพูดจาหามิตรหรือจะโต้วาทีเอามันปาก โง่หรือแกล้งฉลาด ไม่เข้าใจ

เอ้า พอเลขา กลต.ออกมาแถลงกรณียิ่งลักษณ์ ทั้งกรณ์ ทั้งมาร์คก็เต้น เรื่องถูกผิดโต้กันได้ แต่ทำไมต้องไปกล่าวหาเขาว่าทำตามโพล ทำงานให้เข้าตาใครบางคน หรือเตือนว่าข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลาง ทั้งที่ตลอด 2 ปีกว่า เลขา กลต.ก็ทำงานกับ รมว.คลังมาด้วยดี

ทำใจให้กว้างกว่าอวัยวะมดบ้างสิครับ ทำอย่างนี้มันแสดงว่าพวกคุณหมกมุ่นกับเรื่องเอาผิดยิ่งลักษณ์ มัวแต่ลุ้นแก้วสรร-หมอตุลย์ มากกว่าจะสู้กันในสนามเลือกตั้งอย่างแฟร์ๆ

ท้ายที่สุด พอเห็นว่าหมดทางสู้ วอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ก็กำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ ปลุกเรื่อง “เผาบ้านเผาเมือง” ปลุกเรื่องนิรโทษกรรมทักษิณ แบบนี้จะเหลืออะไร้ ยิ่งเข้าทางเข้าไปใหญ่ เพราะมันแปลว่าพวกคุณนั่นแหละไม่ยอมให้สังคมสงบ

แต่เชื่อได้เลยว่า 2 สัปดาห์โค้งสุดท้าย สงครามข่าวสารจะเข้มข้น วันก่อนกรุงเทพธุรกิจก็พาดหัวถล่มนโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย พวกขาประจำที่แอบแฝงอยู่ในคราบสื่อ นักวิชาการ หรือผู้มีชื่อเสียงทางสังคม จะทยอยกลับออกมาแสดงบทบาท เช่น คืนก่อน บรรเจิด สิงคะเนติ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์รายการเจิมศักดิ์ แบบคุยกันเองเออออกันเองแล้วก็หันไปต้าน Vote No

ถ้าเพื่อไทยชนะ ประยุทธ์ต้องลาออก
หันกลับไปที่กองทัพ พรรคเพื่อไทยพลิกกลยุทธ์ ยิ่งลักษณ์ขอเข้าพบ ผบ.ทบ.แน่นอน ทบ.ปฏิเสธอย่างมีเหตุผล เพราะจะยอมให้พรรคใดพรรคหนึ่งเข้าพบก็น่าเกลียด

ยกเว้นสุเทพเข้าพบ ซึ่งข่าวทุกสำนักยืนยันว่าจริง เพียงแต่อาจจะผิดไปหน่อยเรื่องเวลา คือสุเทพไปพบหลังจาก ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์พิเศษแล้ว (นี่แก้ต่างให้นะครับ) แต่ข่าวก็บอกว่า สุเทพกับ พล.อ.ประยุทธ์พบกันอยู่บ่อยๆ

แม้ยิ่งลักษณ์ไม่ได้เข้าพบ แต่อย่าลืมว่าภาพที่ออกไปทางสาธารณชนคือ “นารีขี่ม้าขาว” ยื่นมือเสนอไมตรี ทบ.ไม่รับก็ไม่เป็นไร แต่กลับตามมาด้วยการแจ้งจับผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าข่มขู่ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของ ฉก.315

เรื่องนี้เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.นะครับ แต่ไหง ทบ.เพิ่งขุดขึ้นมาก็ไม่ทราบ

เรื่องที่ไก่อูเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่ผมไม่เชื่อ แต่ขำ คือถ้าเป็นเราชาวบ้านตาดำๆ มีลูกน้องนักการเมืองมาเลิกชายเสื้อให้ดูปืน เขาเรียกว่าข่มขู่ เป็นใครก็กลัวหัวหด แต่นี่เป็นทหารอาวุธครบมือกับรถฮัมวี่ ฉะนั้นไอ้การที่ลูกน้องนักการเมืองเลิกชายเสื้อให้ดูปืน มันไม่ใช่ข่มขู่ ภาษานักเลงเขาเรียกว่า “กรูไม่กลัวเมริง”

นักเลงแถวบ้านผมยังบอกว่าน่านับถือหัวจิตหัวใจมัน เจ๋งจริงๆ มีแค่ปืนสั้น ยังบังอาจไป “ข่มขู่ขัดขวางการปฏิบัติงาน” ของทหารทั้งหมู่

แล้วผมก็ไม่เข้าใจ ฉก.ปราบยาเสพย์ติดประสาอะไร ขี่รถฮัมวี่ตระเวนไปในหมู่บ้านชานเมืองให้ผู้คนแตกตื่น ยาเสพย์ติดมันวางแผงขายอยู่ข้างถนนหรือครับ ถึงคิดจะทะเล่อทะล่าเข้าไปจับง่ายๆ

ตอนนั้น ผบ.ทบ.ก็ทำท่าแข็งกร้าว ยอมไม่ได้ ถ้าใครขวาง จะส่งกำลังเพิ่มเป็นชุดละ 50-100 นาย ดูซิว่าจะมีใครมาล้อมทหารอีกหรือเปล่า ใครขัดขวางอาจจะมีส่วนร่วมกับพ่อค้ายาเสพย์ติด

เออ แปลกดีนะครับ ยกทหารเข้าไปตั้งเป็นร้อย ยังกะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต้องแจ้งให้ กกต.ทราบด้วย ทหารมีอำนาจทำได้ถึงขนาดนี้ ก็น่าจะทำเสียทุกหมู่บ้านในประเทศไทย รวมทั้งหมู่บ้านเสื้อแดงด้วย ผมเพียงแต่สงสัยว่าที่ท่านบอกว่าทำมาตั้งแต่ก่อนยุบสภา เคยจับคนค้ายาเสพย์ติดได้มั่งหรือเปล่า เพราะถ้าเข้าไปทำให้ชาวบ้านแตกตื่นอย่างนี้ คนขายยาก็หนีหมด เผลอๆ จะจับได้แต่คนขายยาใส่เสื้อแดง

“ผมให้เกียรติท่านมาโดยตลอด ช่วงเวลาที่ผ่านมา จะเห็นว่า ผมสงบปากสงบคำไปเยอะ พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในการเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในการเลือกตั้ง อยากจะโฆษณาอะไรก็ว่ากันไป แต่ถ้าท่านมาพาดพิงทหาร และมารังแกทหาร ผมรับไม่ได้”

สงบปากสงบคำที่ไหนกัน เพราะไม่กี่วันถัดมาก็ออกอากาศทั่วประเทศ อ้างว่ามีกลุ่มบุคคลไม่หวังดี ทำให้กองทัพมีปัญหากับประชาชน สถานการณ์ภายนอกกดดันกองทัพ กองทัพถูกรังแก ฯลฯ ขอความเป็นธรรมให้กองทัพ

ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ ท่านพูดเหมือนกับกองทัพอยู่เฉยๆ เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยไปยุ่งกับใคร ก็ไอ้ความปั่นป่วนวุ่นวายวิกฤตทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันเกิดเพราะกองทัพทำตัวเป็นโจรปล้นประชาธิปไตยเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ใช่หรือ จนบัดนี้ยังไม่เคยมีผู้นำเหล่าทัพรายไหนขอโทษประชาชน ขอขมาว่าทำผิดไปแล้ว จะไม่ทำอีก จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เห็นแต่ลอยหน้าลอยตายืนกรานว่าตัวเองทำถูกทุกอย่าง ทำเพื่อปกป้องชาติราชบัลลังก์ แล้วก็บานปลายมาจนต้องเดินตามแผนบันได 4 ขั้นตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร กระทั่งปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาอำมหิต

ผมยังมองคนในแง่ดี ผมคิดว่าท่านเสียใจจริง ท่านไม่อยากให้มีคนตาย แต่ท่านจะโทษใครล่ะ อย่าเอาแต่โทษคนอื่น กองทัพก่อกรรมแล้วก็ต้องรับ พวกคุณผิดมาตั้งแต่รัฐประหารแล้วก็ต้องรับผลพวงที่เกิดขึ้น เหมือนที่ในหลวงตรัสว่ากลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกมันก็ผิดหมด

ไก่อูอ้างว่าท่านไม่ได้พูดให้ประชาชนไม่เลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แล้วที่ท่านเรียกร้องไม่ให้เลือกคนทำผิดกฎหมาย คนที่ใช้กริยาไม่เหมาะสม ท่านหมายถึงใครล่ะ นอกจากพรรคเพื่อไทยซึ่งมีแกนนำ นปช.สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อยู่สิบกว่าคน ซึ่งท่านพูดเป็นนัยอยู่แล้วก่อนหน้านี้ว่าให้มาสู้กันตามกระบวนการของกฎหมาย

ท่านเรียกร้องให้เลือกเพื่อสถาบัน โดยพูดถึงคดีหมิ่นและข้อเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ท่านพูดถึง อ.ใจ พูดถึงจักรภพ แม้ท่านไม่พูดถึงจตุพร พรหมพันธ์ คนฟังก็เข้าใจได้ จตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้สิสต์ พรรคเพื่อไทย ซึ่งท่านเองเป็นคนให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งจับ จนวันนี้ก็ยังถูกคุมขังไม่ได้ประกัน

ฉะนั้นที่ท่านเรียกร้องให้เลือกเพื่อสถาบัน ก็ไม่มีทางตีความเป็นอื่นไปได้ นอกจากบอกให้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

แต่ทั้งหมดนี้ ผมขำอยู่อย่าง คือท่านคิดว่าท่านเป็นใคร ถึงได้พูดออกทีวี แล้วคิดว่าจะมีคนดู แล้วคิดว่าจะมีคนฟังคนเชื่อท่าน ท่านเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาจากไหน (สมัยนี้ ต่อให้เป็นปราชญ์ราชบัณฑิตคนเขาก็ยังไม่ฟังเลย) ท่านเป็นคนดีมีจิตใจสูงส่งมาจากไหน ก็แค่หัวหน้าส่วนราชการ ที่เลื่อนขั้นมาตามลำดับ ไม่ใช่สิ ข้ามลำดับด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่มีรัฐประหาร 49 ป่านนี้อย่างเก่งท่านก็เป็นแค่ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เผลอๆ อาจเป็นแค่ที่ปรึกษากองทัพบกหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ใบเดียวไปทำงาน

ประชาชนเขามีความจำเป็นอะไรต้องฟังท่าน ต้องเชื่อท่าน ถ้าอย่างนั้น ประชาชนจำเป็นต้องฟังต้องเชื่อปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงไอซีที ปลัดกระทรวงเกษตร ฯลฯ ด้วยไหม (แล้วทำไมหัวหน้าส่วนราชการอื่นๆ ไม่มีสิทธิออกทีวีเรียกร้องให้ประชาชนเลือกคนดีบ้าง)

ไอ้ที่คนเขาฟังท่าน ก็เพียงเพราะเขาอยากรู้ท่าทีของผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีปืน มีรถถัง มีกำลังพล (และมีรถฮัมวี) ที่มีศักยภาพพอจะแทรกแซงการเลือกตั้ง หรือพอจะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้

นั่นคือสิ่งที่ทูตานุทูตที่เสวนากันอยู่บ้านทูตนอรเวย์เขาฟัง นั่นคือสิ่งที่สำนักข่าวต่างประเทศเขาฟัง

ฉะนั้นคำพูดของท่านจึงไม่มีผลกระทบต่อคะแนนเสียง อาจส่งผลลบด้วยซ้ำ แต่ที่สำคัญคือส่งผลต่อความหวาดวิตกของประชาชนว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกเข้ามามากที่สุด ตามมติมหาชน กองทัพก็อาจเข้าไปแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลอีก และจะส่งผลให้บ้านเมืองไม่สงบ หรือถ้าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้ กองทัพก็จะเป็นหอกข้างแคร่ และทำให้ประเทศยิ่งวิกฤต อย่างที่บรรดานักลงทุนต่างชาติเขาวิตกกังวลกันอยู่

ท่านพูดแล้วจึงต้องรับผิดชอบนะครับ เพราะท่านพูดออกมาขนาดนี้แล้ว ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เขาก็มีสิทธิที่จะเชิญท่านหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ไปนั่งประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อย่างมีความชอบธรรมด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ท่านพูดเรื่องสถาบัน อ้างสถาบัน เข้ามาชักจูงโน้มน้าวให้ประชาชนเลือกไม่เลือก (ทั้งที่ กกต.ออกระเบียบห้ามพรรคการเมืองหาเสียง แต่ ผบ.ทบ.กลับเอาสถาบันมาหาเสียงหน้าตาเฉย) ถ้าสมมติว่าผลการเลือกตั้งออกมาวันที่ 3 ก.ค.แล้วพรรคเพื่อไทยยังชนะถล่มทลาย landslide ได้คะแนนเสียงใกล้เคียงครึ่ง ท่านจะแปลความหมายว่าอย่างไร แปลว่าคนครึ่งประเทศไม่เอาสถาบันอย่างนั้นหรือ เปล่าเลย-ไม่ใช่ เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดอย่างท่าน เรื่องสถาบันก็อยู่ส่วนสถาบัน นี่คนเขาเลือกพรรคการเมืองเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และคืนความสงบ คืนความยุติธรรมให้สังคม ท่านต่างหากที่เอาสถาบันมาขีดแบ่ง

ฉะนั้นถ้าคืนวันที่ 3 ก.ค.ผลออกมาว่าพรรคเพื่อไทยชนะเกินครึ่ง ท่านควรจะเก็บกระเป๋าเขียนใบลาออกได้เลย แสดงความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายชาติทหาร ทั้งรับผิดชอบต่อสถาบัน และเสียสละตัวเองเพื่อความสงบสุขของสังคม

หรือถ้าพรรคเพื่อไทยได้ใกล้เคียงครึ่งแล้วจัดตั้งรัฐบาลได้ ท่านก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี

ไม่ต่างกับที่กนกต้องรับผิดชอบ คือคุณจะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ แต่กลับไปแสดงในเนชั่นทีวี (หรือมหาวิทยาลัยโยนกทีวี-ฮิฮิ) ไม่ควรมาออกจอทีวีของรัฐอีก

เรื่องมาตรา 112 ผมไม่ทราบว่าท่านพูดเพื่ออะไร เพราะถ้าจะมีการแก้ไขกฎหมาย ก็เป็นเรื่องของรัฐสภา ไม่ใช่เรื่องของกองทัพ ที่จะต้องมาเสนอความเห็น ถ้าบอกว่าเป็นหน่วยงานหนึ่ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือกรมส่งเสริมการส่งออก ก็ควรเสนอความเห็นได้ด้วยเช่นกัน เพราะสถาบันไม่ใช่ของกองทัพ สถาบันเป็นของทุกคน

อย่างไรก็ดี ต้องขอขอบคุณท่าน ผบ.ทบ.ที่ช่วยยกประเด็นโต้แย้งเรื่องควรจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 หรือไม่ ให้กลายเป็นประเด็นระดับชาติ เพราะนี่เป็นครั้งแรกนะครับ ที่เรื่องมาตรา 112 ได้ออกทีวีช่อง 5 ช่อง 7 ไปทั่วประเทศ เราพูดกันมานาน แต่ก็ยังอยู่เฉพาะในแวดวงนักคิดนักเขียนนักวิชาการ อยู่แค่ในเว็บไซต์ แต่ท่านช่วย “จุดพลุ” ให้เป็นประเด็นดีเบทระดับชาติ ขอขอบพระคุณยิ่ง

เพียงแต่ท้วงติงอีกนิดเดียว ที่ท่านพูดถึง อ.ใจ และจักรภพ ทั้งสองคนเขายังไม่มีความผิดนะครับ ศาลยังไม่ได้ตัดสิน เขาแค่หลบหนีเพราะเกรงจะไม่ได้ประกันและเกรงจะมีภัยคุกคาม

สรุปแล้วผมเลยไม่ทราบว่าท่าน ผบ.ทบ.ออกมาพูดเพื่ออะไร หรือถูกใครกดดันให้ออกมาพูด แต่ท่านพูดแล้วไม่ได้เป็นผลดีทั้งต่อตัวเองและต่อสถานการณ์ บอกแล้วไงครับ พรรคเพื่อไทยเขาวางยุทธศาสตร์อย่างฉลาด แสดงท่าทีพร้อมจะปรองดอง แล้วปล่อยให้ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามออกมาเต้นเอง ออกมาเต้น เอ้า! ออกมาเต้น (เด็ดขาดลีลาไปเล้ย)

เอาแค่ที่ท่านประกาศว่าจะให้ กอ.รมน.ดูแลสื่อสองขั้วที่ยั่วยุ ก็โดนสนธิ ลิ้ม ไล่ไปลงนรกแล้ว (ขณะที่ทักษิณห้ามพรรคเพื่อไทยตอบโต้ อยู่เฉยๆ เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ)

เห็นเกมอย่างนี้แล้วผมถึงได้ร้องว่ามันส์พะยะค่ะ มันส์สุดสุด มันส์โคตรโคตร มัน chip หาย แล้วคอยดูต่อไปว่าจะดิ้นกันอย่างไรอีก

เชื่อได้เลยว่า เดี๋ยวจะต้องมีบุคคลระดับสูงกว่าประยุทธ์ ออกมาเรียกร้องให้เลือกคนดี เลือกเพื่อสถาบันอีก

อดรนทนไม่ได้กันนักก็เรียงหน้าออกมาเล้ย

ใบตองแห้ง

17 มิ.ย.54

ที่มา ประชาไท




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2554    
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 16:29:51 น.
Counter : 560 Pageviews.  

สุรพศ ทวีศักดิ์: วิจารณ์บทความ “ปลดล็อคความไม่สงบหลังเลือกตั้ง” ของ "ศ.นพ.ประเวศ วะสี"

สุรพศ ทวีศักดิ์

ในบทความชื่อ “ปลดล็อคความไม่สงบหลังเลือกตั้ง” (ประชาไท,3 มิ.ย.2554) คุณหมอประเวศ วะสี วิเคราะห์ว่า คนเป็นอันมากไม่เชื่อว่าจะมีความสงบหลังเลือกตั้ง เพราะปัจจัยให้เกิดความไม่สงบยังดำรงอยู่เหมือนเดิม กล่าวคือ

1. ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เสียงอันดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่เสียงข้างมาก แล้วพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับพรรคอื่นจัดตั้งรัฐบาล พท. และมวลชนคนเสื้อแดงก็จะกล่าวหาว่ากองทัพและมือที่มองไม่เห็นเข้ามาจัดการไม่ให้ พท. เป็นรัฐบาลอย่างนี้ไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ต้องเคลื่อนไหวนอกสภาเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่นำโดยประชาธิปัตย์

2. ถ้า พท. ได้เสียงข้างมากแล้วจัดตั้งรัฐบาล และต้องการนำทักษิณกลับมา พวกที่เกลียดกลัวทักษิณ พวกที่เกลียดกลัวการล้มเจ้า ก็จะรวมตัวกันต่อต้านรัฐบาล


และคุณหมอก็เสนอทางแก้ 5 ข้อ คือ

1) ถ้า พท. ได้เสียงมาเป็นอันดับ 1 ควรให้เวลา พท. พยายามจัดตั้งรัฐบาลอย่างเต็มที่... ข้อนี้ผมเห็นด้วย เพราะแม้รัฐธรรมนูญจะเปิดให้พรรคที่ได้คะแนนรองลงมารวบรวมเสียงในสภาแข่งกันตั้งรัฐบาลได้ แต่ใน “บริบท” ความขัดแย้งปัจจุบัน หากต้องการให้ประเทศชาติสงบ วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือการฟังเสียงประชาชน นั่นคือให้พรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่งตั้งรัฐบาลก่อน

2) ถ้า พท. จัดตั้งรัฐบาล จะนำทักษิณกลับหรือไม่ทักษิณก็สามารถบงการรัฐบาล พท. อยู่ดี คุณทักษิณควรจะถือโอกาสแก้ตัว คุณเคยมีอำนาจสูงสุดมาแล้ว ไม่ว่าคุณจะคิดว่าทำดีเพียงใด แต่การที่มีคนเกลียดและกลัวจำนวนมากไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ ถ้าคุณทักษิณปรับตัว ว่าอะไรที่ทำให้คนเกลียดและกลัวก็อย่าไปทำ พิจารณาอย่างรอบคอบถึงวิถีประเทศไทยต่อไปในอนาคต การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวเองของคุณทักษิณ จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศไทยและต่อโลก และเป็นการปลดล็อคความไม่สงบอย่างสำคัญ

ข้อเสนอนี้ดูเหมือนจะเป็นการ “ตีกัน” ไม่ให้คุณทักษิณดำเนินการ “นิรโทษกรรม” แก่ตัวเอง หรืออาจไม่จำเป็นต้องกลับมาไทย เพราะ คุณหมอบอกว่า “จะนำทักษิณกลับหรือไม่ทักษิณก็สามารถบงการรัฐบาล พท. อยู่ดี” ผมเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ “ไร้เหตุผล” มาก เพราะ .-

(1) อ้างว่ามีคนเกลียดและกลัวทักษิณจำนวนมากไม่เป็นผลดีแก่ประเทศชาติ ถ้าอ้างกันแบบนี้ ข้ออ้างเดียวกันก็ใช้กับคุณอภิสิทธิ์ได้เช่นกัน คือ คุณอภิสิทธิ์ก็มีคนเกลียดและกลัวจำนวนมาก อาจจะมากกว่าคนที่เกลียดกลัวคุณทักษิณด้วยซ้ำ ฉะนั้น คุณอภิสิทธิ์ควรปรับตัว อย่าไปทำสิ่งที่คนเกลียด เช่น ถ้าได้คะแนนเสียงแพ้พรรคเพื่อไทยก็ควรให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลก่อน ไม่ควรใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือขจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เป็นต้น

ที่จริงในบริบทความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่ แทบจะไม่มีใครที่จะไม่ถูกคนเกลียด แม้แต่พระสงฆ์บางรูป และราษฎรอาวุโส ก็ย่อมรู้ตัวเองว่ามีคนเกลียดมากเหมือนกัน

(2) การอ้างคนเกลียดกลัวทักษิณมาก แล้วเสนอให้คุณทักษิณต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดย “การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวเองของคุณทักษิณ จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศไทยและต่อโลก และเป็นการปลดล็อคความไม่สงบอย่างสำคัญ” นั้น เป็นข้อเสนอที่ไม่แฟร์นัก

คือ ถ้าคุณหมอมีข้อเสนอแบบนี้ต่อ ผบ.ทบ. อภิสิทธิ์ สุเทพ พลเอกเปรม และ...ด้วย ผมจะเชื่ออย่างสนิทใจว่านี่เป็นข้อเสนอที่เปี่ยมด้วย “เจตนาดี” ต่อคุณทักษิณและประเทศชาติอย่างแน่นอน แต่หากเจาะจงใช้ข้อเสนอนี้เฉพาะกับคุณทักษิณมันย่อมไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับคุณหมอยอมรับว่า รัฐประหารและกระบวนการเอาผิดแบบ “สองมาตรฐาน” ที่สืบเนื่องจากรัฐประหารเป็นการกระทำที่ “ถูกต้องชอบธรรม” แล้ว คุณทักษิณ (หรือใครก็ตาม) ที่ถูกกระทำเช่นนั้นไม่ควรต่อสู้ใดๆ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ตัวเอง

ประเด็นคือ ทำไมคุณหมอจึงให้ความสำคัญกับ “ความเกลียด ความกลัว” ของผู้คน มากกว่า รัฐประหารถูกหรือผิด และกระบวนการเอาผิดแบบ “สองมาตรฐาน” ที่สืบเนื่องจากรัฐประหารเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่?

3) การปลดล็อคให้สถาบันไม่เป็นประเด็นที่คนไทยจะต้องมาฆ่ากันตาย…ข้อนี้ดูเหมือนอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ เป็นต้น มีข้อเสนออย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมระดับหนึ่งแล้ว คณะกรรมการปฏิรูปประเทศของคุณหมอต่างหากที่ได้งบประมาณจาก “ภาษีประชาชน” จำนวนมาก แต่กลับไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมในเรื่องปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปสถาบันเลย

4) ปรับวิถีคิด คนไทยเข้าไปสู่วิถีคิดแบบแยกข้างแยกขั้วและคิดห้ำหั่นกันมากเกิน อะไรเป็นพวกตัวถูกหมด ถ้าเป็นพวกอื่นผิดหมด ฝ่ายค้านๆ และจ้องทำลายฝ่ายรัฐบาลลูกเดียวและกลับกัน พระพุทธศาสนาปฏิเสธวิธีคิดตายตัวแยกส่วนแบบนี้ เพราะผิดธรรมชาติความเป็นจริง ธรรมชาติของสรรพสิ่งๆ ล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นปัจจัยแก่กันและกัน ที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา

คุณหมอก็เสนออยู่เรื่อยนะครับเรื่องวิธีคิดแบบไม่แยกส่วน อิทัปปัจจยตา, มัชฌิมาปฏิปทา แต่อย่างที่คุณหมอเสนอให้คุณทักษิณเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทว่าไม่พูดถึงเรื่องความไม่ถูกต้องของรัฐประหาร ระบบสองมาตรฐานที่สืบเนื่องจากรัฐประหาร ไม่ให้ความสำคัญกับนักการเมืองที่จะต่อสู้เพื่อคืนความยุติธรรมแก่ตนเองที่ถูกทำรัฐประหารและถูกใช้กระบวนการสองมาตรฐาน พูดถึงคนเกลียดคุณทักษิณ เสนอให้คุณทักษิณปรับตัว แต่ละเลยที่จะพูดและเสนอเรื่องเดียวกันนี้กับอภิสิทธิ์ สุเทพ ผบ.ทบ. พลเอกเปรม และ...อย่างนี้มันเป็นวิธีคิดแบบไม่แยกส่วน เป็นอิทัปปัจจยตา เป็นมัชฌิมาปฏิปทา อย่างไรไม่ทราบครับ!

5) การเคลื่อนไหวมวลชนอย่างสร้างสรรค์ การเคลื่อนไหวมวลชนเป็นการเมืองภาคประชาชนอย่างหนึ่งถ้าทำให้ดีจะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนนโยบายที่ตามปรกติทำได้ยาก...

ผมคิดว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง เป็นการเคลื่อนไหวใน “บริบท” ของการต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านอำนาจนอกระบบที่ครอบงำการเมืองไทยมานาน ต้องการเปลี่ยนผ่านสังคมสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการกำกับครอบงำของอำนาจนอกระบบและกองทัพ มันอาจมีข้อบกพร่องหลายๆ อย่างเกิดขึ้นได้ แต่โดยรวมแล้วมันเป็นการเคลื่อนไหวที่ก้าวหน้ากว่ายุคที่คุณหมอเคลื่อนไหวให้ร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ด้วยซ้ำมิใช่หรือครับ?

ทำไมตอนนั้น ประชาชนส่วนใหญ่เอาด้วยกับคุณหมอ แต่ตอนนี้คนไม่ค่อยเอาด้วยกับคณะกรรมการปฏิรูปฯ ของคุณหมอเท่าที่ควรจะเป็น ผมคิดว่า เพราะตอนนั้นคุณหมอคิดแบบอิทัปปัจจยตา และทำแบบมัชฌิมาปฏิปทาอย่างเหมาะกับ “บริบท” แต่ตอนนี้คุณหมออาจไม่ได้คิดและทำแบบนั้นอย่างเหมาะกับ “บริบทจริงๆ” ก็ได้นะครับ

และสุดท้าย คุณหมอก็พูดถึงเรื่อง “อารยธรรมใหม่ เป็นอารยธรรมแห่งการอยู่ร่วมกัน อารยธรรมใหม่เกิดจากวิถีคิดใหม่ และจิตสำนึกใหม่” แต่จริงๆ แล้วคนขับแท็กซี กรรมกร ชาวชนบท คนเสื้อแดงทุกสถานะอาชีพ เขามีจิตสำนึกใหม่กันแล้ว ต้องการอารยธรรมใหม่ในการอยู่ร่วมกัน นั่นคือ อารยธรรมประชาธิปไตยที่ประชาชนมีเสรีภาพ มีอำนาจปกครองตนเองอย่างแท้จริง ซึ่งอารยธรรมใหม่นี้สร้างขึ้นได้ด้วยการต้องปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปสถาบันให้อยู่ภายใต้หลักการ กติกา และวัฒนธรรมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ประชาชนเกิด “จิตสำนึกใหม่” และพร้อมที่จะสร้าง “อารยธรรมใหม่” กันนานแล้วครับ ว่าแต่ราษฎรอาวุโส ปราชญ์แห่งชาติ ปูชนียบุคคลแห่งชาติทั้งหลาย ตื่นกันหรือยัง !

ที่มา : ประชาไท




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2554    
Last Update : 4 มิถุนายน 2554 15:57:19 น.
Counter : 587 Pageviews.  

วิกฤตการเมืองไทยกับบทบาทของกองทัพ

โดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร

คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ มติชนรายวัน

วิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้มีความยุ่งยากมาก ประการหนึ่ง เพราะปฏิกิริยาของฝ่ายอนุรักษนิยม หรือกลุ่มผู้ต้องการรักษาระเบียบสังคมและการเมืองแบบเดิม สามารถอิงสัญลักษณ์อำนาจจากสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีอำนาจด้านกายภาพจากกองทัพ บวกแรงสนับสนุนจากบางส่วนของสังคมและชนชั้นกลางเมืองเป็นตัวหนุนช่วย

ยุทธศาสตร์หนึ่งที่ฝ่ายอนุรักษนิยมใช้ คือ ทำให้ขบวนการทางการเมืองของฝ่ายตรงกันข้าม ที่ต้องการระเบียบใหม่ ไร้ความชอบธรรม เช่น สร้างวาทกรรมว่า ไร้การศึกษา คิดเองไม่เป็น ถูกชักจูงหรือถูกซื้อได้ง่ายๆ

แต่มีงานวิจัยเชิงประจักษ์หลายชิ้น เช่น จากกลุ่มอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จุฬาฯ ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ที่ญี่ปุ่น และที่สหรัฐอเมริกา ที่ชี้ให้เห็นว่าประชาชนต่างจังหวัด และที่อพยพมาทำงานในเมือง มีความตื่นรู้ทางการเมืองที่เป็นระบบ ความตื่นรู้นี้ได้บังเกิดและสะสมมาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะนับตั้งแต่หลัง 14 ตุลา 2516 พวกเขาสามารถคิดเอง ทำเองได้ หาทางเข้าถึงข่าวสารข้อมูลต่างๆ หลายรูปแบบด้วยตัวเองด้วย ดังนั้น พวกเขาจึงรู้เรื่องเมืองไทย และรายละเอียดเกี่ยวกับชนชั้นกลางในเมือง มากกว่าที่ชนชั้นกลางในเมืองจะรู้เกี่ยวกับพวกเขาเสียอีก ประชาชนที่ตื่นรู้เหล่านี้ ต้องการเปลี่ยนระเบียบสังคมและการเมืองเสียใหม่ ให้เป็นประชาธิปไตย และให้พวกเขาได้รับการยอมรับอย่างมีศักดิ์ศรีในฐานะเป็นพลเมืองไทยที่ทัดเทียมกับชนชั้นกลางในเมือง

นักวิชาการชาวญี่ปุ่นรายหนึ่ง หลังจากศึกษาประวัติศาสตร์และสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน จึงมีข้อสรุปไว้อย่างน่าสนใจว่า

"ความยุ่งเหยิงทางการเมืองปัจจุบัน เป็นขั้นตอนหนึ่งของพัฒนาการประชาธิปไตยของสังคมไทย ประเทศไทยกำลังประสบกับความเจ็บปวดของการเกิดใหม่ เมื่อระบบการเมืองของไทยพร้อมที่จะก้าวขั้นต่อไปข้างหน้า"
แต่เมืองไทยจะก้าวไปข้างหน้าได้ลำบาก ถ้าไม่มีการยอมรับว่าสังคมเปลี่ยนไปแล้ว และสถาบันต่างๆ ต้องปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงด้วย

สถาบันหนึ่งที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และยังมีบทบาททำให้การก้าวไปข้างหน้า หยุดชะงักได้ด้วยการทำรัฐประหาร การใช้ความรุนแรง และการต่อต้านหลายรูปแบบ ก็คือ สถาบันกองทัพ

นับจากรัฐประหาร 2549 ห้าปีผ่านมานี้แล้ว กองทัพไทยได้ขยายบทบาทในสังคมมากขึ้นมาก จนกล่าวกันหนาหูว่า ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากกองทัพจะอยู่ไม่ได้

แต่กระนั้น ก็ไม่มีใครถกเถียง หรือตั้งคำถามว่า การที่ทหารมีบทบาทสูงขึ้นดีหรือไม่ดี ? มีผลพวงต่อพัฒนาการของสังคมและการเมืองอย่างไร? และแนวโน้มในอนาคตคืออะไร ?

ที่ว่ากองทัพมีบทบาทสูงขึ้นและขยายขอบเขตนั้น มีอะไรเป็นรูปธรรม ?

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนประการหนึ่ง คือ งบประมาณกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ระหว่างปี 2550 ถึงปี 2552
หากเปรียบเทียบระหว่างประเทศต่างๆ โดยดูสัดส่วนของงบทหารเป็นร้อยละของ GDP สหรัฐในฐานะพี่ใหญ่ของโลก สูงถึงร้อยละ 4 ไทยก็สูงคือร้อยละ 1.8 เทียบเคียงได้กับจีนที่ร้อยละ 2.0 มากกว่าเยอรมนีพี่ใหญ่ของ EU ที่เพียงร้อยละ 1.3 อินโดนีเซียที่ร้อยละ 1.0 และญี่ปุ่นที่เพียงร้อยละ 0.9

หากดูอัตราส่วนของจำนวนทหาร 1 คน ต่อประชากร 1,000 คน (ตัวเลขรวมทหารนอกประจำการและกลุ่มไม่เป็นทางการที่เรียกว่า militia) ของสหรัฐ คือ ทหาร 7.9 คนต่อประชากร 1,000 คน สหราชอาณาจักร 6 คน เยอรมนี 5 คน อินโดนีเซีย 4.1 คน ญี่ปุ่น 2.2 คน

แต่ของไทย ทหาร 10 คน ต่อประชากร 1,000 คน นับว่าสูงมาก จำเป็นอะไรหนักหนาที่จะต้องมีอัตราส่วนทหารถึง 10 คน ต่อประชากร 1,000 คน ?

ประการต่อมา มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลังปี 2549 เรื่องกระบวนการโยกย้ายภายในเหล่ากองทัพ ก่อนปี 2549 โผทหารจะถูกพิจารณาโดยนายกรัฐมนตรีก่อนเสนอให้ทรงลงพระปรมาภิไธย นับจากปี 2551 พ.ร.บ. กระทรวงกลาโหมมีการแก้ไข ทำให้โผทหารประจำปี อยู่ในกำกับของกองทัพอย่างสิ้นเชิง บทบาทของนายกฯกระทำผ่าน รมต.กลาโหม ซึ่งถ้า รมต.กลาโหมมาจากฝ่ายทหาร (เช่น อดีตนายพล) หมายความว่าการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี รวมทั้งการแต่งตั้ง ผบทบ. เหล่าทัพต่างๆ จะเป็นเรื่องภายในของกองทัพทั้งสิ้น โดยเป็นเอกเทศจากรัฐบาลพลเรือนอย่างแท้จริง

อดีตนายพลท่านหนึ่งอธิบายว่า นายกฯจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สนองพระบรมราชโองการเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยสวนทางกับแนวโน้มของประเทศประชาธิปไตยพัฒนาแล้วอย่างสิ้นเชิง ที่รัฐบาลจะเป็นผู้กำกับโผทหาร

ประการต่อมา ในประเทศประชาธิปไตยทั่วไป บทบาทของผู้นำฝ่ายทหารมีจำกัด แต่ของไทยผู้นำฝ่ายทหารมีบทบาทสูง และใส่หมวกหลายใบ

มีรายงานในหน้าหนังสือพิมพ์ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 4-5 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผบ.ทบ. แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อบ่อยมากในหลายเรื่อง (The Nation, April 24, 2011) เช่น เสนอความเห็นว่ารัฐบาลควรมีนโยบายต่างประเทศเกี่ยวกับกัมพูชา ไปทางไหน

ให้คำแนะนำแก่ผู้ออกเสียงเลือกตั้งว่า เลือกตั้งเพื่อปกป้องพระมหากษัตริย์ และออกมาเลือกตั้งมากๆ จะช่วยปกป้องพระมหากษัตริย์และประชาธิปไตย

ออกคำสั่งให้มีการปิดเว็บไซต์เพิ่มขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมือง รวมทั้งให้ทหารในสังกัดแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

เมื่อวันที่ 16 พ.ค. นี้เอง ผบ.ทบ.ในฐานะรองผู้อำนวยการ กอ.รมน. เสนอให้ยกระดับ กอ.รมน. เป็นทบวงด้านความมั่นคงภายในเหมือนกับ Homeland security department ที่สหรัฐ ที่ตั้งขึ้นมาหลังเหตุการณ์ 9/11 เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย (Bangkok Post, May 16, 2011) ซึ่งเมื่อดำเนินการไปในขณะนี้กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าใช้งบฯมากเกินความจำเป็น ในการแสวงหาข้อมูล หรือดำเนินการเพื่อป้องกันการก่อการร้าย ได้ใช้วิธีการขัดกับหลักการปกป้องเสรีภาพส่วนบุคคลในรัฐธรรมนูญ แม้กระทั่ง อาจเปิดจดหมายของใครก็ได้ ด้วยเหตุผลของความมั่นคง

ในรายงานกล่าวว่า ผบ.ทบ.ไทยต้องการขยายขอบข่ายงานของ กอ.รมน.ทั้งบุคลากร และงบประมาณด้วย เพื่อจัดการกับการที่ประเทศถูกคุกคามแบบใหม่ๆ และทบวงนี้จะดูแลปัญหาด้านภัยพิบัติจากธรรมชาติ ปัญหาภาคใต้ และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

ผบ.ทบ.ได้เสนอความคิดเห็นนี้กับอดีตนายกฯ (อภิสิทธิ์) แล้ว และอดีตนายกฯก็แสดงความเห็นชอบ

ผบ.ทบ.จึงสั่งการให้มีคณะทำงานเพื่อศึกษาวางแผน และเตรียมเสนอโครงการนี้กับรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง
ทำไมจึงจะต้องขยาย กอ.รมน. รวมทั้งบุคลากร และงบประมาณ ถึงขนาดจะตั้งเป็นทบวงใหม่ ซึ่งขณะนี้งบฯทหารเองก็มากเกินความจำเป็นแล้ว ประชาชนผู้เสียภาษีควรจะมีบทบาทรับรู้และอภิปรายเรื่องนี้ จะมาตกลงกันระหว่าง ผบ.ทบ. และอดีตนายกฯแบบนี้ใช้ได้หรือ ?

เป็นที่ชัดเจนว่าทหารเป็นองค์ประกอบของผู้รักษาระเบียบเก่า ได้ประโยชน์จากระเบียบเก่า อีกทั้งยังเป็นองค์ประกอบของความยุ่งยากในการแสวงหาทางออกให้กับความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธี

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่สังคมไทยจะต้องมีการอภิปรายกันถึงการขยายบทบาทของทหารในสังคมไทยว่าดีหรือไม่ดี ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างไร ? อำนาจของ ผบ.ทบ. ที่ดูเหมือนล้นฟ้าขณะนี้ควรถูกจำกัดให้อยู่ระดับใด?

ที่มา : มติชน




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2554    
Last Update : 3 มิถุนายน 2554 20:18:15 น.
Counter : 636 Pageviews.  

ปฏิรูปประเทศไทย:”ความเพ้อเจ้อ”ของนายประเวศ วะสี

โดย ไกรก้อง กูนอรลัคขณ์
22 มีนาคม 2554

นายประเวศ วะสี ประธาน คสป. แถลงว่า วันที่ 24-26 มีนาคมนี้ จะมีการจัดสมัชชาปฏิรูปเป็นการประชุมสุดยอดทางสังคมที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพื่อร่วมจัดทำฉันทามติแก้ทุกข์ของชาติซึ่งไม่มีรัฐบาลใดอดีต ปัจจุบัน และอนาคตจะแก้ไขได้ เพราะเกิดจากโครงสร้างที่ทำให้คนส่วนน้อยเอาเปรียบชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นปัญหาหลักของประเทศไทย

โดยกล่าวว่า จะมีการขอ ฉันทามติ เรื่องการกระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น กระจายการที่ดิน พลังศิลป์เยียวยาการชิงชังและทอนกำลังกัน

แน่นอนว่า ณ ปัจจุบันนี้ นายประเวศ ก็ยัง ไม่มีการพูดถึง การล้อมปราบการสังหารประชาชน 91 ศพ ในเหตุการณ์พฤษภาอำมหิต ทั้งที่ปากเขาชอบพร่ำบ่นถึงความยุติธรรม

นายประเวศ มักกล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่เป็นแนวคิดหน้าที่ว่าด้วยการสมานฉันท์ การปรองดอง การที่แต่ละส่วนมีหน้าที่ในการผลักดันให้องคาพยพเคลื่อนตัวไป

เหมือนดั่งกับว่า สังคมในโลกนี้ไม่มีความขัดแย้ง

เป็นทฤษฎีเดียวกับฮิตเลอร์เผด็จการนิยมใช้กล่าวอ้างในการควบคุมประชากรไม่ให้กระด้างกระเดื่องต่ออำนาจผู้ปกครอง

แท้จริงแล้ว ปัญหาการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ปัญหากระจายการถือครองที่ดิน และ การปฏิรูประเทศไทยนั้น ย่อมเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมไทย ที่โยงใยกับปัญหาการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่? อย่างไร?

ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการจัดตั้งองค์กรในการเคลื่อนไหวแค่ไหน? ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีหรือไม่ ?

ปัญหาการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งนายประเวศเสนอ ก็ไม่ได้ฟันธงว่า คือการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดหรือไม่?

ยังพูดลอยเพ้อๆอยู่ และการเลือกตั้งผู้ว่าที่มีการเสนอมีนาน ก็มักถูกขัดขวางจากระบบราชการส่วนสำคัญของระบอบอำมาตยาธิปไตย

นายประเวศ อาจจะพูดถึง การกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการทรัพยากรธรรมชาติ แต่นายประเวศไม่ได้ทบทวนบทเรียนว่า อุปสรรคสำคัญในการกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นก็มักเป็นหน่วยงานระบอบราชการที่มีวิธีคิดแบบรวมศูนย์อำนาจนั่นเอง

นายประเวศ พูดถึงการกระจายการถือครองที่ดิน แม้แต่การเปิดเผยข้อมูล ว่าใครถือครองที่ดิน เท่าไร ที่ไหน ก็ยังมิอาจกระทำได้จริง

ดูเหมือนนายประเวศ จะเพ้อๆว่า ปัญหาโครงสร้าง ถ้าทุกคนรู้ก็จะประเทืองปัญญา ตรัสรู้ได้ก็สามารถแก้ปัญหาได้ในทันทีทันใด ซึ่งนายประเวศทำประจำมาทุกรัฐบาล

นายประเวศ แถลงว่าจะมีประชาชนและหลายองค์กรมาร่วมประชุมในครั้งนี้จำนวนมาก แต่นายประเวศก็ไม่ได้บอกว่า ใครจ่ายงบประมาณ มีเบี้ยเลี้ยงไหม ใช้งบประมาณอย่างพอเพียงไหม?

หรือว่า “ กูมาเอง ไม่มีใครจ้างกูมา ” หรือว่า “กูต้องมาเพราะไม่มาสสส. สกว. พอช. จะตัดทุนโครงการกู” นายประเวศก็ควรชี้แจงให้โปร่งใสด้วย มิฉะนั้น “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”

ผู้เขียนเอง มีความคิดว่า มีแต่สังคมประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะนำเปิดทางให้ประชาชนสามารถรวมกลุ่มสร้าง อำนาจอย่างเสรีต่อรอง กดดัน สร้างพลัง เพื่อให้ชนชั้นที่เอาเปรียบ ยอมกระจายการกระจุกตัวของที่ดินที่ตนเองครอบครองอยู่ ยอมที่จะจ่ายภาษีก้าวหน้า เพื่อกระจายความมั่งคั่งที่ตนเองเสพสุขอยู่บนความทุกข์ของคนจำนวนมาก ฯลฯ

ปัญหารากเหง้าในเงื่อนไขสภาพทางการเมืองที่สำคัญในช่วงประวัติศาสตร์ ปัจจุบัน คือ ระบอบอำมาตยาธิปไตย มีปรัชญาความเชื่อว่า คนยังโง่อยู่ ไม่มีความรู้ จึงต้องเป็นพลเมืองชั้นสอง จึงต้องมีคนที่เหนือกว่าปกครองดูแล จึงเป็นเพียงไพร่ ที่มูลนายต้องบังคับควบคุมดูแล เหมือนเฉกเช่นสมัยในอดีตสังคมศักดินาไทย

ข้อเสนอของนายประเวศ เป็นการบิดเบือนหลอกลวง การแก้ไขปัญหาที่แท้จริง เนื่องเพราะว่า การปฏิรูปประเทศไทย ที่สำคัญคือการปฏิรูปกองทัพและองคมนตรี ซึ่งล้วนเป็นจักรกลของระบอบอำมาตย์ทั้งสิ้นที่คอยขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า เช่น การรัฐประหาร การแทรกแซงทางการเมือง เป็นต้น

การปฏิรูปประเทศไทย ปฏิเสธไม่ได้ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ด้วยไม่เพียงต้องสร้างนโยบายและกฎหมาย เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่ล้าหลังขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยในหลายมาตรา การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยต้องลดอำนาจนอกระบบ เช่น การให้อำนาจกับกระบวนการตุลาการมากเกินไปโดยไม่ได้เชื่อมโยงกับประชาชนแต่อย่างใด สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งถึง 74 คน ฯลฯ และอื่นๆที่ต้องช่วยคิดช่วยผลักดัน

การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม (เหมือนสูตรที่นายประเวศท่องจำตลอดเวลา แต่กลับไม่นำมาใช้มาปฏิบัติ) ซึ่งต้องมีกระบวนการจากล่างสู่บนเหมือนเช่นกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ 40 ต้องมีการระดมความคิดเห็นจากภาคส่วนสาขาอาชีพต่างๆ มิใช่เพียงภาคประชาชน ภาคประชาสังคม เพียงน้อยนิดของนายประเวศและเหล่าอำมาตย์เอ็นจีโอทั้งหลายเท่านั้น

การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายให้มีความยุติธรรมเท่าเทียมกันไม่ใช่ระบบสองมาตรฐานอย่างที่เห็นและเป็นอยู่

การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องปฏิรูปความคิดจิตสำนึกให้คนในสังคมไทยรักประชาธิปไตย เคารพหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง เคารพกติกาประชาธิปไตย ฯลฯ และอื่นๆอีกมากมายที่ต้องช่วยคิดช่วยผลักดัน

ดังนั้น การปฏิรูปประเทศไทย จึงมิเป็นเพียงของนายประเวศและคณะเท่านั้น




 

Create Date : 22 มีนาคม 2554    
Last Update : 22 มีนาคม 2554 21:07:24 น.
Counter : 627 Pageviews.  

ข้อเท็จจริงอันชวนสงสัยของรัชกาลที่7กับบทบาทประชาธิปไตย

พระราชกรณียกิจอันชวนสงสัยของรัชกาลที่7 ทั้ง9ประการ

1.กรณีการขวางร่าง พ.ร.บ.อากรมรดกที่ผ่านสภานำมาถวายให้กษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยเพื่อบังคับใช้ แต่ร.7 คืนร่าง พ.ร.บ.นั้น มาให้สภาฯพิจารณาใหม่ โดยต้องการให้สภาเพิ่มบทบัญญัติเรื่องยกเว้นการเก็บอากรมรดกจากทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้ชัดแจ้งว่าไม่ต้องเก็บอากรมรดก โดยประสงค์ให้เติม ข้อความต่อไปนี้คือ "พระราชทรัพย์สินใดๆที่เป็น พระราชมรดกไปยังผู้อื่นนอกจากผู้สืบราชสมบัติต้องเก็บอากรมรดก นอกจากนั้นเป็นพระราชทรัพย์ฝ่ายพระมหากษัตริย์ไม่ต้องเสียอากรมรดก"

2.กรณีการขวางพ.ร.บ.3ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขกฎหมายลักษณะอาญา,ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญาทหาร โดยต้องการให้เพิ่มเติมว่า หากมีการตัดสินประหารชีวิต(1)ผู้ต้องคำพิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตนั้นจะต้องให้ได้ทูลเกล้าฯถวายเพื่อพระราชทานอภัยโทษ และยอมให้ญาติหรือผู้ต้องคำพิพากษานั้นทูลเกล้าฯแทนได้ด้วย (2)ในระหว่างที่ยังไม่ได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยให้รอการประหารชีวิตไว้

3.มีหลักฐานทางทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ว่า ร.7ได้ สั่งจ่ายเงิน2ครั้ง เป็นเงิน200000บาท เพื่อสนับสนุนทางการเงินให้กับกบฎบวรเดช นอกจากนี้ก่อนกบฎไม่นาน ยังหนีภัยไปประทับในพระที่นั่งไกลกังวล และจ่ายเงิน2ครั้งรวม6000บาทสำหรับซื้อเสบียงอาหาร" ยามฉุกเฉิน"เพื่อตุนไว้ก่อนทำการก่อกบฎ

4.ภายหลังเหตุการณ์กบฎบวรเดช ร.7มีความต้องการให้อภัยโทษนักโทษกบฎบวรเดชโดย
:ถ้าประหารให้เหลือเนรเทศ10ปี
:ถ้าจำคุกตลอดชีวิตให้เนรเทศ5ปี
:หากโทษต่ำกว่าจำคุกตลอดชีวิตให้ปล่อยตัวไป
:เลิกตามจับคนที่เหลือ

5.การให้ความเห็นชอบกับการออกพระราชกฤษฎีกางดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราและปิดสภาผู้แทนราษฎรปี2476

6.ความพยายามแทรกแซงรัฐธรรมนูญฉบับ10ธ.ค. โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเสนอเรื่อง สมาชิกสภาประเภทที่2 ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษััตริิย์ และความต้องการให้คงตำแหน่งสถานะสมาชิกสภาผู้แทนฯประเภทแต่งตั้งไว้นานถึง 10 ปี แทนที่จะให้สมาชิกสมาผู้แทนฯทั้งหมดมาจากเลือกตั้ง

7.กรณีการตั้งพรรคการเมือง โดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดานำเรื่องนี้มาปรึกษากับพระปกเกล้าฯ โดยทรงมีหนังสือตอบพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ว่า
"ตามที่มีบุคคลได้ตั้งสมาคมคณะการเมือง และขออนุญาตตั้งขึ้นอีกนั้น ข้าพเจ้ามีความวิตกเป็นอันมาก ด้วยเกรงว่าจะเป็นเหตุกระทบกระเทือนถึงความสงบสุขของประชาชน ?. ประเทศสยามซึ่งพึ่งจะมีรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ยังหาถึงเวลาสมควรที่จะมีคณะการเมืองเช่นเขาไม่ ด้วยประชาชนส่วนมากยังไม่เข้าใจวิธีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญเสียเลย ?. ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ในเวลานี้อย่าให้มีสมาคมการเมืองเลยจะดีกว่า แต่โดยเหตุที่บัดนี้รัฐบาลได้ยอมอนุญาตให้มีสมาคมคณะราษฎรเสียแล้ว จึ่งเป็นการยากที่จะกีดกันห้ามหวงมิให้มีคณะการเมืองขึ้นอีกคณะหนึ่งหรือ หลายคณะได้ อย่างดีที่สุดข้าพเจ้าเห็นว่าสมควรที่จะเลิกสมาคมคณะราษฎรและคณะอื่นทีเดียว? ."

8.กรณีการฟ้องคดีพระคลังข้างที่(ตามคดีหมายเลขดำที่ 242/2482 คดีหมายเลขแดง ที่ 404/2484) โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้พบว่า เงินซึ่งฝากไว้ในนามของพระมหากษัตริย์ไทย(แต่ที่จริงเป็นเงินของรัฐ) เงินได้ขาดหายไปหลายรายการ อัยการจึงยื่นฟ้องพระปกเกล้าฯต่อศาลแพ่งเรียกร้องให้ใช้เงินราว6ล้านบาทกว่าๆคืนแก่กระทรวงการคลัง เพราะกษัตริย์ทำหาย(หรือ"แอบใช้"ไปก็ไม่ทราบ) คดีนี้ตัดสินภายหลังจากที่ร.7ตาย และผลในคดีคือกษัตริย์เป็นฝ่ายแพ้

9.กรณีคดีนายถวัติ ฤทธิเดช ได้ฟ้องร.7ว่า หมิ่นประมาทตน โดยข้อความในบันทึกพระราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี มีข้อความว่า"เรื่องกรรมกรที่ผู้เขียนอ้างว่า เป็นการแสดงข้อหนึ่งถึงความระส่ำระสายอันนี้นั้น ข้าพเจ้าขอตอบได้ว่า การที่กรรมกรหยุดงานนั้น หาใช่หยุดเพราะความเดือดร้อนจริงจังไม่ ที่เกิดเป็นดังนี้ก็เพราะมีคนยุให้เกิดการหยุดงานขึ้น เพื่อจะได้เป็นโอกาศให้ตั้งสมาคมคนงาน และตนจะได้เป็นหัวหน้า และได้รับเงินเดือนกินสบายเท่านั้น" แต่ต่อมาก็ถูกฟ้องกลับฐานเป็นกบฎและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

นี่ยังไม่รวมถึงความสงสัยอีกหลายกรณีแต่ไม่มากอย่างที่กล่าวไป เช่น กรณีรัฐบาลได้จัดให้มีพิธีศพให้ผู้ตายทั้ง17คนตอนปราบกบฏบวรเดช โดยสร้างเมรุชั่วคราวที่สนามหลวง ซึ่งรัชกาลที่7ไม่ยอมให้ใช้พื้นที่ แต่ทางคณะราษฎรยืนยันที่จะสร้าง รัชกาลที่7จึงต้องทรงยินยอม แต่ระบุถ้อยคำว่า?ไม่ได้เป็นพระราชประสงค์? เป็นต้น

นี่คือข้อเท็จจริงที่ยกมาโดยคุณนายหลวงแห่งบอร์ดชุมชนคนเหมือนกันยกมา ซึ่งBloggerได้ตัดเอาบทวิพากษ์ของเขาที่มีต่อข้อเท็จจริงนั้นออกไป เพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาเอาเองว่า พระราชกรณีย์ที่ว่ามานี่น่าสงสัยหรือไม่ในการปกครองระบอบราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ (ขอให้Royalismอย่าได้ยกวาทกรรมประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาใช้ตีขลุมตรรกะวิบัติในการคิดวิเคราะห์อย่างเด็ดขาด เพราะในความเป็นจริงก็คือความหมายเดียวกัน)
ท่านใดที่สนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษขอให้ลองไปสอบถาม อ.ดร.ณัฐพล ใจจริง แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2553    
Last Update : 25 ธันวาคม 2553 17:28:57 น.
Counter : 862 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.