ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

เสียงสะท้อนถึง ปปช.กรณีกลับลำอ้าง'สถาบันอุดมศึกษาเอกชนไม่ใช่ธุรกิจเอกชน'

ที่มา เวบไซต์ มติชน
9 ตุลาคม 2552

ป.ป.ช. กลับลำยกคำร้องข้อกล่าวหา"วิจิตร ศรีสอ้าน" นั่งควบเก้าอี้ รมว.ศึกษา-นายกสภามหาวิทยาลัย 4 แห่ง ไม่ผิด อ้างไม่ใช่ธุรกิจเอกชน สวนทางมติเดิมที่เคยยืนยันผลประโยชน์ส่วนตัว ขัดแย้งกับผลประโยชน์ส่วนรวม

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผย "มติชนออนไลน์" ถึงความคืบหน้ากรณีการไต่สวนเรื่องที่มีกล่าวหา นายวิจิตร ศรีสอ้าน ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีพฤติการณ์ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา100 (4) เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกและกรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษาเอกชนถึง 4 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยสยาม, มหาวิทยาลัยรังสิต , มหาวิทยาลัยศรีโสภณ และวิทยาลัยเฉลิมกาญจนาภิเษกว่า

ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่า เสียงส่วนใหญ่มีมติให้ยกข้อกล่าวหาดังกล่าว

โดยอ้างว่า สถาบันอุดมศึกษาเอกชนมิใช่ธุรกิจเอกชน ตามพ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 และประมวลรัษฎากรซึ่งมหาวิทยาลัยเอกชนไม่ต้องเสียภาษี

อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.เสียงข้างน้อยเห็นว่า ถ้า ป.ป.ช.วินิจฉัยออกมาในแนวทางดังกล่าว ต่อไปรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีอำนาจกำกับดูแลมหาวิทยาลัยเอกชน เมื่อพ้นจากตำแหน่ง ก็สามารถไปเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเอกชนได้

ผู้สื่อรายงานว่า มติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดังกล่าว ขัดแย้งกับมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ 65/2551 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งมีความเห็นว่า

สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเป็นธุรกิจเอกชนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลควบคุมหรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐ การดำรงตำแหน่งเป็นนายกสภาสถาบัน หรือกรรมการสภาสถาบันของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น ถือว่า เป็นกรรมการในธุรกิจของเอกชน ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลควบคุมหรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ

นอกจากนั้น การดำเนินการบางอย่างของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เช่น การอนุมัติแผนการเงิน งบดุล งบการเงินประจำปีของกองทุนประเภทต่างๆ การอนุมัติ การรับนักศึกษา การให้ประกาศนียบัตร อนุปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิต หรือปริญญากิตติมศักดิ์แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยสภาพของผลประโยชน์ อาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ของทางราชการ หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ
ดังนั้นหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน หรือกรรมการสภาสถาบันในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จึงเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 และต้องห้ามมิให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน และกรรมการสภาสถาบันในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ภายหลังพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้วไม่ถึงสองปีด้วย ........



ความเห็นจากชาวเวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน

คุณตระกองขวัญ
อ่านรายละเอียดดูแล้วจะรู้สึกได้ว่า งานนี้มันเป็นการพยายามตีความ เพื่อช่วยเหลือเอื้ออวยกันชัด ๆ แล้วมาตรฐานความเที่ยงธรรมอยู่ไหน ? จะให้ประชาชนเชื่อถือได้อย่างไร ? หรือถือว่าไม่อาย ไม่ด้าน ทำงานให้เข้าเป้าเป็นหลัก แล้วบ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไร ?

ผมคิดว่า ที่กลับลำแบบนี้ เพราะถ้าชี้มูลออกมาว่า ผิดกฎหมาย ปปช. มาตรา 100 มันก็จะไปอีหรอบเดียวกันกับทักษิณ ทักษิณโดนไป 2 ปี คนนี้ก็ต้องโดนด้วย จะรอลงอาญาก็ไม่สนิท มันก็เลยต้องกลับลำ ตีความออกมาแบบนี้ อีกอย่าง หากตีความว่าผิด มันจะโยงและพัวพันไปอีกหลายเรื่อง เช่น ศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่สอนในมหาวิทยาลัยเอกชน แล้วตัดสินให้สมัครหลุดเก้าอี้

ว่าแต่ว่า ป.ป.ช. ครับเรื่องจารุวรรณ เมณฑกา ไปถึงไหนแล้ว คงไม่ดองจนแก่ตายหรอกนะ

คุณ Jampoon
ก็เขาไม่ได้วินิจฉัยโดยใช้พจนานุกรมแบบศาลนี่ แต่วินิจฉัยแบบศรีธนญชัย เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ ป.ป.ช.

คุณ Namtoa08
ทำ ใจครับ ประเทศไทยยามนี้ จะทำให้คนเล่นตามกติกาที่วางไว้ หายากครับ ต่างคนต่างใช้มาตรฐานโดยเอาตัวเอาพวกเป็นที่ตั้ง อำนาจอยู่ในมือแล้วนี่ จะทำอะไรก็ได้ เศร้าใจจริง ๆ กับองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ถ้ายังเป็นอย่างนี้มีแต่พัง

คุณกิจ กังวาน
เรื่อง นี้เปรียบเทียบได้หมดล่ะครับ กับสิ่งที่เกิดขึ้น มันชี้ให้เห็นถึงมาตรฐานกฎหมาย สำหรับพวกเอ็งกับพวกข้า.!!!!! แล้วจะทนกันไปอีกสักกี่น้ำเล่าหนอ ..พี่น้องเอย ?????




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2552    
Last Update : 9 ตุลาคม 2552 16:56:02 น.
Counter : 575 Pageviews.  

นิพนธ์คนของใคร? ทำไมสัญญาณพิเศษขัดข้องก่อนไขก๊อก

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา วิกิพีเดีย และมติชน
1 ตุลาคม 2552

พลันที่มีกระแสข่าวสะพัดว่านายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หลังอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตัด"สัญญาณพิเศษ"ด้วยการตั้งพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐขึ้นรักษาการผบ.ตร. สปอตไลต์การเมืองก็ฉายส่องมายังนิพนธ์ว่า เขาเป็นใคร สายไหน และเหตุใดจึงไขก๊อก

นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส.นครราชสีมาหลายสมัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2495 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ นายประสิทธิ์ และ นางตุ๊ พร้อมพันธุ์

นายนิพนธ์เป็น เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงเลื่อย เช่น โรงเลื่อยจักรไทยพูนสิน บ.ไทยประสิทธิ์ทำไม้ และ บ.ชนาพันธ์ นับเป็นแหล่งทุนเก่าแก่รายหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ และยังเป็นพี่ชายของนางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ภรรยานายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย

วิกิพีเดียรายงานว่า นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้ว ได้ไปศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ โรงเรียนมิลฟิลด์ แคว้นซอมเมอร์เซท ประเทศอังกฤษ โดยเป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนใน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ก่อนที่จะไปศึกษาต่อที่บาร์เกอร์คอลเลจ ประเทศออสเตรเลีย จนได้ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย เมื่อปี พ.ศ. 2515

ปลาย ปี พ.ศ. 2551 นายนิพนธ์ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง เลขาธิการนายกรัฐมนตรี อีกครั้งในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์สามารถกลับขั้วการเมืองจัดตั้งรัฐบาล ในการดำรงตำแหน่งครั้งนี้ ชื่อของนายนิพนธ์ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอีกครั้ง เมื่อพยายามขับรถฝ่าคนกลุ่มเสื้อแดงที่หน้า กระทรวงมหาดไทย ด้วยความเร็วสูงจนชนประตูรั้วทะลุไปได้แต่สุดท้ายไม่สามารถขับหนีออกไปได้ เพราะมีรถแท็กซี่จอดขวางอยู่ จึงถูกรุมทุบรถเพราะคนเสื้อแดงเข้าใจว่ารถนายนิพนธ์พยายามพุ่งชน แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็จบลงเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดง ได้นำส่งโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552 โดยมีข่าวว่าเขาได้ไปพักอยู่ใน"สถานที่พิเศษ"ในช่วงเวลานั้นด้วย

สถานการณ์ แต่งตั้งผบ.ตร.ที่มีกระแสข่าว2แคนดิเดตระหว่างพล.ต.อ.ปทีปที่มีข่าวว่าได้ รับการสนับสนุนจากสัญญาณพิเศษที่ว่ากันว่าเป็น"ข้อมูลสำคัญ"สำหรับการตัดสิน ใจ ในขณะเดียวกันนายนิพนธ์ก็มีเหตุต้องเดินทางไปเยอรมนีเพื่อรับ"ข้อมูลสำคัญ มาก"จากสัญญาณพิเศษชนิดหนึ่ง และมีข่าวว่าสัญญาณพิเศษนั้นต้องการให้พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ซึ่งเคยเป็นครูฝึกบินให้ผู้ใหญ่ได้เป็นผบ.ตร.

ระหว่างนั้นมติชนออ นไลน์รายงานข่าวพิเศษว่า บุคคลนิรนามที่ได้รับสมญานามว่า "หัวเถิก" ออกมาเดินเกมล็อบบี้กรรมการ ก.ต.ช.ขอให้หนุนคนที่นายกฯเสนอ

"บุคคลชั้นสูงต้องการให้ พล.ต.อ.ปทีป นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.คนใหม่" นั่นเป็นสิ่งที่คนหัวเถิกแจ้ง พร้อมกับยืนยันว่า "ไม่มีบุคคลชั้นสูงคนใดสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล" ??

ว่ากันว่า ก.ต.ช.รายนั้นยังยืนยันใน "ข้อมูลเดิม" จนฝ่ายเข้าหาชักยัวะถึงขนาดขอเบอร์โทรศัพท์ "ผู้ออกคำสั่งให้สนับสนุน"

งานนี้ไม่รู้ว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ เพราะล้วนแต่อ้างถึงคนชั้นสูงทั้งนั้น

ตำรวจ ผู้ใหญ่ยศพลตำรวจเอกคนหนึ่งกล่าวกับ"ไทยอีนิวส์"ว่าเรื่องนี้ไม่ยากเย็นตรง ไหน มันอยู่ที่วุฒิภาวะผู้นำของอภิสิทธิ์เป็นสำคัญ จะตั้งใครก็ตั้งไป ในเมื่อที่ฝากกันมาก็ใหญ่ทั้งคู่ หากไม่อยากเสี่ยงก็ต้องไปหาไปถามตรงๆเพื่อไม่ให้เกิดสัญญาณขัดข้อง หรือสัญญาณที่คลุมเครือ

หากสัญญาณพิเศษที่ส่งมาตีกันเอง ก็ให้ไปตกลงกันเองให้ดีก่อน เพราะปัญหาภายในครอบครัว ไม่ควรมาเป็นปัญหาให้กับบ้านเมือง




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2552    
Last Update : 1 ตุลาคม 2552 17:55:03 น.
Counter : 1363 Pageviews.  

วิกฤตในบั้นปลายรัชกาลของอาณาจักรไทย(ตอนที่6):ยุวกษัตริย์กับบัลลังก์เลือด

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
25 กันยายน 2552

วิกฤตการณ์ทางการเมือง อันสืบเนื่องมาจากความยุ่งยากในบั้นปลายรัชกาลนั้นมีมาทุกราชธานี และมีสืบมาตั้งแต่ครั้งต้นกรุงศรีอยุธยา ปัญหาหนักข้อหนึ่งก็คือการสืบสายเลือดขัติยะนั้น หลายครั้งก็จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งยุวกษัตริย์ เพื่อสืบสันตติวงศ์ และเป็นความเปราะบางที่นำไปสู่การโค่นล้มราชบัลลังก์แบบนองเลือดอยู่เนืองๆ


กรณีที่1:พระเจ้าทองลัน

พระสาทิสลักษ์สมเด็จพระราเมศวร จากจินตนาการของจิตรกร

ความยุ่งยากเกิดขึ้นเมื่อปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง กษัตริย์พระองค์แรกผู้ก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาจวนจะสวรรคตนั้น ได้มอบราชสมบัติให้กับพระโอรสคือสมเด็จพระราเมศวร เป็นกษัตริย์อยุธยา องค์ที่ 2 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง)กับพระขนิษฐาของขุนหลวงพะงั่ว

พระราเมศวรทรงขึ้น ครองราชย์ได้เพียงปีเดียวก็สละราชสมบัติให้กับขุนหลวงพะงั่ว ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินในพระนามสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เพราะขุนหลวงพะงั่วทรงมีอำนาจตัวจริงในแผ่นดินในกาลครั้งนั้น และขุนหลวงพะงั่วได้ยกกองทัพมาจากเมืองสุพรรณบุรี ประชิดกรุงศรีอยุธยา บีบให้หลานคือพระราเมศวรทรงสละราชสมบัติให้ แล้วส่งหลานเสด็จกลับไปครองเมืองลพบุรีที่ทรงเคยปกครองในอดีต

ต่อมาขุนหลวงพะงั่วเสด็จสวรรคตระหว่างไปรบ พระเจ้าทองลันพระราชโอรส เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา เป็นยุวกษัตริย์ที่มีพระชนมายุได้ 15 พรรษา แต่ครองราชสมบัติได้ 7 วัน สมเด็จพระราเมศวรก็ได้ทรงนำกำลังจากเมืองลพบุรีเข้ายึดกรุงศรีอยุธยาทวงราช สมบัติ แล้วกุมตัวพระเจ้าทองลันไปสำเร็จโทษ

กรณีที่2"พระรัษฎาธิราช

สมเด็จพระรัฏฐาธิราชกุมาร หรือ สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร กษัตริย์พระองค์ที่ 12 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร)ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระชนมายุน้อยที่สุดใน ประวัติศาสตร์ไทย

เมื่อสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรเสด็จสวรรคต ด้วยการประชวรไข้ทรพิษ ในพ.ศ. 2076 ได้มอบราชสมบัติให้พระรัฏฐาธิราชกุมาร ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 5 พรรษา ทั้งๆ ที่มีพระไชยราชา พระปิตุลาเป็นพระมหาอุปราชอยู่แล้ว

เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ 5 เดือน บ้านเมืองอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย พระไชยราชาซึ่งครองเมืองพิษณุโลกอยู่ ทรงยกกองทัพลงมาชิงราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2077 ทรงสำเร็จโทษพระรัฏฐาธิราชกุมารแล้วเสด็จขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระไชยราชาธิราช

กรณีที่3:พระยอดฟ้า

สมเด็จพระยอดฟ้า หรือ พระแก้วฟ้า กษัตริย์พระองค์ที่ 14 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระไชยราชาธิราช พระองค์ทรงครองราชย์เพียงช่วงเวลาสั้นๆ โดยพงศาวดารเขียนไว้ว่า เพราะพระมารดาทรงร่วมมือกับชายชู้ในการแย่งชิงราชบัลลังก์

ความสืบเนื่องมาจากช่วงระยะก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ไม่นานนั้น"พระเทียรราชา" พระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระไชยราชา พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับสมเด็จพระพนรัต วัดพระเชตุพน หรือวัดโพธิ์ ท่าเตียน บันทึกไว้ว่า "ศักราช 889 ปีกุน นพศก สมเด็จพระไชยราชาธิราชเจ้า เสด็จสวรรคต ณ มัชฌิมวิถีประเทศ (กลางทางระหว่างไปรบกับเชียงใหม่ แต่ต้องกระสุนขณะนำทัพเข้าตีเมืองหริภุญไชย ลำพูน อันเป็นเมืองด่านหน้าของเชียงใหม่ในทิศใต้สมัยนั้น) มุขมนตรีเชิญพระบรมศพเข้าพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระไชยราชาธิราชเจ้า อยู่ในราชสมบัติมไหศวรรย์ 14 พรรษา มีพระราชโอรสสองพระองค์ และพระราชโอรสผู้พี่ทรงพระนาม "พระยอดฟ้า" พระชนม์ได้ 11 พรรษา พระราชโอรสผู้น้องทรงพระนามว่า "พระศรีศิลป์" พระชนม์ได้ 5 พรรษา

ครั้นถวายพระเพลิงพระไชยราชาเสร็จแล้ว ก็ถึงคราวผลัดแผ่นดิน ฝ่ายพระเทียรราชา ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของสมเด็จพระไชยราชานั้น จึ่งดำริว่า "ครั้นกูจะอยู่ในฆราวาสบัดนี้ เห็นภัยจะบังเกิดมีเป็นมั่นคง ไม่เห็นสิ่งใดที่จะเป็นที่พึ่งได้ เห็นแต่พระพุทธศาสนา และผ้ากาสาวพัตร์ อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ จะเป็นที่พำนักพันภัยอุปัทวอันตราย ครั้นดำริแล้ว ก็ออกไปอุปสมบทเป็นภิกษุภาวะอยู่ ณ วัดราชประดิษฐาน..."

สรุปก็คือที่พระเทียรราชาออกบวช ก็เพื่อให้การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเป็นไปโดยความราบรื่น เพราะพระเทียรราชาเป็นพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน หากอยู่ในเพศฆราวาสต่อไป ก็อาจทำให้เกิดความระแวงได้ว่าจะเป็นภัยต่อราชสมบัติของยุวกษัตริย์ คือพระยอดฟ้า ที่เป็นหลานของพระองค์

แต่ระหว่างที่พระเทียรราชาออกบวชนั้น แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ พระมารดาของพระแก้วฟ้า ได้เป็น"แม่หยัวเมือง หรือแม่อยู่หัวเมือง"ผู้ว่าราชการหลังม่านแทนยุวกษัตริย์ มีอำนาจตัวจริง และพงศาวดารระบุว่าได้ทรงมีชู้อยู่กินกับพันบุตรศรีเทพ พนักงานเฝ้าหอพระด้านนอกวัง จนมีพระราชธิดาด้วยกัน 1 องค์ และต่อมาก็ได้ก่อเหตุปลงพระชนม์พระยอดฟ้า แล้วยกพันบุตรศรีเทพ ชู้รักขึ้นเป็นกษัตริย์ ชื่อว่า ขุนวรวงศาธิราช

เมื่อบ้านเมืองเป็นทุรยุคดังนั้น บรรดาขุนนางก็ทนไม่ได้ ไปร่วมวางแผนกับพระภิกษุเทียรราชาในวัด ตามพงศาวดารว่ามีการเสี่ยงเทียนทำนายว่าหากพระเทียรราชามีบุญจะได้เป็นพระ เจ้าแผ่นดิน ขอให้เทียนที่จุดเป็นสัญญลักกณ์แทนท่านนั้นดับทีหลังเทียนที่ใช้เป็น สัญลักษณ์แทนขุนวรวงศาธิราช ครั้นผลเสี่ยงเทียนเป็นไปดังใจหมายแล้ว จึงพากันทำการยึดอำนาจรัฐประหาร ล้มล้างราชบัลลังก์แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และขุนวรวงศาธิราชเป็นผลสำเร็จ แล้วก็ได้ทูลขอให้พระภิกษุพระเทียรราชาลาสิกขา หรือ ทรงปริวัตรกลับเพศเป็นฆราวาส เสด็จขึ้นครองราชย์ในพระนาม "สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์"

พระเทียรราชามีพระชายาคือ สมเด็จพระศรีสุริโยทัย ซึ่งต่อมาปลอมพระองค์เป็นชายออกรับศึกพม่าจนสิ้นพระชนม์บนคอช้าง ทำให้พม่าถอยทัพกลับเมือง

นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยบางสำนักกล่าวว่า พระเทียรราชาอาศัยผ้าเหลืองหนีราชภัย แล้วสมคบคิดกับขุนนางและขุนศึกก่อการรัฐประหารยึดอำนาจแม่เจ้าอยู่หัวศรี สุดาจันทร์ และรัชทายาทตามกฎหมาย แต่เมื่อล้มล้าง"อำนาจเก่า"สำเร็จแล้ว ก็จะได้ชื่อว่าแย่งราชสมบัติหลาน และลูกเมียพี่ชาย ก็อาจจะสั่งให้ชำระประวัติศาสตร์เสียใหม่ให้ พระนางเลวชาติโดยการกล่าวหาว่า"ฆ่าผัว-ฆ่าลูก-คบชู้-ยกชู้ขึ้นเป็นใหญ่"

เข้าทำนองคนชนะเขียนประวัติศาสตร์ "ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร"

กรณีที่4:พระศรีเสาวภาคย์

สมเด็จ พระศรีเสาวภาคย์ หรือ พระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 20 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระอนุชาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) แต่เจ้าฟ้าสุทัศน์พระโอรสองค์ใหญ่ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชได้เสวยยา พิษสิ้นพระชนม์ และสมเด็จพระเอกาทศรถก็ตรอมพระทัยสวรรคตตามไปอีกพระองค์หนึ่ง

เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์จึงได้รับทูลเชิญให้ขึ้นครองราชย์นอกเหนือความคาดหมาย เมื่อปี พ.ศ. 2163 โดยส่วนพระองค์แล้วพระองค์มีพระเนตรเสียข้างหนึ่ง และทรงมีพระบุคลิกค่อนข้างอ่อนแอ และไม่สนพระทัยเกี่ยวกับราชการบ้านเมืองเลย เมื่อครองราชย์อยู่ได้หนึ่งปีกับสองเดือนก็โดนขุนนางปลดจากราชสมบัติและนำไป สำเร็จโทษจึงเสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2163 พระบรมศพถูกนำไปฝังที่วัดโคกพระยา

แต่บันทึกของเยเรเมียส ฟอน ฟลีต (Jeremais Van Vliet)พ่อค้าชาวฮอลันดา หรือที่เรียกตามปากแบบไทยๆว่า”วันวลิต”บอกว่า พระศรีเสาวภาคย์ถูกพระเชษฐาต่างพระมารดาแย่งชิงราชสมบัติต่างหาก

บันทึก ของวันวลิตกล่าว พระเชษฐาต่างพระมารดาองค์นี้ (ต่อมาปราบดาภิเษกทำรัฐประหารขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนามว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม) ทรงเป็นโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ อันเกิดจากพระสนม ในบั้นปลายรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถตอนจวนใกล้จะเสด็จสวรรคตได้ส่งมอบราช สมบัติให้พระศรีเสาวภาคย์ พระราชโอรสอันเกิดแต่พระมเหสีเอก

เวลานั้นพระเจ้าทรงธรรมทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง เนื่องจากพระองค์เกิดแต่นางสนม จึงไม่มีสิทธิในราชสมบัติ แต่ว่าเนื่องจากพระองค์ทรงมีลูกศิษย์ลูกหาและขุนนางข้าราชการชมชื่นอยู่มาก ทำให้สามารถซ่องสุมกำลังเข้ายึดอำนาจได้ พระองค์ครองราชย์อยู่ 18 ปี หลังจากนั้น ก็ทรงประชวรและสวรรคตในปี พ.ศ.2171 พระชนมายุได้ 38 พรรษา

แต่ปัญหาความยุ่งยากในบั้นปลายรัชกาล และการสืบราชสมบัติก็คล้ายๆ กับตอนที่พระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสิ้นพระชนม์ ขณะที่โอรสองค์ใหญ่คือ พระเชษฐาธิราชยังมีพระชนมายุ เพียง 15 พรรษา ระหว่างที่ยังครองราชย์อยู่นั้น ได้ตั้งพระอนุชาขึ้นเป็นมหาอุปราช คือพระพันปีศรีศิลป์ เมื่อใกล้สวรรคตปรากฏว่าทรงต้องการให้ราชสมบัติตกแก่พระราชโอรส พระเจ้าทรงธรรมจึงได้ให้ขุนนางคนหนึ่งชื่อออกญาศรีวรวงค์คอยช่วยเหลือให้พระโอรสได้ราชสมบัติ

กรณีที่5-6:พระเชษฐาธิราช และพระอาทิตยวงศ์

เป็นอย่างที่กล่าวไว้แล้วในตอนแรกที่นำเสนอไป


ปัญหาความไม่มั่นคงในราชบัลลังก์ของกษัตริย์มีมาทุกราชธานี ในชั้นต่อมาเมื่อถึงกรุงรัตนโกสินทร์ แม้แต่พระปิยะมหาราชก็เผชิญปัญหาทำนองนี้ในช่วงต้นรัชกาล เมื่อแรกต้องมีขุนนางใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนกว่าจะทรงบรรลุนิติภาวะ

ด้วยเดชะพระบารมีทำให้พระองค์ก้าวพ้นผ่านปัญหาไปได้ ในภายหลังกระทำการพิธีราชาภิเษก เมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว พระองค์สามารถจัดการควบคุมอำนาจของขุนนางตระกูลบุนนาคได้อยู่มือ และอาจเพราะขุนนางตระกูลบุนนาคก็อาจไม่ได้คิดแย่งชิงราชสมบัติด้วย ทำให้ได้ทรงกอรปกิจการอันเป็นคุณเอนกอนันต์ต่อประเทศชาติ และได้เป็นมหาราชพระองค์หนึ่งของไทย




 

Create Date : 25 กันยายน 2552    
Last Update : 25 กันยายน 2552 17:27:10 น.
Counter : 765 Pageviews.  

วิกฤตในบั้นปลายรัชกาลของอาณาจักรไทย(ตอนที่5):ปัญหาสืบราชสมบัติระหว่างลูกมเหสีเอกVSลูกสนม

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
24 กันยายน 2552

วิกฤตการณ์ทางการเมืองใน บั้นปลายรัชกาลนั้นมีมาอย่างสืบเนื่องในทุกราชธานี และแทบจะทุกรัชกาล อันเนื่องจากการไม่มีกฎเกณฑ์การสืบราชสันตติวงศ์ที่แน่นอน

27ปีที่จำต้องอดทนรอคอยของรัชกาลที่4

หลัง การทำรัฐประหารรัฐบาลของพระเจ้าตากสินมหาราช และประหารชีวิตพระเจ้าตาก กับรัชทายาท และกลุ่มผู้สนับสนุนอย่างนองเลือดแล้ว พระราชจักรีวงศ์ก็เผชิญปัญหานี้มาแต่ต้นเช่นกัน เมื่อพระราชอนุชาผู้มีบทบาทสำคัญในการคบคิดเอาราชสมบัตินั้น เกิดการปีนเกลียวกับรัชกาลที่ 1 อย่างหนัก ยังดีว่าวังหน้าพระยาเสือ(บุญมา)ได้ถึงแก่ทิวงคตไปก่อน ราชสมบัติจึงตกแก่รัชกาลที่ 2 อันเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 1

แต่ เมื่อถึงบั้นปลายรัชกาลที่ 2 นั้นก็เกิดปัญหาอีกคราว และเป็นบาดแผลที่หยั่งลึกมายาวนานเกือบ 3 ปี ตลอดรัชกาลที่ 3 อันเนื่องมาจากรัชกาลที่ 3 อันเป็นพระราชโอรสอันเกิดแต่พระสนม และไม่มีสิทธิในราชสมบัติ แต่ทว่าพระองค์มีอำนาจเศรษฐกิจในมือมาก จากการคุมเรือสำเภาไปต่างประเทศ และคุมกำลังอำนาจทางทหารไว้ในมือมาก ได้ใช้กำลังเข้าควบคุมพระนครเอาไว้ในตอนที่รัชกาลที่ 2 จวนจะสวรรคต ส่งผลให้เจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งเกิดภายใต้เศวตรฉัตร และมีสิทธิในราชสมบัติตัวจริง ต้องหนีราชภัยออกบวชยาวนานถึง 27 ปี ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 3

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือ "ความทรงจำ" ว่า "ปีวอก พ.ศ.2367 เจ้าฟ้ามงกุฎ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระชันษา 21 ปี เสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุตามประเพณี พอทรงผนวชได้ 15 วัน ก็เผอิญเกิดวิบัติ ด้วยสมเด็จพระบรมชนก เสด็จสวรรคต"

ความสำคัญตอนนี้มีอยู่ว่า ในเวลาท้ายรัชกาลที่ 2 นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระราชโอรสประสูติแต่พระอัครมเหสี (สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตร์ หรือฟ้าหญิงบุญรอด พระธิดาในกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งทรงเป็นพระพี่นางเธอของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) อยู่ 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้ามงกุฏ และเจ้าฟ้าจุฑามณี

เจ้าฟ้ามงกุฏนั้นทรงมีพระชนมายุได้ 20 ปี ได้เวลาอุปสมบทในบวรพระพุทธศาสนาตามโบราณราชประเพณี จึงเสด็จเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ฉศก จุลศักราช 1186 หรือ พ.ศ.2367 เวลา 8 โมงเช้า 9 บาท มีสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ พร้อมด้วยพระสงฆ์ร่วมสังฆกรรม 50 รูป เจ้าฟ้ามงกุฏได้พระฉายาในทางสมณเพศว่า"วชิรญาโณ" แปลว่า ผู้มีความรู้ประดุจเพชร

ขณะเดียวกันในเวลานั้น การบริหารการปกครองบ้านเมือง และการเศรษฐกิจการค้าล้วนตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกรมหมื่นเจษฎา บดินทร์ (พระองค์เจ้าทับ) พระราชโอรสประสูติแต่พระสนม คือสมเด็จพระศรีสุราไลยหรือเจ้าจอมมารดาเรียม ผู้ทรงมีพระชนมายุสูงกว่าเจ้าฟ้ามงกุฏถึง 17 ปี

เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าฟ้ามงกุฏถึงจะทรงมี "สิทธิในราชบัลลังก์" ตามโบราณประเพณี เพราะเป็นพระราชโอรสที่เกิดแต่พระมเหสีเอก แต่บัดนี้มีข้อยกเว้นแล้ว เพราะ "อำนาจชี้ขาดให้ใครได้ราชบัลลังก์" กลับตกอยู่ในเงื้อมมือพระเชษฐาต่างพระมารดา

ว่ากันว่า พระภิกษุวชิรญาณนำความเมืองเรื่องนี้ไปขอคำปรึกษาจากพระเจ้าลุง คือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพน ก็ได้รับคำตอบว่า "อย่าทรงห่วงเรื่องราชสมบัติเลย"

ก็เลยเป็นว่า พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หาใช่เป็น "พระราชโอรสในพระเหสี" ไม่ หากแต่เป็นพระโอรสประสูติแต่เจ้าจอมมารดา คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

เวลาที่เจ้าฟ้ามงกุฏทรงผนวชและ ยอมผนวชต่อไปนั้น ทรงมีพระโอรสประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย (พระธิดาในพระอินทรอำไพ-พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) อยู่ก่อนแล้วถึง 2 พระองค์ ได้แก่ 1.พระองค์เจ้านพวงศ์ ประสูติเมื่อ พ.ศ.2365 2.พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ ประสูติเมื่อ พ.ศ.2367

การออกผนวชในขณะที่มีทั้ง "เมีย" และ "ลูกน้อย" เช่นนี้ ดูให้ดีก็จะเห็นว่า "พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏหาได้มีความสุขในผ้ากาสาวพัสตร์แต่อย่างใดไม่"

กับมีพงศาวดาร"กระซิบ"ว่า แม้พระองค์ได้ออกบวชไปแล้ว ก็หาได้หมดความหวาดระแวงไม่ เพราะมีพวกที่หาเหตุกลั่นแกล้ง แม้กระทั่งต้มกรวดทรายร้อนระอุแล้วนำไปใส่บาตรในเวลาที่พระองค์มาบิณฑบาต โปรดสัตว์

ทั้งนี้เพราะการบวชนั้นเป็นไปตาม "ประเพณี" แต่ที่ยังสึกไม่ได้นั้นก็เพราะ "มีเหตุจำเป็น"ต้องหนีราชภัย ทำให้ทรงจำพระทัยต้องประทับอยู่ในผ้าเหลืองเป็นเวลานานถึง 27ปี กล่าวคือตลอดรัชสมัยในรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ปัญหาวิกฤตการณ์ในบั้นปลายรัชกาลมาเกิดอีกคราว ก่อนที่รัชกาลที่ 3 จะเสด็จสวรรคตนั้นได้ทรงเปรยเป็นนัยว่า อยากให้ราชสมบัติตกแก่พระราชโอรสของพระองค์เอง โดยได้มอบพระธำมรงค์(แหวน)ที่พระองค์รับสืบทอดมาจากรัชกาลที่ 2 มอบให้แก่พระโอรสพระองค์หนึ่ง แทนการบอกว่าประสงค์จะมอบราชสมบัติต่อพระโอรสองค์นั้น

แต่ทว่าขุนนางสกุลบุนนาค(ซึ่งต้นตระกูลบุนนาคนั้นเป็นข้าหลวงเดิมของพระราชจักรีวงศ์ ได้ร่วมมือกับเจ้าพระยาจักรีทำการรัฐประหารยึดอำนาจพระเจ้าตากฯมา) ซึ่งมีอำนาจบริหารกิจการบ้านเมืองอยู่ในขณะนั้นเห็นว่า ควรจะให้ราชสมบัติกลับไปเป็นของเจ้าฟ้ามงกุฎจึงจะชอบธรรม

โดยนักวิชาการบางสายชี้ว่า เพราะตระกูลบุนนาคจะได้ทรงอำนาจเหนือแผ่นดินตัวจริง หากให้เจ้าฟ้ามงกุฎครองราชสมบัติ เพราะพระองค์ละทางโลกไปอยู่ในทางธรรมมาตลอด อำนาจต่างๆก็ย่อมควบคุมโดยง่าย เข้าข่ายว่าตระกูลบุนนาคนั้น"อยู่ใต้คนๆเดียว แต่อยู่เหนือคนทั่วหล้า"เหมือนโจโฉให้พระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่เหนือราชบัลลังก์ แต่พลังอำนาจที่แท้จริงตกอยู่ในเงื้อมมือของโจโฉ นายกฯตลอดกาล

ดังนั้นในช่วงที่รัชกาลที่3มีพระประชวรหนักนั้น ขุนนางสกุลบุนนาคจึงได้”ล้อมจุก”หรือล้อมพระราชวังไว้แน่นหนา แล้วไปเตรียมทูลขอให้พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎลาผนวชมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

กระทั่ง พระเชษฐา คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว ขุนนางทั้งปวงจึงได้พร้อมใจกันทูลขอให้พระภิกษุวชิรญาณ พระชนมายุ 47 พรรษา เสด็จปริวัตรลาสิกขาออกมาครองราชย์เป็นรัชกาลที่4


นัก ประวัติศาสตร์บางสำนักกล่าวกันว่า อำนาจราชกิจทั้งปวงนั้นต้องตกอยู่ในมือขุนนางตระกูลบุนนาคจนหมด เพราะความที่รัชกาลที่4ไปบวชยาว27ปี จึงไม่มีฐานกำลังอำนาจ และขาดการสนับสนุนจากขุนศึกขุนนางทั้งปวง นี่ก็อาจเป็นเหตสำคัญที่ตระกูลบุนนาคเลือกพระองค์เป็นกษัตริย์

การควบคุมอำนาจโดยเหล่าขุนนางนั้นน่าจะมีมาตลอดรัชกาล แม้เปลี่ยนแผ่นดินในรัชกาลที่5เมื่อแรกนั้น รัชกาลที่5ประชวรหนัก มีท่านผู้หญิงภริยาของท่านสมเด็จเจ้าพระยาตระกูลบุนนาคมาเยี่ยมแล้วพูดว่า เจ้าเด็กน้อยผู้นี้จะเหลืออายุอีกกี่วันหนอ?

ก็ทำให้รัชกาลที่5ทรง ผูกใจเจ็บ เมื่อหายประชวรดีแล้ว กาลต่อมาเมื่อภริยาของผู้มีอำนาจราชศักดินั้นสิ้นลง รัชกาลที่5ไปรดน้ำศพก็ยังรำพันในใจอย่างสาแก่พระทัยในทำนองว่า "ยายคนนี้แกแช่งให้ฉันตายดีนัก แล้วเห็นหรือยังว่าใครมันตายก่อนกัน"

เมื่อแรกรับราชสมบัตินั้นรัชกาลที่5 ซึ่งเป็นยุวกษัตริย์ ต้องทรงถูกควบคุมจำกัดพระราชอำนาจสารพัด มีขุนนางตระกูลบุนนาคเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ทำให้เวลาต่อมาเมื่อพระองค์บรรลุนิติภาวะ และทำพิธีราชาภิเษกอย่าวเป็นทางการแล้ว พระองค์ได้คิดยกเลิกอำนาจของตระกูลบุนนาคเสีย ด้วยการปฏิรูปการปกครอง รวบพระราชอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ยกเลิกอำนาจของขุนนาง และเจ้าเมืองหัวเมืองทั้งหมด และสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นเป็นผลสำเร็จ อันเป็นอุดมคติของฝ่ายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้อ้างอิงเป็นภาพชวนฝันมาจนจวบทุกวันนี้

ขณะเดียวกันพระองค์ได้ยกเลิกระบบ2กษัตริย์ หรือตำแหน่งกษัตริย์วังหน้าลง เมื่อวังหน้าสมัยนั้นปีนเกลียวกับพระองค์ ถึงขั้นต้องหลบราชภัยไปอยู่ในสถานทูตอังกฤษ แล้วสถาปนาตำแหน่งพระบรมโอรสาธิราชสยามกุฎราชกุมารขึ้น ตามแบบอย่างกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุโรป โดยมีเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศเป็นพระบรมโอรสาธิราชพระองค์แรก แต่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศก็มาด่วนสิ้นพระชนม์ในวัยยังหนุ่มแน่น จึงได้แต่งตั้งเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธขึ้นเป็นพระบรมฯองค์ที่สอง

ซึ่งกาลต่อมาสมเด็จพระบรมฯพระองค์นั้น ก็เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 6 ในเวลาต่อมา โดยไม่ได้มีวิกฤตการณ์ในบั้นปลายรัชกาลที่ 5 แต่ประการใด




 

Create Date : 24 กันยายน 2552    
Last Update : 24 กันยายน 2552 19:23:07 น.
Counter : 879 Pageviews.  

วิกฤตในบั้นปลายรัชกาลของอาณาจักรไทย(ตอนที่4):ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
23 กันยายน 255

ระหว่างการโฆษณาชวนเชื่อกับการเมืองที่เป็นจริงกรณีพระเจ้าตากvsรัชกาลที่1

เรื่องหนึ่งที่กลายเป็นblack propagandaที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ไทยก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งพระราชจักรีวงศ์นั้นไม่ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจและประหารชีวิตพระเจ้า ตากสินมหาราชแต่ประการใด แต่เป็นข้อตกลงลับของพระเจ้าตากสินกับพระพุทธยอดฟ้าที่จะให้พระเจ้าตากสินลง จากบัลลังก์เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไทยไม่มีเงินไปชำระหนี้จีนในช่วงยืมเงินมากู้ ชาติ หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 จากนั้นพระเจ้าตากได้แอบหนีไปบวช และมีชีวิตต่อมาในเพศภิกษุที่นครศรีธรรมราช

การโหมโฆษณาชวนเชื่อนี้ ทำให้คนไทยชั้นหลังๆจำนวนมากเชื่อตามไปเช่นนั้นจริงๆ แต่หากจะตั้งข้อสงสัยซักเล็กน้อยว่า ในหน้าประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรไทยนั้นไม่เคยมีครั้งใดที่เคยเกิดเหตุการณ์ เช่นนี้เลย และประการสำคัญก็คือพระเจ้าตากสินนั้นมีรัชทายาทที่จะสืบทอดราชบัลลังก์อยู่ แล้ว...ด้วยเหตุใดเล่า จึงจะไปยกราชสมบัติให้กับ"คนอื่น"

ความจริง(fact)นั้นปรากฎเป็นหลักฐานเอกสารชั้นต้นว่า พระเจ้าตากสินถูกยึดอำนาจ ถูกประหารชีวิต รัชทายาทและขุนนางใกล้ชิด รวมทั้งพระกุมารเล็กๆก็ถูกสังหารเกือบเรียบ ยกเว้นพระราชโอรสที่บังเอิญเกิดกับสนมที่เป็นลูกของรัชกาลที่1 หรือมีศักดิ์เป็นหลานรัชกาลที่1ของราชวงศ์จักรีที่รอดมาได้ อย่างไรก็ตามเมื่อรัชกาลที่1สวรรคตเพียง7วัน รัชทายาทคนสุดท้ายเชื้อสายของพระเจ้าตากก็ถูกสังหาร เพื่อขจัดเสี้ยนหนามไม่ให้เหลือซาก
*พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

บั้นปลายรัชกาลของพระเจ้าตากสิน:รัชทายาทติดกับขุนนางใหญ่

ดังที่ทราบกันดีว่าหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แล้ว พระเจ้าตากสินที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน(ซึ่งเป็นที่ดูถูกของคนไทยสมัยนั้น แม้กระทั่งเวลาต่อมาอีกนับร้อยๆปี) ก็นำทัพกอบกู้เอกราชให้แก่ไทย แล้วสถาปนากรุงธนบุรี เป็นราชธานีใหม่

ทรงรวบรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น แล้วปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2311 พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 6 เมษยา 2325 แม้จะมีคำบอกเล่าเชิงตำนานไว้บางสำนวนว่า พระองค์ได้หลีกทางให้พระยาจักรี สถาปนาราชวงศ์ใหม่ด้วยเหตุผลบางประการ และพระองค์ได้ดำรงพระชนม์ชีพอย่างสงบในสมณเพศสืบมา (และกลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองที่มีผลแพร่หลายอย่างยิ่ง)

แต่ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ชี้ว่าพระองค์ถูกพระยาจักรี สั่งให้สำเร็จโทษเพื่อปราบดาภิเษกราชวงศ์ใหม่ และมีการกำจัดเสี้ยนหนามตามมาอีกหลายระลอก

กรณีของพระเจ้า ตากสินมหาราชนั้นนับว่าประหลาดไปจากกรณีอื่นที่กล่าวมาแล้ว คือการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในขณะที่พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนสวรรคตลง แล้วเกิดปัญหาการสืบราชสมบัติ และการถูกประหารชีวิตนั้นกรณีอื่นๆมีการจับสึกจากสมณเพศก่อน แต่ในกรณีพระเจ้าตากสินนั้นบางหลักฐานชี้ว่า อาจเป็นไปได้ว่าถูกสั่งสำเร็จโทษประหารชีวิตด้วยการตัดพระเศียร ขณะที่ดำรงสมณเพศอยู่ก็เป็นได้

ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินมหาราชไว้ในหนังสือ”การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี” หน้า 575 ว่า

พระพุทธยอดฟ้าฯ) จึงมีรับสั่งให้เอาไปประหารชีวิตสำเร็จโทษเสีย เพชฌฆาตกับผู้คุม ก็ลากเอาตัวขึ้นแคร่หามไปกับทั้งสังขลิกพันธนาการ เจ้าตากสินจึงว่าแก่ผู้คุมเพชฌฆาตว่า ตัวเราก็สิ้นบุญจะถึงที่ตายแล้ว ช่วยพาเราแวะเข้าไปหาท่านผู้สำเร็จราชการ จะขอเจรจาด้วยสักสองสามคำ ผู้คุมก็ให้หามเข้ามา ครั้น ( พระพุทธยอดฟ้าฯ)ได้ทอดพระเนตร จึ่งโบกพระหัตถ์มิให้นำมาเฝ้า ผู้คุมแลเพชฌฆาตก็ให้หามออกไปนอกพระราชวัง ถึงหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ ก็ประหารชีวิตตัดศีรษะเสีย ถึงแก่พิราลัย จึ่งรับสั่งให้เอาศพไปฝัง ณ วัดบางยี่เรือใต้

ขณะที่ปรีดา ศรีชลาลัย กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินฯไว้ในบทความเรื่อง”ปีสุดท้ายของสมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราช”ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนธันวาคม 2524 ว่า”สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกปลงพระชนม์ ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง (คือวัดอรุณราชวราราม ปัจจุบันนี้) รวมวันตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวชจนถึงวันถูกปลงพระชนม์ เป็น 28 วัน โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ ไม่ใช้คำว่าสิ้นพระชนม์ หรือสวรรคต ก็เพื่อยืนยันว่า พระองค์ท่านถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศเป็นพระภิกษุ จึงใช้คำว่าดับขันธ์ เพื่อให้เข้าใจว่ามิได้สวรรคตเมื่อลาผนวชออกมา ความจริงพระองค์ดำรงสมณเพศจนตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ)”

ปรีดา นำเสนอว่า ปฐมเหตุนั้นมาจากการที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองของเวียดนาม เมื่อพวกกบฏไตเซินได้ก่อการรัฐประหารต่อพระเจ้าเวียดนามยาลอง พ่ายแพ้ถอยร่นลงมาทางใต้ แล้วหวังจะได้กำลังฝ่ายเขมรเข้ามาช่วยสู้รบ จึงเข้าไปแทรกแซงการเมืองเขมร ซึ่งเป็นประเทศราชของไทย

พระเจ้าตากสินจึงโปรดเกล้าให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระมหาอุปราช องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพใหญ่

เจ้าพระยาจักรี(ด้วง) เจ้าพระยานครสวรรค์ เจ้าพระยาสุรสีห์(บุญมา น้องชายเจ้าพระยาจักรี ด้วง)และพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศ เหล่านี้เป็นแม่ทัพรองๆลงมา ไปจัดการปราบ และเพื่อมิให้ญวนลุกลามเข้ามายึดเมืองเขมรเป็นที่มั่น โดยโปรดให้กองทัพไทยออกไปในเดือนยี่ ปีฉลู ตรงกับพ.ศ.2324

แทนที่จะ จัดการปัญหาได้ตามแผน ปรีดาได้อ้างถึงพงศาวดารญวน ฉบับนายหยงทหารปืนใหญ่ แปล(เล่ม 2 หน้า 378)ว่า เรื่องผิดคาดหมด เพราะกองทัพไทยที่ยกออกไปครั้งนั้นทำงานต่างกัน แม่ทัพใหญ่พยายามจะรุดหน้าไป ฝ่ายแม่ทัพรองบางนายหาทางยับยั้งเสีย เพื่อหน่วงคอยฟังเหตุการณ์ทางกรุงธนบุรี เวลานั้นญวนได้ส่งกองทหารเข้าไปช่วยอยู่ในเมืองเขมรบ้าง แต่ไม่มากนัก ว่ากันตามส่วนกำลังที่ทั้งสองฝ่ายมีและจะต้องสู้กันอย่างแตกหัก อย่างไรเสียก็ควรจะหวังได้ว่ากองทัพไทยต้องทำงานได้ผลดีเป็นแน่ หากงานที่ทำนั้นไม่มีเรื่องอื่นเข้าแทรกแซง เพราะฝ่ายญวนอ่อนเต็มทีแล้ว ย่อมจะต้องการหย่าศึกกับไทยมากกว่า เพราะญวนมีภาระจะต้องสู้รบกับพวกราชวงศ์เล้(กบฏไตเซิน) ซึ่งกำลังตีรุกลงมาจากทางเหนืออย่างรุนแรง ถ้าขืนรบกับไทยเข้าอีก จะถูกตีกระหนาบสองหน้า อาจถึงเหลวแหลกหมดทางตั้งตัว

เพราะฉะนั้น เพื่อหาทางดีกับไทย แม่ทัพญวนชื่อเหงวียงหึวถว่าย จึงลอบแต่งทูตมาทาบทามทางแม่ทัพรองฝ่ายไทย พงศาวดารญวน เล่ม 2 หน้า 382 บันทึกไว้ว่านับเป็นโชคดีของญวน เป็นอันสมประสงค์ของแม่ทัพญวนโดยง่ายดาย

เพราะว่าแม่ทัพรองฝ่ายไทยก็ต้องการจะให้กองทัพญวนและเขมรร่วมมือในทางลับอยู่ เหมือนกัน และท่านแม่ทัพรองฝ่ายไทยก็ยินดีจะช่วยกำลังแก่ญวนตามสมควรในโอกาสต่อไป เมื่อทำงานลับเสร็จสมหมายแล้ว แม่ทัพญวนกับแม่ทัพรองฝ่ายไทยได้ลอบทำสัญญาลับทางทหารต่อกัน ฝ่ายแม่ทัพญวนหักกระบี่และคันธงออกเป็น ๒ ท่อน แล้วแบ่งให้ไว้ฝ่ายละครึ่งตามธรรมเนียม เพื่อเป็นเครื่องหมายในการทำสัญญา ต่อจากนั้น แม่ทัพรองฝ่ายไทยก็ให้ญวนล้อมกองทัพสมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ และทัพพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศ ไว้อย่างแน่นหนา ตรึงทัพทั้งสองมิให้เคลื่อนที่ได้ ส่วนตนรีบเดินทัพย้อนกลับมากรุงธนบุรีโดยด่วน

ส่วนทางด้านกรุงธนบุรี มีผู้ยุยงชาวกรุงเก่าให้เกิดเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และชักชวนทำการกบฏย่อยๆขึ้น ผู้ยุยงตัวสำคัญซึ่งแอบขึ้นไปตั้งทำการยุที่กรุงเก่า มี 3คน คือ นายบุนนาค, หลวงสุระ,หลวงชะนะ รวบรวมผู้คนตั้งเป็นกองรบเข้ารุมทำร้ายผู้รักษากรุงเก่า แล้วเดินทางมายังกรุงธนบุรี ในเดือน 4 แรม 11 ค่ำ ถึงกรุงธนบุรีในตอนดึก ก็เริ่มยิงพระนครทันที ยังมีพวกกบฏแอบแฝงซ่องสุมอยู่ในกรุงธนบุรีอีก มีหลวงสรวิชิต (หน) เป็นต้น ก็ก่อการจลาจลขึ้นรับกับพวกกบฏที่ยกมาจากกรุงเก่า

ในชั้นต้น พวกกบฏขอให้พระสงฆ์เข้าไปถวายพระพร ทูลขอให้พระองค์เสด็จออกทรงผนวชเพื่อสะเดาะพระเคราะห์เมืองสัก 3 เดือน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯทรงรับคำทูล โปรดให้ข้าราชการผู้ใหญ่ปรึกษาดูตามความสมควร เวลานั้นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มีพระยาสรรคบุรี (บรรพบุรุษแห่งสกุลแพ่งสภา) พระยารามัญวงศ์ (มะซอน บรรพบุรุษแห่งสกุลศรีเพ็ญ) เป็นต้น ล้วนแต่ซื่อสัตย์จงรักภักดีในพระองค์อย่างยิ่งยวด ข้าราชการเหล่านั้นคงจะได้คำนึงถึงกำลังส่วนใหญ่ที่ต้องส่งออกไปภาคตะวันออก จะทำผลีผลามลงไปในขณะนี้ ฉวยว่ามีการผันแปรต่างประเทศด้านอื่นเกิดขึ้นแทรกแซง จะเรียกกำลังจากภาคตะวันออกกลับมาไม่ทันท่วงที

อีกประการหนึ่งพวก ราษฎรก็ถูกปลุกปั่นให้เข้าใจผิดโดยการโฆษณาชวนเชื่อว่าพระเจ้าตากสินทรงมี พระสัญญาณวิปลาส คือเป็นบ้า หลงผิดว่าบรรลุโสดาบัน ทำการสั่งสอนพระสงฆ์ หากพระสงค์องค์ใดไม่ยินยอมก็ถูกจับเฆี่ยนตี(ซึ่งเป็นกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ที่สุดในเวลานั้น เป็นโทษฐานอนันตริยกรรมทีเดียว) ความเข้าใจผิดอาจลุกลามไปมาก ในเมื่อไม่รีบหาทางแก้ไข เสียแต่ในชั้นต้น ฉะนั้นควรจะมีทางมองเห็นทางเดียวที่ควรกระทำก่อน คือขอให้ทรงยอมตามความประสงค์ ดังที่พวกกบฏขอให้พระสงฆ์ทูลแล้วนั้น

พระเจ้าตากสินฯซึ่งสิ้นไร้ทั้งกำลัง และถูกโฆษณาชวนเชื่อว่าร้ายอย่างหนักหน่วงให้ขาดการสนับสนุนจากมวลชน ก็ได้ตกลงเสด็จออกทรงผนวช วันอาทิตย์ เดือน 4 แรม 12 ค่ำที่วัดแจ้ง อันเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง (เช่นเดียวกับวัดพระแก้วมรกตในวังหลวงทุกวันนี้) ในการเสด็จออกทรงผนวชนี้ ความจริงหาขาดจากพระราชตำแหน่งไม่ เพราะมีกำหนดแน่นอน ว่าจะเสด็จนิวัติกลับสู่ราชบัลลังก์ ภายหลังเมื่อทรงผนวชแล้ว 3 เดือน ส่วนราชการบ้านเมืองก็มีข้าหลวงรักษาพระนครตามธรรมเนียม

พระเจ้าตากสินทรงผนวชแล้ว 12 วัน พระยาสุริยอภัย (ทองอิน) หลานเจ้าพระยาจักรี (ด้วง) ซึ่งโปรดให้ออกไปเป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา ยกทัพมาจากนครราชสีมา โดยมิได้รับพระบรมราชานุญาต (ซึ่งถือเป็นพฤติการณ์กบฎในสมัยนั้น แม้กระทั่งสมัยนี้หากเคลื่อนย้ายกำลังโดยไม่มีคำสั่ง)

แต่ในพงศาวดาร ว่าเจ้าพระยาจักรี (ด้วง) ให้รีบยกเข้ามาฟังเหตุการณ์ในกรุงก่อน (ดูพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 3) พวกกบฏมีนายบุนนาค หลวงสุระเป็นต้น เข้าสมทบกับพระยาสุริยอภัย (ทองอิน)

กาลครั้งนั้นพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนอนุรักษ์สงครามจึงระดมกำลังเท่าที่จะหาได้ในเวลานั้น รีบยกไปตีกองทัพพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) ที่ตำบลบ้านปูน ณ วันอังคาร ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2325 เป็นเวลาภายหลังที่พระยาสุริยอภัย (ทองอิน) เดินทัพเข้ามาในกรุง และตั้งมั่นอยู่ 11 วัน แต่กำลังของกรมขุนอนุรักษ์สงครามไม่สามารถตีทำลายกองทัพพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) ลงได้ตามความประสงค์ เพราะกำลังน้อยกว่า ต้องล่าถอยไปทางวัดยาง ในที่สุดถูกพวกพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) จับได้ พระยาสุริยอภัย (ทองอิน)จึงขยายวงค่ายแผ่กว้างออกมา จนใกล้พระราชวังหลวง

เมื่อ กรมขุนอนุรักษ์สงครามถูกจับแล้ว 3 วัน พอเช้าวันที่ 6 เมษายน 2325 เจ้าพระยาจักรี (ด้วง) ก็รีบเดินกองทัพใหญ่มาถึงพระนคร ได้มีการสอบถามความเห็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก(ซึ่งส่วนมากก็ล้วน อยู่ในสายของพระยาจักรีนั่นเอง) ว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วจะควรทำอย่างไรต่อไป

บรรดาข้า ราชการที่ยังจงรักภักดีในพระองค์สมเด็จพระเจ้าตากสิน และเชื่อในพระราชปรีชาสามารถ ของพระองค์ ก็ยืนคำว่าควรไปกราบทูลอัญเชิญเสด็จ ขอให้ทรงลาผนวชออกมาครองราชสมบัติบริหารการแผ่นดินโดยด่วน หาไม่ก็ควรยกราชสมบัติให้รัชทายาทของพระองค์แทน ในเรื่องนี้ได้ความตามคำบอกเล่าจากเจ้านายบางองค์ในราชวงศ์จักรีว่า ข้าราชการพวกที่กล้าพูดเช่นนั้น ในที่สุดก็ถูกคุมตัวไปประหารชีวิตทั้งหมด

ส่วนสมเด็จพระเจ้าตากก็ถูกปลงพระชนม์ในวันนั้นเอง ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง (คือวัดอรุณราชวราราม ปัจจุบันนี้) รวมวันตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวช จนถึงวันถูกปลงพระชนม์ เป็น ๒๘ วัน โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ ไม่ใช้คำว่าสิ้นพระชนม์หรือสวรรคต ก็เพื่อยืนยันว่า พระองค์ท่านถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศเป็นพระภิกษุ จึงใช้คำว่าดับขันธ์ เพื่อให้เข้าใจว่ามิได้สวรรคตเมื่อลาผนวชออกมา ความจริงพระองค์ดำรงสมณเพศจนตลอดพระชนม์ชีพ

เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จ เรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ)

บรรดาศพข้า ราชการที่จงรักภักดีในพระองค์ มีเจ้าพระยานครราชสีมา (บุญคง ต้นสกุลกาญจนาคม) พระยาสรรค์ (บรรพบุรุษสกุลแพ่งสภา) พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ) พระยาพิชัยดาบหัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และพิชัยกุล) เป็นต้น จำนวนมากกว่า 50 นาย ก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น

ฝ่ายพระราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายชั้นทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด เอาไว้แต่ที่ทรงพระเยาว์ และเจ้าหญิง ถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อม เหมือนกันทุกพระองค์ แม้จนกระทั่งสมเด็จพระราชินี และสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา ฝ่ายเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาธิบดีฝ่ายกลาโหม ขณะนั้นตั้งวังปราบบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระ ใกล้เมืองถลาง ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯถูกปลงพระชนม์แล้ว ก็ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น

ยังเหลือไว้แต่กรมขุนกษัตรานุชิต(เจ้าฟ้าเหม็น)ราชโอรสที่เกิดแต่ลูกสาวของพระยา จักรีที่ไว้ชีวิต(แต่เมื่อรัชกาลที่1สวรรคตลง ก็มีการหาเหตุขจัดเสี้ยนหนามในที่สุด โดยอ้างว่าเจ้าฟ้าเหม็นจะทำการกบฎ โดยตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์อ้างว่ามีอีกาบคาบข่าวมาบอกผู้มีอำนาจในเวลา นั้นว่าเจ้าฟ้าเหม็นจะทำกบฎ อันฟังในยุคนี้แล้วก็เป็นข้อหาที่ตื้นเขินสิ้นดี)

ส่วนความเกี่ยวข้องกับญวน ตามสัญญาลับ ไทยต้องช่วยญวนต่อรบกับพวกราชวงศ์เล้ (ที่เรียกพวกกบฎไตเซิน) 2 ครั้ง และช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงลับ

ผลสุดท้ายเมื่อญวนกลับตั้งราชวงศ์ องเชียงสือสำเร็จ มีอำนาจใหญ่โตขึ้น ไทยต้องเสียเมืองพุทไธมาศแก่ญวน (ดูพงศาวดาร ฉบับนายหยง แปล เล่ม 2 หน้า 394, 419)

ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก

พระเจ้าตากสินนั้นเคยมีพระราชปณิธานแน่วแน่ว่า

"บุคคล ผู้ใด เป็นอาทิ คือ เทวดา บุคคลผู้มีฤทธิ์มาประสิทธิ์ มากระทำ ให้ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ขึ้น ให้สัตว์โลกเป็นสุขได้ แม้ผู้นั้นจะปรารถนาพระพาหาแห่งเราข้างหนึ่ง ก็อาจตัดบริจาคให้แก่ผู้นั้นได้ ความกรุณาเป็นสัตย์ฉะนี้"

ดังนั้นในช่วงใกล้วาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ แม้ทหารที่จงรักภักดีจะพร้อมพลีชีพเพื่อพระองค์ แต่ก็มีพระราชดำรัสว่า “สิ้นบุญพ่อแล้ว อย่าให้ยากแก่ไพร่เลย” พระองค์ถูกสำเร็จโทษเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2325 พร้อมกับเชื้อพระวงศ์และขุนนางกว่า 150 คน รวมถึง พระยาพิชัยดาบหักด้วย

ถือเป็นการกวาดล้างขจัดเสี้ยนหนามทางการเมืองแบบนองเลือดมากที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย


การ ปราบดาภิเษกสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าขึ้นเป็นรัชกาลที่ 1 แห่งพระราชจักรีวงศ์นั้น สมเด็จพระอนุชาในรัชกาลที่ 1 ทรงกราบทูลความตอนหนึ่งดังมีบันทึกไว้ว่า

"กรม พระราชวังบวรฯ(บุญมา- น้องชายรัชกาลที่ 1 ) เสด็จลงมาเฝ้า กราบทูลว่าบรรดาบุตรชายน้อยๆ ของเจ้าตากสิน จะรับพระราชทานเอาไปใส่เรือล่มน้ำเสียให้สิ้น คำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า"

(พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, คลังวิทยา, ๒๕๑๖, น. ๔๖๐)

อย่างไรก็ดีลูกของพระเจ้าตากสินองค์หนึ่งเหลือรอดมาได้ คือเจ้าฟ้าเหม็น เพราะเป็นหลานของรัชกาลที่ 1 ได้ขอยกเว้นชีวิตไว้ และโปรดสร้างวังท่าพระให้อยู่(ปัจจุบันเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร)แต่พอ รัชกาลที่ 1 สวรรคตได้เพียง 7 วัน และผลัดแผ่นดินมาสู่รัชกาลที่ 2 พระราโชบายที่เคยมีมาแต่ต้นรัชกาลก็มาประสบผล

โดยคดีนี้พิลึกพิลั่นว่า อีกาได้คาบข่าวมาบอกว่าเจ้าฟ้าเหม็นจะก่อการกบฎแย่งชิงราชบัลลังก์ ในที่สุดก็มีการตั้งตุลาการขึ้นชำระความ ซึ่งตุลาการสมัยโน้นก็คงอาการประมาณเดียวกับสมัยนี้หละกระมัง คือหาหลักฐานไม่พบ โดยมีความตอนหนึ่งว่าไว้ดังนี้

มีรับ สั่งโปรดเกล้าฯ ว่า อ้ายเมืองให้การถึงหม่อมเหม็น ทั้งนี้ยังเลื่อนลอยอยู่เห็นหาจริงไม่ แต่ทะว่าเป็นความแผ่นดิน จึงให้ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ตริตรองชำระเอาความจริง

ตุลาการศาลยุติธรรมในเวลานั้นตริตรองแล้วก็ชำระความออกมา ด้วยการที่เจ้าฟ้าเหม็นทรงถูกถอดยศเป็น "หม่อมเหม็น" นำไปสำเร็จโทษที่วัดปทุมคงคา ส่วนพระโอรส 6 พระองค์ของเจ้าฟ้าเหม็นก็ต้องโทษ "ตัดหวายอย่า่ไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก" คือ หม่อมเจ้าชายใหญ่ หม่อมเจ้าชายสุวรรณ หม่อมเจ้าชายหนูเผือก หม่อมเจ้าชายสวัสดิ์ หม่อมเจ้าชายเล็ก และ หม่อมเจ้าชายแดง ทรงถูกนำไป "ถ่วงน้ำ" ที่ปากอ่าว

ก็เป็นอันว่าพระราโชบายที่กำหนดไว้นับแต่ปราบดาภิเษกสถาปนาพระราชจักรีวงศ์ ก็มาบรรลุผลในตอนหลังรัชกาลที่ 1 สวรรคตลงเพียง 7 วันนั่นแล




 

Create Date : 23 กันยายน 2552    
Last Update : 23 กันยายน 2552 20:23:32 น.
Counter : 1151 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.