ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

อานันท์ ปันยารชุน ประชาธิปไตยจากหัวใจนายกฯที่มาจากรัฐประหาร

ผมอ่านความเห็นของคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากรัฐประหาร ของ รสช. ปี 2534 ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ฉบับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 แล้วอดมันคันหัวใจ และคันปากไม่ได้ ที่เขาว่า คนชั้นใด ก็คิดเหมือนคนชั้นนั้น เป็นคำกล่าวที่ไม่ผิดความจริงแม้แต่น้อย

นายอานันท์ ปันยารชุน นั้น ได้รับสมญาว่าเป็น "ผู้ดีรัตนโกสินทร์" เมื่อกำเนิดมาแบบนี้ ก็คงคิดแบบพวกตระกูลผู้ดีทั้งหลายที่ว่า ชาวบ้านขายเสียง ขายสิทธิ์เหมือนเดิม โดยไม่ได้ลงไปดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเลย แต่ เป็นเพราะชาวบ้านเขาไม่เลือก "พรรคที่พวกผู้ดีแปดสาแหรก" เหล่านี้ให้การสนับสนุนนั้นเอง ก็เลยใช้นิสัยถาวรของคนกลุ่มนี้ คือ กล่าวหาว่าชาวบ้านขายเสียง โดยไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่วันเลือกตั้ง ผมลงไปนอนอยู่ในหมู่บ้าน พรรคที่ซื้อเสียงคือ พรรคที่พวกผู้ดีเหล่านี้สนับสนุนนั่นเอง

---------

นายอานันท์ กล่าวตอนหนึ่งว่า

"ดังนั้น ที่บอกมาว่า การเลือกตั้งเป็นกลไกที่หยั่งความรู้สึกของประชาชนว่า ต้องการพรรคใด แต่ถ้าการเลือกตั้งไม่สะอาด ไม่โปร่งใสตามที่ข่าวหนาหู ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งตลอด 30-40 ปี จะการันตีได้อย่างไรว่ารัฐบาลที่ได้นั้นจะมีความชอบธรรม"

------------

ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า "การเป็นนายกฯที่มี ที่มาจากรัฐประหาร มันมีความชอบธรรมอย่างไร เมื่อที่มาไม่ถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด เรื่อง การคอรัปชั่น ในรัฐบาลของนายอานันท์ ผมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ยิน ทั้งเรื่อง การขายโรงกลั่นบางจากมูลค่า 8,000 ล้านบาท ที่เป็นตำนานไม่รู้จบ และเรื่อง โครงการโทรศัพท์สามล้านเลขหมาย มันอธิบายคำว่า ทุจริตเชิงนโยบาย หรือเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องได้อย่างไร หรือคิดว่าอะไรที่ "ผู้ดีแปดสาแหรก ใส่สูท" ทำแล้วไม่ผิด ถือเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติ อะไรที่ทำเพื่อคนรากหญ้า ทำเพื่อคนจนนั้น ถือเป็นการซื้อเสียง เป็นประชานิยม

สำหรับผมที่เกิดเป็นคนรากหญ้าแล้ว ผมยอมรับทัศนะคติ ของพวกผู้ดีแบบนายอานันท์ นี้ไม่ได้ มันเป็นทัศนะคติของการดูถูกกันทางชนชั้น เป็นทัศนะคติของพวกอำมาตย์ ที่คิดว่า "พวกตนดีกว่าชาวบ้าน" ดังนั้นพวกตนจึงควรได้อำนาจปกครองคนที่โง่กว่า

ที่คนพวกนี้ไม่ชอบประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง ก็เพราะเมื่อมีการเลือกตั้ง รัฐบาลหรือนักการเมืองทั้งหลาย ย่อมให้ความสำคัญแก่ชนชั้นล่างมากกว่าคนชั้นสูง เพราะทุกคนต่างมีหนึ่งเสียงเท่ากัน เมื่อมีเพียงคนละหนึ่งเสียง คุณค่าของคนอย่างนายอานันท์ ปันยารชุน ก็มีค่าเท่ากับ ลุงแก่ๆ คนหนึ่งในหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลความเจริญ หม่อมราชวงศ์ หรือ หม่อมเจ้า ก็ย่อมมีค่าไม่ต่างจาก ไพร่หรือชาวนาชาวไร่ ทั่วไป ไม่มีใครมีเกียรติยศ หรือมีความสำคัญมากกว่าใคร

เมื่อการเมืองเป็นอย่างนี้ อำนาจบารมีของคนเหล่านี้ก็หมดไป อำนาจแฝงที่จะล็อบบี้ใครๆ โดยอ้างว่า “ฉันเป็นผู้ดีนะ” ก็ไม่มีความหมายอะไรอีก ก็เหมือนกับที่ผมเห็นในอังกฤษที่คนมี บรรดาศักดิ์ เป็น Duke เป็น Earl ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่ากรรมกรในโรงงานนัก เพราะ Title หรือ คำนำหน้านามเหล่านี้มันไมได้มีความหมายอะไรในสังคมสมัยใหม่ ความเห็นของ Duke กับความเห็นของ กรรมกร ไม่ได้มีความหมายมากกว่ากันแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ยิ่งในสังคมสมัยใหม่นี้ “ทุน กับ คน” สำคัญกว่า “บรรดาศักดิ์ ศักดินา ชาติกำเนิด” เพราะในสังคมสมัยใหม่ พวกกลุ่มผู้ดีเก่า (ผู้ดีจากการสมมุติ) ไม่ได้ยึดกุมทรัพยากรอันมีคุณค่าของสังคมอีกต่อไปแล้ว เพราะทุนใหญ่ เมื่อประสานกับกำลังคนของชาวรากหญ้า พวกศักดินาทั้งหลายก็ไม่มีความหมายโดยสิ้นเชิง

ในจิตสำนึกลึกๆ แล้วคนเหล่านี้ไม่ได้ชอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด เพราะมันทำให้ความสำคัญของพวกเขาลดลง เราดูได้จากการแสดงความคิด การแสดงความเห็นต่างที่รังเกียจประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ในจิตสำนึกแล้ว พวกเขาชอบการปกครองที่มีชนชั้น ที่เราเรียกว่า อภิชนาธิปไตย ที่พวกชนชั้นผู้ดี ควรปกครองชนชั้นด้อยกว่า แต่เนื่องจากโลกสมัยใหม่ ไม่มีประเทศใดที่จะปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยได้ คนพวกเขาจึงพูดได้ไม่เต็มปากว่าประชาธิปไตยไม่ดี ทำได้เพียงการกล่าวหาคนชั้นรากหญ้าว่า "ขายเสียง" เท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพียงเพราะชาวรากหญ้า ไม่เลือกพรรคที่พวกเขาสนับสนุนเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

เชื่อผมเถอะว่า หาก “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ซึ่งเป็น Proxy หรือตัวแทนที่พวกเขาส่งลงเลือกตั้ง ได้เสียงสัก 70-80 เสียง และได้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนใหม่ พวกเขาจะยกย่องทันทีว่า คนรากหญ้า คนอีสานฉลาด พัฒนาแล้ว มีจิตสำนึกแล้ว ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อแผ่นดินใช้ซื้อเสียงหรือไม่ เพราะมันทั้งเงิน สื่อ และอำนาจรัฐหนุนอย่างเต็มที่

ความผิดหวัง ทำให้คนพวกนี้ออกมาดิ้นทุรนทุราย ผมเห็นแล้วเกิดความทุเรศเต็มทน

บทความโดย ... ลูกชาวนาไทย

กลุ่มสื่อประชาชน //www.thaifreenews.com




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2551 19:04:05 น.
Counter : 631 Pageviews.  

แฉหลักฐาน!‘สพรั่ง กัลยาณมิตร' เหลือบในคราบวีรบุรุษ

"เราไม่ใช่จำเลย เราเป็นวีรบุรุษ"วาทะจากปากชายชาติทหาร ร่างเล็กนาม พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.(ในขณะนั้น)ได้ย้ำให้สาธารณชนทั่วไปได้รับทราบว่า การรัฐประหารโดย คมช.เป็นความหวังเดียว ที่ทำให้ประชาชนโดยส่วนใหญ่เชื่อว่า จะสามารถขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นขององค์กรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจได้

แต่จนถึงวันนี้ "วีรบุรุษ"อย่าง พล.อ.สพรั่ง กลับกลายมาเป็น "จำเลย"ของสังคมเมื่อเขาเข้าไปรับหน้าที่เป็น"บอร์ด"บริหารในองค์กรรัฐวิสาหกิจอย่างน้อยสองแห่ง ทั้งบอร์ดองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และบอร์ดการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยซึ่ง ถือว่าเป็น 2 รัฐวิสาหกิจสำคัญที่เป็น "ฐานที่มั่น" ในการตรวจสอบอดีตรัฐบาลที่ผ่านมา

เกิดอะไรขึ้นกับเขา!? ทำไม !? คนในสังคมไทยจึงได้เกิดความคลางแคลงสงสัยในตัวของเขา เราลองมาไล่เรียงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาปีกว่าๆ กับการเข้าไปมีอำนาจบริหารในรัฐวิสาหกิจทั้งสองแห่งดูจะได้เห็นว่าประชาชนผู้เสียภาษีอย่างเรา ๆท่าน ๆ มีเหตุผลที่จะเคลือบแคลงสงสัยเข้าหรือไม่!?

พล.อ.สพรั่ง เข้ารับตำแหน่งคณะกรรมการ หรือ บอร์ด ทีโอที ชุดใหม่ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2550 ในฐานะประธานบอร์ดพร้อมด้วยพร้อมด้วยบอร์ดชุดใหม่อีก 14 คน และเข้ารับตำแหน่งประธานบอร์ดการท่าอากาศยานไทยหรือ AOT เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 พร้อมกับคณะกรรมการอีก 14 คน

จากนั้นคณะกรรมการบอร์ดทั้งสองแห่งก็เริ่มดำเนินงานในทันที มีการเรียกประชุมเพื่อรับทราบข้อมูล การทำงานและปัญหาของรัฐวิสาหกิจทั้งสองแห่ง การทำงานดูเหมือนจะราบรื่นเนื่องจากขณะนั้น คมช.มีอำนาจเต็มเปี่ยม

เป้าแรกผลาญงบ

ดูงานต่างประเทศ

หลังจากการเข้าไปเป็นบอร์ดบริหารการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยได้ไม่ถึงเดือน (15 มีนาคม2550) พล.อ.สพรั่ง ก็โดนพรรคไทยรักไทย "ทิ้งบอมส์" เรียกร้องให้ชี้แจงกรณีใช้งบประมาณ 7 ล้านบาทในการเดินทางไปประเทศเยอรมนีและอังกฤษ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการนำเงินงบประมาณของรัฐ พาคณะเครือญาติเดินทางไปร่วมคณะด้วย การทิ้งบอมส์ในช่วงนั้นทำให้ พล.อ.สพรั่ง เต้นเป็นเจ้าเข้าจนต้องออกมาชี้แจงว่าบอร์ด AOT ได้ทำตามระเบียบขั้นตอนทุกอย่าง ขณะที่พรรคไทยรักไทยได้เดินเกมส์ส่งเรื่องดังกล่าวให้ คตส.และปปช.ตรวจสอบ

เปิดแผล "ตบทรัพย์"

ประชุมถี่แต่ไม่มีผลงาน

ในช่วงระยะเวลาไม่ห่างกันนัก พล.อ.สพรั่งก็ตกเป็นเป้าโจมตีอีกครั้งจากแนวน่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการหรือ นปก.ออกมาถล่มว่าหลังจากที่ พล.อ.สพรั่ง เข้ารับตำแหน่งประธานบอร์ด ได้มีการเรียกประชุมคณะกรรมการถี่เป็นพิเศษ ขณะที่ไม่มีผลงานที่เกิดขึ้น และไม่ได้มีความคืบหน้าในการดำเนินงานหรือกำหนดนโยบายใดๆ มีเพียงการเร่งรัดดำเนินการยกเลิกสัญญาสัมปทานของบอร์ด ทอท.ชุดเก่าที่มีเท่านั้น

โดยเมื่อนับตั้งแต่ช่วงที่ พล.อ.สพรั่ง มานั่งในตำแหน่งประธานบอร์ด ทอท. และเริ่มประชุมครั้งแรกในเดือน ม.ค.จนถึงต้นเดือน พ.ค.2550 พบว่ามีการประชุมมากถึง 15 ครั้ง หรือเฉลี่ยเดือนละ 4 ครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับการประชุมบอร์ดของรัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จะมีประชุมเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง หรือหากมีเรื่องเร่งด่วนก็จะมีการประชุม 2 ครั้ง/เดือน แต่จะไม่มีการประชุมถี่ทุกสัปดาห์

ทั้งนี้ จากการประชุมที่มีความถี่ดังกล่าว ทำให้ ทอท.ต้องจ่ายค่าเบี้ยประชุมให้กับบอร์ด ทอท.ชุดปัจจุบัน รวม 14 คน ในอัตราเดือนละไม่ต่ำกว่า 700,000 บาท ยังไม่นับรวมค่าเบี้ยประชุมที่ต้องจ่ายให้กับคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน ที่บอร์ดแต่งตั้งขึ้นมาและมีบอร์ดบางคนนั่งรวมอยู่ด้วย ซึ่งภายใต้บอร์ด AOT ชุดนี้ ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงานหลายชุดมาก และมีอำนาจหน้าที่ที่ซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการของฝ่ายบริหาร ทอท. ที่มีอยู่เดิมด้วย เช่น มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการดำเนินโครงการสนามบินสุวรรณภูมิที่มี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธานกรรมการ ทั้งๆที่มีการแต่งตั้งนายคัมภีร์ แก้วเจริญ เป็นประธานตรวจสอบทุจริตอยู่แล้ว

จากการตรวจสอบหลักเกณฑ์ การกำหนดค่าตอบแทน (เบี้ยกรรมการ) เบี้ยประชุม และเงินโบนัส ประจำปี 2550 ที่กำหนดให้ ทอท.ต้องจ่าย คือ 1. เบี้ยกรรมการรายเดือน คนละ 20,000 บาท/คน 2. ค่าเบี้ยประชุมคนละ 10,000 บาท/ครั้ง เฉพาะครั้งที่เข้าประชุม โดยทั้งสองส่วนข้างต้นประธานและรองประธานให้รับเพิ่มอีกร้อยละ 25 และ 12.5 ตามลำดับ ส่วนพนักงาน AOTที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการให้ได้รับค่าเบี้ยประชุมคนละ 5,000 บาท/ครั้ง

ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น พล.อ.สพรั่ง ก็ถูกนายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาทิ้งบอมส์ลูกใหญ่อีกครั้งว่ามีหลังบ้านของผู้มีอำนาจเรียกเก็บค่าหัวคิวจากผู้ผลิตรายการในสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 รวมทั้ง มีผู้ใหญ่ที่มีอำนาจตรวจสอบเข้าไปตบทรัพย์นักธุรกิจในสนามบินสุวรณภูมิ ในเรื่องดังกล่าวนี้เมื่อถูกถามถึงข้อเท็จจริง พล.อ.สพรั่ง ก็เลี่ยงที่จะการันตีความบริสุทธิ์ และตอกกลับนายนพดล "ไร้จรรยาบรรณ" กล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีข้อมูลหากเป็นพระก็ต้อง "ปาราชิก"

ระเบิดลูกแรก

เบี้ยประชุม-โบนัส กรรมการ

ขณะเดียวกัน พล.อ.สะพรั่งยังเป็นเป้าโจมตีจากการเข้าไปรับตำแหน่งประธานบอร์ดขององค์การโทรศัพท์อีกหลายๆเรื่อง โดยเรื่องแรกที่โดนโจมตีเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องมาจากการเบิกค่าเบี้ยประชุมและการเสนอให้มีเงินโบนัสพิเศษ เมื่อปลายเดือน เมษายน 2550 โดยที่ประชุมมีติให้ทีโอทีทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอปรับเพิ่มค่าตอบแทน (เบี้ยประชุม) ของกรรมการทุกคน จากเดือนละ 10,000 บาท/คน เป็นครั้งละ 10,000 บาทต่อคน ขณะนี้ยังรอผลการพิจารณาจากกระทรวงการคลัง

24 สิงหาคม 2550 พล.อ.สพรั่ง ถูกภาพแรงงาน บริษัททีโอที จำกัด(มหาชน) เรียกร้องให้ปลดพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการ(บอร์ด)ทีโอที โดยอ้างว่า บริหารงานไม่เป็นอาชีพและมีความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างหลายรายการ 28 กันยายน 2550 พล.อ.สพรั่ง ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องโดยการอนุมัติสั่งซื้อด้วยวิธีพิเศษไม่ต้องประมูลกับโครงการจัดซื้อจ้างเหมาติดตั้งอุปกรณ์และระบบชุมสายเพื่อรองรับการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ บรอดแบนด์ เพื่อความมั่นคง มูลค่า 976 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้คนในวงการต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "แพงเหลือเกิน"

เพราะหากนำราคาโครงการเอ็มแซน ที่ประมูลได้ไปพิจารณาเปรียบเทียบแล้ว โครงการบรอดแบนด์ที่บอร์ดทีโอทีใช้วิธีจัดซื้อพิเศษ ควรจะมีราคาประมาณ 500 ล้านบาทเท่านั้น

การจัดซื้อวิธีพิเศษแพงเกินราคาประมูลไปถึง 476 ล้านบาท แพงกว่ากันเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ และจนถึงขณะนี้คณะกรรมการบอร์ดทีโอทีต้อง "ยอมยกธงขาว"โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีผู้ผ่านเงื่อนไขด้านเทคนิคเพียง 2 รายคือบริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น และบริษัทซีเมนส์ ซึ่งตามเงื่อนไขจะต้องมีผ่านเงื่อนไขด้านเทคนิคไม่ต่ำกว่า 3 ราย

นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งข้อกล่าวหาในการทำหน้าที่ "ประธานบอร์ด" ที่ปรากฏต่อสื่อมวลชนแขนงต่างๆเท่านั้น ข้อกล่าวหาฉกรรจ์อีกมากมายทั้ง การไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเซ็นต์อนุมัติค่าบริหารจัดการโรงแรม การเข้าไปมี "เอี่ยว"ในการจัดซื้อรถลีมูซีน และการเข้าไป "ล้วงลูก"การบริหารจัดการหลายๆแขนงที่มีอีกมากมายใน AOT พล.อ.สพรั่งก็คงต้องใช้เวลาอีกนานที่จะ "เคลียร์"ตัวเองต่อสาธารณชนในฐานะที่เขาเคยบอกว่าเขาเป็น "วีรบุรุษ"ไม่ใช่ "จำเลย"

เช็คสั่งจ่ายมัดวีรบรุษทำเพื่อใคร

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดถึงการปล่อยปละละเลยของบอร์ด AOT ชุดของ พล.อ สพรั่ง เกิดความเสียหายแก่ AOT นั่นคือเรื่องของโรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่เดิมก็มีปัญหามาตั้งแต่เริ่มต้นในเรื่องของการคัดเลือกเอกชนที่จะเข้ามาบริหารงานในโรงแรมแห่งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคือมีบริษัท AAPC (Thailand) เป็นผู้ซื้อซองประมูล แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมประมูล ทั้งนี้ AAPC เป็นผู้บริหารเครือข่ายโรงแรมทั่วโลกในนาม Accor Group ในนามของ Novotel แต่กลับมอบสิทธิให้กับกิจการร่วมค้ายูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที ซึ่งไม่ตรงกับคุณสมบัติที่กำหนดไว้

แต่กลับได้รับคัดเลือกให้มาเป็นผู้บริหารโรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แม้ว่าจะกำหนดค่าบริหารจัดการโรงแรมแพงกว่ารายอื่น

เมื่อบอร์ด AOT ชุด พล.อ.สพรั่ง เข้ามา ได้มีการยื่นเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดตีความว่าสัญญาที่บอร์ดชุดเดิมทำไว้กับยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที นั้นเป็นโมฆะหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่าไม่เป็นโมฆะบอร์ดจึงมีการสั่งจ่ายเงินค่าบริหารสำหรับระหว่างเดือนตุลาคม 2549-กันยายน 2550 เป็นเงิน 101.58 ล้านบาทเมื่อ 28 ธันวาคม 2550

ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นการสั่งจ่ายเช็คดังกล่าวเท่ากับว่าสัญญาที่ ได้ดำเนินการตั้งแต่บอร์ดชุดเก่านั้นมีผลสมบูรณ์ และผูกพันไปอีกถึง 20 ปี โดยที่บอร์ดชุดปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการเจรจากับยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที เพื่อขอลดค่าบริหารจัดการโรงแรมที่แพงกว่าปกติอย่างจริงจัง

ปกติค่าบริการโรงแรมโดยทั่วไปคิดกันจาก 3 รายการคือค่า Management Fee ประมาณ 3% ของรายรับรวม ค่า Incentive Fee คิดจากกำไรเบื้องต้นที่ 7% และค่า Marketing Fee คิดที่ 4% ของรายรับการจองห้องพัก แต่ค่าบริหารจัดการของยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที คิดที่ 9% ของรายรับรวม ส่งผลให้ต้องมีการจ่ายค่าบริหารจัดการสำหรับช่วงปี 2549-2550 เป็นเงิน 101.58 ล้านบาท

สุดทนยื่นใบลาออก

แทนเซ็นเช็คคู่สพรั่ง

ปมปัญหาเรื่องค่าบริหารจัดการโรงแรมท่าอากาศสุวรรณภูมิที่แพงเกินจริงนั้น ส่งผลให้ผู้จัดการโรงแรมยื่นใบลาออกเมื่อ 19 ธันวาคม 2550 และมีผลในวันที่ 21 มกราคม 2551 แม้เหตุผลในการลาออกนั้นจะระบุเพียงว่ามีภาระเรื่องดูแลบุตร แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าผู้จัดการท่านนี้ได้รับการว่าจ้างเมื่อ 18 กรกฎาคม 2549 มีสัญญา 4 ปี แต่กลับยื่นใบลาออกเมื่อ 19 ธันวาคม 2550 หลังจากทำงานได้เพียงปีเศษเท่านั้น

แต่เหตุผลที่แท้จริงของการลาออกในครั้งนี้น่าจะเป็นผลมาจากการยอมอนุมัติ ให้มีการจ่ายเงินค่าบริหารจัดการให้กับกลุ่มยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที

แหล่งข่าวจาก AOT กล่าวว่า เมื่อบอร์ดของโรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตัดสินใจจ่ายเงินให้กับยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที ได้มีการท้วงติงในเรื่องจากกรรมการบางท่านว่าควรมีการต่อรองค่าบริหารจัดการ กับผู้ที่ได้รับการคัดเลือก แต่เมื่อกลุ่มยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที ไม่ยอมเจรจาทางบอร์ดก็ลงความเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการต่อรองได้ จึงต้องดำเนินการจ่ายเงิน

เดิมในเรื่องของการจ่ายเงินค่าบริหารโรงแรมนั้นต้องมีผู้บริหารของโรงแรม ร่วมลงนามกับกรรมการโรงแรม แต่ผู้บริหารของโรงแรมคือผู้จัดการโรงแรมไม่ยอมลงนามด้วย บอร์ดของโรงแรมซึ่งก็คือบอร์ดของ AOT ยังได้แก้ไขในเรื่องของผู้มีอำนาจในการสั่งจ่ายเงิน โดยไม่ต้องมีผู้บริหารของโรงแรมร่วมลงนาม

ด้วยข้อจำกัดในเรื่องอำนาจของผู้จ่ายเงิน ที่วงเงิน 200 ล้านบาทเป็นอำนาจของกรรมการกลุ่ม ก และกลุ่ม ข ส่วนผู้มีอำนาจจ่ายเงินได้โดยไม่จำกัดวงเงิน คือตำแหน่งประธานกรรมการโรงแรมคือพลเอกสพรั่ง กัลยานมิตร ดังนั้นพลเอกสพรั่งจึงลงนามในเช็คจ่ายเงิน ของธนาคารทหารไทยสั่งจ่ายให้กับยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที เมื่อ 11 ธันวาคม 2550 เพียงท่านเดียว เมื่อมีการท้วงติงจึงหากรรมการท่านอื่นมาร่วมลงนามและสั่งจ่ายเช็คเมื่อ 28 ธันวาคม 2550

" ปัญหาเรื่องนี้คือเช็คที่สั่งจ่ายนั้น คุณสพรั่ง เซ็นเพียงคนเดียว ฝ่ายตัวแทน AOTหรือผู้บริหารโรมแรมไม่ยอมเซ็นเขาบอกว่า เซ็นจ่ายได้อย่างไรควรมีการต่อรองกันก่อน เพราะตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่สูง กว่าจะคุ้มทุนต้องใช้เวลาถึง 20 ปี ขณะที่บอร์ด ตั้งหน้าตั้งตาจะเซ็นเพียงอย่างเดียว ฝ่ายโรมแรมจึงตัดสินใจยื่นใบลาออก จากนั้นก็มีการแก้ไขมติบอร์ด จนเป็นที่มาของการเซ็นเช็คใบใหม่ลงวันที่ 28 ธค.แทน"

ที่สำคัญคือเช็คใบแรกนั้น บ่งชี้ให้เห็นว่า มีการลัดขั้นตอน เพราะโดยหลักการบริหารแล้ว ประธานบอร์ด จะเป็นผู้เซ็นที่หลัง แต่การที่ พล.อ.สพรั่ง เซ็นก่อนนั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์ใน AOT ว่าเป็นการบังคับให้ผู้มีอำนาจอีกท่านหนึ่งต้องลงนาม แต่ทุกอย่างต้องจบเพราะฝ่าย AOT ยื่นใบลาออก จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนมติที่ประชุมและมีการสั่งจ่ายเช็คใบใหม่เกิดขึ้น

การสั่งจ่ายเช็คฉบับที่ 2 ที่เกิดขึ้น เท่ากับเป็นการรับรองความถูกต้องของสัญญาที่ทำไว้ในบอร์ดชุดก่อน โดยที่ครั้งต่อไปคงไม่มีการเจรจาต่อรองเรื่องการลดค่าบริหารจัดการกับกลุ่มยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที ถือเป็นการยอมรับค่าบริหารจัดการที่แพงกว่ารายอื่น ๆ ต่อไปอีก 20 ปี

หนึ่งในข้อท้วงติงที่น่าสนใจของอดีตผู้จัดการโรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือ "การจ่ายเงินจำนวนมาก ๆ ตามมารยาทผมไม่ขอลงนาม ประกอบกับเรื่องนี้ผมได้มีความเห็นอยู่ในวาระการประชุมหลายครั้งแล้วว่า ค่าจ้างแพง ถ้าผมลงนามไปในเช็คที่สั่งจ่ายจะไปค้านกับความเห็นของผมที่มีมาตั้งแต่ต้น"

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ถึงวันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าบอร์ดชุดนี้ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใน AOT อย่างจริงจัง ปล่อยให้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นเกิดขึ้นต่อไป และในบางรายการเป็นการดำเนินการที่สนับสนุนให้โอกาสในการสร้างรายได้ของ AOT น้อยลงทุกขณะ

แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับกำไรของ AOT ที่หลายไปกว่า 90% ถือเป็นสิ่งที่ประธานบอร์ดและกรรมการไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ขณะที่ตัวประธานบอร์ดที่เป็นข้าราชการ การดำเนินการใด ๆ ไปนั้นมีความเสี่ยงต่อการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ว่า

ผู้ใด เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่ โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือ ปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ หนึ่งปี ถึง สิบปี หรือ ปรับตั้งแต่ สองพันบาท ถึง สองหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ (คำว่าโดยทุจริตหมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเอง หรือ ผู้อื่น)

"สพรั่ง"นั่ง2เก้าอี้ไม่เหมาะสม

นอกจากนี้การกระทำของบอร์ด AOT ชุดปัจจุบันนี้ ยังเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ.2535 มาตรา 85 ในการดำเนินกิจการของบริษัท กรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ และข้อบังคับของบริษัท ตลอดจนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของบริษัท หากกรรมการคนใดกระทำการหรือละเว้นกระทำการ ผู้ถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 สามารถนำคดีขึ้นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรรมการคนนั้นได้

อีกทั้งการปฏิบัติงานของประธานบอร์ด และกรรมการบางท่านยังขัดต่อข้อพึงปฏิบัติที่ดีสำหรับกรรมการบริษัทจดทะเบียน ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหน้าที่ความรับผิดชอบของกรรมการบริษัทจดทะเบียนที่ระบุว่า กรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ และข้อบังคับของบริษัทตลอดจนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และความระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของบริษัท

แต่จากผลการดำเนินงานของปี 2550 ที่ผ่านมากำไรหายไปเกือบ 90% นั้น ก็ขัดกับข้อพึงปฏิบัติที่กรรมการมีหน้าที่กำหนดนโยบาย และทิศทางการดำเนินงานของบริษัทและกำกับควบคุมดูแล ให้ฝ่ายจัดการดำเนินการให้เป็นตามนโยบายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุดให้แก่กิจการและความมั่งคั่งสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น

อีกทั้งยังขัดต่อข้อพึงปฏิบัติที่ดีของคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียน ที่ระบุไว้ว่า คณะกรรมการควรจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการสม่ำเสมอ เมื่อมีการพิจารณาลงมติในเรื่องหรือรายการที่มีนัยสำคัญ รายการที่มีนัยสำคัญควรรวมถึง รายการที่ได้มาหรือจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทจดทะเบียน และบริษัทย่อยที่มีผลกระทบสำคัญต่อบริษัทจดทะเบียน รายการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่สำคัญ การขยายโครงการลงทุน การกำหนดระดับอำนาจดำเนินการ และการกำหนดนโยบายการบริหารการเงินและการบริหารความเสี่ยงกิจการ

แต่ในหลายรายการอย่างกรณีโรงแรมหรือการทุจริตในโครงการต่าง ๆ กลับไม่มีการหารือเพื่อหาทางยุติปัญหา

ขณะเดียวกันพลเอกสพรั่ง ซึ่งนั่งเป็นประธานกรรมการของ AOT แล้วยังนั่งเป็นกรรมการอิสระอีกตำแหน่งหนึ่ง โดยขัดต่อหน้าที่ของกรรมการอิสระที่ระบุไว้ว่า กรรมการอิสระ หรือกรรมการจากภายนอก หมายถึงกรรมการที่มิได้เป็นการการบริหาร และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารงานประจำและไม่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท

ดังนั้น เมื่อรับตำแหน่งกรรมการอิสระ ที่มีหน้าที่พร้อมจะแสดงความเห็นขัดแย้งกับกรรมการคนอื่นในการรักษาผลประโยชน์ของบริษัท ดังนั้นการคัดค้านกับการกระทำที่ไม่ถูกต้องของตัวประธานกรรมการจึงไม่เกิดขึ้น

************

สพรั่ง" ปิดหูปิดตาสัญญาเช่า"ลีมูซีน"

ส่อทุจริตเอกชนแตกบริษัท-ฮั้วรับงาน"

กรณีปัญหารถยนต์รับจ้าง รับ-ส่งผู้โดยสาร ที่ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ถือเป็นอีกหนึ่งในหลายปมปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในสนามบินนานาชาติของไทย โดยจากการตรวจสอบของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาปัญหารถรับจ้างขนส่งผู้โดยสาร (แท็กซี่) ของสภานิติบัญญัติ นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาสนามบินสุวรรณภูมิ สภานิติบัญญัติ

เนื่องจากภายหลังจากที่สนามบินสุวรรณภูมิ ได้เปิดใช้อย่างทางการตั้งแต่ 28 ก.ย.2549 ที่ผ่านมานั้น พบว่ามีการบริหารจัดการเรื่องของการจราจรภายในที่ขาดประสิทธิภาพนั้นได้ส่งผลกระทบเกิดความเสียหายกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)อย่างมาก ทั้งในแง่ค่าใช้จ่าย การลงทุน ทำให้ทอท.ต้องสูญเสียรายได้ในส่วนที่ควรจะได้รับ ขณะเดียวกันจากปมปัญหาดังกล่าวนี้ยังได้เปิดช่องให้เกิดความไม่โปร่งใสขึ้น มีการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ จึงยิ่งเป็นการพอกพูนปัญหาการทุจริตที่เคยเกิดขึ้นในสนามบินแห่งนี้มากขึ้น โดยที่ปัญหาเก่ายังอยู่ในกระบวนการแก้ไขจากฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง

สัญญาเช่ารถลีมูซีนส่งกลิ่น

โดยคณะกรรมการบริหารของทอท. ได้มีนโยบายให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่าจ้างบริษัทเอกชนภายนอก ที่มีกิจการค้าขายในธุรกิจรถยนต์เข้ามารับจ้างทอท. ในการจัดหารถยนต์นั่งต่างๆที่เป็นรถใหม่จากบริษัทขายรถ มาให้บริการแก่ผู้โดยสาร เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือก นอกเหนือไปจากการมีแท็กซี่ไว้ให้บริการ โดยเป็นรถยนต์ประเภทลีมูซีน (Limousine) ตามที่ท่าอากาศยานนานาชาติมีให้บริการ

จากนั้นเมื่อมีการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิจึงได้มีการกำหนดทีโออาร์ และสัญญาว่าจ้างบริษัทเอกชน (Out Source) ให้ทำการจัดหารถยนต์ประเภทต่างๆรวมทั้งสิ้น 8 ยี่ห้อ 380 คันจาก 5 บริษัท มาให้บริการ ซึ่งสัญญาที่ทอท.ได้มีการลงนามกับบริษัทเอกชน ทั้ง8 สัญญา 2 กลุ่มบริษัทในการจัดหารถลีมูซีน ให้ทอท.เช่าเพื่อนำมาให้บริการกับผู้โดยสารนั้น พบว่าได้กลายเป็นสัญญาที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน แต่ในฝ่ายของทอท.กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ทั้งนี้ บริษัทเอกชนจากทั้ง 2 กลุ่มที่เข้ามาเกี่ยวข้องและต่อมาได้กลายเป็น "ตัวละคร" ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการอันไม่โปร่งใสจากการจัดหารถลีมูซีนนั้นประกอบด้วย

กลุ่มบริษัทที่ 1

- บริษัท วิทยุโรดโชว์รูม จำกัด รถยนต์เบ็นซ์ ซี คลาส 200 เอ็น จี ที จำนวน 20 คัน วงเงินเช่า 204,732,000 บาท (สัญญา เลขที่ 6 CL 4-490001)

- บริษัท แบงคอก ลีมูซีน จำกัด รถยนต์ลอนดอน แคป จำนวน 40 คัน วงเงินเช่า 311,238,000 บาท ( สัญญา เลขที่ 6 CL4 490003)

- บริษัท ทองหล่อ คาร์เซลล์ จำกัด รถยนต์นิสสัน เทียน่า จำนวน 100 คัน วงเงินเช่า 617,051,250 บาท (สัญญา เลขที่ 6 CL 4-490006)

- บริษัท ทองหล่อ คาร์เซลล์ จำกัด รถยนต์ นิสสัน เออร์แวน จำนวน 30 คัน วงเงินเช่า 208,116,000 บาท (สัญญา เลขที่ 6 CL4 -490007)

กลุ่มบริษัทที่ 2

- บริษัท สยาม คาร์เรนท์ จำกัด รถยนต์ บี เอ็ม ดับบลิว จำนวน 20 คัน วงเงินเช่า 279,180,000 บาท (สัญญา เลขที่ 6 CL 4-490002)

- บริษัท สยามออโต้เซอร์วิส จำกัด รถยนต์โตโยต้า คัมรี่ 2.0 จำนวน 100 คัน วงเงินเช่า 617,051,250 บาท (สัญญา เลขที่ 6 CL 4-490004)

- บริษัท สยามออโต้เซอร์วิส จำกัด รถยนต์ คอมมิวเตอร์ จำนวน 30 คัน วงเงินเช่า 216,999,000 บาท (สัญญา เลขที่ 6 CL 4-490005)

- บริษัท สยาม คาร์เรนท์ จำกัด รถยนต์ อีซูซุ มิว-7 จำนวน 40คัน วงเงินเช่า 197, 024,000 บาท (สัญญา เลขที่ 6 CL 4-490008)

รวมระยะเวลา 5 ปีที่ทอท.ต้องจ่ายเงินให้กับ บริษัท 2 กลุ่ม ใน 8 สัญญาดังกล่าวเป็นเงิน 2,651,481,500 บาท รวมรถยนต์ที่เช่า จำนวน 380 คัน โดยเฉลี่ยทอท. ต้องจ่ายค่าเช่ารถระยะเวลา 5 ปี ในวงเงินประมาณ 6,977,583 บาทต่อคัน ซึ่งเป็นยอดเงินค่าเช่าที่แพงกว่าราคารถยนต์จริงประมาณ 3-5 เท่าตัว หรือคิดเป็นรายได้เฉลี่ยวันละ 317 บาท ต่อคัน แต่เมื่อนำข้อมูลตัวเลขดังกล่าวไปเปรียบเทียบ กับรายได้จากการให้เช่ารถของบริษัทเอกชน (8 สัญญา) ประจำเดือนม.ค.2550 จำนวน 27,544,796 บาทจากรถเช่าทั้งหมด 380 คัน หรือมีรายได้เฉลี่ยวันละ 2,416 บาทต่อคัน

บ.เอกชนถือหุ้นไขว้

ใช้เจ้าของร่วมกัน

จากข้อเท็จจริงเห็นได้ว่าการเช่ารถลีมูซีนจากบริษัทเอกชนจำนวน 380 คันเพื่อนำมาบริหารการขาย ด้วยวิธีจ้างบริษัทนั้นมีราคาแพงกว่าการซื้อ หรือเช่าซื้อ หรือการให้เช่าโดยทั่วไปของภาคเอกชน ซึ่งเมื่อนับรวมค่าใช้จ่ายที่ทอท.ยังไม่ได้นำมาคิดคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนประจำเดือน อาทิ เงินค่าบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่ทอท. ที่รับผิดชอบเรื่องรถลีมูซีน ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมราคา ค่าเช่าสถานที่ลานจอดรถ และพื้นที่จอดรถหน้าอาคารผู้โดยสาร จำนวนเงินดังกล่าวเมื่อนำไปคำนวณกับรายได้แล้ว ผลประกอบการในแต่ละเดือน ทอท.จะต้องแบกรับภาระในการขาดทุนมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามในรายงานสรุปผลปัญหาโดยคณะอนุกรรมการคณะอนุกรรมาธิการศึกษาปัญหาฯ ของสนช.ยังได้ชี้ให้เห็นว่าการที่ทอท. ได้ทำสัญญาโดยวิธีพิเศษจัดจ้างบริษัทเอกชน เข้ามาบริหารจัดการรถลีมูซีน จำนวน 380 คันของทอท. ซึ่งทำการเช่าจากบริษัทเอกชน 5 บริษัท (จำนวน 8 สัญญา)สำหรับรถยนต์นั่ง 8 ยี่ห้อ นั้นยังมีประเด็นที่กลายเป็นเบาะแสการเอื้อประโยชน์ ให้กับผู้ประกอบการโดยไม่ถูกต้อง เพราะจากหลักฐานการจดทะเบียนบริษัท ปรากฏว่า บริษัททั้ง 2 กลุ่ม ล้วนแล้วแต่มีบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของ และผู้ถือหุ้น ที่เป็นคนๆเดียวกันแต่กลับมีชื่ออยู่มากกว่า 1 บริษัทอาศัยตัวแทนถือหุ้นไขว้กันหรือแทนกันใน 2 กลุ่มบริษัท เพื่อเอื้อประโยชน์ร่วมกันหรือแทนกันในการเสนอราคาของรถแต่ละประเภท เจตนาที่จะให้ทอท. คัดเลือกบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่กำหนดกันไว้เป็นการล่วงหน้าให้เป็นผู้ได้รับสัญญากับทอท.ไป

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบหลักฐานสามารถพิจารณาได้ว่า 1.บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของแต่ละบริษัททั้ง 2 กลุ่มที่ถือหุ้นไขว้กันไปมา 2.กรรมการบริหารแต่ละบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทหนึ่ง แต่ไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารของอีกบริษัทหนึ่ง 3. ผู้ที่ทำบัญชีและผู้สอบบัญชีใช้บุคคลคนเดียวกัน 4. ผู้ถือหุ้นหรือกรรมการของบริษัทในแต่ละกลุ่มบริษัท ปรากฏว่ารับเงินเดือนค่าจ้างจากบริษัทเดียวกัน

เมื่อพิจารณาจากบริษัทที่เสนอตัวให้คณะกรรมการจัดจ้างพิจารณา ไม่ปรากฏว่ามีบริษัทนอกเหนือไปจากทั้งสองกลุ่มดังกล่าว ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวของกลุ่มบริษัททั้ง2 กลุ่มที่ได้ลงนามในสัญญา 8สัญญากลุ่มบริษัทละ 4 สัญญา มีลักษณะเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริตซึ่งเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 เนื่องจากผู้เข้าเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐเป็นบุคคลที่กระทำการโดยเจตนาทุจริตเพื่อให้ได้สัญญากับรัฐ

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาลงลึกถึงความเกี่ยวพันระหว่างตัวบุคคลกับบริษัททั้ง2 กลุ่มยิ่งพบความชัดเจนถึงเจตนากระทำทุจริต โดยพบว่าในบริษัทสยาม ออโต้เซอร์วิส ฯ มี วินัย พิทักษ์สิทธิ์- วิศิษฎ์ พิทักษ์สิทธิ์- วิสุทธิ์ พิทักษ์สิทธิ์- ศรัณ พิทักษ์สิทธิ์ -ดำรง พิทักษ์สิทธิ์ เป็นผู้ถือหุ้น แต่ขณะเดียวกันบุคคลกลุ่มนี้ยังมีชื่อไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท สยามคาร์เร้นท์ ด้วย รวมทั้งมีผู้บุคคลที่ถือหุ้นในบริษัท แบงคอกลีมูซีน อย่าง วณี เจริญสุกใส-มาลี กุสินทร์เกิด ไปมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัท ทองหล่อ คาร์เซลล์ และรวมทั้งการใช้ชื่อที่อยู่ของบริษัททั้ง 2 แห่งยังระบุสถานที่เดียวกัน คือเลขที่ 540/2 ซ.สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ)ไว้เหมือนกัน

จากการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานตลอดจนพฤติการณ์ของบริษัททั้ง 2 กลุ่มที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการทำสัญญากับทอท.ในลัษณะดังกล่าว คณะอนุกรรมการฯ ของสนช.เชื่อว่าน่าจะเข้าข่ายกระทำขัดต่อพ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 , ข้อบังคับการท่าอากาศยาร ฯว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2539 แก้ไขเพิ่มเดิมโดย (ฉบับที่ 2 )พ.ศ.2543 นอกเหนือไปจากการขัดต่อพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ

อย่างไรก็ดีข้อมูลหลักฐานดังกล่าวได้มีการนำเสนอต่อบอร์ดทอท.ที่มีพล.อ.สพรั่ง เป็นประธานแล้วแต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งที่ พล.อ.สพรั่ง เข้ามานั่งตำแหน่งประธานบอร์ดครั้งนี้ มีจุดหมายเพื่อปราบปรามการทุจริต และแก้ไขสัญญาต่าง ๆ ที่ทำให้ AOT และผู้ถือหุ้นต้องเสียหาย !

ภาพลักษณ์ของนายทหารน้ำดีที่อาสาเข้ามาแก้ปัญหาการทุจริตและคอรัปชั่นของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยหลังจากที่มีการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ด้วยตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบกและมีอาวุโสสูงสุดจ่อคิวผู้บัญชาการทหารบกสืบต่อจากพลเอกสนธิ บุญรัตกลิน ของพลเอกสพรั่ง กัลญาณมิตร สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคประชาชนไม่น้อย โดยเฉพาะการเข้าไปนั่งเป็นประธานบอร์ดบริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) หรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและบริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ AOT

ประชาชนทั้งประเทศได้เห็นความเอาจริงเอาจังในการสางปัญหาทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นกับองค์ของรัฐทั้ง 2 แห่ง แต่ที่สะดุดตามากที่สุดเห็นจะเป็นที่สนามบินสุวรรณภูมิที่อยู่ภายใต้การดูแลของ AOT โดยเฉพาะเรื่องสนามบินร้าวต้องมีการซ่อมทางวิ่งกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต นับเป็นการตอกย้ำถึงปัญหาการทุจริตและคอรัปชั่นของรัฐบาลชุดก่อนหน้าได้เป็นอย่างดี รวมถึงปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นในสนามบินแห่งนี้ งานนี้พล.อ.สพรั่งได้ใจประชาชนไปเต็มๆ

AOT กำไรลดวูบถึง 90%

แต่หลังจากพลาดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก นายทหารนักบู๊รายนี้ก็เงียบหายไประยะหนึ่ง และเริ่มมีแรงต่อต้านจากพนักงานในหน่วยงานที่ พล.อ.สพรั่ง เข้าไปนั่งเป็นประธานบอร์ดในทีโอที รวมถึงการถือป้ายประท้วงการบริหารงานใน AOT ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของกลุ่มผู้ถือหุ้น หลังจากการบริหารงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมากำไรหดหายไปเกือบ 90% เมื่อ 25 มกราคมที่ผ่านมา

จากกำไรสุทธิของงบการเงินงวด 1 ปีของปี 2549 AOT มีกำไรสุทธิ 10,473.99 ล้านบาท แต่ในปี 2550 กลับทำกำไรได้แค่ 1,094.87 ล้านบาทเท่านั้น จากกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 7.33 บาทเหลือแค่ 0.79 บาทเท่านั้น ส่งผลให้เงินปันผลจ่ายได้เพียงหุ้นละ 0.40 บาทต่อหุ้นเท่านั้นเทียบกับ 2.75 บาทของปี 2549

แม้ว่ารายได้จากการดำเนินงานของ AOT จะเพิ่มขึ้นจากเดิม 20.08% เป็นผลจากขยายตัวของกิจการการบินที่มีสายการบินต่าง ๆ มาใช้บริการเพิ่มขึ้น ทั้งขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร รวมถึงการการปรับเพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมในการใช้สนามบิน

แต่รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ลดลง 2,092.21 ล้านบาทหรือหายไป 50.97% เป็นผลมาจากการที่ AOT ไม่บันทึกรับรู้รายได้จากการประกอบการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและกิจกรรมร้านค้าเชิงพาณิชย์ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานภูมิภาคของบริษัทเอกชน 2 ราย นับแต่วันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ตามที่คณะกรรมการ AOT ว่าการทำสัญญากับบริษัทเอกชนดังกล่าว ไม่เป็นไปตามขั้นตอนพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือ ดำเนินการในกิจการของรัฐ ฯ พ.ศ.2535 สัญญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา ทั้งนี้ AOT จะใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากรายได้ที่ AOT ไม่ได้รับรู้จากบริษัทเอกชนดังกล่าวต่อไป

นอกเหนือจากรายได้ที่ลดลงแล้ว สิ่งที่น่าสนใจนั่นคือเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามมา โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานประจำปี 2550 รวม 17,996.16 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 8,576.09 ล้านบาทหรือร้อยละ 91.04 ทั้งนี้ สาเหตุหลักเนื่องจากการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในภาพรวมสูงขึ้นจากปีก่อนเกือบเท่าตัว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายทรัพย์สินสูงขึ้น 6,359.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 454.23% ค่าซ่อมแซมสูงขึ้น 454.00 ล้านบาท หรือ 163.09% โดยเฉพาะค่าซ่อมแซมสายพานส่งกระเป๋า ครุภัณฑ์ไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ เครื่องสื่อสารและคอมพิวเตอร์ ทางวิ่งทางขับและสุขภัณฑ์ ค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้น 2,103.36 ล้านบาท หรือ 58% จากค่าจ้างเอกชนดำเนินการ(Outsource) ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเบี้ยประกันภัย และค่าตอบแทนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินแก่สายการบิน

รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่บันทึกดอกเบี้ยจ่ายเงินกู้ เพื่อการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และโรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 2,396.71 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งปีก่อนบันทึกเป็นต้นทุนงานก่อสร้าง

โบนัสที่พนักงานเคยได้กัน 9 เดือนในปี 2549 เหลือเพียง 3 เดือนในปี 2550 หลังจากที่ได้พลเอกสพรั่งเข้ามานั่งเป็นประธานบอร์ดพร้อมด้วยคณะกรรมการในชุดปัจจุบันเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น

ฝ่ายตรวจสอบของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งกล่าวว่า ต้องยอมรับว่าบอร์ดชุดปัจจุบันเข้ามาทำหน้าที่แทนบอร์ดชุดเดิมที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยตั้งขึ้นมา เมื่อภารกิจหลักเข้ามาตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นในองค์การแห่งนี้ ก็ต้องส่งผลกระทบต่อรายได้เป็นธรรมดา

หากผู้ถือหุ้นพิจารณาด้วยความเป็นธรรมแล้วต้องดูด้วยว่า มีรายได้บางตัวที่เข้ามาเป็นก้อนใหญ่ในปี 2549 ดังนั้นจึงทำให้กำไรจึงค่อนข้างสูง เมื่อเข้าสู่ปีต่อมารายได้จึงต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้

กรณีของรายได้จากคิงเพาเวอร์นั้น จริง ๆ แล้วรายได้นั้นก็มีการนำส่งตามปกติแต่ในการบันทึกบัญชียังทำไม่ได้เนื่องจากยังมีคดีความฟ้องร้องกันอยู่ หากสถานการณ์คลี่คลายไปได้รายได้ก็จะกลับเข้ามาตามปกติ

ผู้ถือหุ้นควรต้องเสนอแนะให้บอร์ดชุดนี้เร่งทำงานเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ยุติโดยเร็ว หากบอร์ดไม่ดำเนินการแก้ไขก็ต้องหาคนใหม่เข้ามาบริหารแทน ทั้งนี้คณะกรรมการของ AOT ต้องเข้าใจสถานะของ AOT ด้วยว่าไม่ใช่มีสถานะเป็นแค่บริษัทมหาชนเพียงอย่างเดียว เพราะ AOT เกิดจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้วนำเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สินทรัพย์ส่วนใหญ่ของ AOT ล้วนแล้วแต่มาจากเงินภาษีอากรของประชาชนทั้งประเทศ แม้จะมีผู้ลงทุนเดือดร้อนจากผลการดำเนินที่แย่ลงแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

ตะลึงพฤติกรรมสพรั่ง

แหล่งข่าวจากการท่าอากาศยานรายหนึ่งกล่าวว่า ทุกคนทราบดีว่าบอร์ดชุดของพลเอกสพรั่งเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลชุดก่อน แม้ว่าปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในสนามบินสุวรรณภูมิจะมีหลายจุด แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องนับหนึ่งใหม่ในการตรวจสอบ เพราะก่อนหน้านี้ได้มีผลการสอบของคณะกรรมาธิการคมนาคมออกมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้มีการนำมาสานต่อแต่อย่างใด

วันนี้เราไม่รู้ว่าภาพความเอาจริงเอาจังที่ พล.อ.สพรั่ง เคยสร้างไว้ในช่วงต้นของการรับตำแหน่งนั้นหายไปไหน โดยเฉพาะหลังจากที่พลาดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ทุกอย่างที่เคยแข็งขันก็เริ่มนิ่งยิ่งใกล้ได้รัฐบาลใหม่ที่เป็นพรรคพลังประชาชนอะไรหลาย ๆ อย่างก็ดูเปลี่ยนไป เช่น การให้สัมปทาน 3G กับกลุ่มชินคอร์ปภายใต้ตำแหน่งประธานบอร์ดทีโอที

ในส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้นกับสนามบินสุวรรณภูมิที่มีด้วยกันหลายเรื่อง ถ้า พล.อ.สพรั่ง จัดการเรื่องเหล่านี้ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมาย ประโยชน์ที่ AOT จะได้รับก็มีขึ้นมามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเรื่องรถลีมูซีน ที่เดิมกำหนดให้เป็นระบบสัมปทาน เปิดให้มีผู้สนใจเข้ามาเสนอราคา แต่บอร์ดชุดก่อนกลับเปลี่ยนมาใช้ระบบว่าจ้างแทน และค่าจ้างก็ตั้งไว้สูงกว่าความเป็นจริงมากและผลตอบแทนที่ได้รับก็ไม่คุ้มค่า

บอร์ดชุดปัจจุบันก็เห็นปัญหาที่เกิดขึ้น รู้ว่าระยะเวลา 5 ปีกับการต้องจ่ายเงินให้กับการว่าจ้างกลุ่มผู้ที่ได้รับคัดเลือก 2 กลุ่มที่มีความสัมพันธ์กันต้องจ่ายเงินไป 2,651.48 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่ได้รับมานั้นไม่คุ้มค่ากัน หากกลับไปใช้ระบบการประมูล AOT ไม่จำเป็นต้องเข้ามามีภาระจัดการในเรื่องการจัดเก็บรายได้ เมื่อครบปีก็รับเงินที่เอกชนได้ยื่นข้อเสนอมา แต่บอร์ดก็ยังคงปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นต่อไปโดยไม่เข้าไปยกเลิกสัญญาว่าจ้างดังกล่าว

ในส่วนของปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมิไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคิงเพาเวอร์ ที่ยังคงเป็นคดีความฟ้องร้องกันอยู่ หรือเรื่องของการจัดจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มวงเงินค่าจ้างให้กับผู้ได้รับคัดเลือก โดยที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องของรถเข็นกระเป๋าที่เดิมจะฟรีมาจากเยอรมันแต่กลับยอมทุ่มเงิน 534 ล้านบาทให้เอกชนจัดหามา รถเข็นดังกล่าวก็ไม่ได้มาตรฐาน

การให้สัมปทานประกอบการเชิงพาณิชย์ในบริเวณศูนย์ขนส่งสาธารณะ กับบริษัทสุวรรณภูมิ ทรานเซอร์วิส จำกัด ที่ไม่ต้องประมูล แถมยังมีการขอลดผลประโยชน์ค่าตอบแทน โดยเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเชื่อมโยงกับการเป็นที่ปรึกษาให้กับบอร์ดของ AOT

โครงการกำจัดขยะที่กลุ่มสามารถได้รับการว่าจ้างนั้นก็มีการเปลี่ยนเงื่อนไขในการกำจัดขยะจากกำจัดภายนอกสนามบินมากำจัดภายในสนามบิน แถมต้องใช้ที่ดินของ AOT และต้องสร้างโรงงานกำจัดขยะอีกด้วย อีกทั้งการประมาณการปริมาณขยะก็สูงกว่าความเป็นจริง โดยที่ขยะที่เกิดขึ้นจริงนั้นมีน้อยไม่เพียงพอที่จะสร้างระบบกำจัดขยะ

ปัญหาโครงการให้บริการระบบไฟฟ้า 400 HZ และระบบปรับอากาศชนิดติดตั้งอยู่กับที่ เนื่องจากระบบไฟฟ้าที่ให้บริการนั้นไม่ได้มาตรฐาน ทำให้สายการบินต่าง ๆ ไม่กล้าใช้ ส่งผลให้ AOT ขาดรายได้จากส่วนนี้ไปมาก อีกทั้งผู้ที่รับอนุญาตไปก็ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ปล่อยให้ AOT แบกรับค่าไฟฟ้าและค่าน้ำแทน




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2551 19:33:17 น.
Counter : 633 Pageviews.  

วีรบุรุษหลงสนาม

วีรบุรุษหลงสนาม [29 ธ.ค. 50 - 01:27]

พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม และรองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กลายเป็นที่รู้จัก และสนใจของผู้คนขึ้นมา ก็เมื่อหนังสือ พิมพ์ลงข่าวว่าเขาเรียกตัวเองว่า วีรบุรุษ

วีรบุรุษ ในความหมายของ พล.อ.สพรั่ง ไม่ใช่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงตายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

แต่หมายถึงตัวเขาเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องตอบคำถามกับนักข่าวในเรื่องที่ ถูกโจมตีว่า เขาเบิกงบราชการไปสูงถึง 7.2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ นำบอร์ด 13 คน พร้อมลูกเมีย รวมถึงครอบครัวตัวเอง เดินทางไปดูงานด้าน การรักษาความปลอดภัย และการแบ่งการจราจรทางอากาศระหว่างท่าอากาศยานในประเทศ กับท่าอากาศยานระหว่างประเทศที่เยอรมนี และอังกฤษ หลังจากที่เพิ่งจะเข้าไปเป็นประธานบอร์ดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้เพียงไม่กี่เดือน

ในขณะที่ผู้บริหารสนามบินที่ถูกอ้างถึงไม่ได้อนุญาตให้พวกเขาเข้าไป เสาะแสวงหาข้อมูลตามที่ต้องการ หรือแม้แต่ในกรณีที่จะขอไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า ก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิมีการลอกเลียนแบบสนามบินจากประเทศเยอรมนีมาจริงหรือไม่

ความเป็นคนพูดจาโผงผาง และออกจะมีบุคลิกพิเศษของ พล.อ.สพรั่ง ดึงดูดให้ สื่อมวลชน และผู้คนทั่วไปต้องหันมาให้ความสนใจในตัวเขา และงานที่เขาทำมากขึ้น เมื่อเขาได้ แต่งตั้งผู้คนจำนวนมากเข้าไปเป็นคณะทำงาน และที่ปรึกษา ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นบอร์ด ทอท. หรือบอร์ดบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่เขานั่งเป็นประธานอีกตำแหน่ง แต่ละบอร์ดล้วนแต่มีวาระต้องดำเนินการตามธงที่ได้ตั้งไว้หลายเรื่องด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พล.อ.สพรั่ง และบอร์ดทั้งหมดจะดูกระตือรือร้นกับงานในภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ทำอย่างไร แต่ผลการดำเนินงานของ ทอท. และทีโอที กลับออกมาในทางตรงกันข้าม

เส้นกราฟที่น่าจะวิ่งฉิวขึ้นไปสร้างสถิติใหม่ กลับดิ่งลงตามลำดับจากต้นปีจนถึงปลายปี

ว่าแต่เป็นเพราะอะไร? ทีมเศรษฐกิจ ขออนุญาตประเมินภาพรวม และผลงานในแต่ละด้านเป็นอนุสนธิว่า ครั้งหนึ่ง เมื่อรัฐวิสาหกิจต้องกลับไปอยู่ในมือทหาร หรือในมือของผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในกิจการนั้นๆ เหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน...ผลที่ได้จะเป็นเช่นไร

ขยันฟันเบี้ยประชุมแห่งปี

อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่า นอกจากจะแต่งตั้งบุคคลจำนวนมากเข้าไปเป็นคณะทำงานในบอร์ด ทอท. และบอร์ดทีโอที แล้ว พล.อ.สพรั่ง ยังแต่งตั้ง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหม และประธานกรรมาธิการคมนาคม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) “เพื่อนรัก” เข้าไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาประธานบอร์ด มีอำนาจเรียกตรวจสอบ และสั่งการกำกับดูแลกิจการภายในของ ทอท.แทนประธานบอร์ดได้ด้วย

ที่ ทอท.นับแต่วันที่ พล.อ.สพรั่งเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 17 พ.ย. 2549 พบว่า บอร์ด 15 คน ประชุมกันจนถึงวันที่ 17 ธ.ค. 2550 รวมแล้วกว่า 43-45 ครั้ง เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือเดือนละ 4 ครั้ง จากเดิมที่เคยมีการประชุมกันเดือนละครั้งเฉลี่ยทั้งปี 12-14 ครั้ง

ทั้งนี้ ทอท.จะต้องจ่ายค่าตอบแทนบอร์ดเป็นรายเดือน คนละ 20,000 บาท บวกค่าเบี้ยประชุมที่ขอปรับขึ้นอีกคนละ 15,000 บาทต่อครั้ง หากประชุมกันถี่ ทอท.ก็ต้องจ่ายถี่ จึงมีการทำข้อตกลงกันว่า ถ้าประชุมเกิน 2 ครั้งใน 1 เดือน ให้จ่ายค่าเบี้ยประชุมแค่เบี้ยประชุมเพียง 2 ครั้ง บอร์ดแต่ละคนจึงได้เงินเดือนรวมเบี้ยประชุมกันเดือนละ 50,000-60,000 บาท

15 คน ทอท.ต้องจ่ายเดือนละ 750,000-900,000 บาท

ยังไม่นับคณะทำงานด้านต่างๆที่แต่งตั้งกันเข้ามาอีกกว่า 5-6 คณะ และคณะอนุกรรมการทั้งจากคนในบอร์ด และคนนอกที่เข้ามาทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องต่างๆให้อีก 10-20 ชุด คนเหล่านี้มีค่าเบี้ยประชุมเฉลี่ยคนละ 3,000-5,000 บาทต่อการประชุมแต่ละครั้ง แต่ละเดือนมีการประชุม 2 ครั้ง คนเหล่านี้ก็จะได้ค่าตอบแทนอีก เฉลี่ยเดือนละ 6,000-10,000 บาท

ล่าสุด บอร์ดยังได้มีมติให้จ่ายเงินรางวัลหรือโบนัสแก่ตัวเองอีกคนละ 216,000 บาท เฉพาะประธานบอร์ดตั้งได้เพิ่มอีก 25% ก็จะตก 270,000 บาท ขณะ ที่รองประธานได้ 243,000 บาท ถ้านับรวมปี 2549 ที่เพิ่งเข้าไปนั่งเก้าอี้ได้ไม่นาน

ถ้าปี 2550 ทอท.มีรายได้ และกำไรดีเหมือนปี 2549 บอร์ดก็คงจะได้รับเงินรางวัลไปเต็มๆคนละ 1,200,000 บาท

เช่นเดียวกับบอร์ดทีโอทีที่ พล.อ.สพรั่งเรียกประชุมบอร์ดถี่ยิบไม่แพ้กันรวม 40 ครั้งใน 10 เดือน นับตั้งแต่เข้าไปรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2550 หรือเฉลี่ยเดือนละ 4 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท ตกเดือนละ 40,000 บาท ยัง ไม่นับคณะกรรม- การย่อยที่บอร์ด แต่ละคนเข้าไปร่วมเป็นกรรมการด้วยอีก 5 ชุด แต่ละชุดได้เบี้ย ประชุมครั้งละ 10,000 บาท ประชุมกัน5 ครั้งใน 1 เดือน ก็ตก 50,000 บาท

ทีนี้ถ้ารวมกับการประชุมบอร์ดชุดใหญ่ด้วย บอร์ดแต่ละคนอาจ มีรายได้เหยียบเดือนละถึง100,000บาท

ชำเราสนามบินสุวรรณภูมิ

กลับมาที่ผลงานของบอร์ด ทอท.ที่ทำงานกันอย่างหัวปัก หัวปํา แต่สิ่งที่ได้รับนับแต่เริ่มภารกิจแรกของ พล.อ.สพรั่ง และบอร์ดที่เขาแต่งตั้งเข้าไป ก็คือ มีมติให้สัญญาสัมปทานที่ทำกับคิงเพาเวอร์ทั้งในส่วนที่ให้บริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ และร้านค้าปลอดภาษี เป็นโมฆะ!

หลังจากนั้นก็ปฏิเสธไม่ยอมมีนิติ สัมพันธ์ใดๆ นับตั้งแต่ ไม่ยอมต่ออายุบัตรเข้า-ออกให้แก่เจ้าหน้าที่สาขาธนาคารไทยพาณิชย์ และทหารไทยที่ได้พื้นที่ในสนามบินสุวรรณภูมิ รวม ถึงพนักงานร้านค้าทั้งหมด พร้อมปฏิเสธไม่ยอมรับรายได้ ค่าเช่ารายเดือนที่คิงเพาเวอร์จัดเก็บจากร้านค้าไปส่งมอบให้

ในขณะที่สัญญาสัมปทานซึ่งมีอายุ 10 ปีดังกล่าว ระบุผลตอบแทนขั้นต่ำที่จะ ได้รับจากร้านค้าปลอดภาษี รวมตลอดสัญญา 16,700 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งผลตอบแทนจากรายได้ในอัตรา 15-20% โดยคิงเพาเวอร์ได้ชำระค่าสัมปทานล่วงหน้าไปแล้ว 2 ปี เป็นเงิน 2,500 ล้านบาท

ส่วนสัญญาบริหารพื้นที่ร้านค้าเชิงพาณิชย์อายุ 10 ปี ระบุผลตอบแทนขั้นต่ำต่อปี เป็นเงิน 1,400 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งผลประโยชน์อีก 15% ของรายได้ โดยสัญญานี้ คิงเพาเวอร์ได้ชำระค่าสัมปทานล่วงหน้าไปแล้ว 2,000 ล้านบาทเช่นกัน ประเมินมูลค่าผลตอบแทนโดยรวมในระยะ 10 ปีไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท

ตามด้วยการฮาราคีรีตัวเองอีกครั้งด้วยการประกาศฉีกสัญญาสัมปทานที่ทอท.มอบให้แก่คิงเพาเวอร์ จนเป็นผลให้คิงเพาเวอร์ต้องนำเรื่องขึ้นฟ้องร้องต่อศาลของความเป็นธรรมต่อศาลแพ่ง พร้อมเรียกค่าเสียหายกับ ทอท.เป็นมูลค่าสูงถึง 68,000 ล้านบาท

ผลจากการไม่ยอมรับรู้รายได้ ทำให้ฐานะการเงินของ ทอท.ประสบภาวะขาดสภาพคล่องกำไรสุทธิในปี 2550 ลดลงอย่างฮวบฮาบจากปี 2549 ที่มีกำไรกว่า 9,379 ล้านบาท เหลือ เพียง 1,094 ล้านบาท

ในขณะที่รายได้ซึ่งควรจะได้จากหลายทาง เช่น ค่าเช่าพื้นที่ภายในศูนย์ขนส่งสาธารณะเพื่อสร้างช็อปปิ้ง มอลล์ รวมตลอดถึงค่าเช่าอาคารสำนักงาน และคลังสินค้า และค่าเช่าโครงข่ายระบบโทรคมนาคม ที่ควรจะบริหารจัดการรายได้อย่างเต็มรูปแบบ และจัดเก็บจากผู้ประกอบการรายอื่นๆได้

ก็กลับไม่ได้มีการจัดเก็บ หรือติดตามให้มีการจ่ายค่าตอบแทนแก่ ทอท.อย่างเต็มเม็ด เต็มหน่วย แต่กลับปล่อยทิ้งค้างไว้ให้เป็นภาระในอนาคต แทนที่จะเปิดให้รายอื่นที่มีศักยภาพกว่าเข้าไปเช่าพื้นที่ทำธุรกิจต่างๆเหล่านั้นแทน

แปลว่า รายได้หลักก็ไม่เอา รายได้รองก็ไม่มีปัญญาจัดเก็บ!

นี่ยังไม่นับความพยายามบอร์ดของ พล.อ.สพรั่ง บอร์ดและที่ปรึกษาร่วมมือกันก่อการร้าย และกระทำชำเราสนามบินสุวรรณภูมิด้วยกรรมวิธีต่างๆ

ตั้งแต่กล่าวหาว่า การก่อสร้างสนามบินมูลค่ากว่า 130,000 ล้านบาท ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล และกฎของสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) มีการทุจริตกันอย่างมโหฬาร จนเป็นเหตุให้รันเวย์ร้าว แท็กซี่เวย์ทรุดตัว หลังคา รั่ว ร้านค้าเกะกะทางเดิน ตลอดจนถึงเครื่องตรวจระเบิดไม่ทำงาน และสายการบินโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ไม่ประสงค์จะลงจอด

ขณะที่ส้วมในอาคารยังสกปรก และมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอรองรับผู้คนที่แห่ไปเยี่ยมชมสนาม บินหลายหมื่นคนในช่วงเปิดสนามบินแรกๆได้ ไม่เท่านั้น ยังมีการตามไปข่มขู่จะยกเลิกสัญญาบริหารโรงแรมโนโวเทลในสนามบิน

กระทั่งถึงการข่มขู่ว่า จะเปลี่ยนบริษัทรักษาความปลอดภัยในสนามบิน แต่จนแล้วจนรอด ก็กลับต่อสัญญาให้บริษัทเดิมออกไปอีก 5 ปี แถมยังเพิ่มกะของ รปภ.ให้ได้รับเงินมากขึ้นด้วย เป็นต้น

ไม่ใช่แต่เท่านี้ บอร์ด รวมถึงที่ปรึกษาประธานบอร์ด ยังผลักดันให้ ครม.มีมติให้เปิดใช้สนามบินดอนเมือง เป็นสนามบินคู่แฝด เพื่อให้เครื่องบินที่มีเส้นทางบินในประเทศ และสายการบินต้นทุนต่ำสามารถลดต้นทุนการบินมาใช้สนามบินดอนเมืองได้ ก่อนจะเตรียมการผลักดันให้เปิดดอนเมืองเป็นสนามบินนานาชาติ แข่งกับสุวรรณภูมิอีกครั้งในเวลาต่อมา

ยึดคืนสัมปทานโทรคมนาคม

หันมาดูทีโอที ที่ พล.อ.สพรั่ง นั่งเป็นประธานบอร์ดอยู่ หลังจากที่เข้าไปรับตำแหน่ง ในวันที่ 6 ก.พ. 2550 พล.อ.สพรั่งได้นำเสนอยุทธศาสตร์การผนวกรวมโครงข่ายสื่อสารทุกระบบเข้าด้วยกัน เรียกชื่อสั้นๆว่า “เทเลคอมพูล” ครั้งนั้น พล.อ.สพรั่งมองว่าโครงข่าย โทรคมนาคมเป็นเรื่องของความมั่นคง ไม่ควรจะตกไปอยู่ในมือเอกชน หากแต่ควรเป็น ของรัฐ จึงคิดจะเอาโครงข่ายที่มีอยู่ทั้งหมดกลับมารวมไว้ในที่เดียวกันยังทีโอทีตามเดิม

ยุทธศาสตร์ที่ว่านี้หมายความว่า สัมปทานมือถือของเอกชน ไม่ว่าจะเป็นระบบเครือข่ายของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส, ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เครือข่ายของบริษัท โทเทิ่ล แอ๊คเซส คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค จะต้องถูกดึงกลับคืนมาเป็นของรัฐ

แม้สัญญาสัมปทานเหล่านี้จะยังไม่หมดอายุ แต่ พล.อ.สพรั่งก็คิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องหมดสัญญาอยู่ดี จึงไม่ต่างตรงไหน ถ้าจะดึงกลับคืนมาก่อน

นี่ไม่เฉพาะแต่สัมปทานมือถือเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปจนถึงสัมปทาน โทรศัพท์พื้นฐานที่ให้แก่บริษัททรู และทีทีแอนด์ทีไปทำด้วย

ว่าแต่ยุทธศาสตร์นี้มีอันต้องคว้าน้ำเหลว เพราะไม่มีเอกชนรายใดเห็นด้วย ที่แน่ๆ พล.อ.สพรั่งและบอร์ด อาจถูกเอกชนเหล่านี้ยื่นฟ้องต่อศาลได้ เช่นเดียวกับที่ถูกคิงเพาเวอร์ฟ้องมาแล้ว

อีกผลงานก็คือ โครงการจ้างเหมาติดตั้งอุปกรณ์ชุมสายเพื่อรองรับการให้บริการ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) มูลค่า 976 ล้านบาท ซึ่งเสนอให้มีการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ และเป็นรายการที่ พล.อ.สพรั่งขอมา ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความมั่นคง และความจำเป็นเร่งด่วนที่จะนำไปใช้ในภาคใต้ เช่นเดียวกับที่ขอเครื่องซีทีเอ็กซ์ จากสุวรรณภูมิไปใช้ตรวจระเบิดที่ภาคใต้นั่นแหละ!!

จริงๆเดิมทีหน่วยข่าวกรองทางทหารได้ขอบริจาคเงินจากทีโอทีเพื่อจัดซื้อ อุปกรณ์ดังกล่าว ถูกโจมตีมากว่า ทีโอทีมีกำไรเพียงปีละ 1,000 ล้านบาท ไม่สมควรจะบริจาคเงินในวงเงินที่สูงขนาดนั้นแก่ทหารได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม บอร์ดก็ยังคงยืนกรานต้องการจัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวให้ จึงมีมติให้ทีโอทีจัด

ซื้อโดยวิธีพิเศษโดยการเปิดเจรจากับเอกชนเป็นการด่วน และตกลงจ้างเหมาไปเป็นเงินทั้งสิ้น 860 ล้านบาท

ผลงานของ พล.อ.สพรั่ง และบอร์ดทีโอที ยังไม่จบเท่านี้ หากแต่ในวันที่ 16 พ.ย. 2550 บอร์ดยังมีมติให้ทีโอทียื่นฟ้องร้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายกรณีที่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดีแทค และทรูมูฟ ได้หยุดจ่ายค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Access charge) ในแบบเก่า ซึ่งเป็นการจ่ายในลักษณะที่ กสท และเอกชน เป็นผู้จ่ายอยู่ฝ่ายเดียว เพื่อจะไปจ่ายค่าเชื่อม โยงในแบบใหม่ (Interconnection charge) ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการทุกรายเปลี่ยนระบบมาใช้ค่าเชื่อมโยงโครงข่ายที่ให้ทั้ง ทีโอที กสท และเอกชน ต่างคนต่างจ่ายเมื่อโทร.เข้าหากัน ทั้งยังจ่ายในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคด้วย

แต่เนื่องจากการเปลี่ยนระบบการจ่ายค่าเชื่อมโยงโครงข่ายดังกล่าว ทำให้ ทีโอทีสูญรายได้ในช่วงปี 2550 ไปเป็นจำนวนถึง 14,000 ล้านบาท

ขณะที่รายได้จากการให้บริการของทีโอที มีแนวโน้มจะลดลงตามลำดับด้วยเหตุที่คุณภาพการให้บริการต่ำ ไม่มีเลขหมายใหม่ๆเพิ่มแก่ลูกค้า อีกทั้งผู้บริโภคยังหันไปใช้บริการโทรศัพท์มือถือของเอกชนเพิ่มขึ้น ทำให้ทีโอทีต้องดิ้นทุกทางเพื่อให้รายได้ของตนกลับมา ขณะเดียวกันก็เพื่อจะรักษาสถานภาพของตนไว้ให้ได้ด้วย

หลังเลือกตั้ง และมีรัฐบาลใหม่เข้ามา เราต่างก็หวังว่า พล.อ.สพรั่ง และบอร์ดที่เขากอดคอเข้ามาด้วยกันในรัฐวิสาหกิจสำคัญข้างต้นนี้ จะเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปด้วยดี หลังจากที่ “หลงสนาม” มานานเต็มทนแล้ว.

ทีมข่าวเศรษฐกิจ




 

Create Date : 07 มกราคม 2551    
Last Update : 7 มกราคม 2551 18:19:56 น.
Counter : 578 Pageviews.  

เดินแบบ(คุณหญิง)เป็ด

"ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ

ยามเมื่อเป็ดมันเดินไป มองแล้วไม่น่าดูเลย จำไว้เถิดเพื่อนเอ๋ยๆ จงอย่าเดินให้เหมือนเป็ด"

บทเพลงที่ผู้ใหญ่เมื่อวันวาน ร้องขับขานให้เด็กฟัง ทั้งเพื่อความเพลิดเพลิน ทั้งเพื่อสอนเด็กๆ หัดเดินให้ตรงทาง อย่าเดินส่ายไปส่ายมา เหมือนเป็ด ซึ่งเดินด้วยอาการกิริยาที่ไม่น่าดูชมแก่คนทั่วไป และไม่ควรจดจำนำท่าเดินของเป็ด มาเป็นเยี่ยงอย่างหรือต้นแบบการเดิน

วันนี้ผมอยากจะขยับลุกคอ เพลงสั้นๆ บทนี้ให้ เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับฟัง เพื่อเตือนความทรงจำแต่หนหลังที่พ่อแม่ หรือ ผู้หลักผู้ใหญ่ เคยร้องให้ฟัง และสั่งสอนไว้ว่า

"จงอย่าเดินให้เหมือนเป็ด"

ทั้ง เป็ด ก๊าบ ก๊าบ

และ เป็ด จารุวรรณ เมณฑกา นั่นล่ะ

ต้องเรียกอย่างให้เกียรติ ว่าคุณหญิง จึงจะถูกต้อง แต่เพื่อความสะดวกปาก และสะดวกใจ และสะดวกมือในการเขียนหนังสือ จึงขอเรียกเธอว่า คุณหญิงเป็ด ก็แล้วกัน สั้นๆ ได้ความ กระชับความรู้สึก เพื่อให้สอดรับกับชื่อเรื่อง

"เดินแบบ(คุณหญิง)เป็ด"

คนไทยในกาลอดีต เป็นคนช่างคิด ช่างเปรียบเทียบ สอนสั่งให้เด็กฟังแต่ละเรื่อง เพื่อให้จดจำได้ง่ายก็มักจะหยิบยกอาการของสัตว์ หรือ ธรรมชาติ ที่พบเห็นมาเทียบเคียงให้ได้เห็นภาพกันชัดๆ และเห็นกันบ่อยๆ ง่ายๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจ และจดจำฝังรากหยั่งลึกในสมอง

ยิ่งเป็นเรื่องต้องห้าม ทั้งหลาย ก็จะสรรหาอาการกิริยาที่น่ารังเกียจ หรือ ไม่พึงประสงค์ของผู้คนทั่วไป มาเป็นตัวอย่าง เช่น การเดินของเป็ด ดังที่ถูกนำมาประดิษฐ์ถ้อยร้อยคำเป็นลำนำสั้นๆ แต่เห็นภาพชัดเจน และห้ามเด็ดขาดว่า

"จงอย่าเดินให้เหมือนเป็ด"

ซึ่งเป็นคำห้าม และ คำสอนที่นำมาปรับประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดีกับสถานการณ์ปัจจุบันของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่มี คุณหญิงเป็ด เป็นผู้ว่าการ หรือผู้บริหารหมายเลขหนึ่ง ของหน่วยราชการอิสระหน่วยงานนี้

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เป็นหน่วยงานที่กำลังดังที่สุด มีบทบาทมากที่สุด และทรงอิทธิพลสูงสุด ในห้วงเวลาที่คณะรัฐประหาร มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศไทย ยามนี้ เพราะถูกเลือกให้เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่สร้างพยานหลักฐาน รองรับความชอบธรรมของการก่อการรัฐประหาร ของคณะผู้ก่อการที่นำโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชา การทหารบก

คงไม่ผิดนัก หากจะกล่าวว่าการรัฐประหารครั้งนี้ จะสมบูรณ์หรือไม่ จะชี้เป็นชี้ตายชะตากรรมและอนาคตของคณะผู้ก่อการทุกคน ก็ขึ้นอยู่กับการทำงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน นี้เอง ว่าจะสร้างสรรปั้นเสกพยานหลักฐาน มารองรับเหตุผลการก่อรัฐประหาร ได้อย่างแนบเนียน ไร้ซึ่งข้อทักท้วง หรือ ข้อโต้แย้ง กระทั่งมีพิรุธ ให้ถูกจับได้หรือไม่

หากว่า สตง. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้ความเสีย หายแก่รัฐ หรือ คตส. และเป็นหน่วยงานหลักในการนำเสนอข้อมูลเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกระบุว่ามีการกระทำทุจริตคอรัปชั่น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ บรร ลุผล ตามที่คณะรัฐประหารมอบหมาย

คนที่จะต้องตายแน่ๆ คาที่คาเท้าประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ โดยที่ไม่มีโอกาสเรียกรถพยาบาลมาปั๊มหัวใจ ก็เห็นจะเป็น ผู้ก่อการรัฐประหาร ในฐานะที่ ก่อการรัฐประหาร ด้วยเหตุผลโป้ปดมดเท็จ

ตามมาติดๆ เป็นศพที่สองก็เห็นจะเป็นคณะกรรมการ คตส. ที่ถูกเชิดขึ้นมาให้เป็นตัวแทนของคณะรัฐประหาร มีอำนาจหน้าที่ผูกโยงเรื่องราวต่างๆ ให้มีน้ำหนักและหลักฐานว่า มีการกระทำทุจริตคอรัปชั่นจริง ตามที่คณะรัฐประหารได้แถลงเป็นข้ออ้างสำคัญในการก่อการรัฐประหารขึ้นมา

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราได้เห็นคุณหญิงเป็ด เข้าพบหัวหน้าโจรใหญ่ ใจกบฎ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่รังโจรกองทัพบก หลังการยึดอำนาจไม่ถึง 24 ชั่วโมง เพราะคุณหญิงเป็ด คือความหวังทั้งหมดทั้งมวลของคณะรัฐประหารที่จะมาช่วยกันสร้างพยานหลักฐานรองรับข้ออ้างของการปล้นอำนาจประชาชนทำลายประชาธิปไตย ในครั้งนี้

คุณหญิงเป็ด จึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด และ ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศไทย ขณะนี้ และคงไม่เกินจริงหากจะบอกว่าคุณหญิงเป็ด คือผู้หญิงที่คณะรัฐประหารให้ความเกรงใจ และเกรงกลัวมากที่สุด ในฐานะผู้กุมทั้งความลับ ของลับ กล่องดวงใจของคณะผู้ก่อการรัฐประหาร ทุกคน

อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงคนเดียวที่จะทำให้ บั้นปลายชีวิตของผู้ก่อการรัฐประหารครั้งล่าสุด จบลงอย่าง "เจ้า" หรือ อย่าง "โจร"

หากอยากรู้ว่าคุณหญิงเป็ด เป็นบุคคลสำคัญ และทรงอิทธิพลมากน้อยเพียงใด ท่านสามารถตรวจสอบได้จากประกาศคปค. ฉบับที่ 12 ซึ่งลงนามโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2549 หลังจากที่คุณหญิงเป็ด เข้าพบ ซึ่งมีใจความสาระสำคัญยิ่งยวด ว่า

"ข้อ 1.ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน มีผลใช้บังคับต่อไป โดยให้งดการบังคับใช้บทบัญญัติในส่วนที่ 1 หมวด 1 จนกว่าจะมีประกาศเป็นอย่างอื่น และให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2549 พ้นจากตำแหน่ง

ข้อ 2. ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2549 คงอยู่ในตำแหน่งต่อไป จนกว่าจะมีการประกาศเป็นอย่างอื่น

ข้อ 3. การใดที่กำหนดให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ตามพระราช บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน"

ใหญ่ไม่ใหญ่ก็เชิญพินิจกันเอาเอง เกรงใจไม่เกรงใจ ก็ลองคิดกันให้ทั่ว กลัวไม่กลัว ก็ใช้หัวแม่เท้าตรึกตรองกันให้ดี

คณะรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ แต่ต้องประกาศให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งเป็นกฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญ อยู่ได้ โดยไม่ต้องมีแม่ เปรียบเป็นผลไม้ก็คือ โค่นต้นทิ้ง แต่แขวนผลไว้กลางอากาศ ประหลาดดีแท้

คณะรัฐประหารยุบทิ้งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ ให้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แต่ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ทำงานต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีคณะกรรมการกำกับดูแล และยังให้รวบริบอำนาจของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย มาเป็นของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เรียกว่ารวบอำนาจมาไว้ในมือแต่เพียงผู้เดียว

เห็นกันหรือยังว่าคุณหญิงเป็ด ในชั่วโมงนี้ พ.ศ.นี้ ใหญ่โตบะเริ่มเทิ่มขนาดไหน

แต่ทว่า 9 เดือนผ่านไป นับตั้งแต่วันที่คุณหญิงเป็ด ได้รับมอบป้ายประกาศิตมาจากหัวหน้าโจรใหญ่ ใจกบฎ ที่ปราบดาภิเษกตัวเองเป็นประหนึ่งฮ่องเต้ นั่งเท่ห์อยู่บนเก้าอี้ประธานคปค. จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีแม้แต่เรื่องเดียวที่ตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตคอรัปชั่นแบบจะๆ มีแต่ข้อกล่าวหาเต็มไปหมด

9 เดือนผ่านไป ข้อกล่าวหาก็ยังคงเป็นข้อกล่าวหา

แม้แต่การหาพยานหลักฐานมาสนับสนุนว่าข้อกล่าวหานั้น มีมูล น่าเชื่อถือ เพื่อที่จะเขยิบฐานะจากข้อกล่าวหา ขึ้นมาเป็นข้อเท็จจริง ก็ยังไม่บรรลุผล การพิสูจน์ความผิดที่มีอยู่จริงในข้อกล่าวหาแต่ละข้อ จึงยังไม่เริ่มต้นขึ้น

สอบกันไปสอบกันมา กรรมการคตส.หลายคน ทำท่าว่าจะถอดใจกันเสียแล้ว เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า เรื่องที่สอบกันมานานเกือบปีกว่า 10 เรื่องนั้น นอกจากมีแห้วกระป๋อง รออยู่ที่ปลายทาง แล้ว ยังมีคดีความที่ต้องตกเป็นจำเลย รออยู่อีกไม่น้อยกว่าคนละ 10 คดี

กรรมการบางคนเริ่มทำใจแล้วว่า หลังจากหมดสิ้นอำนาจวาสนากับตำแหน่งคตส. ต้องเปลี่ยนอาชีพจากนักกฎหมาย อาจารย์ ทนายความ เป็น จำเลยอาชีพ มองเห็นอนาคตตัวเอง ต้องขึ้นศาลทุกวัน อยู่รำไรรำไร

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะข้อมูลเบื้องต้นของแต่ละเรื่อง ที่คุณหญิงเป็ด รวบรวมมาให้ใส่แฟ้มกองโต แถมพกด้วยคำคุยโม้โอ้อวดว่า สตง. ตรวจสอบมาแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้ มีหลักฐานมัดแน่น เอาผิดได้ทันที

แต่เมื่ออ่านกันอย่างถ้วนถี่ ตรวจกันดีๆ ลงลึกไปแต่ละหน้า แต่ละรายละเอียด กรรมการคตส. หลายคนถึงกับมีอาการจุกเสียด ท้องอืดเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยวขึ้นมาอย่าปัจจุบันทันด่วน

แต่ละเรื่อง แต่ละกรณี มีข้อกล่าวหารออยู่ แต่หลักฐานจะมัดตัวผู้กระทำผิดไม่มีมาด้วย ต้องเริ่มต้นตรวจสอบกันใหม่หมด

หลายเรื่องเคยฟังมาอย่างหนึ่ง แต่พอมาทำงาน มาตรวจสอบด้วยตาตัวเอง กลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง จึงได้แต่นั่งอึ้ง ทึ่ง เสียว กลัวอนาคตตัวเอง แทนที่จะเดินทางตรงกลับบ้านอย่างปลอดภัย จะต้องเปลี่ยนเป็นเดินเลี้ยวเฉี่ยวประตูคุก ก็เพราะคุณหญิเป็ด คนนี้ล่ะ

กรรมการคตส. อย่างน้อย 2 คน เพิ่งเข้าใจว่าทำไม นายสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธานศาลฎีกา ถึงลาออกจากการเป็นประธานกรรมการคตส. หลังจากเข้าประชุมร่วมกับคุณหญิงเป็ด เพียงครั้งเดียว โดยทิ้งคำพูดก่อนจากไปว่า คุณหญิงเป็ด ทำอะไรตาม ใจตัวเอง ถ้าเดินตามข้อมูลหลักฐานที่คุณหญิงเป็ด จัดทำมาให้ การทำงานยากจะประสบความ สำเร็จ

"ผมรู้ดีว่าสังคมให้ความหวังไว้สูงมากกับคณะกรรมการชุดนี้ แต่ผมก็ต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นเมื่อเรื่องไปถึงศาลยุติธรรม คดีอาจจะหลุดในชั้นศาลเหมือนสมัยรสช.ก็ได้"

คำพูดของ นายสวัสดิ์ โชติพานิช สะท้อนให้เห็นว่าคุณหญิงเป็ด เป็นอย่างไร แต่สุดท้ายเมื่อท้ายสุด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็ตัดสินใจเลือกคุณหญิงเป็ด ทำให้นายสวัสดิ์ โชติพานิช ลาออกจากตำแหน่งประธานคตส. ทันที

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ต้องออกคำสั่งคปค. ตั้งคณะกรรมการคตส. ชุดใหม่ มีนายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธาน และ มีคณะกรรมการที่เป็นฝ่ายแค้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาทำหน้าที่ตรวจสอบพ.ต.ท.ทักษิณ แทนครบถ้วนทุกคน ตามที่คุณหญิงเป็ด ต้องการ โดยไม่คำนึงว่าขัดหลักนิติศาสตร์ และละเมิดหลักนิติธรรม อย่างไร

นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าคุณหญิงเป็ด เป็นบุคคลสำคัญระดับใด

ก็ทั้งๆ ที่คุณหญิงเป็ด เป็นผู้ทรงอิทธิพลถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดไฉนเล่า นายประดาบ จึงมาร้องเพลง "ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ" เตือนเจ้าหน้าที่สตง. ว่า "จงอย่าเดินให้เหมือนเป็ด"

ก็เพราะผมมองเห็นอนาคตของคุณหญิงเป็ด น่ะสิครับ ว่าเธอคนนี้ เห็นทีจะหนีไม่พ้นการเป็นจำเลยอาชีพ แน่ๆ เมื่อเกษียณอายุราชการ ทั้งบำนาญ และ บำเหน็จ ถ้าหมดยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จพ.ศ.นี้แล้ว คงจะต้องส่งคืนหลวงทั้งหมด เพราะผู้ต้องโทษคุมขัง ไม่มีสิทธิได้ รับน่ะสิครับ

ถามว่าเดินอย่าง(คุณหญิง)เป็ด ที่เจ้าหน้าที่สตง.ไม่ควรเดินตาม นั้นเดินแบบไหนหรือ

คำตอบ ก็คือ ...

เดินอย่าง(คุณหญิง)เป็ด แบบที่ว่า เมียเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แต่สามีทำมาหากินกับเงินหลวง เปิดโรงพิมพ์ขนาดไม่ใหญ่ไม่โต แต่ใครไปเห็นกับตามาแล้ว ต้องร้องโอ้โห.. ทุกรายไป มีงานพิมพ์ทั้งจากเอกชน และส่วนราชการ เข้ามาไม่ขาดสาย

งานหลายงานรับมาแล้ว พิมพ์ไม่ทัน ต้องส่งต่อให้โรงพิมพ์อื่นพิมพ์แทน จึงได้แต่กินหัวคิวค่ารับงานเฉยๆ โดยเฉพาะงานพิมพ์ของส่วนราชการ ไม่รู้เป็นอะไรกันนักหนา ไหลมาเทมาที่โรงพิมพ์แห่งนี้ จนแท่นพิมพ์ไม่ว่าง ตารางการพิมพ์แน่นเอี๊ยด หลายปีมานี้ จึงได้แต่กินหัวคิวเฉยๆ เพราะพิมพ์ไม่ทัน

ไม่ต้องถามกันเข้ามาว่าโรงพิมพ์นี้อยู่ที่ไหน เพราะจะเฉลยให้เลยว่า โรงพิมพ์อยู่ย่านประชานิเวศน์ อยู่ในรั้วเดียวกันกับบ้านพักคุณหญิงเป็ด นั่นล่ะ

เดินอย่าง(คุณหญิง)เป็ด แบบที่ว่าใส่ชื่อลูกชายเป็นเลขานุการส่วนตัว กินเงินเดือน 30,000 บาท ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำงาน ใครเอาเรื่องนี้มาประจาน ก็บอกว่าเป็นสิทธิของแม่ที่จะตั้งลูก เป็นเลขานุการ เพราะไว้วางใจเป็นพิเศษกว่าทุกๆ คน

เดินอย่าง(คุณหญิง)เป็ด แบบที่ว่าใส่ชื่อลูกสาวเป็นเจ้าหน้าที่สตง. เพื่อจะขอเบิกงบประมาณแผ่นดิน ซื้อตั๋วเครื่องบินให้ลูกสาวไปเที่ยวทริปเดียวกับที่คุณหญิงแม่ ไปราช การต่างประเทศ เมื่อถูกนำเรื่องมาเปิดโปงว่าเป็นคนขี้โกง ก็คุยขโมงว่าเงินแค่ไม่กี่บาท จ่ายเองก็ได้

เดินอย่าง(คุณหญิง)เป็ด แบบที่ว่ายื่นเงื่อนไขแลกขั้นเปลี่ยนตำแหน่งให้กับน้องสาวที่ชื่อ เจ๊ไก่ ข้าราชการผู้ยิ่งใหญ่แห่งกระทรวงกษตรและสหรณ์กับ การไม่ตรวจสอบทุจริตคอรัปชั่นขบวนการโกงลำใย ที่ทำกันแบบอุกอาจ 4 ปีซ้อน ราวกับเป็นมหกรรมทุจริตประจำปี ตั้งแต่สมัยประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ จนถึง สมศักดิ์ เทพสุทิน และสุดท้ายปิดมหกรรมที่ สุดารัตน์ เกยุราพันธ์

การยื่นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ครั้งนี้ มีนายบรรพต หงษ์ทอง ปลัดกระทรวงเกษตรฯ หนึ่งในจำเลยขบวนการมหกรรมโกงกินลำไย เป็นผู้รับเงื่อนไข ส่งผลให้วันนี้ เจ๊ไก่ ไม่ใช่ข้าราชการธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นข้าราชการผู้ยิ่งใหญ่ ที่ปลัดกระทรวง ต้องเกรงใจ

เจ๊ไก่ น้องพี่เป็ด เลื่อนขั้นกระชั้นถี่ยิ่งนัก ยกระดับจาก 7 เป็น 8 และ 8 เป็น 9 ในเวลาอันเร็วรี่ แค่ไม่กี่ปี ก็ถีบตัวเองทะยานจ่อซี10 ตำแหน่งอธิบดีหญิงคงไม่ไกลเกินเอื้อม

เดินอย่าง(คุณหญิง)เป็ด แบบที่ว่าเลือกตรวจสอบเฉพาะบุคคล และหน่วยงานที่ขัดประ โยชน์ส่วนตนและครอบครัว ละเว้นการตรวจสอบบุคคล หน่วยงานที่เอื้ออำนวยประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง

ยอมเป็นข้าราชการ ภายใต้อำนาจเถื่อน เผด็จการทหาร แตไม่ยอมเป็นข้าราชการของรัฐบาลระบอบประชาธิปไตย

เดินอย่าง(คุณหญิง)เป็ด แบบที่ว่าอาสาคณะรัฐประหาร เล่นงานนักการเมือง เพื่อชำระแค้นส่วนตัว โดยไม่สนใจว่าจะต้อง "ทำมั่ว" และ "ทำชั่ว" อย่างไรบ้าง

นำวิชาชีพ และความไว้วางพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ ที่โปรดเกล้าฯ เป็นคุณหญิง มารองรับการประพฤติผิดคิดมิชอบ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง

เดินอย่าง(คุณหญิง)เป็ด แบบที่ว่านำสำนักงานตวจเงินแผ่นดิน ซึ่งเห็นหน่วยราช การอิสระ ไปรับใช้คณะรัฐประหาร สร้างตำนานผู้นำการเมืองนอกระบบเข้าสู่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นคนแรก

นี่เป็นตัวอย่างการเดินแบบคุณหญิงเป็ด หรือ เดินแบบเป็ด ที่เจ้าหน้าที่สตง. ไม่ควรเดินตาม เพราะ "มองแล้วไม่น่าดูเลย" เป็นที่รังเกียจของประชาชนทั่วไป

นี่ยังไม่นับเรื่องตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่เป็นอยู่นั้น ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ตำแหน่งนี้เถื่อนหรือถูก ยังเป็นปมที่ผูกเอาไว้ รอให้มีการวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง

เนื่องจาก ศาลอาญาได้สั่งจำคุกนายปัญญา ตันติยวรงค์ อดีตประธานคณะกรรม การตรวจเงินแผ่นดิน เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากกระทำความผิด เสนอชื่อคุณหญิงเป็ด เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ต่อวุฒิสภา ขัดต่อพระราชบัญญัติประ กอบรัฐรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

กฎหมายกำหนดให้เสนอเพียงชื่อเดียวที่ได้รับคะแนนสูงสุด เข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา แต่นายปัญญา เสนอทีเดียว 3 ชื่อ แอบใส่ชื่อคุณหญิงเป็ด ไปให้วุฒิสภา พิจารณาคัดเลือกด้วย ทั้งๆ ที่คุณหญิงเป็ด ไม่มีสิทธิ เพราะไม่ผ่านการสรรหาในชั้นต้น

การที่ศาลอาญา พิพากษาว่านายปัญญา ตันติยวรงค์ มีความผิด เพราะเสนอชื่อคุณหญิงเป็ด ขัดต่อกฎหมาย ทำให้เกิดคำถามขึ้นทันทีว่าแล้วตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินของคุณหญิงเป็ด เป็นตำแหน่งถูกหรือตำแหน่งเถื่อน เพราะไม่ได้มาตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องของกฎหมาย

นายประธาน ดาบเพชร ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด แต่ไม่ได้เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เพราะความสามารถในการล็อบบี้ หรือ ศักยภาพการขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา ต่ำกว่าคุณหญิงเป็ด ที่ได้คะแนนต่ำ แต่ความสามารถการล็อบบี้สูง ซึ่งเป็นผู้ฟ้องดำเนินคดีกับนายปัญญา ที่ทำให้เสียสิทธิ สะท้อนให้เห็นถึงภาพการทำงานของคุณหญิงเป็ด ที่ไม่ควรเดินตาม ว่า

"จากการรวบรวมข้อมูลนับตั้งแต่ที่คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา เป็นผู้ว่าฯ สตง. เห็นว่ามีการทำผิดกฎหมายหลายเรื่อง โดยการทำงานมุ่งปราบปรามการทุจริต จนทำให้ประชาชนคาดหวัง แต่ทำไม่ได้ เพราะ สตง.จะต้องป้องกันการทุจริต และยังมีการทำผิดกฎหมายโดยรายงานการตรวจสอบอันเป็นเท็จ ในหลายเรื่อง ซึ่งได้ส่งเรื่องไปให้ประธาน คตง. นายกรัฐมนตรี และวุฒิสภาดำเนินการตรวจสอบแล้ว

ข้อมูลที่ผมเสนอไปนั้น ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการจะสามารถเอาผิดกับคนเกี่ยวข้องได้ มีตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักขึ้นไป รวมถึงผู้ว่าฯสตง. ผมสรุปจากพยานหลักฐาน แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เพราะการดำเนินการนั้นทำให้ระบบการบริหารราชการแผ่นดินเกิดความระส่ำระสาย ผมเลยแจ้งให้หน่วยรับตรวจของ สตง. ให้ช่วยกันตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ สตง. ให้อยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่เกินเลยหลักนิติรัฐต่อไป"

วันนี้ ข้อมูลที่นายประธาน ดาบเพชร เสนอไปนั้น คงสูญหาย ถูกทำลายไปหมดแล้ว แม้จะไม่สูญหาย แต่ก็ไม่สามารถระคายผิวกายของคุณหญิงเป็ด ได้ อย่างแน่นอน

เห็นคุณหญิงเธอ เป็นผู้หญิง อย่าคิดว่าเธออ่อนแอ อ่อนน้อม และอ่อนไหว ดังภาพที่เห็นเชียวนา

ว่ากันว่าเมื่อถึงเวลาหงุดหงิด เธอโหดอำมหิตชนิดที่ชายต้องทึ่งปนเสียวทีเดียวล่ะ เธอเชือดได้ภายใต้สีหน้าที่เรียบสนิท ปราศจากความรู้สึกร้อนหนาว กระทั่งผิดชอบชั่วดี ก็อาจจะนับเหมารวมได้

ไม่อย่างนั้นแล้ว คณะรัฐประหาร ที่เป็นผู้ชายทั้งแท่ง (แต่แข็งไม่แข็งไม่รู้เหมือนกัน) คงไม่ตกอยู่ในคำสั่งของเธอ สั่งซ้ายหันขวาหันได้ตามใจชอบ

ก็ถึงขนาดสั่งให้มอบอำนาจทั้งหมดในกฎหมาย มาเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่ขัดหลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมาย คณะรัฐประหาร ก็ยังทำตามอย่างว่าง่าย

เห็นหรือยังว่า อิทธิฤทธิ์คุณหญิงเป็ด เธอเป็นอย่างไร

โดยเฉพาะนายทหารเจ้าชู้ แบบบิ๊กบัง น่าจะเป็นคนแพ้ทางเป็ด

คงโดนคำขู่ "เดี๋ยวตัดให้เป็ดกินเสียเลย" มากจนประสาทเสีย

เจอคุณหญิงเป็ด ตัวเป็นๆ เข้า ก็เลยอ่อนระทวย ต้องยอมเอออวยเอาด้วยทุกเรื่องที่คุณหญิงเป็ด เสนอมา

แต่หนังชีวิตเรื่องนี้ ต้องดูกันยาวๆ เพราะไม่จบง่ายๆ

เหมือนกับที่สำนวนนักรบ เขาชอบพูดกันว่า สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร

หนังเรื่องชีวิตของ(คุณหญิง)เป็ด ก็เช่นเดียวกัน

หนังยังไม่จบ ยังดูไม่ออก บอกไม่ได้ว่าบทสุดท้ายของเป็ดอย่างคุณหญิงเธอ จะลงเอยอย่างไร

จะเป็นเป็ดพะโล้ หรือ เป็ดย่าง หรือ เป็ดดับกลิ่นชักโครก ยังตอบไม่ได้ ต้องดูกันยาวๆ

บางที่เราอาจจะเห็นเป็ดถูกจับใส่กรงขังไว้รอเชือดเมื่อถึงวันเวลาอันเหมาะสม ก็เป็นได้

ด้วยความหวังดี ก่อนจบคอลัมน์วันนี้ อยากจะร้องเตือนใจให้เจ้าหน้าที่สตง.ฟังกันอีกสักรอบ

"ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ

ยามเมื่อเป็ดมันเดินไป มองแล้วไม่น่าดูเลย จำไว้เถิดเพื่อนเอ๋ยๆ..

จงอย่าเดินให้เหมือนเป็ด"

โดยประดาบแห่งHi-Thaksin.net เขียนเมื่อ21/05/07




 

Create Date : 08 กันยายน 2550    
Last Update : 8 กันยายน 2550 18:42:06 น.
Counter : 575 Pageviews.  

ตุลา(บง)การ "ยิ้มแย้ม"

ได้รสชาติของชีวิตขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง

เมื่อวานนี้ บอกว่า มีทั้งสนุก มีทั้งเสน่ห์

วันนี้ มาบอกเพิ่มเติม มีทั้งเหนื่อย มีทั้งมัน (ไม่ใช่ Potato)

เหนื่อยที่ต้องคิด ต้องเขียนทุกวัน เขียนกันในเวลาอันจำกัด เพราะต้องเอาเวลาและสมอง ไปสร้างงานอื่น เพื่อทำมาหาเลี้ยงชีวิต ด้วย

รีบไปทำงาน แล้วก็รีบกลับมาเขียน ก็เรายังไม่ใช่มือเซียน ที่ขีดอะไรก็เป็นเรื่อง เขียนอะไรก็เป็น ร้อน แบบนักเขียนใหญ่ในหนังสือพิมพ์ชื่อดัง

ทุกๆ ตัวหนังสือที่เราเขียน จึงต้องใช้ความคิด และกินเวลามากกว่าพวกมืออาชีพอยู่หลายนาที (คาดคะเน เอาเองนะครับ)

แต่ก็มันดีครับ มันตรงที่ได้รับรู้กระแสเสียงจากเพื่อนร่วมทางที่ส่งกันเข้ามา ทั้งแนะนำ ทั้งตำหนิ และชี้ ชวน ให้เขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้

แค่ 2 วันได้มาแล้ว 4 รสชาติ คือ สนุก เสน่ห์ เหนื่อย และ มัน

ไม่รู้ว่ากว่านายกฯทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาถึงบ้าน ประเทศไทยจะกลับคืนสู่ระบอบ ประชาธิปไตย ทหารใหญ่จะพ่ายแพ้ต่อพลังประชาชน ผมจะได้สัมผัสกี่ร้อย กี่พันรสชาติ จาก การเขียนคอลัมน์ "จนกว่าเราจะรู้ จักกัน"

เอาเป็นว่าจะกี่รสชาติก็ช่างเถอะ ขอให้เราได้มาเจอะเจอกันทุกวัน เท่านั้นพอ เห็นด้วยไหมครับ

วันนี้ ผมจะพาไปรู้จัก "คน" ชื่อ "นาม ยิ้มแย้ม"

นาม ยิ้มแย้ม เป็นอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่ได้ชื่อว่า เป็น คนตรง คนซื่อ ถือสัตย์

แต่ให้ตายเถอะ ก่อนจะได้ยินชื่อ "นาม ยิ้มแย้ม" จากการเป็นประธานคณะอนุกรรมการ สอบสวนกรณี พรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก ของคณะกรรมการเลือกตั้ง ชุดที่มีพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน ผมไม่เคยได้ยิน ชื่อของท่านมาก่อน

เพราะผมไม่นิยมชมชื่นการขึ้นโรง(พัก) ขึ้นศาล ทั้งยังไม่ได้มีเวลาว่างมากมายขนาด สนธิ ลิ้มทองกุล ที่เดินขึ้นศาลทุกวัน ต้องฝากท้องไว้ที่โรงอาหารศาลทุกวัน อย่างน้อยก็วันละหนึ่งมื้อ

แต่หลังจากที่ท่านได้เป็นประธานคณะอนุกรรมการสอบสวนพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก แล้ว ก็ ไม่เคยมีสัก วันที่ผมไม่ได้ยินชื่อของท่าน

ว่ากันตามประสาผม ก็ต้องบอกว่า "มาดังเอาอีตอนแก่นี่ล่ะครับ" แล้วก็ "มาเสียคนเอา ตอนแก่" เหมือนกัน

ด้วยชื่อชั้น อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นประกัน ทำให้ ชื่อ "นาม ยิ้มแย้ม" ถูกจัดให้อยู่ใน สายพันธู์ คน ตรง 20,000 ปี ไปด้วย

แต่ด้วยวีรกรรม การกระทำ ดำเนินงานของท่าน ในห้วงเวลาที่ผ่านมา 2 ปีเศษ นับ แต่ เป็น ประธานคณะ อนุกรรมการสอบสวน ของกกต. จนมาถึง ประธานคณะกรรมการคตส.

ผลแห่งกรรมที่ท่านทำไว้ ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของตำแหน่ง "ผู้พิพากษาศาลฎีกา" ที่ ท่านอุตส่าห์นำ มาใช้เป็นเครื่องรับประกันความดีงาม ความซื่อสัตย์ และความเป็นคนตรง เสียจนหมด สิ้น

ไม่เพียงแต่ตัวท่านเท่านั้นที่เสียหายจากการกระทำของตัวเอง ทั้งหมดทั้งมวล ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ท่าน ทำลงไป ยังสั่นสะเทือนความน่าเชื่อถือของผู้พิพากษาทุกคน ด้วย

พฤติกรรมของท่าน ทำให้ประชาชน ผู้คนในสังคม ข้องใจ สงสัย แนวทางการพิจารณาอรรถคดี เพื่อ อำนวยความยุติธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นจริยธรรมขั้นต้นของผู้พิพากษา ไปทั้งหมด

ด้วยเหตุที่ ท่านอดีตผู้พิพากษานาม ยิ้มแย้ม อำนวยความยุติธรรม แก่คู่ความ และผู้เกี่ยว ข้อง ในคดี ที่ท่าน เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวน ราวกับเกรงว่าคู่ความทั้งสองฝ่าย จะไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมกัน

ท่านจึงอำนวยความเป็นธรรม ตามแแบบฉบับผู้พิพากษาศาลฎีกา สไตล์ นาม ยิ้มแย้ม ด้วยการ...

ให้ความเป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่าย ด้วยการเรียกผู้กล่าวหามาให้การเพียงฝ่ายเดียว ส่วนผู้ถูกกล่าวหา ไม่จำเป็นต้องสอบปากคำ เพราะท่านตัดสินไปแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "กระทำความผิดจริง" จ้างพรรค เล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงไม่มีเหตุจำเป็นต้องสอบปากคำ พ.ต.ท.ทัก ษิณ ชินวัตร ว่าแล้วก็สรุปสำนวนส่งอัยการ ให้สั่งฟ้อง ได้เลย

ให้ความเป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่ายด้วยการสอบปากคำผู้ร้องเรียนเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่สอบปาก คำผู้ถูกร้องเรียน เพราะท่านเชื่อไปก่อนหน้าแล้วว่า ข้อร้องเรียนของพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เรื่องสัญญา ระหว่างคิงพาวเวอร์กับบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) รับฟังได้ และมีมูล โดยไม่ต้องฟังคำชี้แจงจาก บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัทคิงพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญากันแม้แต่คำเดียว

ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาทุกคน ด้วยการตัดชื่อผู้บริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ด พันธุ์ จำกัด (ซีพี)ออกจากการเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีจัดซื้อกล้ายางพารา 90 ล้านต้น ทั้งๆ ที่ท่านเป็นผู้สั่ง ให้กองทุนสงเคราะห์ การทำสวนยาง แจ้งความตามหนังสือที่ท่านร่างให้กับมือ แต่เมื่อ หนังสือแจ้งความมาถึงท่าน ท่านกลับยกชื่อผู้ บริหารซีพีออกจากสำนวน กักตัวไว้แต่ข้าราชการ นักการ เมือง และลูกจ้าง ให้ตกเป็นผู้ต้องหา เมื่อถูกจับได้ว่ามี เจตนายกชื่อผู้บริหารซีพีออกไป ท่านชี้แจงทันที ว่า "ไม่เป็นไร เจ้าหน้าที่พิมพ์ตก พิมพ์ใหม่ได้ บังเอิญผมไม่ได้ ดูรายละเอียด"

ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา ด้วยการข่มขู่รัฐมนตรี และ เจ้าหน้าที่รัฐ ให้มาแจ้ง ความดำเนินคดี "เท็จ" ว่าได้รับความเสียหาย จากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งท่านตั้งใจ ไว้แล้วว่าต้องยัดเยียดความผิดให้ได้ จึงเดือดร้อนถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ต้องแจ้งความ "เท็จ" ว่าการ ขายที่ดินของกองทุนฟื้นฟูสถาบัน การเงินแห่งประเทศไทย ให้แก่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในราคาที่สูงกว่าราคากลางที่กองทุนฟื้นฟูฯ กำหนดไว้ เป็นการกระทำความผิดให้กองทุนฟื้นฟูฯ ได้รับ ความเสียหาย ไม่ว่าม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล จะชี้แจงอย่างไร ตั้งแต่ก่อนเป็นรัฐมนตรี ขณะเป็นรัฐมนตรี กระทั่งเลิกเป็นรัฐมนตรี ว่า "กองทุนฟื้นฟูฯ ไม่เสียหาย" ท่านก็ไม่ฟัง และยังคงยืนยันว่า "ต้องเสีย หาย" เพราะ "ผมบอกว่าต้องเสียหาย"

ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา ด้วยการยกผู้ต้องหาบางคนออกจากสำนวนการสอบ สวน ทั้งๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดโดยตรง กรณีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่ากทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้สั่งจ่าย เงินให้แก่บริษัทสไตเออร์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้สัญญาการซื้อ ขายรถดับเพลิง ระหว่างกทม. กับบริษัท สไตเออร์ มีผลสมบูรณ์ และผูกพันระหว่างกทม.กับบริษัท สไตเออร์ ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พรรค ไทยรักไทย ซึ่งไม่ได้สั่งให้ซื้อ และ สั่งซื้อ กลับมีความผิด ในฐานะ ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ว่ากทม. ที่ไม่ยอมอยู่ใต้ การบังคับบัญชา

ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา และปฏิบัติอย่างเสมอภาคเท่าเทียมบนมาตรฐานที่แตก ต่างกัน ด้วยการสั่งให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชี้แจงเป็นหนังสือ ไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงด้วยตนเอง แต่สั่งให้ นายพานทองแท้ ชินวัตร ต้องมาชี้แจงด้วยตนเอง ห้ามส่งหนังสือชี้แจง ต่อคตส.

ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ยกเว้น นายนิติ ยิ้มแย้ม น้องชายของตัวเอง ซึ่งเป็นที่ ปรึกษาด้านกฎหมายของโครงการบ้านเอื้ออาทร ไม่ต้องถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่คณะกรรมการพิจารณาโครงการ บ้านเอื้ออาทร ถูกแจ้งข้อกล่าวหากระทำความผิดทุกคนถ้วนหน้า เสมอกัน

ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคน ตรวจสอบการทุจริตทุกโครงการ ยกเว้นโครงการรัฐบาลพรรค ประชาธิปัตย์ ที่ตนเองสนิทกับอดีตหัวหน้าพรรค ชื่อ ชวน หลีกภัย และ รัฐบาลปัจจุบัน ที่เป็นนาย เหนือหัวของตัวเอง

ด้วยพฤติกรรมการให้ความเป็นธรรม ตามแบบฉบับผู้พิพากษาศาลฎีกา สไตล์ "นาม ยิ้ม แย้ม" จึงทำ ให้การทำงานคตส. ไม่ประสบผลสำเร็จทางคดี ไม่มีพยานหลักฐานแบบจะๆ มาแสดงต่อประชาชนได้ แม้แต่ กรณีเดียว

ใช้เวลาไป 7 เดือน กินเงินแผ่นดินเป็นค่าจ้างไปคนละมากกว่า 1 ล้านบาท แล้ว ยังไม่นับงบดำเนิน การงบประชาสัมพันธ์ อีกไม่น้อยกว่าร้อยล้านบาท ที่ต้องสูญเสียไปกับการ สอบสวนเอาผิด เพื่อ ชำระแค้นส่วนตัว มิใช่เพื่อชำระบาปให้แก่ประเทศ

การให้ความเป็นธรรม แบบนี้เอง ที่ผมเรียก "นาม ยิ้มแย้ม" ว่า

ตุลา (บง) การ

แปลความว่า เป็นตุลาการ ที่ถูกบงการความคิด และการกระทำจากความแค้นในหัวใจ ของตนเอง มิใช่ ตุลาการ ที่ยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรม ของตุลาการ มิได้วินิจฉัยรูปคดีตามพยาน หลักฐาน แต่ยึดถือความแค้น ในใจตนเองเป็นดั่งธง ที่ต้องไปให้ถึง

วันนี้ เขียนจบแล้ว อ่านตลบขึ้นไปถึงบรรทัดแรกอีกที ไม่ขำ(ว่ะ)

เพราะเขียนไปนึกถึงหน้า "นาม ยิ้มแย้ม" ไป

นึกแล้ว "ยิ้ม" ไม่ออก "หัวร่อ" ไม่ได้

สงสาร ประเทศไทย เห็นใจผู้พิพากษารุ่นหลัง ครับ

โดยประดาบแห่งHi-Thaksin.net เขียนเมื่อ03/05/07




 

Create Date : 08 กันยายน 2550    
Last Update : 8 กันยายน 2550 18:35:07 น.
Counter : 538 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.