ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย: เยซูอิตใช้อเมริกาเป็นฐานอำนาจ/Sunday Law is coming
การบังคับในเรื่องความเชื่อและเข่นฆ่ากำลังจะเกิดขึ้นอีก!!




สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากทะเล

วิวรณ์ 13:1 "และข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ที่หาดทรายชายทะเล และเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา ที่เขาทั้งสิบนั้นมีมงกุฎสิบอัน และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทจารึกไว้ที่หัวทั้งหลายของมัน (โรมันคาทอลิค/เยซูอิต)"

สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากแผ่นดิน

วิวรณ์ 13:11 และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มีสองเขาเหมือนลูกแกะ และพูดเหมือนพญานาค (USA)
13:12 มันใช้อำนาจของสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้นอย่างครบถ้วนต่อหน้าสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น มันทำให้โลกและคนที่อยู่ในโลกบูชาสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น ที่มีแผลปางตายแต่รักษาหายแล้ว (ในปี 1798 ในสมัยกษัตริย์นโปเลียน ช่วง French Revolution นั้น Pope Pius VI ถูกทหารฝรั่งเศสจับแล้วเนรเทศ)


สภาสูงและสภาล่างของอเมริกาถูกแทรกแซงโดยเยซูอิตของโรมันคาทอลิคมาหลายทศวรรตแล้ว เยซูอิตเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่ทรงอำนาจและอยู่เบื้องหลังนโยบายต่างๆของรัฐบาลอเมริกัน โดยที่เยซูอิตทุกคนยังคงยึดมั่นในหลักการทำงานทุกอย่างเพื่อนำไปสู่การขยายอำนาจของโรมันคาทอลิค และที่สำคัญคือต่อต้านคนของพระเจ้า....

วิวรณ์ 13:15 "และมันมีอำนาจที่จะให้ลมหายใจแก่รูปสัตว์นั้น เพื่อให้รูปสัตว์ร้ายนั้นทั้งพูดได้ และกระทำให้บรรดาคนที่ไม่ยอมบูชารูปสัตว์ร้ายนั้นถึงแก่ความตายได้"

กำลังจะมีการออกกฏหมายบังคับเรื่องความเชื่อและการบังคับให้นมัสการในวันอาทิตย์ทั้งในอเมริกา และยุโรป และอาจกระจายไปทั่วโลกในเวลาต่อมาเมื่อโรมันคาทอลิคมีอำนาจเต็มที่ ซึ่งเรื่องนี้เคยทำมาแล้วสมัยโรมัน และประมาณศตวรรษที่ 15 (ที่เกิด Protestant) ซึ่งผู้ที่ไม่ทำตามก็ถูกสังหารหมด

Note: การบังคับให้นมัสการวันอาทิตย์เป็นการบังคับให้รับเครื่องหมายซาตาน 666

Ref;//www.eternalgospelherald.com/4.9.htm












คนของเยซูอิตเข้าไปมีบทบาททั้งในสภาของรัฐบาลอเมริกันมากว่า 20 ปีแล้ว และได้พยายามเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายของประเทศ ไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์





Note:
1). เรื่องนี้จะมีผลทั้งผู้ที่เชื่อพระเจ้าและไม่เชื่อพระเจ้า ที่นับถือศาสนาต่างๆที่ไม่ใช่ชาวคาทอลิค
2). ขอเราชาวไทยช่วยกันเป็นหูเป็นตาสำหรับประเทศไทย เพราะดูเหมือนว่าประเทศของเราแม้จะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ก็กำลังถูกจ้องเขมือบอยู่ตลอดเวลา เขากำลังล่อใช้เป็นฐานอำนาจอยู่??? เขาให้เงินมาตั้งโรงงานผลิตวัคซีน H1N1 ซึ่งตั้งเรียบร้อยแล้วด้วย

ขอให้จับตาดูการประชุมใหญ่ๆ ระดับโลกหลายๆการประชุมที่จัดขึ้นในบ้านเรา รวมทั้งการประชุมของ UN เรื่อง Global Warming ที่เพิ่งจบไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และแม้แต่ผู้นำของเราที่ไปประชุม G20 ที่อเมริกาที่ผ่านมา คนที่มาต้อนรับที่นั่น ก็เป็นคนในสมาคมลับฟรีเมสัน ระดับ 33 ดีกรี (เจสซี แจ๊คสัน)


แม้ว่าเวลานี้ เราจะทำอะไรได้ไม่มาก เพราะว่ากำลังของฝ่ายชั่วนั้นมาแรงมากและมาทุกทิศทุกทาง แต่เราก็ควรจะรู้ไว้....เพื่อการเตรียมพร้อมทั้งทางด้านกายภาพและที่สำคัญคือการค้นพบภูมิคุ้มกันฝ่ายวิญญาณ และหวังว่าทุกท่านจะบรรลุถึงทางออกที่ดีที่สุดในชีวิต....ขออธิษฐานเพื่อทุกท่าน ขอพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ผู้สร้างเราทุกคนให้กำเนิดมา ช่วยท่านด้วยเถิด...






Create Date : 19 ตุลาคม 2552
Last Update : 19 กรกฎาคม 2555 18:32:05 น.
Counter : 2085 Pageviews.

0 comment
ขอเราร่วมกันอธิษฐานเผื่อในหลวงของเรา


พี่น้องร่วมชาติที่รักทุกท่าน ขอเราร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อกษัตริย์ของเราด้วยเถิด ขอให้พระองค์มีสุขภาพแข็งแรง หายป่วยเร็วๆ



ปล.
1). เพราะว่ามีข่าวลือที่ไม่ดีออกไปทางอินเตอร์เน็ตของ bloomberge วันละหลายครั้ง เราไม่รู้ว่าพวกนั้นที่จ้องคอยแทรกแซงประเทศของเรากำลังคิดอะไรอยู่

2). ประเทศไทยของเราที่ยังอยู่ดีกินดีกันได้ทุกวันนี้ ก็เพราะพระบารมีของในหลวงของเรา

3). ถ้าสงสัยขอให้กลับไปอ่าน คำปฏิญาณของเยซูอิต

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=debunk&month=10-2009&date=01&group=1&gblog=5



Create Date : 15 ตุลาคม 2552
Last Update : 15 ตุลาคม 2552 13:12:40 น.
Counter : 2439 Pageviews.

3 comment
แน่ใจหรือว่าได้รับความรอดแล้ว?? AM I SAVED??



“...ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด” มัทธิว 24:13

“ท่านจะถูกคนทั้งปวงเกลียดชังเพราะเห็นแก่นามของเรา แต่ผู้ใดที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด” มัทธิว10:22

“ถ้าคนชอบธรรมจะรอดพ้นไปได้อย่างยากเย็นแล้ว คนอธรรมและคนบาปจะไปอยู่ที่ไหน” 1 เปโตร 4:18

..ฝ่ายคนทั้งหลายที่ได้ยินจึงว่า "ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้" ลูกา 18:26



จากข้อพระคัมภีร์ข้างบน ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าความรอดไม่ใช่ของล้อเล่น!!!




ความรอดเป็นของประทานจากพระเจ้าผ่านทางพระบุตรองค์เดียวคือองค์พระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงแบกรับความบาปของพวกเราทุกๆ คน ไว้ที่พระองค์เอง เพื่อให้เราได้รับการไถ่ และได้กลับมาคืนดีกับพระบิดาพระเจ้าองค์บริสุทธิ์


หากความรอดนั่น ต้องแลกมาด้วยทั้ง เลือด เนื้อ และชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว…

… เพียงการกล่าวคำอธิษฐานรับเชื่อสั้นๆ ตามการกล่าวนำของใครบางคนที่ได้เขียนไว้แล้วเกี่ยวกับพวกเขา ในหนังสือของ มาลาคี 2:8-9 ว่า… “เจ้าเองได้หันไปเสียจากทางนั้น เจ้าเป็นเหตุให้หลายคนสะดุดเพราะเหตุราชบัญญัติ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าได้กระทำให้พันธสัญญาของเลวีเสื่อมไป ดังนั้นเราจึงกระทำให้เจ้าเป็นที่ดูหมิ่นและเหยียดหยามต่อหน้าประชาชนทั้งปวง ให้สมกับที่เจ้ามิได้รักษาบรรดาวิถีทางของเรา แต่ได้แสดงอคติในการสอนราชบัญญัติ" ….

ทั้งๆที่หลักฐานก็มีอยู่อย่างชัดเจน ในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์...

...แล้วผู้ที่กล่าวคำรับเชื่อตามผู้นั้นก็ยังคงดำเนินชีวิตในความบาปเหมือนเดิมอยู่นั่น.....

เขาเพียงกล่าวคำรับเชื่อ แล้วก็ได้รับการยืนยันว่าเขารอดจากผู้พากล่าวนำนั้น.......... ผลจะเป็นอย่างไรพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้ให้คำตอบ!!



พระเจ้าบอกให้เราไปทางประตูที่คับของพระเยซู....แต่หลายท่านกลับลืมสอนเน้นย้ำถึงทางที่แคบที่เราจะต้องบากบั่นเพื่อเขาสู่แผ่นดินสวรรค์ เพราะว่า “ผู้ที่หาพบก็มีน้อย”



“จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย” มัทธิว 7:13-14


ก่อนอื่นขอปูพื้นฐานเกี่ยวความรอดก่อน เพราะคนทั่วไปที่ยังไม่รู้จักการดำเนินชีวิตกับพระเจ้าก็อาจไม่เข้าใจกับคำว่าความรอด(Salvation) เรามักจะใช้คำง่ายๆในการอธิบายว่า

“ถ้าเราเกิดหนึ่งครั้งจะตายสองครั้ง แต่ถ้าเราเกิดสองครั้งจะตายแค่ครั้งเดียว”

**“ถ้าเกิดหนึ่งครั้ง จะตายสองครั้ง” คือ เมื่อคนๆหนึ่งเกิดมาจากครรภ์มารดา เราเรียกว่าการเกิดฝ่ายเนื้อหนังคือการเกิดครั้งที่หนึ่ง แล้วถ้าคนนั้นดำเนินชีวิตไปเรื่อยตามครรลองของชาวโลกทั่วๆไป เมื่อเขาตาย จะตายถึงสองครั้ง คือ 1).การตายฝ่ายร่างกายหรือเนื้อหนัง และ 2). รวมถึงการตายฝ่ายวิญญาณด้วย

การตายฝ่ายวิญญาณนั้น จะทำให้ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า นั่นคือการถูกเผาด้วยไฟในนรกตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ “แล้วความตายและนรกก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ นี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง” วิวรณ์ 20:14

"...วิญญาณใดทำบาปก็จะตาย "
....the soul that sinneth, it shall die.
เอเสเคียล / Ezekiel 18:4




**“ถ้าเกิดสองครั้ง จะตายเพียงหนึ่งครั้ง”

เกิดครั้งที่หนึ่งคือเกิดจากครรภ์มารดาหรือการเกิดในทางเนื้อหนังหรือการเกิดมาเป็นตัวเป็นตนอย่างพวกเรานี่เอง

ส่วนการเกิดครั้งที่สองนั้น คือการเกิดฝ่ายวิญญาณเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นผู้ที่สามารถไถ่เราออกจากความบาปทั้งหมดที่เราเคยทำมาตลอดชีวิตของเรา เราก็จะได้รับของประทานพิเศษจากพระเจ้าคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาทำงานอยู่ในจิตวิญญาณของเรา นั่นคือเรามาถึงความรอดแล้ว…..คือการกลับมามีความสัมพันธ์อันดีกับพระผู้สร้างของเรา และชื่อของเราก็จะถูกบันทึกลงในหนังสือแห่งชีวิตบนสวรรค์ และถ้าเราดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่นั้นโดยการดำรงอยู่ในความเชื่อในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ ถวายร่างกายและจิตวิญญาณแด่พระองค์ เป็นของถวายที่มีชีวิตอยู่ พึ่งพาพระเจ้าทุกย่างก้าวของชีวิต และทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว เราก็จะไม่กลัวความตาย เพราะเรารู้ดีว่าเราจะตายอีกเพียงครั้งเดียว คือตายฝ่ายเนื้อหนัง และเรามีความหวังใจว่า จิตวิญญาณของเราจะได้กลับไปอยู่ในแดนบรมสุขเกษม หรืออยู่ในแผ่นดินสวรรค์ร่วมกับพระผู้ทรงสร้างของเราอย่างแน่นนอน


…. คุณเคยสำรวจชีวิตของคุณหรือไม่ว่าคุณมั่นใจแค่ไหนในความรอดของคุณ?

บางคนจะตอบว่า แน่ใจซิ…เพราะว่าผมรับเชื่อพระเยซูแล้ว และรับบัพติสมาแล้วด้วยนะ

บางคนก็ตอบว่า แน่ใจซิ…ก็ศิษยาภิบาลเค้ายืนยันแน่นอนแล้วนี่ !!!

อย่างไรก็ตาม ชาวคริสต์หลายๆคนซึ่งรวมๆแล้วอาจจะมากกว่า 80% นั้นมีการดำเนินชีวิตที่แทบจะไม่แตกต่างจากครรลองของชาวโลกทั่วไปเลย

จากประสบการณ์คลุกคลีกับสังคมทั้งคริสเตียนไทยและคริสเตียนอเมริกันด้วย เราสังเกตเห็นได้ว่า คนดีๆที่น่านับถือก็พอมีอยู่ แต่ที่แปลกมากก็คือส่วนใหญ่ยังมีความเย่อหยิ่ง มีความโลภ รักเงินทองมากกว่าพระเจ้า ฉ้อโกง อิจฉาริษยา ชอบนินทา ชอบตัดสินและตำหนิคนอื่น ยกตนข่มท่าน รักร่วมเพศ ล่วงประเวณี หน้าซื่อใจคด ทำตัวเหมือนฟาริสียุคศตวรรษที่ 21 ปากพูดว่ารักพระเจ้าแต่การกระทำก็อีกอย่างหนึ่ง ฯลฯ

อยู่ที่อเมริกา เคยถูกคนที่ไปโบสถ์เดียวกันโกงเงินอย่างไม่มียางอาย ด้วยพระเจ้าสอนให้เราอยู่อย่างสงบกับทุกคน (ฮีบรู 12:14 “จงอุตส่าห์ที่จะสงบสุขอยู่กับคนทั้งปวง”KJV) เราก็อธิษฐานขอพระเจ้ายกโทษให้เขาไป

พอมาพิจารณาดูดีๆ ก็ดูเหมือนว่าหลายๆคนที่ไปโบสถ์ ทั้งไทยและเทศ ก็ดูเหมือนกับว่าไปกันเพียงเป็นพิธี หรือไม่ก็ไปใช้โบสถ์เป็นสถานที่สำหรับการพบปะสังสรรค์กัน บ้างก็ไปใช้เป็นที่ติดต่อธุรกิจ ซึ่งดูแล้วสถานการณ์ก็ไม่ต่างจากสมัยที่พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่เลยที่ พระองค์ตรัสกับเขาใน มัทธิว 21:13 ว่า "มีพระวจนะเขียนไว้ว่า `นิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน' แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น `ถ้ำของพวกโจร'"




เคยคิดมั้ยว่า เหตุการณ์ในมัทธิว 7:21-23 ที่กล่าวว่า…..“ มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า`พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า `เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นจากเรา'

ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับเราล่ะ??????

ที่อ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้วต้องตื่นก็เพราะว่า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ต่อรองแล้ว เพราะว่ามันสายไปซะแล้ว!!!




จะดีกว่ามั๊ย???…..

ถ้าเราจะมาตั้งใจเดินตามพระเจ้าด้วยการทุ่มเทความรักให้กับพระองค์อย่างสุดหัวใจจริงๆ......ไม่ใช่รักแต่ปาก แต่การกระทำก็อีกอย่างหนึ่ง

คุณเห็น Key words นี้ “มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” ที่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ตรัสเองแล้วใช่มั๊ย??

ทุกคำนั้นก็มีความหมายครบถ้วนตรงไปตรงมา!!!

แต่อาจมีผู้แย้งว่า... อ้าว!! ก็มีพระคัมภีร์เขียนไว้อีก
ในหนังสือโรม 10:13 ว่า “เพราะว่า `ผู้ใดที่จะร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด

ใช่... แต่นั่นเป็นบริบทที่เมื่อถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงและนำไปสู่การบังคับให้ละทิ้งความเชื่อหรือห้ามเอ่ยพระนามพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เช่น เมื่อเขามาสั่งคุณให้คุกเข่าต่อหน้ารูปเคารพหรือพระอย่างอื่นที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์แล้วให้ไหว้ ถ้าไม่ทำตามจะต้องถูกตัดศีรษะ

บางคนก็อาจจะยกข้อพระคัมภีร์จาก หนังสือโรม10:10 ว่า
“ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด”

แล้วได้อธิษฐานรับเชื่อด้วยปาก และอธิษฐานอย่างจริงใจแล้วด้วย!!!

และศิษยาภิบาลก็ประกาศในที่ประชุมว่าผู้นั้นได้รับความรอดแล้วตั้งแต่วันนั้น!!!

ซึ่ง...เขาคนนั้นที่ได้รับเชื่อก็อาจจะมาโบสถ์ตลอดหรือมามั่งไม่มามั่ง แต่....ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆในชีวิตของเขาที่บ่งชี้ว่าเขาได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงเลย...

แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นอย่างฝังใจว่าจากการอธิษฐานรับเชื่อแล้วนั้น เขาอธิษฐานอย่างจริงใจและเต็มใจ เขามั่นใจว่าได้รับความรอดแล้วอย่างแน่นอน
แต่ความจริงก็คือที่สุดแล้ว หากเขายังใช้ชีวิตอยู่ในความบาปเหมือนเดิม ท้ายที่สุดคือไปสู่บึงไฟนรก!!!!!






ทำไมน่ะหรือ????


เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า...

"เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น " อิสยาห์55:9


มีผู้รับใช้พระเจ้าเทียมเท็จสอนต่อๆกันมาและให้ความมั่นใจว่า... ถ้าคุณอธิษฐาน รับเชื่อตามคำที่เขาบอก 2-3 ประโยค คุณก็จะรอด นั่นเป็นการทำร้ายลูกแกะอย่างร้ายกาจและพาหลงทาง!!! เพราะว่า ถ้าเขาคนนั้นที่รับเชื่อไม่มีใจที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจังในเวลาต่อมา

แต่ถ้า...เขาเชื่อด้วยใจจริงๆแล้ว...ก็จะต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในความประพฤติ และแนวทางการดำเนินชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะ คำว่า “ใจ”หรือ “Heart” ในพระคัมภีร์นั้นหมายถึง "ศูนย์กลางแห่งชีวิต"





และเมื่อ"เชื่อด้วยใจ" ก็คื “มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต”

พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำให้เขาเริ่มมองเห็นความบาปของตัวเอง และเขาจะเกลียดความบาปที่เขาเคยทำอยู่นั้น เช่น หากเขาเคยสูบบุหรี่ เขาก็จะเริ่มรู้สึกไม่ชอบกลิ่นอันน่ารังเกียจของมันและไม่สูบอีกเลย หากเขาเคยดื่มเหล้า หรือชอบนอนกับใครต่อใครโดยไม่เลือกหน้า หรือหญิงบางคนก็อาจจะเคยชอบแต่งตัวยั่วยวน หรือบางคนที่ชอบคุยโวโอ้อวด หรือมีความคุ้นเคยในความบาปใดๆก็แล้วแต่ เขาก็จะค่อยๆ หันหลังให้ความบาปเหล่านั้น เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้อยู่ด้วยกับผู้เชื่อและวางใจในพระองค์ทุกคน ตามหนังสือยอห์น 15:26 ที่พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า…
.. “เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา ...16:13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล ”


ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น เป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเป็นธรรมชาติ
เขาจะไม่รู้สึกฝืนในจิตใจ แต่จะมีสันติสุขอย่างที่โลกให้ไม่ได้



แม้อาจจะต้องเผชิญการทดสอบบ้างในบางครั้ง แต่ด้วยการพึ่งพาในกำลังของพระเจ้า




เขาก็จะผ่านไปได้ด้วยดี .....ซึ่งต้องอาศัยความหนักแน่น และความอดทนอย่างมาก




การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็จะเป็นไปตามระดับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
หรือตามระดับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่แนบสนิทระหว่างเขากับองค์พระผู้เป็นเจ้า

เขาจะค่อยๆถ่อมใจลง ค่อยๆลดความเห็นแก่ตัวลงไปเรื่อยๆ มองเห็นความคิด มุมมอง คำพูด และการกระทำของตนเองที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ชอบธรรมของพระเจ้า



เขาจะชอบศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ และพยายามที่จะจดจำพระคำไว้ในใจให้มากที่สุด เพราะเขารู้ว่า พระวจนะเป็นความจริง เป็นอาวุธ และมีชีวิต



เขาอยากรู้อยากเห็นพระองค์มากขึ้นเรื่อย หิวกระกายหาพระองค์ตลอดเวลา
รู้สึกตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ที่ได้รับ และทุกๆเช้าเขาก็อยากอ่านพระคัมภีร์เพราะเขาอยากรู้ว่าพระเจ้าจะตรัสอะไรกับเขาในวันนี้

เขาเชื่อและมีความหวังในชีวิต วางใจในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ เขาพยายามที่จะพึ่งพาและปรึกษาพระองค์ในทุกๆเรื่องโดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆในชีวิต ทำอะไรก็นึกในใจว่าพระเจ้าจะพอพระทัยหรือเปล่าน๊า??? เกรงว่าจะทำให้องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสียพระทัย และไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
หมั่นตรวจดูความบาปในตนเอง เมื่อระลึกได้และรู้สึกผิดก็สารภาพบาปกับพระองค์เสมอๆ



เป้าหมายของชีวิตคริสเตียน คือ ชีวิตที่บังเกิดผล

มัทธิว 7:16-20 คือมาตรวัดผลของการดำเนินชีวิตในพระคริสต์;

7:16 ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา มนุษย์เก็บผลองุ่นจากต้นไม้หนามหรือ หรือว่าเก็บผลมะเดื่อจากต้นผักหนาม
7:17 ดังนั้นแหละต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
7:18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
7:19 ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ
7:20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา

ในที่นี้พระองค์เปรียบเทียบเราทุกคนก็เหมือนต้นไม้ และพระองค์จะประเมินผลชีวิตของเรา ตามการเติบโตและบังเกิดผลที่ดีหรือเลว และพระองค์จะเลือกเอาเฉพาะผลดีเท่านั้น!!

เพราะ ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ (บึงไฟนรก)!!!

บางคนก็จะหาข้ออ้างมาหักล้างความจริงของพระเจ้า โดยการเลือกเอาข้อพระคัมภีร์ที่ตอนเองรู้สึกว่าเหมาะสมกับตนเองแล้วก็ตีความเอาเองแบบเข้าข้างตัวเองอีก เป็นการกล่าวอ้างและตีความข้อพระคัมภีร์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างผิดๆ (False Assurance)

เช่น ยกเอาเอเฟซัส 2:8 “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้” มาอ้างเพื่อเอาตัวรอดทางความรู้สึกแล้วก็ยังใช้ชีวิตในความบาป นอนรอความรอดด้วยความหวังใจเทียมๆ

ถูกต้อง... ที่ความรอดเป็นของประทานจากพระเจ้าไม่ใช่ด้วยตัวเราทำเองได้ เพราะพระเยซูคริสต์ทำเสร็จแล้วบนไม่กางเขน เราไม่ต้องไปถูกแขวนอีก แต่โดยความเชื่อด้วยใจ ตัวเราคนเดิมก็ตายไปแล้วและก็ฟื้นขึ้นมาแล้วกับพระองค์ และได้ชีวิตใหม่ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทิ้งของเก่าที่เน่าๆไปแล้ว ไม่ใช่ยังขลุกอยู่กับตัวเน่าๆตัวเก่านั่น

ขอให้อ่านพระคัมภีร์ข้อนี้อย่างช้าๆ และอ่านอย่างพินิจพิจารณาว่า
“รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ” หมายความว่าอย่างไร??




พระคัมภีร์ข้อนี้เชื่อโยงกับข้อที่แล้ว จากหนังสือโรม10:10 “ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม...” ก็คือ เชื่อด้วยใจที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิตนั่นเอง


“ด้วยว่าเวลาที่ผ่านไปในชีวิตของเราแล้วนั้น น่าจะเพียงพอสำหรับการกระทำสิ่งที่คนต่างชาติชอบกระทำ คราวเมื่อเราได้ดำเนินตามกิเลสตัณหา ตามใจปรารถนาอันชั่ว เมาเหล้าองุ่น เฮฮาเอะอะเอ็ดตะโรกัน เลี้ยงกันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย และการไหว้รูปเคารพอันเป็นที่น่าเกลียด” 1 เปโตร4:3

ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้ว!!!

“พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ?” ยากอบ 2:14




ขอให้ทุกคนจำไว้ว่า ไม่มีใครสามารถตอบแทนพระเจ้าได้ว่าคุณรอดแล้ว
นอกจากพระองค์เอง เพราะพระองค์เองเท่านั้นที่เป็น"ผู้พิพากษา"


ลองคิดดูว่า การที่คุณจะเข้าไปในบ้านของใคร เขาจะต้องรู้จักคุณ ไม่ใช่แค่คุณรู้จักเขา สมมติว่าคุณจะบอกว่าคุณรู้จักโอบาม่าและใครๆก็รู้จักเขาเหมือนกัน แล้วคุณจะเข้าใปหาเขาที่บ้าน ถ้าเขาไม่รู้จักคุณ เขาจะเชิญคุณเข้าไปในบ้านเขามั๊ย??

ทำนองเดียวกัน ถ้าเราจะไปบ้าน(นิเวศน์)ของพระเจ้า เราเองรู้จักพระองค์ และใครๆก็รู้จักพระองค์ รวมทั้งผีมารซาตานก็รู้จักพระองค์และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียวพระองค์และก็กลัวจนตัวสั่น (ยากอบ 2:19)

คำถามคือ… พระองค์รู้จักเราหรือไม่?????

“มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” มัทธิว 7:21

คุณได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วใช่มั๊ย??



พระเยซูตรัสว่า "ดูเถิด เราจะมาในไม่ช้านี้ บำเหน็จอยู่ที่เรา และเราจะให้แก่ทุกคนตามการกระทำของเขา เราคืออัลฟา และโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นปฐมและอวสาน" วิวรณ์ 22: 12-13


"ความสุขมีแก่บรรดาผู้ชำระเสื้อผ้าของตนเพื่อเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิตและผ่านประตูเข้าสู่นครนั้นได้" วิวรณ์ 22:14







วิวรณ์ 21

21:1 ข้าพเจ้าได้เห็นท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว

21:2 ข้าพเจ้า คือยอห์น ได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากพระเจ้าและจากสวรรค์ กรุงนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี

พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์และสิ่งสารพัดถูกสร้างขึ้นใหม่

21:3 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากสวรรค์ว่า "ดูเถิด พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา

21:4 พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว"




ขอให้เราจงแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ เพื่อว่าพระองค์จะรู้จักและจำเราได้

“จงแสวงหาพระยาห์เวห์ เมื่อจะพบพระองค์ได้
จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้” อิสยาห์55:6



ขอพระเจ้าพระบิดา โดยองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยนำทางท่านผู้อ่านทุกท่านให้ดำเนินชีวิตวันต่อวัน ก้าวต่อก้าว ลมหายใจต่อลมหายใจ... ขอพระองค์ทรงนำท่านให้กระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์... และอยู่ในเส้นทางอันชอบธรรมของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์... ทั้งขอพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์ให้ทุกท่านได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น เพื่อทุกท่านจะรักและยำเกรงพระองค์อย่างสุดหัวใจตามที่พระองค์สมควรได้รับ.. เพื่อพระนามของพระองค์ และเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว ข้าพเจ้าทูลขอในพระนามพระผู้ไถ่ของเรา พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ องค์พระมหาเยซูคริสต์เจ้า ...ฮาเลลูยา!!!








Create Date : 14 ตุลาคม 2552
Last Update : 26 มีนาคม 2556 12:18:35 น.
Counter : 7461 Pageviews.

3 comment
แผนการอุบาทว์เพื่อครอบครองมนุษย์โลก THE SECRET COVENANT. Full version, rated R !


พบวิดีโอนี้โดยบังเอิญ ก็เลยขุดต่อ เจอบทความข้างล่างตรงกัน ก็เลยเอามาแบ่งปัน ฟังดูเหมือนๆแผนการที่พูดถึงนี้กำลังค่อยๆปรากฎชัดเจนในชีวิตประจำวันของพวกเรา!! ขอให้สังเกตดูดีๆ


The Message of His Kingdom Revelation of Joys & Sorrows


Article as is it originally appeared on the Bankindex.com web site on 21 June 2002:

THE SECRET COVENANT. Full version, rated R !



Written by UNKNOWN Author has submitted second version, Posted 6/21/2002




Ref.
//unveilingthem.com/SecretCovenant.htm

ในที่สุดทุกอย่างก็ถูกเปิดเผย!!!!

THE SECRET COVENANT สัญญาลับ


An illusion it will be, so large, so vast it will escape their
perception.

จะมีภาพลวงตา(การล่อลวง)ที่แยบยลมาก ที่เหนือความคาดหมายของคนทั่วไป

Those who will see it will be thought of as insane.

และคนที่รู้หรือเห็นสิ่งนี้ก็จะคิดว่าเป็นเรื่องบ้าบอคอแตก ไม่น่าเป็นไปได้

We will create separate fronts to prevent them from seeing the
connection between us.

เราจะสร้างฉากหน้าเพื่อปกปิดไม่ให้พวกเขาเห็นการเชื่อมต่อสิ่งเหล่านี้มาถึงเราได้

We will behave as if we are not connected to keep the illusion alive. Our goal will be accomplished one drop at a time so as to never bring suspicion upon ourselves. This will also prevent them from seeing the changes as they occur.

เราจะทำเหมือนกับว่าเราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว(ของภาพลวงตา)เหล่านั้นเพื่อให้มันยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เป้าหมายของเราจะบรรลุไปเป็นขั้นเป็นตอนโดยที่จะไม่มีการสืบสาวราวเรื่องมาถึงเราได้ และสิ่งนี้ก็จะยังป้องกันไม่ให้พวกเขาสังเกตเห็นความเป็นไปต่างๆ

We will always stand above the relative field of their experience
for we know the secrets of the absolute.

พวกเราจะยังคงเหนือชั้นกว่าพวกเขาทั้งด้านความรู้และประสบการณ์เสมอ ด้วยว่าพวกเรารู้ความลับโดยตลอด

We will work together always and will remain bound by blood and secrecy. Death will come to he who speaks.

พวกเราจะยังคงทำงานร่วมกันเสมอและจะผูกพันกันด้วยเลือดและทุกอย่างเป็นความลับ ผู้ใดที่เปิดเผยจะต้องตาย

We will keep their lifespan short and their minds weak while pretending to do the opposite.

เราจะกระทำให้ชีวิตของพวกเขาสั้นลง และทำให้สติปัญญาต่ำลง ในขณะเดียวกันเราก็กำลังแสร้งทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม(ทำในสิ่งที่ภาพออกมาดูดี- ผู้เรียบเรียง)

We will use our knowledge of science and technology in subtle
ways so they will never see what is happening.

เราจะใช้ความรู้ของเราทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเฉลียวฉลาดและแนบเนียน เพื่อว่าพวกเขาจะไม่มีทางรู้หรือเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

We will use soft metals, aging accelerators and sedatives in food and water, also in the air.

เราจะใช้ธาตุโลหะอ่อนๆ , สารเร่งความแก่, และยากล่อมประสาทใส่ลงไปในอาหาร ในน้ำ และในอากาศ (เขาทำอยู่นานแล้ว เช่นใส่แอสปาร์เทม- aspartame หรือน้ำตาลเทียม ซึ่งทำลายระบบประสาท ได้ถูกนำมาใส่ในอาหาร ยา และเครื่องดื่มต่างนานแล้ว รวมไปถึงการใส่ฟลูออไรด์ในน้ำดื่ม ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสติปัญญาเสื่อมลง โดยเฉพาะในเด็ก และทำให้เกิดโรคอื่นๆตามมาอีกมาก ส่วนในอากาศก็มีการปล่อยสารพิษโดยโดยพวกมันขับเครื่องบินโปรย(Chemtrail) พบมากในยุโรปและอเมริกา -ผู้เรียบเรียง)

They will be blanketed by poisons everywhere they turn.

ไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหน ในทุกๆที่ เขาก็จะยังคงถูกห่อหุ้มไว้ด้วยสารพิษ

The soft metals will cause them to lose their minds. We will
promise to find a cure from our many fronts, yet we will
feed them more poison.

ธาตุโลหะอ่อนๆจะทำให้พวกเขาเสียความสมดุลย์ในจิตใจ และโดยฉากหน้า เราจะสัญญาที่จะรักษาเขาให้หาย แต่ทว่า…เราจะป้อนสารพิษให้เขามากกว่าเดิม (หมายความว่ายาที่ใช้รักษาทางจิตเวชส่วนใหญ่เป็นสารที่ซ้ำเติมที่ทำให้คนไข้แย่ลงยิ่งกว่าเดิม –ผู้เรียบเรียง)

The poisons will be absorbed through their skin and mouths,
they will destroy their minds and reproductive systems.

สารพิษต่างๆจะถูกดูดซึมเข้าทางผิวหนัง และทางปากของพวกเขา สารพิษเหล่านั้นจะทำลายสติปัญญาและทำลายระบบสืบพันธุ์ของพวกเขา

From all this, their children will be born dead, and we will conceal this information.

จากสิ่งเหล่านี้ ลูกของพวกเขาจะคลอดออกมาตาย และเราก็จะปิดบังข้อมูลเหล่านี้ไว้

The poisons will be hidden in everything that surrounds them,
in what they drink, eat, breathe and wear.

สารพิษต่างๆจะซ่อนอยู่ในทุกสิ่งอย่าง รอบๆตัวของพวกเขา ซ่อนอยู่ในสิ่งที่เขาดื่ม ในอาหารที่พวกเขากินเข้าไป อยู่ในอากาศ และในเสื้อผ้าที่สวมใส่

We must be ingenious in dispensing the poisons for they
can see far.

พวกเราจะต้องปราดเปรื่องในการจัดสรรปรุงแต่งสารพิษต่างๆเพื่อพวกเขาจะไม่มีทางรู้ได้โดยง่าย

We will teach them that the poisons are good, with fun images
and musical tones.

เราจะสอนพวกเขาว่าสารพิษเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี ในรูปแบบที่สนุกสนานและสุทรีย์ (เช่น การโฆษณาต่างๆทางทีวี การแทรกเรื่องราวในภาพยนตร์ หรือผ่านสื่อต่างๆรอบตัวเรา – ผู้เรียบเรียง)

Those they look up to will help. We will enlist them to
push our poisons.

คนที่มีจิตอาสา เราก็จะสนุบสนุนเขาในการส่งเสริมการแพร่ของสารพิษ (มีผู้คนจำนวนมากมายที่ถูกล่อลวงให้เข้าไปอยู่ในขบวนการลับเหล่านี้ – ผู้เรียบเรียง)

They will see our products being used in film and will grow accustomed to them and will never know their true effect.

พวกเขาจะเห็นสินค้าของเราในภาพยนตร์ และสิ่งเหล่านั้นก็จะค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในชีวิตของพวกเขาจนเกิดความเคยชิน และพวกเขาจะไม่มีวันรู้ถึงผลกระทบที่แท้จริงเลย

When they give birth we will inject poisons into the blood
of their children and convince them its for their help.

เมื่อพวกเขาให้กำเนิดบุตร เราก็จะฉีดสารพิษเข้าไปในเลือดของเด็กๆ (วัคซีน (ผู้ใฝ่รู้โปรดศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม) – ผู้เรียบเรียง) และให้ความมั่นใจเขาว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้เด็กแข็งแรง

We will start early on, when their minds are young, we will
target their children with what children love most, sweet
things.

เราจะเริ่มตั้งแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่พวกเขายังไม่เดียงสา เราจะเข้าโจมตีในจุดที่เด็กๆชอบมากที่สุด สิ่งที่เย้ายวนใจเด็กๆเช่นขนมรสหวาน

When their teeth decay we will fill them with metals
that will kill their mind and steal their future.

เมื่อฟันของเด็กๆผุ เราก็จะใส่โลหะเข้าไปในฟันซึ่งโลหะเหล่านี้ก็จะค่อยๆทำลายสติปัญญาของเขาและขโมยอนาคตของเด็กๆไป

When their ability to learn has been affected, we will create medicine that will make them sicker and cause other diseases for which we will create yet more medicine.

เมื่อความสามารถในการเรีนยรู้ของพวกเด็กถูกกระทบกระเทือน (เช่นป่วยเป็นออทิสซึม-ผู้เรียบเรียง) เราก็จะผลิตยาขึ้นมาเพื่อทำให้เขาป่วยมากขึ้นและทำให้เกิดโรคอื่นๆตามมาอีก เพื่อว่าเราจะได้ผลิตยา (มาขายให้พวกเขา) มากขึ้นๆ อีก

We will render them docile and weak before us by our power.

เราจะกระทำให้พวกเขาเป็นคนห้วอ่อนว่าง่ายและอ่อนแออยู่ต่อหน้าเราด้วยพลังอำนาจของเรา

They will grow depressed, slow and obese, and when they
come to us for help, we will give them more poison.

พวกเขาจะเติบโตขึ้นเป็นประชากรที่ซึมเศร้า เชื่องช้า และอ้วน และเมื่อพวกเขามาขอความช่วยเหลือจากเรา เราก็จะใส่สารพิษเพิ่มเติมเข้าไปในตัวเขาอีก

We will focus their attention toward money and material goods
so they many never connect with their inner self. We will distract them with fornication, external pleasures and games so they may never be one with the oneness of it all.

พวกเขาจะมุ่งความสนใจไปในเรื่องเงินทองและเรื่องวัตถุนิยม เพื่อว่าพวกเขาจะได้ห่างไกลจากเรื่องฝ่ายวิญญาณ (หมายถึงทำให้ออกห่างจากพระเจ้า- ผู้เรียบเรียง) เราจะทำให้พวกเขาวุ่นอยู่กับเรื่องเซ็กส์ ความสำเริงสำราญจากภายนอก รวมทั้งเกมส์ต่างๆ เพื่อว่าพวกเขาจะไม่มีทางได้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งอีกเลย

Their minds will belong to us and they will do as we say.
If they refuse we shall find ways to implement mind-altering technology into their lives. We will use fear as our weapon.

จิตใจของพวกเขาจะเป็นทาสของเรา และพวกเขาจะทำตามที่เราบอก ถ้าพวกเขาปฏิเสธ เราก็จะหาวิธีที่จะใช้เทคโนโลยีต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจของพวกเขา เราจะใช้ความกลัวเป็นอาวุธของเรา

We will establish their governments and establish opposites within. We will own both sides.

เราจะก่อตั้งทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในสภาการปกครองของพวกเขา เราจะเป็นเจ้าของของทั้งสองฝ่าย

We will always hide our objective but carry out our plan.

เราจะซ่อนเป้าหมายของเราไว้ แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้แล้ว

They will perform the labor for us and we shall prosper from their toil.

พวกเขาจะทำงานให้เรา และเราจะมั่งคั่งบนความเหน็ดเหนื่อยของพวกเขา

Our families will never mix with theirs. Our blood must be pure always, for it is the way.

สมาชิกในครอบครัวของเราจะไม่มีทางได้ผสมปนเปไปกับพวกเขา สายเลือดของเราจะต้องไม่มีสิ่งอื่นเจอปน เพราะมันต้องเป็นเช่นนั้น

We will make them kill each other when it suits us.

เมื่อเวลาเหมาะสม เราจะทำให้พวกเขาฆ่ากันเอง

We will keep them separated from the oneness by dogma and religion.

เราจะทำให้พวกเขาออกห่างจากพระผู้สร้างโดยลัทธิความเชื่อและระบบศาสนา

We will control all aspects of their lives and tell them what to think and how.

เราจะควบคุมทุกแง่มุมชีวิตของพวกเขา และบอก(สั่งสอน)พวกเขาว่าควรจะคิดถึงเรื่องอะไรและคิดอย่างไร

We will guide them kindly and gently letting them think they are guiding themselves.

เราจะนำทางเขาอย่างสุภาพและอ่อนโยน และทำให้พวกเขาคิดว่าเขาคิดด้วยตัวของเขาเอง

We will foment animosity between them through our factions.

เราจะเสี้ยมสอนให้พวกเขาเกลียดชังกันอย่างรุนแรงโดยมีกลุ่มคนของเราแฝงเข้าไปยุแหย่ (เช่นการทำงานของเยซูอิต – ผู้เรียบเรียง)

When a light shall shine among them, we shall extinguish it by ridicule, or death, whichever suits us best.

เมื่อมีใครบางคนในพวกเขาเริ่มรู้ตัว เราจะทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวกับเขา (เช่นประธานาธิบดี บิล คลินตัน มีข่าวอื้อฉาวกับลูวินสกี้เพราะบิลเริ่มพูดถึงผู้มีอิทธิพลลับ บิลจึงถูกสั่งสอน และตอนนี้ก็อยู่หมัดแล้ว – ผู้เรียบเรียง) หรือฆ่าเสียให้ตาย แล้วแต่สิ่งใดจะเหมาะในสถานการณ์นั้นๆ

We will make them rip each other's hearts apart and kill their own children.

เราจะทำให้พวกเขาฉีกหัวใจของกันและกันออก (ทำลายสำนึกผิดชอบชั่วดี-ผู้เรียบเรียง) และฆ่าลูกๆของเขาเอง

We will accomplish this by using hate as our ally, anger as our friend.

เราจะทำให้สำเร็จโดยมีความเกลียดชังเป็นพันธมิตของเรา มีความโกรธเป็นเพื่อนของเรา

The hate will blind them totally, and never shall they see that from their conflicts we emerge as their rulers. They will be busy killing each other.

ความเกลียดชังจะทำให้พวกเขาไม่รับรู้สิ่งใดเลย ในความขัดแย้งนั้น พวกเขาจะไม่สามารถรู้เลยว่าเราได้กลายเป็นกลุ่มผู้ปกครองของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะยังคงยุ่งอยู่กับการฆ่าฟันกัน

They will bathe in their own blood and kill their neighbors for as long as we see fit.

พวกเขาจะชุ่มโชกด้วยเลือดของพวกเขาเอง และฆ่าฟันเพื่อนบ้าน(สงคราม)นานเท่านานที่เราเห็นสมควร

We will benefit greatly from this, for they will not see us, for they cannot see us.

เราจะได้ประโยชน์อย่างมากมายจากสิ่งนี้ เพราะพวกเขาไม่เห็นเรา เพราะพวกเขาไม่อาจรู้จักเราได้
(พวกอีลีทจะให้เงินกู้ยืมในการทำสงครามและขายอาวุธสงครามให้กับทั้งสองฝ่ายของประเทศที่ทำสงครามกัน เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่1 เรื่อยมาจนปัจจุบัน – ผู้เรียบเรียง)

We will continue to prosper from their wars and their deaths.

เราจะยังคงมั่งคั่งขึ้นจากการทำสงครามและความตายของพวกเขา

We shall repeat this over and over until our ultimate goal is
accomplished.

เราจะทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อยๆ จนกระทั้งเป้าหมายสูงสุดของเราได้บรรลุแล้ว

We will continue to make them live in fear and anger
though images and sounds.

เราจะยังคงทำให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในความหวาดกลัว และความโกรธแค้นผ่านทางภาพและเสียง

We will use all the tools we have to accomplish this.

เราจะใช้เคื่องมือทุกอย่าง เราจะต้องทำให้สำเร็จ

The tools will be provided by their labor.

เครื่องมือต่างๆจะถูกจัดเตรียมให้โดยผ่านการทำงานของพวกเขา

We will make them hate themselves and their neighbors.

เราจะทำให้พวกเขาเกลียดกันเอง และเกลียดเพื่อนบ้าน

We will always hide the divine truth from them, that we are all one. This they must never know!

เราจะยังคงปิดบังความจริงอย่างเหนือมนุษย์จากพวกเขาว่าพวกเราเป็นหนึ่งเดียว (หมายถึงพวกนี้คือลูกหลานของ fallen angels- ผู้เรียบเรียง) สิ่งนี้พวกเขาจะต้องไม่มีวันรู้ได้

They must never know that color is an illusion, they must always think they are not equal.

พวกเขาจะต้องไม่มีวันรู้ได้ว่า สีเป็นภาพลวงตาอย่างหนึ่ง พวกเขาจะต้องคิดเสมอว่าพวกเขาไม่เท่าเทียมกัน

Drop by drop, drop by drop we will advance our goal.

หยดต่อหยด หยดต่อหยด พวกเราจะสานต่อเป้าหมายของเรา

We will take over their land, resources and wealth to exercise total control over them.

พวกเราจะเข้าควบคุมผืนแผ่นดินของพวกเขา ทรัพยากร และความมั่งคั่งของพวกเขา โดยวิธีการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จ

We will deceive them into accepting laws that will steal the little freedom they will have.

พวกเราจะล่อลวงเขาให้ยอมรับกฎหมายที่ค่อยๆขโมยอิสรภาพจากพวกเขา

We will establish a money system that will imprison them forever, keeping them and their children in debt.

เราจะก่อตั้งระบบการเงินที่ทำให้พวกเขาถูกจองจำตลอดไป ทำให้พวกเขาและลูกหลานของพวกเขาท่วมท้นไปด้วยหนี้สิน

When they shall ban together, we shall accuse them of crimes and present a different story to the world for we shall own all the media.

เมื่อพวกเขารวมตัวกัน เราก็จะกล่าวโทษพวกเขาว่าเป็นผู้ก่ออาชญากรรม(ผู้ก่อการร้าย) และจะนำเสนอเรื่องที่แตกต่างออกไป ไปสู่ชาวโลก ด้วยว่าเราเองที่เป็นเจ้าของสื่อสารมวลชนทั้งหมด

We will use our media to control the flow of information and their sentiment in our favor.

เราจะใช้สื่อสารมวลชนของเราควบคุมการไหลของข้อมูล ให้ไปในแนวทางที่เราต้องการ

When they shall rise up against us we will crush them like insects, for they are less than that.

เมื่อพวกเขาจะลุกขึ้นต่อสู้เราเราจะขยี้พวกเขาเหมือนขยี้แมลง เพราะพวกเขาก็มีค่าน้อยยิ่งกว่าแมลงซะอีก

They will be helpless to do anything for they will have no weapons.

พวกเขาจะไร้ซึ่งกำลังที่จะทำอะไรได้ เพราะพวกเขาไม่มีอาวุธ

We will recruit some of their own to carry out our plans, we will promise them eternal life, but eternal life they will never have for they are not of us.

เราจะคัดสรรบางคนในพวกเขามาดำเนินการตามแผนของเรา เราจะใหคำมั่นสัญญาว่าเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่พวกเขาจะไม่มีวันได้ เพราะพวกเขาไม่ใช่มาจากเรา

The recruits will be called "initiates" and will be indoctrinated to believe false rites of passage to higher realms. Members of these groups will think they are one with us never knowing the truth. They must never learn this truth for they will turn against us.

ผู้ที่ถูกสรรหาเข้ามาจะถูกเรียกว่า “สมาชิกใหม่” และจะถูกปลูกฝังลัทธิความเชื่อและพิธีกรรมเทียมเท็จ (เช่น กลุ่ม ฟรีเมสัน-ผู้เรียบเรียง) สมาชิกเหล่านี้คิดว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในพวกเราพวกเขาไม่เคยรู้ความจริง พวกเขาจะต้องไม่มีวันที่จะรู้ความจริงเพราะถ้าพวกเขารู้พวกเขาก็จะหันมาต่อต้านเรา

For their work they will be rewarded with earthly things and great titles, but never will they become immortal and join us, never will they receive the light and travel the stars.

พวกเขาจะได้รับรางวัลจากการทำงานเป็นเป็นวัตถุสิ่งของบนแผ่นดินโลก และตำแหน่งใหญ่โต แต่พวกเขาจะไม่ได้ความเป็นอมตะและอยู่ร่วมกับเรา พวกเราจะไม่มีวันได้รับความสว่างและท่องไปในหมู่ดวงดาว

They will never reach the higher realms, for the killing of their own kind will prevent passage to the realm of enlightenment. This they will never know.

พวกเขาจะไม่มีวันได้ไปถึงที่ที่สูงกว่า เพราะการเข่นฆ่าของพวกเขา จะกันไม่ให้ไปสู่ความสว่างหรือภาวะรู้แจ้งเห็นจริง

The truth will be hidden in their face, so close they will not be able to focus on it until its too late.

ความจริงจะถูกฉาบหน้าปิดบังไว้อย่างมิดชิด พวกเขาไม่สามารถจะรวบรวมความสนใจไปที่สิ่งนี้ได้จนกว่าจะสายเกินไป

Oh yes, so grand the illusion of freedom will be, that they will never know they are our slaves.

ไช่แล้ว….ช่างเป็นภาพลวงตาอันยิ่งใหญ่ในเรื่องการมีเสรีภาพ (พวกเขาถูกล่อลวงว่ามีเสรีภาพ- ผู้เรียบเรียง) จนพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขานั้นเป็นทาสของเรา

When all is in place, the reality we will have created for them will own them. This reality will be their prison. They will live in self-delusion.

เมื่อสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ปรากฎ ความจริงที่เราได้จัดให้พวกเขาจะทำให้พวกเขาคล้อยตาม ความจริงนี้จะเป็นที่คุมขังพวกเขา พวกเขาจะมีชีวิตอยู่กับความคิดเพ้อฝันหลอกตนเอง

When our goal is accomplished a new era of domination will begin.

เมื่อเป้าหมายของเราบรรลุผลสำเร็จ ยุคใหม่แห่งการครอบงำก็จะเริ่มขึ้น

Their minds will be bound by their beliefs, the beliefs we have established from time immemorial.

ความคิดจิตใจของพวกเขาจะผูกพันอยู่กับสิ่งที่เขาเชื่อ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เราค่อยๆปลูกฝังให้พวกเขามาช้านานแล้ว

But if they ever find out they are our equal, we shall perish then. THIS THEY MUST NEVER KNOW.

แต่ถ้าพวกเขาพบว่าพวกเขาเท่าเทียมกับเรา เราก็จะลงโทษพวกเขา สิ่งนี้พวกเขาจะต้องไม่มีวันรู้ได้!!

If they ever find out that together they can vanquish us, they will take action.

ถ้าพวกเขาพบว่าการรวมตัวกันนั้นพวกเขาสามารถเอาชนะเราได้ พวกเขาก็จะทำ

They must never, ever find out what we have done, for if they do, we shall have no place to run, for it will be easy to see who we are once the veil has fallen. Our actions will have revealed who we are and they will hunt us down
and no person shall give us shelter.

มันจะต้องไม่เกิดขึ้น… แม้แต่การค้นพบในสิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว เพราะถ้าพวกเขารู้ เราจะไม่มีทางไป เพราะมันจะเป็นการง่ายที่จะพบว่าเราเป็นใครเมื่อผ้าม่านหล่นลง (ผ้าม่านถูกเปิดออก) การกระทำของเราจะเปิดเผยตัวตนของเรา และพวกเขาก็จะตามไล่ล่าเรา และไม่มีใครจะให้ที่กำบังแก่เรา

This is the secret covenant by which we shall live the rest of our present and future lives, for this reality will transcend many generations and life spans.

นี้เป็นสัญญาลับ เพื่อว่าเราจะอยู่ต่อไปในเวลาชีวิตที่เหลืออยู่และรวมไปถึงในโลกหน้าด้วย ด้วยความจริงเรื่องนี้จะผ่านไปหลายๆชั่วอายุคน

This covenant is sealed by blood, our blood. We, the ones who from heaven to earth came.

สัญญานี้ถูกประทับตราไว้ด้วยเลือด เลือดของพวกเรา พวกเรากลุ่มที่มาจากฟ้าสวรรค์มาสู่แผ่นดินโลก

This covenant must NEVER, EVER be known to exist. It must NEVER, EVER be written or spoken of for if it is, the consciousness it will spawn will release the fury of the PRIME CREATOR upon us and we shall be cast to the depths from whence we came and remain there until the end time of infinity itself.

จะต้องไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีสัญญานี้มีอยู่ มันจะต้องไม่มีการเขียนขึ้น หรือพูดถึง การรับรู้(ถึงสัญญาลับนี้)สิ่งนี้จะส่งผลให้พระผู้เป็นเบื้องต้น(และเบื้องปลาย – ผู้เรียบเรียง)ทรงระบายพระพิโรธมาสู่พวกเรา และพวกเราก็จะถูกโยนลงไปในที่ลึก จากที่ๆเรามาและจะต้องอยู่ที่นั่นจนถึงกาลสิ้นยุค


//www.stevequayle.com/News.alert/11_Global/110107.EliteNetwork.pdf



Create Date : 13 ตุลาคม 2552
Last Update : 26 มีนาคม 2556 13:45:10 น.
Counter : 2232 Pageviews.

1 comment
พระผู้เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย vs. พุทธทำนาย



The Unveiling - โดย Michael Card

Hear the roaring at the rim of the world
See what every eye shall see
Behold He's coming with the clouds
Setting all the captives free
And those who longed to see this day
Will tremble with delight
As a sea of upturned faces there
Is bathed in endless light

CHORUS:
I am the Alpha and the Omega
The One who is and was and is to come
Though I was dead, now I'm alive forever
Don't be afraid
I hold the keys
And I have come

Once the just and gentle Victim
Who is seemed was born to die
See Him now, a blaze of glory
As He moves across the sky
And that majestic silhouette
Who's come to take His bride
Still bears the healing wounds
Upon His hands and feet and side

CHORUS:
I am the Alpha and the Omega
The One who is and was and is to come
Though I was dead, now I'm alive forever
Don't be afraid
I hold the keys
And I have come


The great unveiling of our hope
The promised Jubilee
The revelation of our God
It's all we longed to see

CHORUS:
I am the Alpha and the Omega
The One who is and was and is to come
Though I was dead, now I'm alive forever
Don't be afraid
I hold the keys
And I have come



พระศรีอริยเมตตรัยมาหรือยัง?? ท่านตัดสินเอง...

คัดลอกข้อความมาจาก "พระธรรมปิฎกพุทธทำนายถึงพระศรีอาริยเมตตรัยที่มาโปรดโลกมนุษย์" ซึ่งคัดลอกมาจากวัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ พระศรีสุทธิวงศ์ กรุงเทพฯรับรองว่าถูกต้อง เอกสารนี้ออกให้ในวันตำรวจ วันที่ 13 ตุลาคม พศ. 2497

ข้อความบางตอนกล่าวว่า.... เมื่อพระพุทธเจ้า เดินเที่ยวสัญจรเป็นตัวเป็นตนอยู่ในโลกนี้ มีพราหมณ์เฒ่าองค์หนึ่งนุ่งขาวห่มขาวเข้ามาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "มนุษย์และพราหมณ์ทั้งหลายจะจำศีลกินทานไปอย่างไรจึงจะรอดพ้นจากบาปได้?"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มาศแม้นว่าท่านทั้งหลายจะให้ทานทอดกฐิน ถือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 เก้าล้านเก้าพันโกฏิ ยกมือไหว้บูชาถวายตัวเป็นเครื่องบูชา หรือภาวนาวันละ 5 ครั้ง ก็ไม่อาจจะรอดพ้นได้ ทำอย่างนี้ทุกวันก็จะได้บุญกุศลเพียงเท่าเส้นผมเด็กอ่อนที่อยู่ในท้องแม่ 8 อสงไข จะเข้าประตูเมืองสวรรค์ก็ยังมิได้เลย"

พราหมณ์เฒ่าองค์นั้นจึงถามต่อไปว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าทั้งหลายจะทำอย่างไรจึงจะพ้นและรอดได้?"

พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพราหมณ์เฒ่านั้นว่า "บาปกรรมของมนุษย์นั้นมากหนักหนา หนักกว่าฟ้า หนากว่าแผ่นดิน สูงกว่าหินสีมาฝัง 4 เหลี่ยม 1 ศอกทุกด้าน ปีไหนเทวดาเอาผ้ามาปัด 1 ที หินนั้นหมดเมื่อไหร่ บาปของมนุษย์จะหมดเมื่อนั้น" พระพุทธเจ้าทรงเทศนาต่อไปอีกว่า "ตัวเราเองได้สละสมบัติ ตัดสละกิเลส มาทรงเพศเป็นชี ถือว่าตนดีไม่น้อย ได้ 8 อสงไขปีปลาย แถมอีกแสนมหากัปล์ นับได้ตัดสละได้ 10 ชาติ ก็ไม่อาจรอดพ้นสักคราวฯท่านทั้งหลายเอ๋ย"

พราหมณ์เฒ่าองค์นั้นก็ทูลถามต่อไปอีกว่า "ดังนั้นจะให้ข้าทั้งหลายทำอย่างไร?"

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "ให้ท่านทั้งหลายแสวงหาพระอีกองค์หนึ่งที่จะมาโปรดโลก ช่วยท่านทั้งหลายภายหน้า ชื่อว่าพระศรีอริยเมตตรัย"

แล้วพราหมณ์เฒ่าองค์นั้นทูลถามว่า "พระศรีอริยเมตตรัยที่จะมาโปรดโลกภายหน้านั้นมีบุคลิกลักษณะอย่างไรพระองค์ท่าน?'

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระศรีอริยเมตตรัยที่จะมาโปรดโลกภายหน้านั้น ที่อุ้งมืออุ้งเท้าเป็นกงจักรกลม ที่สีข้างมีรอยถูกแทงเป็นแผล หน้าผากเต็มไปด้วยรอยตำหนิ พระองค์นั่นแหละจะพาท่านทั้งหลายไต่ข้ามวัฏสงสารไปจนถึงสวรรค์นิพพานจึงพบหน้พระแก้ว3 ประการตามประสงค์ หาตามทางเก่าท่านไม่พ้นแน่ ให้ท่านเลิกทางเก่าเสีย และจะมีดวงวิญญาณดวงใหม่ ดวงหนึ่งเท่าแสงหิ่งห้อยลงมาจากชั้นฟ้าเบื้องบน ลงมาสถิตอยู่ในใจของท่านทั้งหลาย แล้วท่านทั้งหลายจะมีชัยชนะต่อศัตรูทั้ง 4 ทิศ 8 ทิศ ใครจะปองร้ายท่านไม่ได้ ถ้าตายแล้วจะไม่ได้กลับมาในโลกนี้อีกต่อไป (คือจะได้ไปสวรรค์นิพพานนั่นเอง- ผู้เรียบเรียง)"


####
####
####
#################
#################
####
####
####
####
####
####
####
####



"เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก
จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา
เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"

ยอห์น 3:16






ก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์ได้ทรงกล่าวกับเหล่าสาวกเกี่ยวกับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พระองค์จะทรงประทานมาให้สถิตอยู่ด้วยกับทุกคนที่เชื่อในพระองค์
ดังนี้....

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเตือนให้โลกรู้สำนึก
ยอห์น 16
16:7 ......เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจ ก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
16:8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาป และถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา16:9 ถึงความผิดบาปนั้น คือเพราะเขาไม่เชื่อในเรา
16:10 ถึงความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดาของเรา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก
16:11 ถึงการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้(หมายถึง ผีมารซาตาน -ผู้เรียบเรียง )ถูกพิพากษาแล้ว


Note: พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจ หมายถึง พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ...ดวงวิญญาณดวงใหม่ ดวงหนึ่งเท่าแสงหิ่งห้อยลงมาจากชั้นฟ้าเบื้องบน ลงมาสถิตอยู่ในใจของท่านทั้งหลาย... ---> ตามที่ได้กล่าวไว้จากเอกสารข้างบนนั่นเอง - ผู้เรียบเรียง


พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำทางคริสเตียน

16:12 เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้
16:13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น
16:14 พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย
16:15 ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้นมาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย



ยอห์น 17: 1-11

...... พระเยซู อธิษฐานต่อพระบิดา....

"พระบิดาเจ้าข้า ถึงเวลาแล้ว ขอทรงโปรดให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ ดังที่พระองค์ได้ทรงโปรดให้พระบุตรมีอำนาจเหนือเนื้อหนังทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนทั้งปวงที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก ข้าพระองค์ได้กระทำพระราชกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กระทำนั้นสำเร็จแล้ว

บัดนี้ โอ พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติซึ่งข้าพระองค์ได้มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา ข้าพระองค์ได้สำแดงพระนามของพระองค์แก่คนทั้งหลายที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์จากมวลมนุษย์โลก คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์แล้ว และพระองค์ได้ประทานเขาให้แก่ข้าพระองค์ และเขาได้รักษาพระดำรัสของพระองค์แล้ว

บัดนี้เขาทั้งหลายรู้ว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์ เพราะว่าพระดำรัสที่พระองค์ตรัสประทานให้แก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้ให้เขาแล้ว และเขาได้รับไว้ และเขารู้แน่ว่าข้าพระองค์มาจากพระองค์ และเขาเชื่อว่า พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพระองค์มา

ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อเขา ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อโลก(หมายความว่า ไม่ได้อธิษฐานเพื่อผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์) แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะว่าเขาเป็นของพระองค์ ทุกสิ่งซึ่งเป็นของข้าพระองค์ก็เป็นของพระองค์ และทุกสิ่งซึ่งเป็นของพระองค์ก็เป็นของข้าพระองค์ และข้าพระองค์มีเกียรติในสิ่งเหล่านั้น

บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงโปรดพิทักษ์รักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนดังข้าพระองค์กับพระองค์





พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน โดยถูกตอกตะปูที่มือทั้งสองข้าง และเท้าทั้งสองข้าง.....และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วนั้น....

"....ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์
และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที"
ยอห์น 19:34



....หลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ได้ทรงปรากฏพระองค์ต่อเหล่าสาวกเว้นแต่โธมัส

ยอห์น 20

20:19 ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่แล้วเพราะกลัวพวกยิว พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสกับเขาว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด"
20:20 ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาก็มีความยินดี
20:21 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาของเราทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น"
20:22 ครั้นพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจออกเหนือเขา และตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายจงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด
20:23 ถ้าท่านจะยกความผิดบาปของผู้ใด ความผิดบาปนั้นก็จะถูกยกเสีย และถ้าท่านจะให้ความผิดบาปติดอยู่กับผู้ใด ความผิดบาปก็จะติดอยู่กับผู้นั้น"





พระเยซูทรงปรากฏพระองค์อีกครั้งหนึ่งและโธมัสยอมเชื่อ

ยอห์น 20

20:24 แต่ฝ่ายโธมัสที่เขาเรียกกันว่า ดิดุมัส ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา
20:25 สาวกอื่นๆจึงบอกโธมัสว่า "เราได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว" แต่โธมัสตอบเขาเหล่านั้นว่า "ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย"
20:26 ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันข้างในอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว พระเยซูเสด็จเข้ามาและประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขาและตรัสว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด"
20:27 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า "จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย แต่จงเชื่อเถิด"
20:28 โธมัสทูลตอบพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์"
20:29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "โธมัสเอ๋ย เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข"



พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวก
"อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านเชื่อในพระเจ้า จงเชื่อในเราด้วย
ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีคฤหาสน์หลายแห่ง
ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว
เราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย
และถ้าเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว
เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา
เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย
ท่านทราบว่าเราจะไปที่ไหนและท่านก็รู้จักทางนั้น"
ยอห์น 14:1-4






"จงขอแล้วท่านจะได้รับ
จงหาแล้วท่านจะพบ
จงเคาะแล้วประตูจะเปิดออกให้แก่ท่าน"
มัทธิว 7:7



"พระยาห์เวห์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ
และความเอ็นดูสงสาร
ทรงกริ้วช้า และเปี่ยมด้วยความรักมั่นคง

องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงดีต่อทุกคน
พระองค์ทรงรักและเอ็นดูทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง"
สดุดี 145:8-9






อัครฑูตเปาโลได้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ มาถึงเราซึ่งเป็นชาวต่างชาติ

กิจการ 17:23-31...เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าได้พบแท่นแท่นหนึ่งมีคำจารึกไว้ว่า `แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก' เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศ และแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบถึงพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่... พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้

... การที่มือมนุษย์ปฏิบัตินมัสการพระองค์นั้นจะหมายว่า พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากเขาก็หามิได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจและสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก

... พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพื้นพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่... เพื่อเขาจะได้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และหากเขาจะคลำหาก็จะได้พบพระองค์ ด้วยพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย... ด้วยว่า `เรามีชีวิตและไหวตัวและเป็นอยู่ในพระองค์' ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า `เราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์'

....เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าทรงเป็นเหมือนทอง เงิน หรือหิน ซึ่งได้แกะสลักด้วยศิลปะและความคิดของมนุษย์... ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังโฉดเขลาอยู่พระเจ้าทรงมองข้ามไปเสีย แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่... เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยให้ท่านองค์นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้เป็นผู้พิพากษา และพระองค์ได้ให้พยานหลักฐานแก่คนทั้งปวงแล้วว่า ได้ทรงโปรดให้ท่านองค์นั้นคืนพระชนม์"

ข้อมูลเพิ่มเติม:
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=debunk&month=08-10-2009&group=1&gblog=17
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=debunk&month=15-11-2009&group=1&gblog=74
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=debunk&month=23-10-2009&group=1&gblog=29





Create Date : 13 ตุลาคม 2552
Last Update : 6 มกราคม 2555 11:05:15 น.
Counter : 3876 Pageviews.

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  

Narno7
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]



โยบ 38 / Job 38


38:4 เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลกนั้น เจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา

38:4 Where wast thou when I laid the foundations of the earth? declare, if thou hast understanding.

38:7 ในเมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ และบรรดาบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน

38:7 When the morning stars sang together, and all the sons of God shouted for joy


"I am a spirit that live in a body and communicate and perceive the exterior world through my soul."

"This world is not my home. I am here on a mission. Not all of children of God have or will come on this earth but I was chosen. Not all who come fulfill their mission and purpose for being here. Through the Cross of Jesus, I enter into the Kingdom of God. And as a daughter of God, my mission is to bring Heaven to earth."

New Comments
All Blog