ยุคสุดท้าย......เพราะประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อสู้ราชอาณาจักร ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและโรคระบาดอย่างร้ายแรงและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก........ความรักของคนเป็นอันมากจะเยือกเย็นลง เพราะความชั่วช้าจะแผ่ขยายออกไป แต่ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด For nation shall rise against nation, and kingdom against kingdom: and there shall be famines, and pestilences, and earthquakes, in divers places...... All these are the beginning of sorrows And because iniquity shall abound, the love of many shall wax cold..... But he that shall endure unto the end, the same shall be saved. มัทธิว/Matt 24:7,8,12,13
|
||||
เพราะพระเจ้ารักคุณ....เมื่อ"มุสลิม"ได้รับความรอด God loves you; Muslim ศาสนาคาทอลิคก่อตั้งศาสนาอิสลามเพื่อเข้าควบคุมชาวอาหรับทั้งหมด มี 3 ศาสนาหลักๆ มีสิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องเดียวกัน คือแต่ละศาสนามีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่จะเป็นแนวทาง ; โรมันคาทอลิค อยู่ที่วาติกัน, ยิวก็อยู่ที่กำแพงหินในกรุงเยรูซาเล็มที่พวกชาวยิวไปร้องไห้ในวันศุกร์ , และมุสลิมก็จะไปที่นครเม็กกะ ทุกกลุ่มเชื่อว่าพวกเขาจะได้รับพรตลอดชีวิตถ้าพวกเขาได้ไปตามสถานที่ดังกล่าว ในสมัยของ Augustine มาเป็นบิชอปที่อัฟริกาเหนือ เขาสามารถนำชาวอาหรับให้มานับถือศาสนาคาทอลิคได้จำนวนมาก และเพื่อที่คาทอลิคจะควบคุมอาหรับทั้งหมดให้อยู่หมัด ทางคาทอลิคก็ได้ตั้งศาสนาใหม่คือศาสนามสลิม และแต่งตั้งมูฮัมหมัดให้เป็นศาสดา พระของคาทอลิคได้วางแผนในการเข่นฆ่าชาวยิวในอนาคตโดยให้พันธกิจนี้อยู่ในมือของมูฮัมหมัด เพราะว่า..ด้วยเหตุผลทางด้านความเชื่อทางศาสนา วาติกันต้องการกรุงเยรูซาเล็มแต่เอามาไม่ได้เพราะชาวยิวได้ปกป้องไว้ ในขณะเดียวกันที่ในยุคนั้นมีคริสเตียนที่ยึดมั่นในคำสอนของพระเยซูเติบโตขึ้นมากในแถบอัฟริกาเหนือ แม้คาทอลิคเรืองอำนาจแต่ก็ไม่อาจทนเห็นสิ่งนี้ได้ จึงต้องการที่จะสร้างอาวุธใหม่ขึ้นมาเพื่อปราบทั้งยิวและคริสเตียนแท้ผู้ที่ปฏิเสธความเชื่อของคาทอลิคในเวลาเดียวกัน ทางฝ่ายคาทอลิคเล็งเห็นผู้คนจำนวนมากในอาหรับที่จะเป็นแหล่งอำนาจในการทำงานสกปรกให้ได้ ชาวอาหรับบางคนรับความเชื่อคาทอลิคและเป็นผู้รายงานข่าวเข้าสู่ผู้นำในโรม บางส่วนถูกใช้เป็นสายลับใต้ดินเพื่อดำเนินตามแผนการของโรมในการควบคุมผู้คนที่ต่อต้านคาทอลิคในอาหรับ และเมื่อเซนต์ออกัสตินเข้ามาอยู่ในส่วนนี้ เขารู้ความเป็นไปและที่โบสถ์ของเขาก็ถูกใช้เป็นฐานในการเสาะแสวงหาทางที่จะทำลายพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่คริสเตียนแท้ทั้งหลายได้ครอบครองอยู่ ทางวาติกันต้องการที่จะให้มีพระผู้มาโปรดของชาวอาหรับ หาใครบางคนที่พวกเขาจะชุบเลี้ยงขึ้นมาเพื่อให้เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ชายที่มีมีความสามารถพิเศษมีความดึงดูดใจผู้คนที่พวกเขาจะฝึกให้ได้ และเพื่อว่าในที่สุดพวกเขาจะสามารถรวมเอาชาวอาหรับที่ไม่เอาคอทอลิคให้อยู่ใต้บังคับของพวกเขาได้ พร้อมกันนั้นก็เพื่อสร้างกองทัพยังยิ่งใหญ่ที่จะสามารถเข้ายึดนครเยรูซาเล็มเพื่อพระสันตะปาปาได้ในที่สุด In the Vatican Briefing Cardinal Bea told this story: มีหญิงผู้มั่งคั่งชาวอาหรับคนหนึ่งที่ติดตามพระสันตะปาปาที่เข้ามามีบทบาทอย่างสูงในเรื่องนี้ เธอเป็นหญิงหม้ายชื่อว่า คาดิจา(Khadijah) เธอได้ยกทัพย์สมบัติให้วาติกันทั้งหมดแล้วบวชเป็นชีในสำนักและเธอก้ได้รับมอบหมายงานให้หาชายหนุ่มที่จะให้วาติกันใช้ให้มาเป็นพระผู้มาโปรดในการสร้างศาสนาขึ้นมาใหม่อีกศาสนาหนึ่งเพื่อให้แก่ลูกหลานของอิชมาเอล คาดิจาได้มูฮัมหมัดมาเป็นสามี เธอมีญาติคนหนึ่งชื่อ วาราควา(Waraquah) ผู้ซึ่งมีคความจงรักภักดีต่อวาติกัน และคนนี้ก็ได้รับบทบาทสำคัญในการเป็นที่ปรึกษาให้กับมูฮัมหมัด และเขามีอิทธิพลต่อมูฮัมหมัดมาก ครูหลายคนถูกส่งไปสอนมูฮัมหมัด และเขาได้รับการฝึกที่เข้มข้น และเขาศึกษาและทำงานที่เซนต์ออกัสตินเตรียมให้ในการเรียกให้ทำ ในขณะนั้นก็มีการกระจายข่าวว่าจะมีผู้ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมาท่ามกลางชาวอาหรับ เป็นคนที่พระเจ้าได้เลือกไว้ ในระหว่าที่มูฮัมหมัดกำลังรับการฝึกฝนนั้น เขาถูกสอนว่าศัตรูของเขาคือชาวยิวและคริสเตียนแท้คือผู้ที่นับถือศาสนาคาทอลิคเท่านั้น และเขาถูกสอนว่าทุกคนที่เรียกตนเองว่าคริสเตียนเป็นคนชั่วเป็นนักต้มตุ๋นขี้โกงที่จะต้องถูกฆ่าให้ตาย และมุสลิมจำนวนมากก็เชื่อเช่นนั้น แล้วมูฮัมหมัดก็เริ่มได้รับการเปิดเผยจากเทพเจ้า และญาติของภรรยาของเขาคือวาราควาเป็นผู้คอยตีความหมายให้ซึ่งกลายมาเป็นคัมถีร์โคราน ในปีที่ 5 ของพันธกิจของมูฮัมหมัด มีการข่มเหงผู้ที่ติดตามเขาเพราะว่าพวกเขาปฏิเสธที่จะกราบไหว้รูปเคารพในคาบา (Kaaba หินสีดำในนครเม็กกะ) และพวกนี้ก็หนีไปและได้รับการปกป้องจากโรมันคาทอลิคเพราะว่าทรรศนะของมูฮัมหมัดตรงกันในเรื่องพระแม่มารี ในที่สุดมูฮัมหมัดสามารถเอาชนะในเม็กกะและได้แก้ปัญหาเรื่องKaabaไป ก่อนที่จะมีศาสนาอิสลามนั้น ชาวอาระเบียนับถือพระจันทร์ซึ่งแต่งงานกับพระอาทิตย์และมีลูกเป็นเทวี 3 องค์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาทั่วทั้งโลกอาหรับ ว่าเป็น ลูกสาวของพระเจ้าพระอะลาห์ รูปปั้นของสิ่งนี้ได้ขุดค้นพบในเฮเซอร์ในปาเลสไตน์ ในปี 1950 เป็นรูปปั้นที่อะลาห์นั่งบนที่นั้งมีรูปดวงจันทร์เสี้นวที่หน้าอก มูฮัมหมัดอ้างว่าไดรับนิมิตของอะลาห์ และอะลาห์บอกเขาว่าเขาเป็นทูตผู้นำสารของพระอะลาห์ เขาจึงเริ่มงานในการประกาศเป็นผู้พยากรณ์ และเขาได้รับสารมากมาย เมื่อมูฮัมหมัดตายศาสนาอิสลามได้แพร่กระจายออกไปมาก พวกอาหรับนอร์มังดีก็รับความเชื่อในพระอะลาห์และผู้พยากรณ์มูฮัมหมัดด้วย งานเขียนของมูฮัมหมัดถูกใส่ไว้ในคัมภีร์โคราน บางส่วนก็ไม่เคยนำออกสู่สาธารณะซึ่งขณะนี้อยู่ในมือของชนชั้นสูงในความเชื่อของอิสลาม(Ayatollahs) เมื่อคาร์ดินัลบี(Bea)แบ่งปันข้อมูลนี้กับ ริเวียร่า(Rivera)ในวาติกัน เขาบอกว่า งานเขียนเหล่านี้ต้องเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเพราะว่าเป็นข้อมูลที่เชื่อมโยงว่าวาติกันสร้างศาสนาอิสลามขึ้นมา ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีข้อมูลสำคัญของกันและกันที่เป็นเรื่องฉาวโฉ่ซึ่งถ้ามีการเปิดเผยขึ้นมาก็จะเกิดหายนะทั้งสองศาสนาคือทั้งโรมันคาทอลิคและอิสลาม ในคัมภีร์โคราน พระคริสต์ถูกมองว่าเป็นเพียงผู้พยากรณ์คนหนึ่งเท่านั้น ถ้าพระสันตะปาปาเป็นตัวแทนของพระเจ้าบนโลก ดังนั้นเขาก็เป็นเพียงผู้เผยพยากรณ์คนหนึ่งของพระเจ้า นี่จึงทำให้ผู้ติดตามมูฮัมหมัดเกรงกลัวและให้ความเคารพต่อพระสันตะปาปาเหมือนกับคนสำคัญในศาสนาคนหนึ่ง พระสันตะปาปาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วให้มีการบุกรุกเข้าต่อสู้เพื่อเอาชนะประเทศต่างๆทางอัฟริกาเหนือ และวาติกันเป็นผู้สนับสนุนเงินโดยมีข้อแลกเปลี่ยน 3 ข้อ 1. ต้องกำจัดชาวยิวและคริสเตียรแท้(ซึ่งพวกเขาเรียกว่าคนนอกรีต) 2. ปกป้องพระของออกัสตินและโรมันคาทอลิค 3. เอาชนะเยรูซาเล็มเพื่อพระสันตะปาปา เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งชาวยิวและคริสเตียนแท้ถูกเข่นฆ่าจำนวนมากและเยรูซาเล็มก็ตกอยู่ในมือของพวกเขา โรมันคาทอลิคไม่เคยถูกโจมตีในช่วงเวลานั้น แต่เมื่อพระสันตะปาปาทวงถามเรื่องนครเยรูซาเล็มเขาก็ต้องแปลกใจกับคำปฏิเสธ ชาวอาหรับมีกองทัพที่ประสบความสำเร็จที่เข้มแข็งที่พวกเขาไม่ถูกคุกคามจากพระสันตะปาปา ไม่มีสิ่งใดอยู่ได้ในแผนงานของเขา ภายใต้การควบคุมของวาราควา; มูฮัมหมัดเขียนว่า อับราฮัมได้ถวายอิชมาเอลเป็นเครื่องเผาบูชาต่อพระเจ้า แต่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเขียนว่า อิสอัคเป็นผู้ที่อับราฮัมนำไปบูชา แต่มูฮัมหมัดได้เอาชื่ออิชมาเอลใส่แทนชื่ออิสอัค จากผลของสิ่งนี้ และจากนิมิตที่มูฮัมหมัดได้รับนั้น ชาวมุสลิมจึงได้สร้างมัสยิด(Mosque); the Dome of the Rock เพื่อเป็นการให้เกียรติแด่อิชมาเอล พวกเขาสร้างสิ่งนี้ทับไปบนพระวิหารของชาวยิวที่ถูกทำลายไปในปี 70 AD ด้วยสิ่งนี้จึงทำให้เยรูซาเล็มเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งที่สองของความเชื่ออิสลาม พระสันตะปาปารู้ว่าสิ่งที่ชาวอิสลามได้ทำนั้นอยู่นอกการควบคุมของเขา เมื่อได้ยินพวกเขาพูดว่า His Holliness an infidel ชาวมุสลิมมีความุ่งมั่นในการเอาชนะโลกเพื่ออะลาห์และขณะนี้พวกเขาหันมาที่ยุโรป และทูตของอิสลามเข้าพบพระสันตะปาปา เพื่อขอเข้าบุกกลุ่มประเทศในยุโรป จึงเกิดสงครามครูเสดขึ้นเพื่อยับยั้งอิสลามไม่ให้เข้ายึดยุโรป สงครามครูเสดใช้เวลายาวนานเป็นศตวรรษ และเยรูซาเล็มได้หลุดไปจากมือของพระสันตะปาปา ตุรกีล้มลง สเปนและโปรตุเกตะถูกบุกโดยกำลังของอิสลาม ในโปรตุเกตุเขาเรียกหมู่บ้านแห่งหนึ่งว่า ฟาติมา(Fatima) เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ลูกสาวของมูฮัมหมัด ******* ทั้งศาสนาคาทอลิคและอิสลามนั้นมีความเชื่อเดียวกันที่มาจากอียิปต์โบราณเพียงแต่ใช้ชื่อพระต่างกัน ***จะเห็นว่าประเทศที่เป็นอิสลามนั้นกินพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อัครสาวกของพระเยซูไปประกาศข่าวประเสริฐไว้ทั้งหมด *** ประเทศอิสลามส่วนใหญ่นั้นโรมันคาทอลิคไม่ค่อยได้มีการส่งรับมิชชันนารีไป เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนของโรมอยู่แล้ว ทั้งหมดก็เพื่อนำมาซึ่งการก่อตั้งโลกเดียว (New World Order) และศาสนาเดียวในอนาคตนั่นเอง โปรดดู: //www.bloggang.com/viewblog.php?id=debunk&date=29-09-2009&group=1&gblog=4 (บรรยาย) 48% ของชาวอิสลามในอเมริกาคิดว่าอิสลามคือที่1 และอเมริกันคือที่2 เป้าหมายของพวกอิสลามคือเปลี่ยนวัฒนธรรมของอเมริกาให้เป็นอิสลาม พวกเขาบอกว่าเขาเป็นทหารของอะลาห์ และจะต้องทำให้ได้ (ตอนนี้ก็ก้าวหน้าไปมากแล้วนะ เพราะโอบาม่านั้นเป็นอิสลาม- ผู้แปล) ผู้ชายในวีดีโอคนนี้ชื่อคามาล ถูกเลี้ยงมาในครอบครัวอิสลาม เขาเกิดที่เลบานอน กลับใจมาหาพระเจ้าเพราะเขาพบทางใหม่ที่ดีกว่าและชอบธรรม เมื่อเขาอายุ 4 ขวบจำได้ว่านั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร แม่ของเขาสอนคัมภีร์โคราน แม่เขาบอกเขาว่า วันหนึ่งเขาจะต้องเป็นนักฆ่า เขาจะตายเพื่อพระเจ้าของเขา เมื่อเขาฆ่าชาวยิวส์ มือของเขาจะปรากฏต่อหน้าอะลาห์ในสวรรค์และทุกคนที่นั่นจะฉลองในสิ่งที่เขาทำนั้น เมื่ออายุ 7 ขวบ แม่ส่งเขาไปเข้าแค้มป์เพื่อฝึกใช้อาวุธเพื่อฆ่าศัตรู พร้อมกับสอนเรื่อง Cultural Jihad ซึ่งเป็นภารกิจเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม อายุ 20 ปีเขาเลือกที่จะมาทำอยู่ที่อเมริกาเพื่อดำเนินภารกิจ Cultural Jihad คือเปลี่ยนผู้คนอเมริกันให้เป็นอิสลาม เขาอธิบายว่าในศาสนาอิสลาม อิสรภาพ เอกภาพ เสรีภาพ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเทวรูป และจะต้องถูกโค่นล้ม อิสรภาพที่คุณมีในอเมริกานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่ออิสลาม ดังนั้นอเมริกาจะต้องถูกเปลี่ยนแปลง ผมมาที่ประเทศนี้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ และกลุ่มเป้าหมายของผมนั้นคือ พวกคริสเตียน เพราะผมจะต้องจัดการในส่วนที่ยากที่สุดก่อน ผมมั่นใจมากและภูมิใจว่าผมเป็นดาบของอิสลาม ผมคิดว่าผมได้รับการเจิม ผมเป็นคนพิเศษที่ถูกเลือกแล้ว ผมมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลง และผมมีฤทธิ์เดชของอะลาห์อยู่กับผม ในปี 1980 วันหนึ่งเมื่อเขาเดินไปตามบ้านคนเพื่อจะค้นหาบุคคลเป้าหมายอยู่นั้น เขาถูกรถชนสลบ แล้วมีคนมาช่วยเขา พูดว่าไม่ต้องกังวล เราจะดูแลคุณเอง ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ผมถูกส่งเข้าผ่าตัดด่วนที่โรงพยาบาล หมอที่มาดูแลหลังผ่าตัดพูดว่า บุตรชายเอ๋ย เราจะดูแลเจ้าเอง ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี และ 2 วันต่อมา ผมตื่นขึ้นที่โรงพยาบาล หมอกายภาพบำบัดมาดูผมแล้วพูดอีกเหมือนเดิมอีกว่า เราจะดูแลเจ้าเอง ในตอนแรกนั้น คามาลรู้สึกกลัวกับคำๆนี้ เพราะทุกคนที่ดูแลเขาเป็นคริสเตียน เพราะในการก่อการร้ายนั้น ถ้าเราได้ยินคนพูดว่า เราจะดูแลคุณ คุณควรจะวิ่งหนีไปเลย การผ่าตัดเพื่อแก้ไขการบาดเจ็บที่คอเขาเป็นไปได้ด้วยดี แต่จะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ เพื่อการฟื้นฟู เมื่อเขาออกจากโรงพยาบาลจะต้องมีคนดูแลเขา แต่คามาลไม่มีใครเลย ดังนั้นหมอผ่าตัดกระดูกท่านนี้จึงเปิดบ้านของเขาให้ชายแปลกหน้าคนนี้ได้อยู่ด้วย เขาได้อยู่เสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว ในบ้านมีกระจาดใส่เงินของคามาล พวกเขาก็เอาเงินมาหย่อนใส่เป็นค่ารักษาพยาบาล คามาลรู้สึกตื้นตันกับความรักของคริสเตียน เมื่อเขาเริ่มมีอาการดีขึ้น เขาเริ่มช่วยงานในบ้าน เช่น ช่วยทำความสะอาดบ้าน ทำอาหาร หมอมีเพื่อนที่เป็นยิวมาจากอิสราเอลมาเยี่ยมที่บ้าน ตอนนี้เขาต้องทำอาหารให้คนยิว คามาลคิดว่า ..นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา??? เมื่อคามาลหายดีและจะกลับไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ของเขานั้น หมอก็มีเซอร์ไพร้กับเขา นี่กุญแจบ้าน และนี่คือกุญแจรถคันใหม่ของเธอ เราต้องการอวยพรเธอ เธอมาที่นี่ได้ทุกเมื่อที่เธอต้องการ ผมก็กลับบ้านผม ที่ที่ไม่ได้อยู่มาเป็นเดือนๆ ซึ่งฝุ่นหนามาก และผมต้องการที่จะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมต้องเคลียร์เรื่องนี้กับพระเจ้าของผม ว่าที่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นความจริงหรือไม่ ผมเข้าไปในห้อง นั่งคุกเข่าลงที่ข้างหน้าต่างด้านทิศตะวันออก แล้วยกมือขึ้นสู่สวรรค์ แล้วร้องหาพระเจ้าของผม อะลาห์ อะลาห์ พระเจ้าของฉัน กษัตริย์ของฉัน ทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน ฉันโอเคกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ฉันโอเคกับทุกอย่าง แต่ทำไมพระองค์ให้ฉันไปอยู่ท่ามกลางคริสเตียน ฉันสับสน พวกคริสเตียน และยิว พวกเขาเป็นคนดี พวกเขาไม่ได้มีอะไรผิดเลย เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจเลย อะลาห์ คนพวกนี้เขามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าของเขา คนพวกนี้เขาร้องหาพระเจ้าของเขาและเขาได้รับคำตอบ ฉันอยากได้ยินเสียงพระเจ้าของฉันบ้าง ฉันอยากได้ยินว่าพระองค์รักฉัน ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าจริง ขอให้พูดกับฉัน ฉันอยากได้ยินเสียงของพระองค์ วันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย คามาลคิดว่าสิ่งที่เขาถามในวันนั้นเป็นเพียงความศรัทธาลมๆแล้งๆ และคำตอบที่พูดได้มีเพียงสิ่งเดียวคือจบชีวิตของตนเอง ผมจึงเอาปืนออกมาเตรียมจะยิ่งตนเอง แล้วผมได้ยินเสียงเรียกชื่อผมว่า คามาล... คามาล คามาล จงเจ้าร้องหาพระเจ้าของอับราฮัม ไอแซค และเจคอบ แล้วผมก็คุกเข่าลงร้องว่า พระเจ้าพระบิดของอับราฮัม ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงโปรดพูดกับฉันด้วยเถิด พระเจ้าพระบิดของอับราฮัม ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงฉันอยากรู้จักพระองค์ แล้วพระเจ้าพระบิดาของอับราฮัมก็ได้เข้ามาในห้องของผม ในห้องก็เต็มไปด้วยพระสิริของพระองค์ ชื่อของพระองค์คือ ยาเวห์ พระเจ้าผู้เป็นหนึ่งเดียว ที่มือของพระองค์มีรูทั้งสองข้าง และที่เท้าของพระองค์ก็มีรูด้วยเช่นกัน ชื่อของพระองค์ คือ พระเยซู ผมพูดว่า พระองค์คือใครพระเจ้าข้า? พระองค์คือไคร? พระองค์ตอบว่า เราเป็นซึ่งที่เราเป็น เราเป็นอัลฟา เราเป็นโอเมก้า เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย และเราเป็นทุกอย่างที่อยู่ระหว่างนั้นทั้งหมด เรารู้จักเจ้าตั้งแต่ก่อนเราสร้างโลก เรารักเจ้า ตั้งแต่ก่อนที่เราจะก่อเจ้าในครรภ์ของมารดาของเจ้า ลุกขึ้น ลุกขึ้นคามาล มา.. เจ้าเป็นนักรบของเรา เจ้าไม่ใช่นักรบของพวกเขา ผมพูดว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ผมจะตายเพื่อพระองค์ พระองค์ตอบว่า ไม่ใช่ .เราได้ตายเพื่อเจ้าแล้ว เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตอยู่ วันนั้นแทนการคร่าชีวิตตนเอง คามาลได้ถวายตัวเขาแด่พระเยซู หลังจากนั้นเขาออกเดินทางไปทั่วเพื่อท้าทายความเชื่ออิสลาม ผมต้องการบอกพี่น้องที่เป็นอิสลาม ประมาณ 1.5 พันล้านคน พวกเขาไม่เคยรู้จักอิสรภาพเลย อิสรภาพในพระเจ้า 20 ปีแล้วที่คามาลกลับใจมาเชื่อพระเยซู การถูกข่มขู่เพื่อเอาชีวิตของเขานั้นไม่อาจหยุดเขาไม่ให้แบ่งปันเรื่องราวของเขาได้เลย พระองค์เป็นจริง ถ้าคุณไม่เคยมีประสบการณ์ในพระเจ้าในชีวิตของคุณ ถ้าคุณไม่เคยสัมผัสพระเจ้า และคุณคิดว่าไม่มีอะไรที่คุณต้องเสีย เมื่อคุณนั่งอยู่ในบ้าน ไม่ว่าคุณจะเป็นมุสลิม เป็นคริสตียน เป็นชาวพุทธ หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ ร้องออกไปว่า พระเจ้าของอับราฮัม ไอแซค และเจคอบ ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าจริง ขอตรัสกับข้าพระองค์ ข้าพระองค์อยากได้ยินเสียงของพระองค์ *** หากมีความผิดพลาดประการใดในการแปลข้อความเหล่านี้ ขอผู้รู้โปรดชี้แนะ จักเป็นพระคุณอย่างยิ่งต่อผู้อ่านทุกท่าน ใช่นี้คือความเชื่อของข้าพเจ้า พระเจ้าเยซูเป็นพระเจ้าเดียวที่ทรงฤทธิ์ และยุติธรรม มีพระเมตตา และเป็นบิดาของประชาชาติในโลก ขอพระเกียรติ พระสิริ เป็ยของพระองค์เสมอไปเป็นนิตย์ อาเมน
โดย: witoon IP: 124.122.92.178 วันที่: 17 มกราคม 2555 เวลา:5:54:03 น.
|
Narno7
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?] โยบ 38 / Job 38 38:4 เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลกนั้น เจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา 38:4 Where wast thou when I laid the foundations of the earth? declare, if thou hast understanding. 38:7 ในเมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ และบรรดาบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน 38:7 When the morning stars sang together, and all the sons of God shouted for joy "I am a spirit that live in a body and communicate and perceive the exterior world through my soul." "This world is not my home. I am here on a mission. Not all of children of God have or will come on this earth but I was chosen. Not all who come fulfill their mission and purpose for being here. Through the Cross of Jesus, I enter into the Kingdom of God. And as a daughter of God, my mission is to bring Heaven to earth."
Group Blog All Blog
Link
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |