happy memories
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์ (๒)





อ่านเนื้อเรื่องเวอร์ชั่นเกาหลีได้ที่นี่ค่ะ
รักนี้ชั่วนิรันดร์ (๒)



Autumn in My Heart (Thai) | MV พี่ชายที่แสนดี



       
       ในห้องพักครู...ครอบครัววชิรวิทย์นั่งอยู่ฟากหนึ่งของโต๊ะ สุนทรีและแพนนั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง ครูประภัทสรนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ
       
       “คุณพงศกร เป็นประธานกลุ่มอุปถัมภ์โรงเรียน พาทินก็เป็นประธานนักเรียนมัธยม ส่วนพิชชาก็เป็นหัวหน้าห้อง”
       สุนทรีมองพิชชาอย่างสนใจมาก
       “เป็นหัวหน้าห้องเหรอ”
       พิชชาพยักหน้ารับ และยิ้มให้สุนทรี
       “สวัสดีค่ะ”
       ครูประภัทสรแนะนำต่อ
       “คุณัญญา เป็นนักเรียนที่สอบได้เกรดเอ ทุกวิชา แล้วก็เป็นรองหัวหน้าห้องด้วยค่ะ”
       สุนทรีหันไปมองแพนที่ก้มหน้าไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจอะไรนัก
       “ไม่เห็นแกบอกฉันเลย”
       แพนมองอายกริยาแม่ที่แสดงออก
       “แม่”
       พงศกรและพจนินท์มองดูแพน สายตาของทั้งคู่สงสาร แพนค้อมหัวให้ทั้งคู่
       “สวัสดีค่ะ หนูชื่อคุณัญญาค่ะ”
       พจนินท์มองหน้าแพน
       “คุณัญญา เหรอ”
       พจนินท์รู้สึกตัวก็หลบสายตาจากแพน พงศกรมองแพนไม่วางตา
       “หน้าตาสดใสดี”
       แพนรู้สึกแปลกที่ พงศกรมาชมเธอ พิชชายิ้มดีใจที่พ่อชมแพน พาทินมองพิชชาอย่างไม่ชอบใจนัก ครูประภัทสรเอ่ยขึ้น
       “เป็นโอกาสดีค่ะ ที่มาพร้อมหน้าพร้อมตา ก็เลยอยากคุยเรื่องกิจกรรมของโรงเรียนหน่อย”
       “กิจกรรมเหรอ ฉันไม่ค่อยมีเวลาหรอกค่ะ” สุนทรีหันไปหาแพน
“ว่างนักหรือไง งานที่บ้านก็แทบไม่มีเวลาแล้ว แกยังจะทำกิจกรรมพวกนี้อีกเหรอ”
       พงศกรและพจนินท์เห็นสุนทรีหันไปต่อว่าแพน ทั้งคู่ไม่สบายใจ ครูประภัทสรเห็นท่าไม่ดีรีบอธิบาย
       “ไม่ใช่แบบที่คุณแม่เข้าใจนะคะ คืออันนี้ไม่ได้เป็นภาระอะไรทั้งนั้นค่ะ”
       พงศกรสงสารแพน
       “เออคุณครับ คุณน่าจะภูมิใจนะครับ อย่างน้อย ๆ เพื่อน ๆ ก็เลือกแกเป็นรองหัวหน้าชั้น อย่าไปว่าเธอเลยครับ”
       สุนทรีมองพงศกร เธอไม่รู้จะหาเหตุมาแย้งเขายังไง พาทินมองเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขารู้สึกอึดอัดใจ ลุกขึ้นจากโต๊ะ ทุกคนหันไปมองเขา
       “ผมขอไปห้องน้ำครับ”
       พาทินเดินออกจากห้องไป เด็กนักเรียนคนหนึ่งเดินเข้าห้องมา
       “ครูคะโทรศัพท์ค่ะ”
       ครูประภัทรสรบอกทุกคน
       “ขอตัวก่อนนะคะ”
       ครูประภัทรสรเดินออกจากห้องไป พงศกรหันไปมองแพน
       “หนูเรียนเก่ง” เขาหันไปมองสุนทรี “คุณก็ควรภูมิใจนะ”
       สุนทรีค้อมหัวรับคำของเขา เธอเองก็หันไปมองพิชชาเช่นกัน
       “หนูก็หมือนกัน”
       พงศกรถามสุนทรี
       “แล้วมีพี่น้องหรือเปล่า”
       “มีพี่ชายคนหนึ่ง”
       “งั้นก็เหมือนกันสิ”
       แพนแทรกขึ้น
       “ไม่หรอกค่ะ เขาไม่เหมือน”
       สุนทรีหันไปมองแพนแล้วพูดแทรกขึ้นมา
       “คือเขาเรียนอาชีวะนะค่ะ”
       “ไม่ได้เรียนแล้ว โดนไล่ออก” แพนบอกทันที
       สุนทรีหันมาดุลูกสาว
       “นี่แกจะพูดไปทำไม”
       พงศกรถอนใจ รู้สึกเห็นใจ
       “แล้วพี่น้องรักกันดีไหม”
       แพนหลบตาอ้ำอึ้งที่จะตอบตรง ๆ
       “ไม่เชิงค่ะ”
       พงศกรถามต่อ
       “ตอนเล็ก ๆ เคยเจ็บป่วยบ้างไหม”
       สุนทรีรู้สึกว่าเขาก้าวก่ายชีวิตเกินไปก็ไม่พอใจ
       “นี่ถึงฉันจะไม่ค่อยจะมีเงิน แต่ก็ไม่เลี้ยงลูกแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ นะ ถามแบบนี้ได้ยังไง”
       แพนและพิชชาต่างก็งงกับเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งคู่คุย มีอารมณ์ใส่กัน ทั้งโต๊ะอยู่ในความอึมครึม พิชชาพูดขึ้น
       “แม่คะ”
       ทั้งสุนทรีและพจนินท์ หันไปมองเธอพร้อมกัน
       
       หลังจากที่แยกย้ายกันกลับบ้าน สุนทรีและแพนเดินมาตามทางเดินระหว่างอาคารเพื่อกลับบ้าน สุนทรีถามขึ้น
       “เด็กคนนั้นเป็นไง”
       แพนงง ๆ
       “ใคร”
       “ก็คนที่เป็นหัวหน้าห้องแก”
       “พิชชานะเหรอ ยายนั่นนึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง ปู่เป็นคนก่อตั้งโรงเรียน พ่อแม่ก็เป็นอาจารย์ ครอบครัวเขารวย”
       สุนทรีฟังแพนสาธยาย เธอได้แต่ครุ่นคิด
       
       พงศกรกับพจนินท์อยู่ในห้อง พจนินท์นั่งคิดเงียบอยู่ที่เตียง พงศกรตัดสินใจพูดในสิ่งที่รู้มา
       “แม่ของเขาไปตรวจเลือดที่โรงเรียน ผลเลือดออกมาเป็นกรุ๊ปโอ”
       พจนินท์ได้แต่นั่งฟัง นิ่งข่มใจ พงศกรไม่พูดอะไรต่อ เขาก็ลำบากใจกับความจริง
       
       พิชชานั่งเล่นที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน กินของว่าง พาทินเดินมาหา
       “เหนื่อยไหม”
       “เหนื่อยสิ งานโรงเรียนทำเอาหมดแรงเลย”
       “ก็พี่เตรียมผลไม้ไว้ให้เธอแล้วไง”
       พิชชายกแก้วขึ้นมาเล่นสมมติเป็นตัวเธอกับพาทิน
       “เหนื่อยไหม เหนื่อยสิคะ เอากินผลไม้สิ อื้มอร่อยชื่นใจจัง ทำไมพี่ช่างใจดีจังเลย ก็เธอเป็นเด็กจิตใจดี เด็กดีก็ควรได้รับสิ่งดี ๆ สิ”
       พาทินมองดูน้องเล่นสมมติ เขาอมยิ้มท่าทางของพิชชา มองดูแก้วในมือของเธอ
       
       ค่ำนั้นทั้งครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ฉลองวันเกิดให้พจนินท์ มีเค้กปักเทียนขนมต่างๆ และกล่องของขวัญสองสามกล่องอยู่บนโต๊ะ ทุกคนร้องเพลงอวยพร พจนินท์เป่าเค้ก ลูก ๆ ปรบมือดีใจ พาทินยิ้มแย้มบอก
       “สุขสันต์วันเกิดครับ”
       พิชชากระเซ้า
       “เปิดของขวัญดูซิคะ”
       พจนินท์ปิดกล่องของขวัญดู เห็นแก้วเซรามิคทำมือสี่ใบ มีรูปวาดใบหน้าของทุกคนอยู่บนแก้วแต่ละใบ
       “โอ้โห นี่บ้านเรา พร้อมหน้าพร้อมตากันครบทุกคนเลย”
       พงศกรยิ้มมีความสุข
       “จริงด้วย”
       พาทินยิ้มแย้ม
       “พวกเราช่วยทำกันเองครับ”
       พิชชาส่ายหน้าปฏิเสธ
       “พี่เขาทำเองทั้งหมดเลย ทั้งปั้น วาดรูป เอาไปอบ”
       พจนินท์มองลูกสาว
       “อ้าว แล้วหนูทำอะไร”
       “หนูให้กำลังใจค่ะ” พิชชายิ้มภูมิใจ
       พงศกรหัวเราะ
       “เออ อย่างนี้เวลาไปไหนก็เอาไปด้วย เห็นรูปก็หายคิดถึงกัน”
       “ไม่หรอกค่ะ ยังไง ๆ ฉันก็คิดถึงลูก ๆ จะไม่ไปไหนไกลหรอก”
       พงศกรแหย่
       “แม่ติดลูก”
       พจนินท์หัวเราะ เธอหยิบแก้วออกจากกล่องส่งให้ทุกคน
       “มาดื่มฉลองกันหน่อย”
       ทุกคนชนแก้วกัน บรรยากาศอบอุ่นมีความสุข
       
       พาทินมองพิชชาที่กำลังสนุกโดยที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
       “ฉันจะอยู่กับทุกคน ไม่ไปไหนไกลหรอก”
       “เธอพูดเหมือนแม่เมื่อปีก่อนเลย”
       “อ้าว ก็เป็นแม่ลูกกันก็ต้องเหมือนกันสิ”
       พาทินได้ยินคำพูดของเธอ เขาดูเหมือนเศร้าลง พิชชาสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา พาทินรู้ตัวเขาฝืนยิ้มให้เธอบาง ๆ ลุกจากเก้าอี้ไปหยิบลูกบอลที่อยู่ตรงสนาม โยนให้เธอ ทั้งคู่โยนบอลเล่นกัน
       
       เช้าวันต่อมา...แพนแต่งตัวไปโรงเรียน สุนทรีเตรียมข้าวเช้าเอากับข้าววางไว้บนโต๊ะ แพนหันมาเห็นกับข้าว เธอนั่งที่โต๊ะกินข้าวเซ็ง ๆ
       “กินแต่ของเหลือประจำเลย”
       แพนกำลังใช้ช้อนตักกับข้าวนั้น สุนทรีได้ยิน เธอเดินไปหยิบจานกับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะออก
       “ทำไมทำแบบนี้ล่ะแม่”
       สุนทรีโมโห
       “ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่ต้องกิน”
       “พักนี้ แม่เป็นอะไร ชอบมาหงุดหงิดกับฉันเรื่อยเลย”
       สุนทรีรู้สึกตัว คุมตัวเองให้เย็นลง วางจานกับข้าวลงที่โต๊ะเหมือนเดิม
       “เลิกเรียนแล้วรีบกลับมา อย่าเถลไถลล่ะ”
       “จะกลับเร็วกลับช้า ก็เหมือนกันแหละ แม่จิกหัวใช้ฉันอยู่ตลอด”
       สุนทรีโมโห
       “ว่าไงนะ ปากดีนักนะมึง”
       สุนทรีขยับตัวเข้าหา แพนที่รู้เชิงของแม่อยู่แล้ว รีบคว้ากระเป๋านักเรียนวิ่งออกจากบ้านไป สุนทรีวิ่ง
       ตามไม่ทันได้แต่ตะโกนไล่หลังไป
       “กลับมาจะฟาดไม่เลี้ยงเลย รีบ ๆ กลับ วันนี้งานยุ่งนะ”
       สุนทรีมองแพนที่วิ่งห่างออกไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ
       
       ในห้องนอน...พิชชาในชุดนักเรียนกำลังเตรียมกระเป๋า พจนนินท์เอาข้าวกล่องมาให้
       “นี่ข้าวกล่องจะ”
       “วันนี้แม่ทำอะไรคะ” เธอยกขึ้นดม “อะ หมูทอด ขอบคุณค่ะ”
       พิชชาเอาข้าวกล่องใส่ในกระเป๋านักเรียน เตรียมออกจากห้อง
       “หนูไปนะคะแม่”
       “เดี๋ยวก่อน” พจนินท์เดินเข้าไปหาลูกสาว “แม่ดูผมให้”
       พจนินท์ ลูบผมพิชชาเบา ๆ เธอไล้ผมไปทัดข้างหูของลูกสาว พจนินท์มองใบหูแล้วนึก
       ถึงตอนที่คุยกันตอนที่สระผมให้พิชชาเรื่องใบหูที่ไม่เหมือนของเธอ...พจนินท์เหม่อคิดถึงตอนนั้น เสียงตะโกนเรียกของพาทินทำให้เธอ ได้สติ
       “พิชชาเร็วเข้า เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”
       “ไปได้แล้วลูก”
       “เย็นนี้เจอกันค่ะ” เธอตะโกนบอกพี่ชาย “ไปแล้วๆ”
       
       พิชชาเร่งเดินออกจากห้อง พจนินท์ยืนนิ่งคิดเรื่องพิชชา






พาทินยืนคอยอยู่หน้าบ้าน เขาเตรียมจักรยาน พิชชาเร่งเท้าเดินไปหา
       
       “วันนี้ให้เขาซ้อนท้ายนะพี่”
       “อะไร เธอตัวหนักจะตาย ขี้เกียจจัง”
       พิชชาทำหน้ามุ่ย
       “เออขี่เองก็ได้ แต่แขนฉันยังไม่หายดี แล้วก็รู้สึกเวียนหัวหน่อยๆด้วย ฉันกลัวจะไปล้มอีก”
       พาทินหยุดชะงัก เมื่อได้ยินพิชชาเอ่ยปากเรื่องอุบัติเหตุ พิชชาบ่นต่อ
       “มันอันตรายจะตาย ยิ่งคนขี่จักรยานไม่แข็งด้วย มันจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ๆ”
       พาทินยิ้มออกเมื่อรู้ว่าพิชชาแกล้งเจ้าเล่ห์ เขาถอยจักรยานกลับไปหา
       “เอ้า ขึ้นมา”
       พิชชายิ้มดีใจ
       “ขอบคุณ”
       “แค่วันนี้ วันเดียวนะ แล้วห้ามพูดอะไรเป็นลางแบบนี้อีกนะ”
       “ขอโทษเจ้าค่ะ”
       พิชชาฉีกยิ้มกว้าง
       
       ระหว่างทางไปโรงเรียน...พาทินขี่จักรยานมีพิชชาซ้อนท้าย นักเรียนบ้างเดิน บ้างขี่จักรยาน ระหว่างทางประปราย พิชชาและพาทินคุยกันสนุกสนาน ยิ่งใกล้โรงเรียน นักเรียนก็หนาตาขึ้น พาทินขี่เข้าประตูโรงเรียนไป...แพนเดินเลี้ยวมา เธอเห็นทั้งคู่ผ่านหน้าไป แพนมองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเปกัน รู้สึกผิดกับพิชชาเรื่องอุบัติเหตุ อิจฉาที่พิชชามีพร้อมทุกอย่าง
       
       ช่วงพักกลางวัน...พิชชายืนขึ้นพูดนำนักเรียนทำความเคารพครู
       “นักเรียนทุกคนทำความเคารพ”
       นักเรียนพร้อมเพรียงกัน
       “ขอบคุณค่ะ”
       ครูเดินออกจากห้องไป นักเรียนบางส่วนก็เดินออกจากห้องไปโรงอาหาร บางส่วนที่เอาข้าวกล่อง
       มาก็หยิบออกมากินด้วยกันเป็นกลุ่ม ๆ
       “หิวจะตายอยู่แล้ว”
       บ่นเสร็จ กิ่งเทียนก็หันไปหยิบกล่องข้าวจากใต้โต๊ะ พิชชาหันมาชวน
       “มาแลกกันกินนะ”
       “เอาสิ” กิ่งเทียนรีบเปิดกล่อง
       “ไม่ต้องรีบ” พิชชาหัวเราะเบา ๆ
       “เวลามาโรงเรียน ช่วงพักกลางวันเป็นเวลาสุดโปรดของฉันเลย”
       “อ้าว ไม่ใช่เวลาที่ได้เจอพี่พาทินหรอกเหรอ”
       กิ่งเทียนคิด ๆ
       “เออ...จริง ๆ แล้วก็ใช่นะ”
       พิชชายิ้มๆ
       “แล้วถ้าต้องเลือก ระหว่างไม่ได้เห็นหน้าพี่พาทิน กับไม่มีช่วงพักกลางวัน เธอจะเลือกอะไร”
       “ต้องเลือกด้วยเหรอ”
       พิชชาพยักหน้ารับ กิ่งเทียนคิดหนัก
       “งั้นฉันเลือก...กินกับข้าวของเธอก็แล้วกัน”
       กิ่งเทียนฉวยกล่องข้าวของพิชชาที่วางอยู่บนโต๊ะมาไว้ในมือ
       “วันนี้เอาอะไรมากินเอ่ย”
       เพื่อนสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างหน้าหันมามอง เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น
       “เออ วันนี้เธอเอาอะไรมากินน่ะ”
       เพื่อนอีกคนถามบ้าง
       “ใช่ๆ กับข้าวของเธอน่ากินทุกวันเลย”
       กิ่งเทียนเอ่ยชม
       “ของพิชชาน่ะ อร่อยทุกอย่าง”
       เพื่อนรีบบอก
       “เปิดเลย”
       กิ่งเทียนเปิดกล่องข้าวของพิชชาออก กับข้าวที่แม่เตรียมให้มากจากบ้านดูน่ากิน เพื่อนตาโต
       “โห น่ากินจัง”
       เพื่อนที่อยู่โต๊ะใกล้ ๆ ได้ยินเสียงอุทานของกิ่งเทียนและเพื่อนก็สนใจเข้ามารุมล้อมที่โต๊ะ แพนที่นั่งอยู่ถัดไปข้างหลัง มองดูด้วยความสนใจ แต่ไม่กล้าเข้าไปร่วมวง เธอเปิดกล่องข้าวของตัวเองออกดู เป็นกับข้าวพื้นๆ ที่เหลือจากมื้อเย็นเมื่อวาน แพนอายตัดสินใจเอาไปกินที่โรงอาหาร พิชชาหันมาบอกเพื่อนๆ
       “เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมานะ”
       พิชชาลุกขึ้นจากโต๊ะ หันไปชนแพนที่เดินมา กล่องข้าวของแพนตกลงบนพื้น ข้าวและกับกระจาย
       เต็มพื้น ทุกคนหันไปมองข้าวกล่องของแพน พิชชาตกใจ แพนมองข้าวกล่องของตัวเอง ทั้งอายและเจ็บใจ พิชชาหน้าเสีย
       “ขอโทษนะแพน”
       แพนไม่พูดอะไร จ้องมองพิชชาก่อนที่เดินออกไป
       
       บ่ายวันนั้น นักเรียนชายหญิง บ้างเดิน บ้างขี่จักรยาน ต่างทยอยกลับบ้าน แพนเดินออกจากประตูโรงเรียน ก้าวไปตามทางอย่างเซ็ง ๆ สายตาของเธอเหลือบไปเห็น พงษ์พี่ชายตัวแสบที่ยืนดักรออยู่
       แพนเดินเลี่ยง หนีไปอีกทาง
       “เฮ้ย แพน”
       พงษ์วิ่งตามมาคว้าแขนของแพน เธอยื้อดึงกลับ
       “จะรีบไปไหนเล่า ถ้าไม่อยากลำบากก็ตามมาดี ๆ ดีกว่า”
       “ปล่อยนะ”
       พงษ์ดึงแพนไปที่มุมกำแพงโรงเรียน พิชชาเดินออกจากรั้วโรงเรียน เห็นทั้งคู่ยื้อยุดกันอยู่
       “ฉันไม่มีเงินหรอก”
       พงษ์เงื้อมือขึ้น
       “อย่ามาโกหกเลย ฉันรู้ว่าแกมีเงินที่เม้มเอาไว้”
       “นี่ ฉันไม่ใช่ขี้ขโมยอย่างพี่นะ ตัวเองนั่นแหละที่ชอบขโมยเงินแล้วหนีไป”
       พงษ์โกรธที่แพนเถียงจี้ใจดำ
       “วอนแล้ว”
       พงษ์เงื้อมือขึ้นจะตีแพน พิชชาวิ่งเข้ามายื้อห้ามไว้
       “อย่านะ...ฉันพอมีเงินอยู่บ้าง เอานี่ เอาไป” เธอเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินให้ “อย่ายุ่งกับเธอ”
       “เฮ้ย...” พงษ์หันไปมองแพน “เพื่อนแกเหรอ”
       แพนตกใจที่พิชชาเข้ามาเกี่ยว ปัดมือของทั้งคู่ เงินหล่นลงบนพื้น
       “ใครให้เธอเจ๋อเข้ามายุ่ง”
       พงษ์ผลักแพน
       “อีนี่”
       พิชชาตกใจ
       “อย่านะ”
       พงษ์ก้มลงเก็บเงินแล้ววิ่งหนีไป แพนร้องไห้ตะโกนไล่หลัง
       “อย่ากลับมานะแก ไปตายที่ไหนก็ไปเลย”
       “พี่เธอเหรอ”
       แพนสะอื้นกับคำถามของพิชชา
       “ใช่สิ พี่ของฉันเอง เป็นพวกเหลือขอไง พอใจไหม”
       “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คือฉันแค่...”
       “แน่ล่ะ ใครจะมีพี่ชายแสนดีแบบของเธอล่ะ”
       แพนจ้ำเดินร้องไห้ออกไป พิชชาได้แต่ยืนมองไม่รู้จะทำอย่างไร
       
       พงศกรขับรถมาตามทาง แพนวิ่งข้ามถนนไม่มองทาง พงศกรเบรกรถ แพนตกใจ ค้อมหัวขอโทษ วิ่งต่อ
       “แพน”
       แพนหยุดหันมามองพงศกรที่ร้องเรียกเธอไว้ พงศกรลงจากรถเข้าไปหา
       
       ในห้องรับแขก บ้านวชิรวิทย์...พจนินท์ทำความสะอาดบ้าน เช็ดตู้โชว์ สายตาเธอมองเห็นรูปถ่ายของครอบครัวในนั้น เธอหยิบออกมาดู
       
       แพนและพงศกรนั่งที่ม้าหินริมบึง
       “ทำไมถึงวิ่งร้องไห้มา”
       แพนไม่ตอบ เธอนิ่งไม่แสดงท่าทีอะไร
       “หนูเดินไปโรงเรียนเหรอ ทำไมไม่ขี่จักรยานไปล่ะ บ้านอยู่ตั้งไกล”
       “ไม่มี” แพนน้ำเสียงห้วน ๆ “ขี่ไม่เป็น บ้านเราไม่มีเงินซื้อหรอก”
       “พ่อหนูเสียตั้งแต่เมื่อไหร่”
       “ก่อนหนูจะเกิด”
       “คิดถึงเขาไหม”
       แพนหันไปมองเขา แปลกใจที่เขาถามแปลกๆ พงศกรรู้ตัว
       “ขอโทษที่ถาม เธอตั้งใจเรียน ช่วยงานแม่ หนูเป็นเด็กดี”
       “ที่ตั้งใจเรียน เพราะจะไม่ต้องทำงานหนัก โตไปจะได้ไปพ้นจากที่นี่”
       พงศกรสะท้อนใจถึงเหตุผลลึก ๆ ข้างในของแพน
       “ฉันเสียใจนะ”
       แพนยิ่งสงสัยกับท่าทีแปลก ๆ ของพงศกรที่แสดงออกมาแต่เธอไม่ได้ซักถามอะไร
       
       ในตัวเมืองหัวหิน...แพนนั่งกินอาหารที่พงศกรสั่งมาอย่างเอร็ดอร่อย พงศกรดูพอใจที่แพนมีความสุข เขาเติมน้ำอัดลมในแก้วที่พร่องของเธอ
       “ขอบคุณค่ะ”
       
       หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จ พงศกรพาแพนกลับบ้าน ระหว่างรถติดไฟแดงที่แยก แพนมองไปที่ร้านขายของเล่นที่อยู่ริมถนน พงศกรสังเกตเห็นเขามองตาม เห็นสายตาของเธอหยุดที่ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่โชว์หน้าร้าน
       
       พจนินท์ยืนมองหน้าบ้านสุนทรี ลังเลใจที่จะเดินเข้าไป รถของพงศกรวิ่งเข้ามาจอดที่ปากทางเข้า แพนลงจากรถ พจนินท์แอบมองตามแพนที่ท่าทางดีใจ แพนเดินมาตามทางพักหนึ่ง นึกขึ้นได้ถึงตุ๊กตาหมีในมือ ยืนตัดสินใจอยู่พักหนึ่ง เดินเลี่ยงไปอีกทาง...สุนทรีเดินออกจากร้านมาทิ้งขยะ เห็นรถของพงศกรที่วิ่งแล่นออกไป เธอสงสัย แพนเห็นแม่ยืนอยู่หน้าบ้าน รีบเดินเข้าทางหลังบ้าน...พจนินท์ยิ่งสับสนในใจมากขึ้น
       
       แพนเล่นกับตุ๊กตาในห้องนอนอยู่พักหนึ่ง ตัดสินใจว่าจะเอามันไปไว้ที่ไหนดี แพนวางหมีนั่นลงบน
       ที่นอนงหยิบผ้าห่มที่วางกองอยู่มุมห้อคลุมมันเอาไว้ ขณะเดียวกันนั้นเสียงสุนทรีดังมาจากนอกห้อง
       “แพน กลับมาแล้วเหรอ”
       แพนสะดุ้งที่แม่ตะโกนเรียก
       “จ๋า แม่”
       “รีบออกมาช่วยหน่อย”
       แพนทำหน้าเซ็งที่ไม่มีเวลากับของเล่นใหม่ เธอเดินออกจากห้อง สุนทรีทำอาหารตามสั่ง แพนเป็นลูกมือยกจานไปให้ลูกค้า เก็บเงิน เช็ดโต๊ะ สุนทรีล้างมือเดินเข้าบ้าน แพนกวาดร้าน เก็บของ สุนทรีเดินถือตุ๊กตาหมีออกมาจากห้อง แพนเห็นเข้าก็ตกใจ นิ่งมอง
       “ไปได้มาจากไหน”
       “หนู ไม่ได้ขโมยมาก็แล้วกัน”
       “ใครซื้อให้ บอกมา”
       “ตอนกลับบ้าน พ่อของพิชชาเขา...”
       สุนทรีดึงตุ๊กตาหมีจากมือของลูกสาว แพนไม่ยอมเธอยื้อไว้ ทั้งคู่ดึงดันกันอยู่พักหนึ่ง แพนกลัวมันจะขาด เธอปล่อยมือ
       “แกเป็นขอทานหรือไง ทำไมต้องไปรับของๆ เขา ฉันไม่ได้เลี้ยงแกมาให้เป็นคนแบบนี้”
       
       สุนทรีเดินถือตุ๊กตานั้นออกไปนอกบ้าน แพนรู้ว่าแม่กำลังจะทำอะไร เธอเข้าไปดึงยื้อมันเอาไว้อีก สุนทรีแรงเยอะกว่า แขนตุ๊กตาหมีข้างหนึ่งขาดติดมือแพน






แพนร้องไห้โฮ สุนทรีโยนตุ๊กตาหมีไปที่ข้างบ้านใกล้ถังขยะ บางส่วนของตุ๊กตาเปรอะน้ำครำ แพนเห็นแบบนั้นยิ่งเสียใจสะอื้นฮั่ก
       
       “แม่เป็นอะไร มันเป็นแค่ตุ๊กตาหมีตัวนึงเท่านั้น ทำไมโกรธอะไรนักหนา”
       สุนทรีหยุดคิด แพนโมโห น้อยใจ
       “ตั้งแต่ฉันเกิดมาแม่ซื้ออะไรให้ฉันบ้าง แม่เอาแต่ด่าว่า จิกหัวใช้ฉันตลอด”
       สุนทรีโมโหที่แพนย้อน
       “ว่าไงนะ เออ...ฉันต้องจิกใช้แก ก็เพราะอะไร ดูสิภาระบ้านเรามันเยอะขนาดไหน”
       “ฉันไม่อยากทนแล้ว ไม่เห็นมีใครที่โรงเรียนต้องเป็นแบบฉันเลย ทั้ง ๆ ที่ฉันเรียนเก่งกว่า แต่ก็ไม่เคยมีของเล่นอะไรกับเขา เสื้อผ้าสวย ๆ ก็ไม่เคยมีใส่”
       “อ๋อ แกคิดแบบนั้นเหรอ อยากมีชีวิตที่ร่ำรวยสุขสบายก็เชิญ ไสหัวไปอยู่กับพวกนั้นเลยไป”
       “ฉันก็ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกัน”
       สุนทรียิ่งโกรธ
       “ออกไปเลย ไปอยู่กับพ่อแม่ของแกไป” สุนทรีอารมณ์โกรธเตลิด “พ่อแม่ที่แท้จริงของแกไง”
       แพนสะดุดกับคำพูดของแม่ จ้องมองอย่างสงสัย
       “พ่อแม่ที่แท้จริง”
       สุนทรีหยุดปากเมื่อแพนทวนคำ เธอรู้ว่าพูดมากเกินไปแล้ว แพนเห็นอาการของแม่ก็รู้ว่าไม่ใช่แค่
       เรื่องพลั้งปาก
       “แม่พูดจริงเหรอ”
       สุนทรีนิ่งไม่ตอบอะไร
       “เรื่องจริงเหรอ”
       “แกอยากไปให้พ้น ๆ จากที่นี่ อยากมีพ่อแม่เป็นเศรษฐี สมใจแกแล้วนี่”
       แพนยังสับสนกับเรื่องที่สุนทรีบอกเธอ แต่แพนมองตาก็รู้ว่า แม่พูดเรื่องจริง
       
        พงศกรอุ้มตุ๊กตาหมีแบบเดียวที่ซื้อให้แพนออกมาจากร้านเดียวกัน พจนินท์ยืนรอที่รถที่จอดหน้าร้าน พงศกรแปลกใจที่เธอมายืนรอเขา
       “แม่ มาทำอะไรตรงนี้”
       “ฉันนั่งรถผ่านมาเห็นคุณพอดี ก็เลยยืนรอที่นี่”
       
       พงศกรขับรถกลับบ้านโดยมีพจนินท์นั่งข้าง ๆ ทั้งสองเงียบไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ สักครู่พงศกรก็เอ่ยขึ้นก่อน
       “แม่ไปไหนมา”
       “แล้วคุณล่ะ” พจนินท์ย้อนถาม
       พงศกรไม่ตอบ พจนินท์คิดบางอย่างได้
       “เราไปเที่ยวกันไหม พาลูกๆ ไปด้วย”
       “วันนี้เลยเหรอ เย็นแล้วนะ”
       “ไปเถอะ ฉันอยากไป”
       
       บริเวณสวนริมเขื่อนแก่งกระจาน...พาทินและพิชชายืนริมเขื่อน พงศกรและพจนินท์ เตรียมอาหารที่สนามหญ้าใกล้ ๆ พงศกรสอนทั้งคู่ให้ตกปลา พจนินท์มองดูทุกคนมีความสุขอยู่ตรงหน้า พงศกรเดินมาหาพจนินท์ เธอส่งเครื่องดื่มให้เขา
       “ฉันดีใจที่เรามาเที่ยวกัน ทุกคนมีความสุข แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว ไม่เอาอะไรอีกแล้ว”
       พงศกรรู้ว่าพจนินท์พูดขึ้นมามีความหมายแฝง
       “เมื่อเช้าท่านอธิการกระทรวงโทรมา ฉันเลยบอกไปว่าคุณตกลงจะรับงานแลกเปลี่ยนอาจารย์นั่นแล้ว”
       พงศกรรู้สึกอึดอัดใจ
       “คือ เมื่อตอนบ่ายผมไปที่...”
       พจนินท์ตัดบท
       “คุณคะ เราอยู่กันแบบนี้ก็มีความสุขพออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...ทำเพื่อฉันได้ไหม ฉันไม่ขออะไรอีกแล้ว ฉันจะเป็นแม่เป็นเมียให้ดีกว่านี้อีก คุณเองก็ทำใจด้วยได้ไหม”
       พงศกรลำบากและสับสนในใจ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของพจนินท์ เขาดึงเธอเข้ามากอดปลอบใจ ทั้ง
       คู่หันไปมองพิชชาและพาทินที่สนุกอยู่ริมเขื่อน ทั้งคู่ลืมสิ่งที่ต้องกังวลเมื่อครู่ไป





       
       ค่ำนั้น ทุกคนดูมีความสุข พิชชานั่งอยู่เบาะด้านหลังกับพาทิน เธอเห่อเล่นตุ๊กตาหมีที่พ่อซื้อมาให้ใหม่ พจนินท์หันไปหาพิชชา
       “สนุกไหม”
       “ก็ดีค่ะ” พิชชาหันไปหาพาทิน “แล้วพี่ล่ะ”
       พาทินยิ้ม
       “มากับเธอยังไงก็สนุกอยู่แล้วล่ะ”
       “ใช่สิ มีคนคอยให้แกล้งนี่”
       พจนินท์หัวเราะเบาๆ
       “งั้นไว้พวกเราหาโอกาสมาบ่อย ๆ ดีกว่า”
       พงศกรเลี้ยวรถเข้าบ้าน แสงไฟจากหน้ารถ ทำให้ทุกคนเห็น แพนนั่งร้องไห้กอดตุ๊กตาหมีอยู่มุมหนึ่งในสวนหน้าบ้าน
       
       สุนทรีปิดหน้าร้าน เธอเดินเข้าบ้าน ล้างมือที่ตุ่มหน้าบ้าน มองเข้าไปข้างในที่เงียบ เธอเดินมานั่ง
       ที่หน้าห้อง
       “ฉันโมโหไปหน่อย มันน่าโมโหไหมล่ะ แกเอาฉันไปเปรียบกับคนอื่น จริงอยู่ที่ฉันไม่ได้เป็นเหมือนแม่คนอื่น ๆ เขา ความรู้น้อย ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อโน่นซื้อนี่ให้แกเอาไปอวดใคร ๆ เขาได้ แต่ฉันก็เลี้ยงแกมาอย่างสุดความสามารถของฉันแล้ว เรามันมีบุญวาสนาอยู่แค่นี้”
       สุนทรีหยุดปาก เมื่อไม่เห็นแพนตอบโต้เหมือนปกติ เธอเปิดม่านกั้นออก แพนไม่อยู่ ตอนแรกสุนทรี
       สงสัยว่าไปไหน แล้วก็ฉุกคิดได้ เธอเปิดตู้เสื้อผ้าพลาสติกออกดู เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของลูกสาวหายไปหมดแล้ว เธอเข้าใจทันทีว่าแพนหนีไปแล้ว สุนทรีนิ่งคิดน้ำตาไหล
       
       ทุกคนลงมาจากรถเดินเข้าไปหาแพน พิชชาสงสัยว่าแพนมาทำอะไรที่นี่
       “แพน มีอะไรเหรอ”
       แพนมองพงศกรและพจนินท์
       “ฉันถูกแม่ไล่ออกจากบ้าน ฉันไม่มีที่จะไปแล้ว”
       “แล้วทำไมเธอถึงมาที่นี่ล่ะ”
       พิชชามองตุ๊กตาที่อยู่ในมือของแพน และของตัวเอง
       “เราทะเลาะกันเพราะคุณให้หมีตัวนี้มา”
       พงศกรรู้สึกผิดและลำบากใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
       “เดี๋ยวฉันไปคุยกับแม่ของเธอให้”
       “หนูรู้เรื่องหมดแล้ว แม่เล่าทุกอย่างให้ฟังแล้ว”
       พงศกร พจนินท์และพาทินรู้สึกตกใจกับคำพูดของแพน พิชชาคนเดียวที่รู้สึกงง
       “แม่คะ แพนเขาพูดเรื่องอะไรคะ”
       พจนินท์ลำบากใจที่จะเล่าให้ฟัง แพนมองพงศกรกับพจนินท์
       “ จริงหรือเปล่าคะ ที่หนูเป็นลุกของคุณ”
       พงศกรและพจนินท์ได้แต่มองหน้าพิชชาที่สับสน งงงัน เธอหันไปมองหน้าแม่ที พาทินทีหาคำตอบ
       “แพน”
       แพนโพล่งออกมา
       “เราถูกสับตัวกัน”
       พาทินอึ้ง
       “แพน”
       “ฉันเป็นลูกของบ้านนี้ ไม่ใช่เธอซะหน่อย”
       พิชชาตะลึง เธออึ้งไปกับคำตอบของแพน พงศกรและพจนินท์เองเช่นกัน ทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่ง พิชชาเสียใจตุ๊กตาหมีที่อยู่ในมือหล่นลงพื้น เธอเดินหนีไป แพนเองก็เสียใจทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พาทินเดินตามพิชชาไป
       “พิชชา”
       พาทินวิ่งตามพิชชาที่ออกจากบ้านไป พงศกรที่อยู่ในบ้านคิดหาทางกับเรื่องที่เกิดขึ้น พจนินท์ เดินคิดไม่ตกอยู่ที่สนามหน้าบ้าน
       
       แพนนั่งกอดตุ๊กตาน้ำตาไหลในห้องของพิชชา เธอกวาดตามองสภาพแวดล้อมใหม่ ความเสียใจ
       ลดลงไป แพนหยิบของโน่นนี่มาดูอย่างสนใจ
       
       พาทินวิ่งตามหาตะโกนเรียกชื่อพิชชาไปทั่ว เขาวิ่งจนไปถึงโกดังเก่าที่ทั้งคู่เคยมาหลบฝนกัน พิชชานั่งร้องไห้อยู่ลำพัง พาทินโล่งใจที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ไปไหนไกล เขาเดินเข้าไปหานั่งลงข้าง ๆ
       “ออกมาซะไกลเลย”
       “พี่...เค้าไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่เหรอ”
       “ใช่สิ”
       “แล้วเราไม่ใช่พี่น้องกันเหรอ”
       พิชชาน้ำตาไหลพราก
       “เธอเป็นน้องของพี่เสมอ”
       “แต่แพนบอกว่าเขาไม่ใช่”
       พาทินอึ้งไป
       “พิชชา”
       พิชชาสะอื้น
       “เค้าวาดรูปไม่เป็น หน้าตาเราก็ไม่เหมือนกัน หัวทึบ เรียนก็ไม่เก่ง ไม่เหมือนพ่อแม่ ไม่เหมือนพี่ มันเห็นชัดอยู่แล้ว”
       พาทินน้ำตาไหลสงสาร
       “พิชชา หยุดพูดแบบนั้นได้แล้ว เธอเป็นน้องพี่ เป็นน้องจริง ๆ นะ...เรากลับบ้านกันเถอะ”
       พิชชายังคงร้องไห้
       “เรากลับบ้านกันเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว” เขาเช็ดน้ำตาตนเองที่ไหลออกมา
“น้องสาวของพี่ไม่ใช่คนขี้แง ไม่เคยต้องทำให้พี่ต้องเป็นห่วง ตอนเธอเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ร้องไห้ไม่ใช่เหรอ เค้ารู้ว่าพี่เป็นห่วง เค้าเลยไม่เคยร้องไห้สักเอะเลย”
       “แล้วตัวเองร้องไห้ทำไมล่ะ”
       ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ พาทินเดินเข้าไปหายื่นมือให้ พิชชายังคงนั่งนิ่ง
       “งั้นพี่ให้เธอขี่หลัง จะแบกเธอกลับบ้านเอง”
       พิชชาได้ยินคำพูดของเขา เธอเช็ดน้ำตาลุกขึ้น พาทินย่อตัวลงให้เธอขี่ เขาแบกเธอเดินไปตามเส้นทางกลับบ้าน
       
       ดึกคืนนั้น พิชชานอนหลับด้วยความอ่อนเพลียอยู่บนเตียง ส่วนพาทินปูผ้านอนหลับอยู่บนพื้นห้อง พจนินท์นั่งอยู่บนเตียงข้าง ๆ พิชชา น้ำตาคลอเธอมองดูลูกด้วยความสงสาร พจนินท์ลูบผมของพิช
       ชาด้วยความทนุถนอม เธอเช็ดน้ำตาลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
       พจนินท์ เดินออกจากห้องผ่านห้องนอนของพิชชา เธอมองดูลังเลใจ ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูห้องพิชชา เธอเห็นแพนนอนหลับอยู่บนเตียงของพิชชา เธอสะเทือนใจรีบเดินออกมา
       
       พงศกรนั่งคิดไม่ตกอยู่ที่ห้องรับแขก พจนินท์เดินลงมาจากห้อง
       “ลูกเป็นไงบ้าง”
       “พรุ่งนี้ฉันจะส่ง แพนกลับบ้าน”
       พงศกรชะงัก
       “แม่”
       “เอาแกกลับไปดีกว่า”
       พงศกรถอนใจ
       “แกหนีมาพึ่งเรานะ อย่าใจดำสิ”
       “ช่างปะไร จะว่าฉันใจดำก็ได้”
       พงศกรเหนื่อยใจกับความรั้นของพจนินท์
       “พิชชาเป็นลูกเรา แพนก็เหมือนกันนะ แกเป็นลูกในสายเลือด คิดดูสิว่าแกต้องอยู่แบบไหนมาตลอดสิบสี่ปี ถ้าแกมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ผมก็จะเห็นด้วยกับความคิดของคุณ เราคงไม่ต้องเจ็บปวดใจแบบนี้ แต่ตอนนี้ชีวิตแบบนั้นแกจะไม่มีอนาคตที่ดีเลยนะ”
       “หยุดเลย คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
       “ผมจะไม่ส่งแกกลับไปหรอกนะ” เขามองภรรยา “คุณทำได้ลงคอเหรอ แกไม่มีความหมายต่อคุณบ้างเลยหรือ”
       พจนินท์เจ็บปวดใจ
       “พอแล้ว ฉันไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้อีก”
       “แม่”
       พจนินท์หันไปมองพงศกร
       “แล้วพิชชาล่ะ คุณคิดถึงความรูสึกของลูกบ้างไหม คุณจะทิ้งแก จะไล่แกไปเหรอ ถ้าฉันไม่ปกป้องแก ใครจะปกป้องล่ะ ถ้ายังสองจิตสองใจ เราจะเสียแกไปตลอดกาลนะ”
       พงศกรลำบากใจกับเหตุที่พจนินท์พูด ความรู้สึกต่างๆ ทำให้เขาตัดสินใจอะไรไม่ได้






เช้าวันต่อมา...แพนหยิบเสื้อผ้าของพิชชาออกมาลอง พจนินท์เปิดเข้าห้องมาพอดี แพนหน้าเจื่อน พจนินท์สั่งเสียงแข็ง
       
       “อย่ายุ่งกับของ ๆ พิชชา” พจนีย์วางชุดชั้นในที่อยู่ในมือไว้ที่เตียง
“นี่ชุดชั้นในของเธอ”
       พจนินท์เดินออกไป แพนได้แต่ซึมน้อยใจกับท่าทีของพจนินท์ที่มีต่อเธอ
       
       ในห้องอาหาร พจนินท์เตรียมมื้อเช้า ทุกคนทยอยมานั่งที่โต๊ะ แพนเดินมานั่ง
       “สวัสดีค่ะ”
       พจนินท์วางแก้วประจำตัวของแต่ละคนที่โต๊ะ แพนสังเกตว่าแก้วของเธอดูต่างไปจากทุกคนบรรยากาศบนโต๊ะอึมครึม พงศกรรู้สึกอึดอัดใจเขาลุกออกจากโต๊ะ แพนรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน
       
       พาทินขี่จักรยานพิชชาซ้อนท้าย ส่วนแพนขี่จักรยานที่เดิมเป็นของพิชชาไปตามเส้นทางไปโรงเรียน แพนและพาทินต่างฝ่าย ต่างขี่แข่งแย่งกันพลัดกันนำ สุดท้ายพาทินก็ปล่อยให้แพนแซงไปจนถึงโรงเรียน
       
        พาทินขี่จักรยานพาพิชชาเข้าประตูโรงเรียน ทั้งคู่เห็นแพนที่มาถึงก่อนรออยู่ที่ประตูแล้ว แพนยืนมองทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเข็นรถเดินไป พิชชาและพาทินรู้สึกลำบากใจเรื่องสถานะของพิชชา
       “ทุกคนต้องรู้กันหมดแล้วแน่เลย พี่ต้องคิดแบบนี้แน่เลย”
       พาทินอึ้ง ๆ
       “พิชชา”
       “วันนี้เธอต้องแย่แน่เลย ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ฉันรู้นะว่าพี่ต้องคิดแบบนี้ แล้วทำไมวันนี้เธอไม่โดดเรียนซะนะ พี่ต้องคิดแบบนี้ต่อแน่เลย”
       “แต่ฉันจะไม่ยอมท้อถอยหรอก”
       พิชชามองหน้าเขา
       “ฉันเชื่อมั่นในตัวพิชชา พี่คิดแบบนี้ใช่ไหม”
       พาทินยิ้มที่พิชชาเดาใจเขาถูกหมด
       “อือ ใช่ พี่เชื่อในตัวเธอ”
       พิชชายิ้มให้
       “ฉันจะไม่ท้อหรอกพี่ ไม่ต้องห่วง”
       พาทินยิ้มรับ แต่ในใจเขาก็อดห่วงไม่ได้
       
       นักเรียนจับกลุ่มของใครของมันคุยสรรพเพเหระกัน แพนนั่งอยู่ที่โต๊ะ มีสุนิสาและทัศนีย์คุยกันอยู่ พิชชาเดินเข้าชั้นเรียน เพื่อน ๆ หันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน พิชชารู้สึกว่าทุกคนคงรู้เรื่องราวแล้ว เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง กิ่งเทียนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ สุนิสาหันมาถามแพน
       “นี่เธอย้ายเข้าไปอยู่บ้านเขาแล้วเหรอ”
       “อือ ก็ฉันเป็นลูกบ้านนั้นนี่”
       “แล้วเขาต้องย้ายกลับไปอยู่บ้านแม่ของเธอหรือเปล่า”
       พิชชาหันไปมองสุนิสา แพนทำไม่สนใจ
       “ก็แหงล่ะ”
       กิ่งเทียนเงยหน้าขึ้น หันไปมองพิชชา ใบหน้ายังเปื้อนน้ำตาอยู่คว้าตัวพิชชาเข้ามากอด
       “แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ ฉันสงสารเธอจัง”
       พิชชาลูบหลังปลอบกิ่งเทียน
       “ไม่ต้องร้องไห้น่า ฉันไม่เป็นไรหรอก”
       แพนมองพิชชาด้วยความรู้สึกที่ปนเปกัน เธอหันไปมองทางอื่นไม่อยากให้เกิดความรู้สึกสาร
       พิชชา
       
        สุนทรีที่นั่งหมดอาลัย ตายอยาก อยู่ที่ร้าน พจนินท์เดินเข้ามาในร้าน
       “จะรับอะไร”
       สุนทรีหยุดเมื่อเห็นว่า พจนินท์นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
       “น้ำเปล่าขวดนึง”
       สุนทรีวางขวดน้ำและแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ เธอนั่งลงตรงข้าม พจนินท์มองแก้วที่ดูเหมือนมีคราบจาง ๆ อยู่บนแก้ว เธอค่อย ๆ รินน้ำจากขวดแล้วยกขึ้นดื่ม สุนทรีมองท่าทีของพจนินท์
       “มีคนบอกว่า แกไปอยู่ที่บ้านคุณใช่ไหม” สุนทรีถอนใจ นิ่งคิด “แล้วเราจะทำยังไงดี เรื่องแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นๆ เขาจะทำยังไง”
       พจนินท์ตอบสุนทรีไม่ได้ เธอนั่งนิ่ง สุนทรีถามต่อ
       “แลกลูกกลับคืนไปเหรอ คุณว่าเราควรจะแลกลูกกลับคืนหรือเปล่า”
       พจนินท์รู้สึกลำบากใจ
       “คุณเอาแพนกลับคืนไป”
       สุนทรีมองพจนินท์ คิดไม่ถึงว่าพจนินท์เลือกทางออกแบบนี้
       “ฉันมาที่นี่เพื่อขอให้คุณรับแกกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม พิชชาเป็นเด็กที่บอบบาง ฉันอยู่กับแกมาตลอด เราไม่เคยห่างกันเลย ฉันขอให้พิชชาอยู่กับฉันเหมือนเดิมเถอะนะ”
       “คุณไม่รู้สึกสงสารแพนมันบ้างเหรอ ที่ต้องมาอยู่กับฉันในสภาพแบบนี้”
       คำพูดของสุนทรีทำให้พจนินท์รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอน้ำตาคลอ
       “รับแกกลับไปและช่วยดูแลแกด้วยนะคะ”
       “ฉันเลี้ยงแพนมาไม่ได้ดีนัก” สุนทรีถอนใจ “พ่อแกติดพนัน เล่นจนหมดตัว ฉันต้องปากกัดตีนถีบเอาชีวิตให้รอด ไม่มีปัญญาเลี้ยงให้แกได้ดี คนอย่างฉันไม่ใช่แม่ที่ดีนัก”
       พจนินท์ยิ่งสะท้อนใจกับสิ่งที่สุนทรีพูด พจนินท์น้ำตาไหล
       “ดูแลแกด้วยนะคะ”
       “ถึงฉันจะไม่ใช่แม่ที่ดี แต่แพนมันก็เป็นลูกสาวของฉัน ฉันก็ปล่อยแกไปไม่ได้เหมือนกัน ฉันก็อยากขอร้องคุณแบบเดียวกันนั่นแหละ ช่วยดูแลพิชชาด้วย”
       พจนินท์และสุนทรีต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน





       
       สุนทรีเดินไปส่งพจนินท์ที่ทางเข้าหมู่บ้าน
       “พิชชาเป็นเด็กแบบไหน กินเก่งไหม”
       “ค่ะ แกกินเก่ง แล้วแพนพูดได้ตอนกี่ขวบ ตั้งไข่ได้ตอนไหน”
       สุนทรีนิ่งคิด พจนินท์รู้สึกตัว
       “ขอโทษนะคะ แกเป็นเด็กดีไหม”
       พจนินท์ยิ่งถาม ยิ่งทำให้ทั้งเธอและสุนทรียิ่งเจ็บปวด ทั้งคู่ต่างฝ่ายน้ำตาอาบแก้ม
       
       บ่ายนั้น พจนินท์เข้ามาในห้องของพิชชา เธอเก็บสมุดบนโต๊ะเห็นชื่อของแพนบนปกสมุด เก็บเสื้อผ้าที่อยู่บนเตียง เห็นรอยปะรอยเย็บซ่อมที่เคยทำให้พิชชา ความรู้สึกที่โถมมาทำให้พจนินท์ ปวดใจ
       
       สุนทรีเศร้าใจ นั่งกินเหล้าเสียใจเงียบ ๆ เธอนึกถึงบทกลอนที่แพนเขียนในงานประจำโรงเรียน ยิ่ง
       เศร้ากับเนื้อหา
       
       พิชชาและกิ่งเทียนเดินออกจากโรงเรียนกลับบ้าน แพนยืนรออยู่ที่หน้าประตู ร้องเรียกพิชชา
       “พิชชา”
       พิชชาและกิ่งเทียนหันไปมองตามเสียงเรียก กิ่งเทียนหันไปถาม
       “มีอะไรเหรอ”
       แพนเดินเข้าไปหาทั้งคู่
       “เธอจะไปไหน”
       พิชชาไม่มั่นใจที่จะตอบ
       “กลับบ้าน”
       แพนยิ้มเยาะ
       “บ้านเธอไม่ได้ไปทางนั้นนะ”
       พิชชาไม่เถียง กิ่งเทียนไม่ชอบใจท่าทีของแพน
       “เธอพูดอะไรน่ะ”
       “ฉันจะเรียกเธอว่า พิชชา แช่มช้อย หรือจะเป็นพิชชา วชิรวิทย์ ล่ะ กลัวเหรอที่จะต้องกลายเป็นลูกแม่ค้าขายข้าวแกง”
       พิชชาโกรธที่แพนแสดงท่าทีนั้นออกมา
       “นิสัยไม่ดี เขายังเป็นแม่ของเธออยู่นะ พูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง อย่างน้อยเขาก็เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่ใช่เหรอ”
       แพนรู้สึกละอายที่พิชชาพูดออกมากระทบใจ พิชชาต่อว่า
       “คนอะไรนิสัยไม่ดี”
       แพนไม่โต้ตอบอะไร เธอเดินเข้าไปคว้ามือของพิชชาดึงเธอให้เดินไปด้วยกัน พิชชาตกใจ
       “อะไรกัน”
       “คนอย่างเธอจะไปรู้เรื่องอะไรของเราแม่ลูก มาดูด้วยตาของตัวเองดีกว่า”
       กิ่งเทียนเข้ามาดึงมือของแพนออก
       “หยุดนะ”
       แพนสะบัดมือกิ่งเทียนหลุดไป
       “เธออย่ามาเจ๋อหน่อยเลย”
       แพนดึงมือพิชชาลากเดินไป
       “ไปด้วยกัน”
       “พิชชา”
       กิ่งเทียนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เธอนึกขึ้นได้วิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียน
       
       สุนทรีกำลังเก็บโต๊ะ เพื่อนบ้านเดินเข้ามาคุยเรื่องแพน
       “นี่จริงหรือเปล่าที่ว่าแพนเป็นลูกคนรวย”
       สุนทรีหยุดมือ
       “ได้ยินมาจากไหน”
       “เขารู้กันไปทั่วแล้วล่ะ ลูกฉันเอามาเล่าให้ฟัง นี่แล้วบ้านนั้นเขาจ่ายค่าเลี่ยงดูให้เท่าไหร่ เรียกให้เต็มที่ไปเลยนะ อุตสาห์เลี้ยงมาตั้งสิบกว่าปี เอาให้คุ้มเลยนะ”
       สุนทรีอดทนฟังอยู่พักใหญ่ เริ่มทนไม่ไหว เธอคว้าแก้วน้ำที่กินเหลือบนโต๊ะสาดเพื่อนบ้านนั้น
       “ออกไปให้พ้นเลย”
       เพื่อนบ้านตกใจ
       “ตายแล้ว เอาน้ำมาสาดฉันทำไม จะบ้าหรือไง”
       สุนทรีผลักเพื่อนบ้านออกจากร้าน
       “ทำไมแกไม่เอาลูกขอแกไปขายเองล่ะ”
       เพื่อนบ้านชี้หน้า
       “ระวังปากแกหน่อย นี่ฉันไปทำอะไรให้”
       “พูดอีกทีสิ”
       สุนทรีขยับเข้าไปหา เพื่อนบ้านเห็นท่าทีเอาจริงของสุนทรี ก็รีบจ้ำอ้าวหนีออกมาพ้นรัศมี สุนทรีมองตามเพื่อนบ้านด้วยความโมโห หันกลับมาเห็นแพนและพิชชายืนมองเธออยู่ สุนทรีทำตัวไม่ถูก สุนทรีเห็นแพน เธอดีใจขยับเข้าหา
       “แพน”
       แพนถอยห่าง ดันพิชชาให้เดินไปหาสุนทรี
       “ฉันไม่ใช่ลูกของแม่แล้ว”
       สุนทรีเสียใจที่แพนพูดแบบนั้น แต่ก็โมโห
       “นี่แกวอนซะแล้ว”
       สุนทรีเดินเข้าไปหา แพนชี้ที่พิชชา
       “ยายนี่ต่างหากที่เป็นลูกสาวของแม่”
       แพนรู้แกวรีบวิ่งออกไป กิ่งเทียนพาพาทินเข้ามาพอดี พาทินดึงแพนไว้ เธอสะบัด พาทินผลักเธอ พิชชาตกใจ
       “พี่”
       แพนล้มลงหัวเข่ากระแทกพื้นแตก เลือดออก เธอเห็นเลือดร้องไห้ออกมา
       “พี่ทิน”
       แพนเสียใจวิ่งออกไป สุนทรีมองด้วยความเป็นห่วง เธอหันไปมองพิชชาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พิชชาเองก็ทำตัวไม่ถูก เธอยืนเก้ๆ กัง ๆ พาทินมองดูบรรยากาศนั้น เขาเดินเข้าไปหาพิชชา ดึงมือเธอเดินออกมา
       “กลับบ้านกันเถอะ”
       
       พิชชาสองจิตสองใจ ตัดสินใจไม่ถูก พาทินไม่รอให้เธอตัดสินใจ เขาดึงเธอเดินจากมา พิชชามองสุนทรีอย่างพะวง สุนทรีเองก็มองพิชชาเดินจากไปด้วยใจที่เจ็บปวด


เนื้อเรื่องจาก
manager.co.th

ภาพจาก
กระทู้พันทิป
manager.co.th
เฟซบุค Autumn in my heart' in brief










เนื้อเรื่องในนสพ.คม ชัด ลึก



















คลิปละครจาก Autumn mi My Heart Thailand


รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์ - ตอนที่ ๒ (by Truevisions)





บีจีจากคุณยายกุ๊กไก่ กรอบจากคุณ somjaidean100

Free TextEditor





Create Date : 22 พฤษภาคม 2556
Last Update : 18 มิถุนายน 2556 21:24:05 น. 0 comments
Counter : 3202 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.