อรหันต์ธรรม...โลกนี้ไม่มีฉัน...เวลาเรามีไม่มากนัก 2555

          เวลาเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์ได้มาเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะเป็นยาจกหรือเศรษฐี การใช้เวลา    ของมนุษย์นั้นแตกต่างกัน การแสวงหาสัจจธรรมและสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคืออะไรนั้น  มีดังตำนานพุทธสาวกดังต่อไปนี้ :  พาหิยะเอย  เมื่อเธอสามารถวางเฉยต่อทุกสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังได้ทราบได้เข้าใจ  ให้มีความรู้สึกแต่สักว่าได้เห็น  ได้ฟัง  ได้ทราบ  ได้เข้าใจ  โดยมิได้จับเอามาเป็นอารมณ์แต่ประการใดแล้วไซร้  พาหิยะเอย  ในกาลนั้น  ตัวเธอเองย่อมไม่มี  เมื่อตัวเธอเองไม่มีไซร้  เมื่อนั้นเธอก็นับได้ว่าไม่มีในโลกนี้  ไม่มีในโลกหน้า  หรืไม่มีในโลกทั้งสอง  และหรือว่าโลกทั้งสองนี้ไม่มีเธอเลย  พาหิยะ  นี่แหละที่สุดของทุกข์  ที่เธอจะพึงศึกษาให้รู้จริง  ที่จะต้องปฎิบัติ  ที่จะต้องทำให้แจ้ง  เพื่อถึงที่สุดทุกข์ตามที่ต้องการทุกประการ

 

         ด้วยพระธรรมเทศนาเพียงเท่านี้  จิตของพาหิยะก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย  ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน  ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงประทานเทศนาจบแล้ว  ก็เสด็จไปบิณฑบาทในละแวกบ้าน( น่าสงสารชาวพุทธในประเทศไทย  ที่พระเจ้าอาวาสและเจ้ากูทั้งหลายในปัจจุบันที่ดูเหมือนจะติดกิจนิมนต์ธุระจนลืมออกบิณฑบาทโปรดสัตว์เหมือนพระพุทธเจ้า เช่นเมื่อ2555ปีมาแล้ว )

 

       เมื่อพาหิยทารุจีริยะ ได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว  นึกละอายสะอิดสะเอียนสภาพของตนที่อยู่ในภาวะของสมณะจำพวกอเจลกนอกพุทธศาสนา (น่าจะเป็นนิกายเชนะ)  จึงใคร่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  ได้กราบทูลขออุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า  พระองค์ตรัสว่า  พาหิยะ  ตถาคตจะรับกุลบุตรอุปสมบทเป็นพระภิกษุเฉพาะผู้มีบาตรไตรจีวรพร้อมมูลเท่านั้น  เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปบิณฑบาตรแล้ว  พาหิยะก็เดินเข้าไปในละแวกบ้านบ้างเพื่อขอไตรจีวรมาบวช  แต่มิทันได้ไตรจีวร บังเอิญพบแม่โคดุ  มันได้ทุ่มพาหิยทารุจีริยะ  ได้ดับเบญจขันธ์มอดม้วยชีวัน ในที่ใกล้ทางเดิน  ในเช้าวันนั้นเอง (เวลาของเขาหมดลงโดยไม่มีใครต่อเวลาให้ได้อีก )

 

          ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาตรในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับในเวลาปัจฉาภัตร  ออกจากพระนครพร้อมด้วยพระภิกษุเป็นอันมาก  ได้เห็นทอดพระเนตรเห็นพระพาหิยทารุจีริยะ  ดับเบญจขันธ์กลิ้งอยู่ข้างทางเช่นนั้น  จึงตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย  เธอจงช่วยกันเอาเตียงมานำสรีระของพาหิยรุจีริยะไปเผาเสีย  แล้วเก็บอัฐไปทำสถูปไว้ที่พระเชตวันวิหาร  ครั้นภิกษุทั้งหลายได้ร่วมมือกันจัดทำศพพาหิยะทารุจีริยะ  ตามพระพุทธบัญชาเสร็จแล้ว  ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลถามว่า  พระเจ้าข้า พาหิยทารุจีริยะ  มีคติเป็นอย่างไรพระเจ้าข้า  ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร  พระเจ้าข้า ?

 

       พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย  พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต  ปฎิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ( ถึงที่สุดโดยชอบแล้ว ) ไม่ทำเราต้องให้ลำบากด้วยการสั่งสอนอีกแล้ว ๆ เล่า ๆ  ภิกษุทั้งหลาย  พาหิยทารุจีริยะ  ปรินิพพานแล้ว  และในทันใดนั้นเองได้ทรงเปล่งอุทานว่า “ พระนิพพานธาตุใด น้ำ ดิน ไฟ ลม  ไม่มีตั้งอยู่  ดวงดาวไม่มีช่วงโชติ  พระอาทิตย์ไม่ส่องสว่าง พระจันทร์ไม่ส่องแสง ถึงกระนั้นไซร์  ความมืดมนในพระนิพพานธาตุนั้นก็ไม่มีเลย ในเวลาใดพราหมณ์  กล่าวคือ  พระอริยสาวก  ผู้ได้นามว่าเป็นมุนี  เพราะรู้เจนจบในสัจธรรม  เข้าถึงพระนิพพานนั้น ในเวลานั้น  ท่านย่อมพ้นจาก รูป  นาม  สุข  และทุกข์ทั้งมวล “ ( นิยายธรรมะ เรื่อง กามนิตและวาสิฏฐี น่าจะอิงเรื่องของพุทธสาวก พาหิยทารุจีริยะนี้ )

 

 

ที่มา : ตำนาน พระพุทธสาวก ภาค6 ของ พระธรรมโกศาจารย์ ( ชอบ อนุจารีเถร )

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 04 กันยายน 2555
Last Update : 4 กันยายน 2555 14:21:48 น.
Counter : 1373 Pageviews.

1 comments
  
ท่านทำไมออกบวชครับ
กลัวจะต้องเป็นจอมทัพ ฆ่าคน และถูกฆ่า
ท่านได้ประโยชน์ใดจากการบวชครับ
เราได้เพียรร้องขอจากผู้ที่ให้ออกซิเจนเราและพ่อแม่เราเสพ ว่าขอทางนำในการให้มนุษย์สงบสุข
แล้วท่านก็ได้มัน
ใช่ ได้อริยะสัจ โดยมีผู้ตรัสให้เรารู้
ใครครับ
ไม่ทราบ แต่เราไม่เนรคุณ อวดอ้าง หรือ สวมรอยยหรอกเป็นเอาว่ามีแล้วกัน
แล้วท่านใช้สิ่งที่ๆด้มานั้นก่อกุศลใด
อ๋อ ปน่นอน เราได้จาริกไปบอกกล่าวในสิ่งที่เราได้มามิได้นั่งนิ่งๆเฉยๆแม้สักวันเดียว
ท่านไม่เคยนั่งสมาธิ
ไม่เคย นั่งทำไม่เสียเวลาแทนคุณแผ่นดินเกิด
แล้วที่ท่านว่าทุกสิ่งมีนามและรูปประกอบกัน แล้วนามพระเจ้าสร้างโลก รูปอยู่ไหนเป็นอย่างไรครับ
รูปคือ อจิตไตย ที่ต้องเพียรค้นคว่าแสวงปัญญา และต้องอดทน อยู่กับปัจจุบัน
อยู่กับปัจจุบันแล้วก็ยังไม่เห็นพบเลยครับ รูปอยู่ไหน
อดทนไม่พอล่ะซิ. แต่เจ้าเสพคุณค่าที่มีศาสดาหลังจากฉันได้กล่าวในคุณค่าที่ท่านมอบไว้ให้มนุษย์ระลึกแล้วว่าเสพ มิใช่หรือ เจ้าอยู่กับปัจจุบันอย่างไรนี่
พระเจ้าที่เขาใส่นาม รูปคือยังจินตนาการไม่ได้ ความเมตตา คือสิ่งสร้างที่เราเสพประโยชน์หรือครับ
ถูกแล้ว
เราจำิป็นต้องกตัญญูตอบใช่ไหม
ถามได้ผู้มีพระคุณต่อพระพุทธเจ้าเจ้า เจ้าควรกตัญญูหรือเนรคุณต่อจากพระพุทธเจ้าเช่นเราล่ะ
อืมม ครับควรครับ

ท่านถูกวางยาตายใช่ไหมครับ
ใช่
ใครเฝ้าท่าตอนตาย
ก็พวกเดียวกับที่นัดกันมาตั้ง1250คน มันนัดกันมา ไม่นัดจะมาได้เรอะ โทรศัพท์ก็ไม่มีคนไทยนี่งมงายจนโง่ถูกเขาหลอกง่ายๆ
ก็ในบทเรียนมันว่างั้นนิครับ ผมก็ต้องตอบไปก่อนเพื่อจะได้คะแนน แต่ผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ อภินิหารไม่มีหรอกครับ มีแต่เบื้องหลัง
ดีแล้วที่มีปัญญาสว่างขึ้น
แล้วนัดกันมาทำไมหรือครับ
ก็มาขู่ให้ฉันแตกหุ้นที่ฉันได้มาเต็มร้อยจากผู้ตรัสให้ฉันรู้ เป็นสามกอง แล้วพวกนั้นก็เอาไป1กอง 1ใน3.เชียวนะ และปัจจุบันนี้ พวกหุ้นนั้นก็ทำลายบริษัทฉันซะพินาจ
ทำลายอย่างไรครับ
ก็มันอ้างว่าฉันอยู่ในรูปปั้นดินหิน มันนำพาฉันไปให้เขาสาธุ แตามันคือผู้รับกินอาหารดีดี รับซอง นั่งรถดีดี มีลาภยศสรรเสริญ มีการพยากรณ์แลกข้าวกิน มีการกล่าวว่าฉันอนุญาติให้เนรคุณต่อผู้ให้ออกซิเจนฉันหายใจได้ และเขียนตำราที่มีผลประโยชน์ในนั้นเพียบขึ้นมาโดยแปะชื่อเราไว้ที่หน้าปก
ตำราไตรปิฏกหรือครับ
ใช่ มันคือวรรณกรรมจากอานนท์ เราไม่รู้ว่าอานนท์ทันเขาหรือไม่นะ. แต่มีวลีที่ปิดคดีที่เราถูกวางยาตาย ที่อานนท์ออกไปบอกผู้คนว่าเรารู้ว่าถูกวางยา แต่ไม่ให้เอาผิดกับจุนทะ เพราะเป็นกรรมของฉันเอง หากเป็นปัจจุบัน พนักงานสอบสวนย่อมไม่ยอมแน่ที่คนตายเพราะกรรม. คดีฉันถึงถูกกดไว้ว่ากรรม ซึ่งในวรรณกรรมที่อันตรายนั้นว่าเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์
แล้วหลุดพ้นรืออะไร พิพพานคืออะไร
ก็ให้หลุดพ้นจากทุจริตทีมใหญ่อย่างพวกที่เขียนตำรานั้นขึ้นมาไง ก่อนตายเราก็รู้แล้วจึงบอกเป็นนัยๆไว้ พูดตรงๆก็ตายไปนานแล้วไม่รอดมาถูกวางยาตอน60 กว่าหรอก. ต้องป้องปากตอนเทศเสมอว่า"อย่าพึ่งเชื่อฉัน" ถ้าใีครมีปัญญาหน่อยจะเข้าใจ
แล้วสรุปพระเจ้ามีจริงซิครับ
อ้าว ก็บอกแล้วไงว่ารูปคือ อจินไตย มิใช่บอกว่าไม่มี ถ้าไม่มีธรรมของเราที่ว่านามและรูปย่อมประกอบกันมันจะเป็นสิ่งอนุมัติให้เราพูดจากผู้มอบความรู้ อริยสัจสี่ กับอิถะปัจยะตาให้เราเรอะ คุณค่าก็เสพอยู่ทุกวินาที ไม่ต้องสงสัยแล้ว โง่จริง
ครับผมจะกตัญญูต่อผู้ที่ท่านกตัญญู พบผู้ใดจะะแจ้งว่าอย่าแต้มท่านให้ด่างพร้อยเลย
เออดีทเพราะวันหนึ่งในปรโลก หน้าที่เราจะต้องนั่งเป็นพยานดั่ง1ในคณะลูกขุนเพื่อพิจารณาหมู่ชนผู้ติดตามเรา. วันนั้นหากเราด่างพร้อยมาก จะลาออกจากตำแหน่งนะ อย่าใส่ร้ายให้ดราด่างพร้อยนะ. จะจ๋อย หน้าหมากันหมด แม้แค่300ล้านแต่ก็อดสูนะที่ไม่ได้พิจารณาคดี และไม่ต้องหนีคดี หนีภพ ไปตามวรรณกรรมว่าอรหันต์หรอก มันคือการปั้นกิเลสอยากให้เป็นตัวเท่านั้น มันหนีคดีคือสิ่งสุจริตหรือ มอบตัวซิ ศาลคุ้มครอง ทนายไม่ต้องใช้ รอลงโทษสั่งคดี ไม่ต่อรองจักสานตามคดี การอภัยโทษก็มาถึงได้ สำเร็จในการจักสานก็สำเร็จได้ เสร็จแล้วก็จะจักสานเก่งด้วย ประเสริฐกว่าหนีคดีอีก พยากรณ์ทั้งนั้น
สาธุครับ(นี่แหละสุจริตที่ควรสาธุ)
โดย: สาธุแท้ IP: 27.55.10.165 วันที่: 11 กันยายน 2555 เวลา:1:35:07 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

surya21
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 50 คน [?]



New Comments
กันยายน 2555

 
 
 
 
 
 
7
14
15
22
24
29
30
 
 
All Blog