ความอิ่มใจในงาน...การเสวยปิติอิ่มในฌาณสมาบัติ( พุทธวัจน )
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสอน ดูกร นาลกะ...ในการจาริกแสวงหาโภชะ( บิณฑบาตร )อันควรแก่ภาวะของตนนั้น ผู้บำเพ็ญโมเนยยปฎิบัติ ไม่กล่าววาจาอันเกี่ยวด้วยการแสวงหาของบริโภค ไม่พึงพูดเคาะ ไม่พึงพูดชักชวน ไม่พึงพูดส่งเสริม ให้ผู้บริจาคเกิดความพอใจยินดีบริโภคให้แก่ตน พึงตัดถ้อยคำอันพึงเปล่งออกจากวาจาเสีย พึงสังวรปาก หยุดเปล่งวาจาใดๆ ให้ผู้บริจาคมองรู้ดูออกเอาเองว่า บรรพชิตผู้มาสู่บ้านตนในยามนี้นั้น มีความต้องการอาหาร ต้องการขอความอนุเคราะห์จากทุกคนผู้มีศรัทธายินดีจะอนุเคราะห์ พอใจจะให้อยู่ มุณีผู้จำเริญโมเนยยปฏิปทาควรจะคิดว่า ทุกสิ่งที่ให้สำเร็จอาหารกิจ ไม่ว่าอะไรๆ เราได้ก็ดี จะได้ช่วยบรรเทาเวทนาเก่าคือความต้องการของร่างกายที่เกิดขึ้นให้เบาบางไป ทั้งเพื่อช่วยป้องกันเวทนาใหม่มิให้เกิดขึ้นอีกด้วย เราไม่ได้ก็ดี ไม่ต้องไปเสียเวลาทำอาหารกิจ ร่างกายยังมีกำลังพอที่จะต้านทานเวทนาบำเพ็ญสมณกิจไปใด้อยู่ ไม่เดือดร้อน ไม่แสดงอาการขึ้นลง ทำกริยากายวาจาเป็นปกติ ดำรงภาวะของบรรพชิตอยู่ได้ดีด้วยปิติสุขที่ใด้จากงานเจริญสมาบัตินั้น เหมือนพรหมชั้นอาภัสราที่มีปีติเป็นภักษา เป็นธรรมดาของทุกๆคนที่รักงาน ใส่ใจในงาน กำลังเห็นงานที่ทำอยู่เจริญรุดหน้าก็ดี กำลังผลิตผลก็ดี กำลังดีใจในงานเกิดผลก็ดี ย่อมได้ความปิติ อิ่มใจลืมนึกถึงอาหาร เหมื่อนคนกำลังเก็บดอกไม้งามๆในสวน เก็บผลไม้งามในสวน หรือกำลังขายของ ก็เช่นกัน ย่อมลืมเวลาอาหาร ยังไม่หิว อิ่มอกอิ่มใจ แม้แต่คนจะเรียกกินอาหารว่า ได้เวลาแล้วก็เลยบอกว่ายังไม่หิว ซึ่งความจริงนั้น ท้องของเขาต้องการอาหารแล้วเหมือนกัน แต่ความอิ่มใจในงานทำให้เขาไม่มีความรู้สึกหิวแต่อย่างใดเลย เหมือนมุนีผู้กำลังส่งใจไปในญาณสมาบัติ ฉะนั้น จะได้อาหารบ้าง ไม่ได้บ้าง ขาดมื้อ อิ่มมื้อ ก็ไม่รู้สึกลำบากแต่อย่างใด ด้วยเสวยปีติอิ่มในฌาณสมาบัติเป็นสุขแล้ว.