|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์
อ่านข่าวนิทรรศการ '๑oo ปีชาตกาล เฟื้อ หริพิทักษ์' ในนสพ.เมื่อไม่นานมานี้ นึกอยากจะอัพบล๊อคฉลอง แต่รู้จักอาจารย์เฟื้อแค่ผิวเผิน ทั้งที่ท่านเป็นครูใหญ่วงการศิลปะของเมืองไทย เลยต้องพึ่งป๋ากูเจ้าเดิม ค้นได้หลายเวบมาก แต่ส่วนใหญ่จะมีข้อมูลแบบย่อ ๆ ไม่เหมือนที่ 'คุณนรา' หรือ 'เป็ดย่างนอกเครื่องแบบ' เขียนไว้ในเวบ manager (และในเวบ artgazine.com) เล่าชีวประวัติและผลงานแบบละเอียดยิบ พร้อมผลงานภาพวาดและภาพถ่ายครบเครื่อง ครั้นจะลงข้อมูลทั้งหมด บล็อคคงยาวเกิน (แต่อัพไปอัพมา บล๊อคก็ยาวยืดเหมียนเดิม ) เลยเลือกข้อเขียนของคุณนรามาแค่บทเดียว แล้วก็มีข้อมูลจากวิกิกับนสพ.คม ชัด ลึกที่ลงข่าวนิทรรศการ ถ้าอยากอ่านเรื่องราวของท่านโดยละเอียด ก็ตามไปอ่านในลิงค์ที่ให้ไว้ได้เลยค่ะ
ภาพจากหนังสือ "อวบ สาณะเสน ๗๒ ปี"
นายเฟื้อ หริพิทักษ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นศิลปินและจิตรกร ผู้ได้รับการยกย่องเป็น ครูใหญ่ในวงการศิลปะ ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖
อาจารย์เฟื้อ (คนอยู่กึ่งกลางของภาพ)
นายเฟื้อ หริพิทักษ์ เกิดเมื่อ ๒๒ เม.ย.๒๔๕๓ ที่จังหวัดธนบุรี ต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้เข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่วัดสุทัศน์ และระดับมัธยมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร และวัดเบญจมบพิธ เข้าทำงานที่วิทยาลัยช่างศิลป์ กรมศิลปากร จากนั้น พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้เดินทางไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย วิศวะ ภารติ ที่ประเทศอินเดีย รับราชการเป็นอาจารย์สอนศิลปะรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยศิลปากร และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศอิตาลี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม จนได้รับการยกย่องเป็นศิลปินชั้นเยี่ยมสาขาจิตรกรรม
'ถนนฟอร์นาจี'
'สะพานที่โรม'
นายเฟื้อ หริพิทักษ์ เป็นผู้สนใจศึกษาศิลปะอย่างมุ่งมั่นลึกซึ้ง ด้วยการค้นหาแนวทางสร้างสรรค์ให้เหมาะกับการแสดงออกทางด้านจิตรกรรม ที่มีลักษณะเฉพาะตนโดยการถ่ายทอดสภาพแวดล้อม บรรยากาศ แสงเงา ประกอบกับความคิดคำนึงเรื่องสีสันที่เป็นลักษณะตามสายสกุลศิลปะยุโรป (อิตาลี) ใช้ฝีแปรงที่ฉับพลัน ดังปรากฏในผลงานจิตรกรรมมากมาย อาทิ จิตรกรรมทิวทัศน์เมืองเวนิชที่อิตาลี ทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ ภาพเหมือนคุณยายของฉัน ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ฯลฯ
'สัญลักษณ์ของเวนิช'
'นครเวนิซ'
'คุณยายกับอีสี', ๒๔๘๒ สีน้ำมันบนผ้าใบ, ๕๐ x ๔๐ ซม. สมบัติของนายขรรค์ชัย บุนปาน Grandmother and her cat, 1958 Oil on canvas, 50 x 40 cm.
นอกจากนี้ นายเฟื้อ หริพิทักษ์ ยังทำการสำรวจโดยคัดลอกจิตรกรรมฝาผนังตามวัดสำคัญที่เป็นโบราณสถาน เก็บไว้เป็นหลักฐานมรดกทางประวัติศาสตร์ศิลปะของชาติ มีผลงานซ่อมแซมภาพจิตรกรรมสำคัญในวัดทั่วประเทศไทยทั้งสิ้น ๒๓,๐๐๐ วัด ผลงานที่สำคัญชิ้นหนึ่ง คือการบูรณะปฏิสังขรณ์หอไตรปิฎก วัดระฆังโฆสิตาราม
หอไตร วัดระฆัง
ภาพเขียนของพระอาจารย์นาคในหอไตร วัดระฆัง
ภาพคัดลอกโดยอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์
นายเฟื้อ หริพิทักษ์ เคยกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้าทำศิลปะด้วยใจรัก เลื่อมใสและจริงใจ มิได้ทำไปเพราะอามิส ข้าพเจ้าทำศิลปะ เพื่อศึกษาค้นคว้าหาความจริงในความงามอันเร้นลับอยู่ภายใต้ สภาวะธรรมฯ ผลงานอันเกิดจากกำลังกาย กำลังความคิด และกำลังใจของข้าพเจ้า ขอน้อมอุทิศให้ท่านอาจารย์ทั้งหลายของข้าพเจ้า"
'น้ำเงิน-เขียว', ๒๔๙๙ สีน้ำมันบนผ้าใบ, ๘๕ x ๖๗ ซม. สมบัติของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ Oil on canvas, 85 x 67 cm.
อาจารย์ ศิลป์ พีระศรี ได้เขียนถึงอาจารย์เฟื้อไว้ดังนี้ ในระยะเวลาที่ฝึกฝนศิลปนั้น แบบงานศิลปของเฟื้อ จัดเข้าอยู่ในลัทธิ อิมเพรสชั่นอิสม์ คำว่า อิมเพรสชั่นอิสม์ นี้นั้น ไม่ควรเข้าใจไปว่า เป็นการเอาอย่างสกุลช่างฝ่ายอิมเพรสชั่นอิสม์ของยุโรป อิมเพรสชั่นอิสม์ หมายถึงการถ่ายทอดความประทับใจของศิลปินที่ได้รับจากธรรมชาติ จากวัตถุ หรือสิ่งใดก็ตาม แล้วบันทึกลงไปอยู่ในเส้น ในสี หรือปริมาตรอันเป็นปึกแผ่น ความประทับใจนี้เป็นส่วนตัวโดยแท้ ฉะนั้นเอง งานที่แสดงออกอย่างประทับใจของศิลปินแต่ละคน จึงไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับผลงานภาพถ่ายเลย งานของศิลปินนั้นสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ส่วนบุคคล ดังนั้นลัทธิอิมเพรสชั่นอิสม์จึงหมายถึง การแสดงออกต่อสิ่งที่เราเห็นอย่างจริงใจ และต่อสิ่งที่เรารู้สึกโดยปราศจากความคิดทางด้านพุทธิปัญญาเข้ามาแทรกแทรง"
ชีวิตสมรส : สมรสกับหม่อมราชวงศ์ ถนอมศักดิ์ กฤดากร มีบุตร ๑ คน คือ นายทำนุ หริพิทักษ์
เกียรติยศ : ศิลปินชั้นเยี่ยม สาขาจิตรกรรม ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ และ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. ๒๕๒๘
การศึกษา
เข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่วัดสุทัศน์ - ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตรและโรงเรียนวัดราชบพิธ ๒๔๗๔ - ศึกษาศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่าง ๒๔๗๙ - ศึกษาศิลปะที่โรงเรียนประณีตศิลปกรรม กรมศิลปากร ๒๔๘๓ - ศึกษาศิลปะที่มหาวิทยาลัยวิศวะภารติ ณ สันตินิเกตัน ประเทศอินเดีย โดยทุนของ ม.ร.ว. ถนอมศักดิ์ กฤดากร ๒๔๙๗ ๙๙ - ได้รับทุนจากรัฐบาลอิตาลีไปศึกษาและดูงานที่ประเทศอิตาลี ๒๕๐๓ - ไปร่วมประชุม ไอ.พี.เอ. ที่เวียนนาและไปดูงานต่อที่ลอนดอน ปารีส อินเดีย
การแสดงงาน
๒๔๘๙ - การประกวดของคณะศิลปินแห่งค่ายกักกัน อินเดีย ๒๔๙๑ - แสดงภาพคัดลอกภาพเขียนโบราณ ณ สถานทูตไทย ลอนดอน ๒๔๙๒ - การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑ หอศิลป กรมศิลปากร ๒๔๙๓ - การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒ หอศิลป กรมศิลปากร ๒๔๙๕ - การแสดงภาพคัดลอกภาพเขียนสีโบราณ มหาวิทยาลัยศิลปากร ๒๔๙๖ - การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ หอศิลป กรมศิลปากร ๒๕๐๐ - การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๘ หอศิลป กรมศิลปากร ๒๕๐๒ - แสดงงานร่วมกับการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๐ หอศิลป กรมศิลปากร ๒๕๑๐ - แสดงงานเดี่ยว หอขวัญ กรุงเทพฯ
รางวัลเกียรติยศ
๒๔๘๙ - รางวัลที่ ๑ และรางวัลที่ ๒ การประกวดของคณะศิลปินแห่งชาติ ค่ายกักกัน อินเดีย ๒๔๙๒ - รางวัลเกียรตินิยมอันดับ ๑ เหรียญทอง ประเภทจิตรกรรม การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑ ๒๔๙๓ - รางวัลเกียรตินิยมอันดับ ๑ เหรียญทอง ประเภทจิตรกรรม การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒ ๒๔๙๖ - รางวัลเกียรตินิยมอันดับ ๓ เหรียญทองแดง ประเภทจิตรกรรม การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ ๒๕๐๐ - รางวัลเกียรตินิยมอันดับ ๑ เหรียญทอง ประเภทจิตรกรรม การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๘ - ได้รับเกียรติยกย่องให้เป็นศิลปินชั้นเยี่ยม ประเภทจิตรกรรม ๒๕๒๓ - ได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาจิตกรรม ๒๕๒๖ - ได้รับรางวัลแม็กไซไซ สาขาบริการชุมชน จากมูลนิธิแม็กไซไซ ประเทศฟิลิปปินส์
การทำงาน
๒๔๙๐ ๒๕๑๒ เป็นอาจารย์สอนวิชาจิตรกรรมที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร - เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ หัวหน้าภาควิชาจิตรกรรม - เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปไทย ทำการซ่อมอนุรักษ์และคัดลอกภาพเขียนโบราณที่ อยุธยา เพชรบุรี สุโขทัย และจังหวัดภาคเหนือ ๒๕๒๒ - เป็นกรรมการคัดเลือกงานศิลปะ เพื่อส่งไปแสดงในนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย ของศิลปินแห่งเอเซียปี ๒๕๒๓ ณ ประเทศญี่ปุ่น ๒๕๒๘ - ร่วมวิจัยกับโครงการวิจัยของสถาบันไทยคดีศึกษา เรื่อง "การศึกษาวิเคราะห์คุณค่าภาพจิตรกรรมฝาผนังไทย" จนเสร็จสมบูรณ์ - เป็นนักวิจัยอาวุโสด้านศิลปกรรมไทย ของสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายเฟื้อ หริพิทักษ์ เสียชีวิตเมื่อ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๖
'ใบหน้า', ๒๔๙๙ สีน้ำมันบนผ้าใบ สมบัติของอาจารย์สาคร โสภา Face, 1956 Oil on canvas.
ข้อมูลจากเวบ wikipedia.org
ภาพจากหนังสือ "อวบ สาณะเสน ๗๒ ปี"
แม้ว่า "นิทรรศการชีวิตและผลงาน เฟื้อ หริพิทักษ์" ที่จัดขึ้นในวาระที่อาจารย์เฟื้อมีอายุครบ ๑oo ปี บริเวณหอศิลป์คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ม.ศิลปากร วังท่าพระ จะรูดม่านปิดฉากไปแล้ว หากแต่ความทรงจำเกี่ยวกับศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ผู้ได้รับการยกย่องในฐานะ "ครูใหญ่ในวงการศิลปะ" ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของลูกศิษย์ลูกหาและเพื่อนร่วมงาน รวมถึงคนไทยทั้งชาติอย่างไม่มีวันลบเลือนตลอดไป
'โค้งถนน'
ภายในงานวันเปิดนิทรรศการ มีผู้มีชื่อเสียงในแวดวงศิลปะเข้าร่วมรำลึกถึงศิลปินแห่งชาติท่านนี้อย่างคับคั่ง อาทิ สุลักษณ์ ศิวรักษ์, ปริญญา ตันติสุข, พิษณุ ศุภนิมิตร, ญาณวิทย์ กุญแจทอง, นิวัติ กองเพียร, ปรีชา เถาทอง และเทพศิริ สุขโสภา เป็นต้น ดร.อุทัย ดุลยเกษม อธิการบดี ม.ศิลปากร ประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ กล่าวว่า
"อาจารย์เฟื้อ เป็นศิลปินที่รักการวาดภาพเหมือนและภาพทิวทัศน์ แต่ภายหลังได้หันมาอุทิศตนให้แก่ศิลปะไทย โดยสำรวจคัดลอกตามวัดวาอารามต่าง ๆ ที่ไม่มีใครสนใจ เก็บไว้เป็นหลักฐานมรดกทางประวัติศาสตร์ศิลปะของชาติ มีผลงานซ่อมแซมภาพจิตรกรรมสำคัญในวัดทั่วประเทศไทยทั้งสิ้น ๒.๓ หมื่นวัด ผลงานที่สำคัญชิ้นหนึ่ง คือ การบูรณปฏิสังขรณ์หอไตรปิฎก วัดระฆังโฆสิตาราม และศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบุรี ในโอกาสครบ ๑oo ปี อ.เฟื้อ ในปี ๒๕๕๓ นี้ ผู้ที่เคยเป็นลูกศิษย์ ผู้ที่เคยร่วมงานหรือเคารพนับถือต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจัดนิทรรศการนี้ขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงคุณูปการอันใหญ่หลวง ที่ท่านได้สร้างสรรค์ไว้ให้แก่วงการศิลปกรรมไทยและร่วมสมัย โดยหวังว่านิทรรศการครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชน ทั้งที่เรียนศิลปะและสนใจในงานศิลปะมีความเข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่าในผลงานของ อ.เฟื้อ หริพิทักษ์ ต่อไป"
'ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี', ๒๔๙๙ สีน้ำมันบนผ้าใบ, ๑๐๔ x ๘๓ ซม. สมบัติของมูลนิธิหอศิลป์ พีระศรี Oil on canvas, 1o4 x 83 cm.
ในมุมของลูกศิษย์อย่าง รศ.พิษณุ ศุภนิมิตร เล่าให้ฟังว่า อ.เฟื้อ เป็นลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของ อ.ศิลป์ พีระศรี ทั้งยังถือว่าเป็นผู้บุกเบิกในยุคนั้น ลูกศิษย์ทั้งหลายยกให้ผลงานของท่านเป็นงานที่พิสดารและหาตัวจับยาก
"อาจารย์ไม่ได้เป็นนักวาดภาพอิมเพรสชั่นนิสม์แบบยุโรป แต่มีความเป็นตัวของตัวเอง ผลงานของท่านจะให้ความสำคัญกับเรื่องเส้นและสีเป็นสำคัญ เมื่อสมัยเรียนที่ศิลปากร ตอนนั้นท่านสอนเกี่ยวกับศิลปะไทย ซึ่งเป็นวิชาที่น่าเบื่อ เวลาสอนท่านมักจะหลับตาสอน พอลืมตาขึ้นมาลูกศิษย์ในห้องก็หายไปหมดแล้ว แต่พอปัจจุบันมาเป็นนักวิชาการ กลับนึกเสียดายที่ตอนนั้นไม่ตั้งใจเรียน แถมยังโดดเรียนอีกด้วย หากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำแบบอย่างนั้นเด็ดขาด" ศิษย์ อ.เฟื้อเล่าถึงวันวาน
'ฤดูใบไม้ร่วง'
ด้าน ศ.ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี ๒๕๕๒ ศิษย์มากความสามารถอีกคนของ อ.เฟื้อ กล่าวว่า "เมื่อครั้งศึกษาที่ศิลปากร ได้อะไรหลายอย่างที่อาจารย์สอน ทั้งการวาดด้วยสีน้ำ สีฝุ่น และสีน้ำมัน โดยส่วนตัวศรัทธาในความเป็นโมเดิร์นอาร์ตของท่าน ท่านจะสอนในเรื่องคอนเซ็ปต์ สุนทรียะ ทัศนคติ มุมมอง ปรัชญาความคิด บวกกับจารีต แล้วรวมออกมาเป็นอาร์ตฟอร์ม ทำให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์ผลงาน
ท่านจะสอนวิชาศิลปไทย โดยเริ่มต้นด้วยการวิจักษ์ ซึ่งก็คือ การมองให้รู้ค่าและซาบซึ้ง ก่อนจะถ่ายทอดออกมาเป็นมุมมองของแต่ละบุคคล โดยในชั่วโมงเรียน ท่านจะพยายามตอกย้ำหลาย ๆ รอบ เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนให้ลูกศิษย์เขียนงานออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านจะให้ความสำคัญกับการสอนให้รู้คุณค่าและประทับใจใน สิ่งที่เรียนก่อนแทนที่จะเน้นเรื่องเทคนิคการเขียนหรือการวาดรูป ซึ่งเรียกว่า การถ่ายทอดจิตวิญญาณผ่านอาร์ตฟอร์ม อันเป็นภูมิปัญญาของไทย ทำให้ผลงานที่ออกมามีชีวิตชีวา" ศิลปินแห่งชาติลูกศิษย์ อ.เฟื้อกล่าว
หลายคนที่พลาดนิทรรศการชีวิตและผลงาน เฟื้อ หริพิทักษ์ อย่าเพิ่งเสียใจ เพราะจะจัดใหม่อีกครั้งในงาน "สถาปนิก'๕๓" ที่ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ ๓o เมษายน - ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓
'สายัณห์ที่มารินา กรานเด คาปรี'
ข้อมูลจากเวบ คม ชัด ลึก
ภาพจากหนังสือ "อวบ สาณะเสน ๗๒ ปี"
ตำนานเด็กดื้อ
"เดิมธรรมดาผมไม่ค่อยจะเข้าประชุม ไม่เข้าอะไรกับใครทั้งนั้น ไม่ชอบ หนีอยู่คนเดียว ฉะนั้นทำอะไรพูดอะไร ไม่ค่อยจะถูก ต้องขอโทษด้วยนะครับ อย่าถือสา ก็พูดตรง ๆ อย่างนี้ ผมหวังดี ผมรักวัดสุทัศน์เหลือเกิน" ข้างต้นเป็นคำพูดของอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ มีเรื่องเล่าห้อมล้อมเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้นอยู่หลายประเด็น เล่าอย่างย่นย่อก็คือ อาจารย์เฟื้อได้รับเชิญเข้าประชุมร่วมกับหลาย ๆ ฝ่าย อันประกอบไปด้วยพระสงฆ์ คณะกรรมการทั้งไทยและเทศ รวมถึงเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๒o ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๕
ขณะนั้นงานจิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวง วัดสุทัศน์มีสภาพทรุดโทรมเสียหาย จึงปรากฏญาติโยมบางท่าน มีจิตศรัทธาบริจาคเงินให้ทางวัดทำการบูรณะซ่อมแซม กรมศิลปากร โดยอาจารย์วรรณิภา ณ สงขลา (ท่านนี้ก็เป็นนักอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังคนสำคัญของบ้านเรา และมีผลงาน "ปิดทองหลังพระ" มากมาย) จึงเข้ามาดูแลซ่อมภาพเขียน ขั้นตอนก็เป็นไปตามหลักวิชา คือ ถ่ายภาพบันทึกหลักฐานต่าง ๆ ก่อนลงมืออนุรักษ์ คัดลอกภาพลายเส้น และเขียนคำอธิบายเก็บไว้ จากนั้นก็ทำความสะอาด ผนึกชั้นสีให้มั่นคงแข็งแรง สุดท้ายคือ เขียนสีซ่อมภาพ เฉพาะในรอยชำรุดจุดเล็ก ๆ
'ภาพจิตรกรรมฝาผนัง รอยพระพุทธบาทริมแม่น้ำนัมมทาและเขาสัจจพันธคีรี'
ภาพคัดลอกสุวรรณสามชาดก โดย อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ส่วนบริเวณที่เสียหายหนัก ๆ เป็นจุดใหญ่นั้น ไม่มีการแตะต้องหรือเขียนต่อเติม เพื่อรักษาฝีมือครูช่างดั้งเดิม ผลก็คือ เจ้าภาพ (รวมทั้งพระเถระหลายท่านและท่านเจ้าอาวาส) เห็นว่าการซ่อมแซมดังกล่าวไม่คุ้มกับเงินบริจาค ต้องการให้เขียนซ่อมขึ้นใหม่จนเต็มสมบูรณ์หมดทั้งผนัง จึงเกิดเป็นความคิดขัดแย้ง แบ่งออกเป็น ๒ แนวทาง ฝ่ายหนึ่งประเมินว่าจิตรกรรมฝาผนัง เป็นงานศิลปะอันล้ำค่า และเป็นหลักฐานสำคัญในทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ควรทำแค่รักษาส่วนที่ยังหลงเหลือไว้ให้ดีที่สุด บริเวณใดที่เสียหายเกินกอบกู้ไปแล้ว ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เพราะการเขียนทับใหม่ เท่ากับลบฝีมือครูช่างโบราณทิ้ง ส่วนอีกฝ่ายมองว่า โบสถ์วิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญ ไม่ควรปล่อยให้จิตรกรรมมีสภาพแหว่งเว้าขาดวิ่น จนหมดสง่าราศี น่าจะต่อเติมให้ครบถ้วน ดูใหม่สดใส เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้ศึกษาเรื่องราวทางพุทธศาสนาที่วาดไว้ได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
ภาพคัดลอกสุวรรณสามชาดก อาจารย์เฟื้ออยู่ฝ่ายยืนกรานว่า ฝีมือครูโบราณเป็นสิ่งที่ไม่ควรต่อเติมแก้ไข ต้องรักษาไว้ในสภาพเดิมให้ดีที่สุด เท่าที่ขีดขั้นปัญญาความสามารถจะเอื้ออำนวยให้กระทำได้ การประชุมครั้งนั้น อาจารย์หยิบยกเหตุผลต่าง ๆ มาอธิบายไว้ยืดยาว ต่อสู้ยืนกรานจนถึงที่สุด และพูดไปแล้วก็เกิดอาการพลุ่งพล่านสะเทือนใจ ตามประสาศิลปินผู้มีอารมณ์อ่อนไหว และผ่านประสบการณ์ปวดร้าวนับครั้งไม่ถ้วน ในการรบรากับความคิด "รื้อของเก่าแล้วสร้างของใหม่ขึ้นแทนทับ" มายาวนานร่วมครึ่งค่อนชีวิต เป็นการพูดแบบเปลื้องเปลือยหัวใจออกมาตีแผ่จนหมดเปลือก ร่วมกับครูบาอาจารย์และนักวิชาการหลายๆ ท่าน กระทั่งท้ายที่สุด ทางวัดก็ยอมรับหลักการ
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง รอยพระพุทธบาทเขาสุมนกูฏ
ภาพคัดลอกโดยอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ จิตรกรรมฝาผนังที่วิหารหลวง วัดสุทัศน์ ฝีมือครูช่างในอดีต ก็เลยรอดพ้นจากการถูกลบเพื่อวาดใหม่ หลงเหลือผลงานล้ำค่าให้เห็นสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กรณีดังกล่าว เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวของอาจารย์เฟื้อ ที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้อีก ๒ แง่มุม อย่างแรกคือ อาจารย์เฟื้อมีความรักและผูกพันกับวัดสุทัศน์อย่างแนบแน่นลึกซึ้ง ทั้งหมดนี้สะท้อนไว้ในคำพูดของอาจารย์ ในการประชุมวาระเดียวกัน ท่านกล่าวไว้ว่า "...ทีนี้การที่จะไปเสริมเพิ่มเข้าไปมันยาก ใครที่จะมีหัวคิดพิเศษและฉลาด มีหลายชั้นครับ ลำบากมาก จะเสียด้วย เสียเงินด้วย เสียอะไรด้วย และไม่มีผลด้วย ถ้าจะเสริมเข้าไป สำหรับที่นี่มันทำลายโดยตรง ถ้าเสริมละก็ทำลายโดยตรง ทีนี้สำหรับจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ คล้าย ๆ เป็น ขอโทษผมพูดไม่ค่อยจะดีนัก คือเป็นนายเงิน จะเอาอย่างใจของตัว แต่หารู้ไม่ว่า ตามหลักวิชาที่ถูกที่ควรเป็นอย่างไร ท่านไม่รู้ แต่มีเจตนาอย่างเดียว อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามอารมณ์ของตัว ท่านไม่รู้ โดยเหตุนี้จะทำลายครับ ปรากฏอย่างนี้มาหลายแห่งแล้ว จนผมไม่อยากจะไปดูแล้ว แต่ที่นี้เผอิญที่นี่ ผมมาอยู่ตั้งแต่เด็ก มายุ่งกับวัดสุทัศน์ตั้งแต่เด็ก บุญเหลือเกินที่มาอยู่วัดสุทัศน์ โตก็ได้รับการศึกษาจากวัดสุทัศน์ด้วย ฟังเทศน์ ฟังธรรมอยู่ที่วัดนี้ และก็เห็นคุณค่าวัดสุทัศน์ว่าสำคัญ และในเมื่ออยู่ในชั้นโตแล้ว เมื่อได้ศึกษาทางศิลปก็รู้ว่ามีคุณค่าเหลือเกิน เหลือคณานับ สิ่งที่เราเสียไปแล้วมันก็กลับไม่ได้ สิ่งที่ยังอยู่เราควรรักษาให้อยู่นานเท่านาน มีหลักเท่านี้แหละ..."
เนื้อความเต็ม ๆ สามารถหาอ่านได้จาก "บันทึกหลักการและเหตุผลในการตรวจซ่อมพระวิหารวัดสุทัศนเทพวราราม" ตีพิมพ์อยู่ในภาคผนวกของเอกสารการศึกษาวิจัยเรื่อง "การศึกษาวิเคราะห์ ภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทย" โดยอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ร่วมกับอาจารย์อนันต์ วิริยะพินิจ กล่าวได้ว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นบทสรุปรวบยอดในการทุ่มเทชีวิต เพื่อศึกษาเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังของอาจารย์เฟื้ออย่างเป็นลายลักษณ์อักษรที่สมบูรณ์สุด เป็นเอกสารที่เผยแพร่ในวงจำกัด และค่อนข้างหาอ่านยากอยู่สักหน่อย แหล่งที่ผมทราบแน่ชัดว่ามีอยู่ คือ หอสมุดแห่งชาติ (ลาดกระบังนู่นนะครับ ไม่ใช่ที่ท่าวาสุกรี) และห้องสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความเกี่ยวโยงถัดมา เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงนิสัยใจคออย่างหนึ่งที่เด่นชัดของอาจารย์เฟื้อ นั่นคือ ความเป็นคนดื้อรั้นจนถึงที่สุด หลังจากที่พ่อเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ๖ เดือนก่อนที่อาจารย์เฟื้อจะเกิด ยายทับทิมกับแม่ จึงย้ายจากแพที่ปากคลองราษฎร์บูรณะ มาเช่าห้องแถวอยู่ละแวกหลังวัดสุทัศน์ "ผมจำได้ว่า คุณยายเข้าวัดเสมอ คุณยายสอนให้ผมทำบุญใส่บาตร บ้านผมอยู่หลังวัด ผมชอบเดินไปวัดสุทัศน์ ตอนเด็ก ๆ ยังไม่รู้ความอะไรหรอก ผมชอบเดินไปตามทางที่นำไปสู่ตัวโบสถ์ มีต้นไม้ ดอกไม้ขึ้นรายทาง สวยงามมาก เหมือนกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ผมโชคดีที่อยู่ใกล้วัด วัดนี้ก็เป็นที่กำเนิดของศิลปะ จิตรกรรมภาพฝาผนังงดงามมาก ผมคิดว่าตอนเด็ก ๆ ผมมีบุญที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี"
กล่าวได้ว่า วัดสุทัศน์มีส่วนสำคัญยิ่ง เป็นจุดเริ่มต้นปลูกฝังนิสัยรักชอบในศิลปะให้แก่อาจารย์เฟื้อ เพราะเหตุนี้เอง ในระหว่างการประชุมเพื่อปกปักรักษางานศิลปะล้ำค่าของวัดนี้ เมื่ออาจารย์ล่วงเข้าสู่วัยชรา คำพูดของท่านจึงเจือด้วยอารมณ์สะเทือนใจอยู่เป็นระยะ ๆ อาจารย์เฟื้อเรียนชั้นประถม ๑ ที่วัดสุทัศน์ เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๑ จนจบชั้นประถม ๓ แล้วเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัดราชบพิธ จนจบชั้น ม.ศ. ๓ (พ.ศ. ๒๔๖๖) ย้ายไปเรียนต่อโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรถึงชั้น ม.ศ. ๕ (พ.ศ. ๒๔๖๘) และหวนกลับมาที่โรงเรียนวัดราชบพิธอีกครั้ง จนจบม.ศ. ๖ (พ.ศ. ๒๔๖๙) แทรกคั่นระหว่างช่วงเวลาที่ศึกษาตามหลักสูตรในโรงเรียนนี้เอง อาจารย์เฟื้อก็เริ่มสนใจทางด้านวิชาวาดเขียน
"ขณะนั้นผมอายุไม่ถึง ๑o ขวบ อยู่หลังวัดสุทัศน์เป็นห้องแถวสองฟาก สมัยโน้นมีบุหรี่ซิกาแรตต์ยี่ห้อนกอินทรี ซองสีเขียว เปิดออกมามีรูปรามเกียรติ์ พวกลิงพวกยักษ์ แผ่นเท่ากับซองบุหรี่ธรรมดานี่แหละ ผมชอบไอ้ตัวหนึ่งที่จำได้ตัวแดง ๆ พวกยักษ์ ผมก็มานั่งเขียน ๆ อยู่หน้าบ้าน...ทีนี้มีช่างเขียนคนหนึ่งอยู่เพชรบุรีมาเห็นผมเขียนเข้า คล้าย ๆ ว่าเด็กคนนี้เขียนอะไรโดยไม่มีครูอาจารย์ เขียนยักษ์ ๆ มาร ๆ มันอันตราย ท่านก็เลยมาครอบให้โดยจับมือเขียนให้ ผมถือเป็นอาจารย์คนแรก" ใครก็ตามที่เคยอ่านประวัติอาจารย์เฟื้อ ย่อมพบว่า ในการให้สัมภาษณ์หรือกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าสาธารณชนทุกครั้ง ท่านมักจะรำลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์อยู่เสมอ ศิลปินนิรนามผู้ที่ถือเป็นเสมือนครูทางศิลปะท่านแรกนี้ก็เช่นกัน หลายปีต่อมา อาจารย์เฟื้อก็ยังจดจำได้ขึ้นใจ และพยายามสืบหาอยู่เสมอว่าท่านเป็นใคร มีชื่อเรียงเสียงไร จนกระทั่งคราวหนึ่ง เมื่ออาจารย์เฟื้อพานักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร เดินทางไปค้นคว้าเรียนรู้เรื่องศิลปะไทยที่เพชรบุรี จึงสืบเสาะจนกระทั่งพบและทราบนามว่าท่านชื่อ "ระย่อม ศรีสังวาลย์"
อาจารย์เฟื้อ ถ่ายภาพหมู่พร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนและอาจารย์ที่เพาะช่าง อ่านถึงตรงนี้แล้วผมก็ตื้นตันใจ เมื่อมาคำนึงว่า อาจารย์เฟื้อพบครูระย่อมครั้งแรกตอนไม่ถึงสิบขวบ ยังเด็กเหลือเกิน และการค้นหาบุคคลที่เคยพบแค่หนเดียว ไม่ทราบชื่อ รู้ข้อมูลคร่าว ๆ แค่อาศัยอยู่จังหวัดใด มีเพียงใบหน้าของครูในความทรงจำเป็นเบาะแสสำหรับการติดตามถามถึง น่าจะเป็นเรื่องยากลำบากไม่ใช่เล่น เรื่องนี้ยิ่งซาบซึ้งขึ้นอีก เมื่ออาจารย์เฟื้อกล่าวรำลึกความหลังถึงครูสอนศิลปะคนแรกว่า "ผมมีบุญอยู่นิดเดียวเท่านั้น ได้พบอาจารย์ระย่อมเพียงแค่สองหนในชีวิต...เดี๋ยวนี้เข้าใจว่าจะไม่อยู่ แล้ว"
นักศึกษาคณะจิตรกรรม-ประติมากรรม รุ่น ๑ - ๒ - ๓ จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แล้ว อาจารย์เฟื้อก็ทำงานเป็นเสมียนรถไฟที่จังหวัดพิษณุโลก ๒ วันต่อมา อาจารย์เฟื้อก็ลาออก เพราะรู้แน่ชัดว่าอาชีพนี้ไม่เหมาะ และไม่ตรงกับความรักชอบส่วนตัว จึงกลับมากรุงเทพฯ เพื่อเรียนต่อ ตอนที่คุณยายทับทิมอุ้มอาจารย์เฟื้อในวัยทารกแบเบาะ ไปให้พระอาจารย์เปียร์แห่งวัดราษฎร์บูรณะช่วยตั้งชื่อ นอกจากจะตั้งชื่อให้ว่า "เฟื้อ" แล้ว อาจารย์เปียร์ยังทำมากกว่านั้น "ท่านก็อุ้มผมขึ้นและก็พิจารณา แล้วท่านก็ทำนาย...และท่านก็บอกว่า ผมถ้าอยู่กับท่านก็ต้องเจอลูกกระสุน...กระสุนดินเหนียว ยิงด้วยธนู...คือท่านว่าผมเป็นคนดื้อ...ดื้อมากเลย..."
"ตำนานเด็กดื้อ" อันลือลั่นของอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ เริ่มต้นขึ้นครั้งแรก...ที่นี่...ที่โรงเรียนเพาะช่าง...
'เพชรบุรี'
ข้อมูลจากเวบ artgazine.com
บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่
Free TextEditor
Create Date : 11 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 12 มกราคม 2556 15:42:40 น. |
|
59 comments
|
Counter : 123088 Pageviews. |
|
|
|
โดย: nuyza_za วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:08:24 น. |
|
|
|
โดย: Dingtech วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:06:48 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:39:31 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:55:53 น. |
|
|
|
โดย: อิ ส ร ะ ช น ตั ว โ ต เ ต็ ม วั ย . . ไม่ ใ ช่ ใ ค ร . . . มัน คื อ . . (เป็ดสวรรค์ ) วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:44:30 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:10:55 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:6:58:54 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:07:03 น. |
|
|
|
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:10:08 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:48:45 น. |
|
|
|
โดย: sirivinit วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:54:27 น. |
|
|
|
โดย: อิ ส ร ะ ช น ตั ว โ ต เ ต็ ม วั ย . . ไม่ ใ ช่ ใ ค ร . . . มัน คื อ . . (เป็ดสวรรค์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:42:06 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:6:19:21 น. |
|
|
|
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:6:58:12 น. |
|
|
|
โดย: หยุ่ยยุ้ย วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:8:17:17 น. |
|
|
|
โดย: cengorn วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:15:50:25 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:03:26 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:20:21 น. |
|
|
|
โดย: ลุงแว่น วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:9:24:16 น. |
|
|
|
โดย: ดาวส่องทาง วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:10:52 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:6:58:54 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:21:56 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:38:09 น. |
|
|
|
โดย: ปุราณ (ปุราณ ) วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:18:09:35 น. |
|
|
|
โดย: สายลมอิสระ วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:21:06 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:01:05 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:0:22:27 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:5:17:14 น. |
|
|
|
โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:33:38 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:05:34 น. |
|
|
|
โดย: angy_11 วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:47:35 น. |
|
|
|
โดย: cengorn วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:44:52 น. |
|
|
|
โดย: พี่รี่+ต๊อก วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:53:02 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:5:58:18 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:05:09 น. |
|
|
|
โดย: chinging วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:30:08 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:17:06 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:9:45:27 น. |
|
|
|
โดย: Noshka วันที่: 22 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:19:45 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:34:08 น. |
|
|
|
โดย: Smile@Ratchaprasong IP: 125.26.9.171 วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:12:27:06 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:21:45:58 น. |
|
|
|
โดย: Boowi IP: 77.182.135.167 วันที่: 6 ตุลาคม 2553 เวลา:1:07:09 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 7 ตุลาคม 2553 เวลา:23:05:36 น. |
|
|
|
โดย: พร IP: 124.122.223.202 วันที่: 9 ธันวาคม 2553 เวลา:17:58:16 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 9 ธันวาคม 2553 เวลา:22:09:34 น. |
|
|
|
โดย: นพเกตมณี IP: 110.171.8.204 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:14:46:02 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:21:00:38 น. |
|
|
|
โดย: หนูเล็ก IP: 125.27.68.112 วันที่: 5 มีนาคม 2556 เวลา:14:49:31 น. |
|
|
|
โดย: ภัทรภูมิ IP: 171.100.173.171 วันที่: 29 พฤษภาคม 2556 เวลา:21:25:07 น. |
|
|
|
โดย: 111 IP: 125.27.54.210 วันที่: 11 กันยายน 2557 เวลา:17:37:44 น. |
|
|
|
|
|
|
|