“มะเร็งตับ” ภัยสุขภาพที่ป้องกันได้
“มะเร็งตับ” ถือเป็นมะเร็งที่คนไทยป่วยมากเป็นอันดับต้นๆ ที่ผ่านมา ได้มีบุคคลสำคัญ และผู้มีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตด้วยโรคนี้ อาทิ “DJ โจ้” อัครพล ธนะวิทวิลาศ จากคลื่นฮอตเวฟ, ยอดรัก สลักใจ ราชาลูกทุ่งชื่อดัง,นายอภิชาติ หาลำเจียก ดาราผู้ผันตัวมาลงสนามการเมือง หรือกระทั่งล่าสุดอย่าง “สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย พญ.ฉัตรพร กิตติตระกูล จากศูนย์โรคระบบทางเดินอาหาร และโรคตับให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งตับ ว่า แบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ มะเร็งเซลล์ตับ และ มะเร็งท่อน้ำดี ผู้ป่วยประเทศไทย 95% เป็นมะเร็งเซลล์ตับ และเนื่องจากตับของคนเรามีขนาดใหญ่ คือ เป็นอวัยวะภายในที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีกำลังสำรองมาก ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับในระยะแรก จึงมักไม่มีอาการอะไร เพราะตับยังคงทำงานได้เกือบปกติ เมื่อมีอาการที่ชัดเจนแล้ว จึงมักพบก้อนมะเร็งที่มีขนาดใหญ่มาก ทำให้รักษาไม่ทัน มีอัตราการอยู่รอดเพียงไม่กี่เดือน หรือกว่าจะตรวจพบก็มีอาการแทรกซ้อนแล้ว “การเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดในการเกิดโรคมะเร็งของเซลล์ตับในไทย จากสถิติของหลายสถาบันได้ผลใกล้เคียงกันว่า 80% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งตับ โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติถึง 223 เท่า ส่วนมะเร็งท่อน้ำดีตับ เกิดเนื่องจากพยาธิใบไม้ตับเป็นสาเหตุสำคัญ นอกจากนี้ การดื่มสุราเป็นประจำ และการเคี้ยวหมาก รวมถึงการรับสารอัลฟลาท็อกซินเข้าไปในร่างกาย ก็มีผลวิจัยที่ระบุว่า ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้เช่นกัน”
ด้านนพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันวิทยาการวัคซีนได้พัฒนาวัคซีนตับอักเสบบีได้แล้ว ดังนั้น เด็กๆ ทุกวันนี้จะได้รับวัคซีนทุกคน แต่ก็จะมีวัยผู้ใหญ่บางคนที่ไม่ทันวัคซีนนี้ และติดเชื้อจนป่วยเป็นโรคตับ อักเสบชนิดบี ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้ “ส่วนใหญ่ถ้าติดเชื้อและป่วยเป็นโรคตับอักเสบบี 90%จะเป็นแบบเฉียบพลันแล้วก็หายไปเอง แต่มักก็จะมี 10% ที่เป็นแล้วเรื้อรัง ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นมะเร็งได้ ประมาณ 0.2% ของคนที่เป็นตับอักเสบชนิดบีเรื้อรังจะเป็นมะเร็งตับ แต่หากเป็นชนิดซีจะสูงกว่า คือ ประมาณ 0.4% ที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับ” ผอ.สถาบันมะเร็งฯ ได้แนะนำวิธีการรักษาสุขภาพให้ห่างไกลมะเร็งตับ ว่า ไม่ห่วงเรื่องอาหารบำรุงตับ เพราะถ้าตับทำงานปกติก็ไม่จำเป็นต้องบำรุง แต่ห่วงในประเด็นของอาหารทำลายตับที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น เหล้า อาหารเกิดราง่าย เช่น ถั่วลิสง
การออกกำลังกายก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะในรายที่อ้วนมาก จะเกิดภาวะไขมันพอกตับ ทำให้ตับอ่อนแอ และกลายเป็นตับแข็งซึ่งจะนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้เช่นกัน “สำหรับ ผู้ที่เป็นตับอักเสบชนิดบีและซี แนะนำให้ตรวจตรวจร่างกายสม่ำเสมอ ทั้งตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ ควรทำทุก 6 เดือน เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยง
ในรายที่มีลูกเล็กๆ ควรใส่ใจพาไปฉีดวัคซีนป้องกัน และเนื่องจากไวรัสชนิดบีและซีติดต่อได้คล้ายเอดส์ จึงควรระมัดระวังการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่ควรใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วยที่มีเชื้อ ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารมีประโยชน์ ใส่ใจตรวจสุขภาพตามกำหนด เลี่ยงอาหารที่ทำลายตับ ก็จะลดความเสี่ยงลงไปได้ครับ”
ที่มา ://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000143262
สารบัญ บทความ สุขภาพ คลิกดู ที่นี่ค่ะ
Create Date : 07 ธันวาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 7 ธันวาคม 2552 13:04:59 น. |
Counter : 1083 Pageviews. |
|
|
|
แรกๆก็มีแต่ไขมันในเลือดสูง กินยามันก็ลง และเลี่ยงกินอาหารที่ไขมันสูงก็ไม่มีปัญหาอะไร พอปี2547ผลเลีอดพบSGOT SPGT
สูงกว่าปกติ หมอให้ไปตรวจที่รพ.ยืนยันอีกครั้ง ก็สูงเช่นเดิม
ต้องไปพบแพทย์เฉพาะทาง ตรวจเลือดชุดใหญ่ ไม่พบไวรัสตับอักเสบ อุลตราฃาวด์ก็ไม่พบไขม้นพอกตับ หมอก็เลยสรุปว่าตับอักเสบจากการดื่มสุรา ให้งดดื่มสุราและให้ยาบำรุงตับมากิน
แล้วไปพบหมอเพื่อตรวจเลือดดูการทำงานของตับทุกๆ3เดือน
ปฏิบัติอยู่2ปีกว่าค่าทุกอย่างจึงปกติ ขณะนี้อายุ62ปีก็ตรวจสุขภาพทุกปี มีแต่ความดันโลหิตสูง หลังปีใหม่หมอนัดเจาะเล์อดอีกครับ