Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
18 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
รู้จักฝ้า …กันใบหน้าหมองคล้ำ



"ฝ้า" เป็นปัญหาทางผิวหนังที่พบได้บ่อย แม้จะไม่มีอันตรายต่อร่างกาย
แต่มีผลต่อบุคลิกภาพและสุขภาพจิตอย่างมาก
และคำถามที่ค้างคาใจของใครหลายคนก็คือ เป็นแล้วหายมั้ย เรามีคำตอบค่ะ

ฝ้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน ผลิตเม็ดสีที่ผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้น
ระหว่างชั้นผิวหนังแท้กับหนังกำพร้า ลักษณะฝ้าจะเป็นผื่นสีน้ำตาลหรือดำโดยเฉพาะอย่างยิ่งแถวแก้ม จมูก
หน้าผาก คาง หรือบริเวณที่ถูกแสงแดด ผื่นมักจะเกิดขึ้นทีละน้อยช้าๆ และมักเป็นเหมือนกันทั้ง 2 ข้างของใบหน้า
ฝ้ามักเกิดในช่วงวัยกลางคน อายุระหว่าง 30-40 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย



สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า ได้แก่
1. แสงแดด เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นทำให้เกิดฝ้า หรือทำให้เป็นฝ้ามากขึ้น
เนื่องจากในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ทั้งช่วงคลื่นที่เรียก A (ยูวีเอ) และ B (ยูวีบี)
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น.

2. ฮอร์โมน พบผู้ป่วยเป็นฝ้าขณะตั้งครรภ์หรือรับประทานยาคุมกำเนิดได้บ่อย
หลังคลอดหรือหยุดยาคุมกำเนิด ผื่นอาจจางลง จึงเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศ
น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดฝ้า โดยเฉพาะในคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นอยู่แล้ว

3. ยา พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากันชักบางประเภท มีผื่นดำคล้ำรอยฝ้าขึ้นบริเวณใบหน้า
จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า

4. เครื่องสำอาง การแพ้ส่วนผสมในเครื่องสำอางอาจทำให้เกิดรอยดำแบบฝ้าได้
ส่วนผสมเหล่านี้อาจเป็นพวกสารให้กลิ่นหอมหรือสี

5. พันธุกรรม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดฝ้า เนื่องจากพบฝ้าได้บ่อยในคนเอเชียมากกว่าคนผิวขาว
อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ผลจากพันธุกรรมจริง แต่อาจเป็นอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมหรือแสงแดดก็เป็นได้


รักษาฝ้าอย่างไรเห็นผล
หลักการรักษาก็คือ พยายามหาสาเหตุและแก้ไข หรือหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดฝ้าขึ้น เช่น

ถ้าฝ้าเกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด ก็อาจปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น

ใช้ยากันแดดที่มีประสิทธิภาพดี และหลีกเลี่ยงแสงแดดเท่าที่สามารถจะทำได้

ส่วนการทำให้ผื่นฝ้าจางลงนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ การใช้ยาทา เพื่อลดการทำงานของเซลล์สี
และเร่งเซลล์ผิวหนังชั้นบนซึ่งมีเม็ดสีเมลานินที่สร้างขึ้นมาแล้วให้หลุดลอกออกไป
ยาเหล่านี้มีทั้งผลดีและฤทธิ์ข้างเคียง ซึ่งยาทารักษาฝ้ามีหลายชนิด
เช่น ยาในกลุ่มสารไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ ยาทาประเภทคอร์ติโคสเตอรอยด์ กรดอะเซลาอิค

ฉะนั้นการใช้ยาโดยเลือกแต่ให้เกิดผลดี และไม่เกิดผลข้างเคียงหรือเกิดน้อยที่สุดนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
ไม่ควรไปซื้อยาทาเองไปเรื่อย ๆ ซึ่งท้ายที่สุดมักจะเกิดผลข้างเคียงจากยาทา อาจทำให้ใบหน้าดูแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ

การรักษาฝ้าที่ถูกต้อง ต้องทาให้สม่ำเสมอและต่อเนื่องจนกว่าฝ้าจะจางลง โดยทาส่วนที่เป็นฝ้าก่อนนอนทุกคืน
เมื่อรอยฝ้าจางหายไป ให้ทาสัปดาหฺ์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเกิดขึ้นอีก

การลอกหน้าด้วยสารเคมีอาจทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่การทำต้องอาศัยความชำนาญและระมัดระวังอย่างมาก
แนะนำว่าควรทำโดยแพทย์ผิวหนัง

การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ และวิธีไอออนโตฟอเรซิส คือการใช้กระแสไฟฟ้าผลักประจุยาเข้าสู่ผิวหนัง
ให้ผลการรักษายังไม่แน่นอน และยังไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้ 100% จึงต้องอาศัยการติดตามผลต่อไป


รักษาฝ้าแล้วจะหายขาดหรือไม่..
คงต้องย้อนกลับไปดูที่สาเหตุและชนิดของฝ้า เช่น ฝ้าที่เกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด
หรือพบระหว่างตั้งครรภ์ ถ้าหยุดยาคุมกำเนิดหรือหลังคลอด ฝ้าจะค่อย ๆ จางหายไป
แต่บางรายอาจหายไม่หมด เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดฝ้าอีก เช่น แสงแดด เป็นต้น
หากแก้ไขปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ ฝ้าก็จะเป็นอยู่นาน
นอกจากนี้ฝ้าชนิดที่เป็นบริเวณตื้น ๆ จะหายเร็วและตอบสนองต่อการรักษาดีกว่าฝ้าบริเวณลึก ๆ

เมื่อรักษาฝ้าจนใบหน้าดูดีแล้ว สิ่งที่ควรปฏิบัติต่ออย่างยิ่ง คือ การหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดและควรใช้ยากันแดดที่มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นอีก

ที่มา ผู้จัดการ


Create Date : 18 พฤษภาคม 2552
Last Update : 18 พฤษภาคม 2552 14:07:59 น. 0 comments
Counter : 1021 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.