จิตนอกแถว
ท่านเคยได้ยินสำนวนไทยที่พูดกันไหมครับ เช่น ทหารนอกแถว ตำรวจนอกแถว ความหมายก็คงหมายถึง คนที่ไม่อยู่ในกรอบ ในกฏ มักจะผิดกฏ ผิดกรอบ อยู่บ่อยๆ แล้วก็จะทำความเดือนร้อนเสมอ ๆ ให้กับหมู่คณะ
ผมจะนำคำไทยนี้มาใช้กับ .จิต. ผมจะเรียกว่า .จิตนอกแถว.ครับ มาอ่านกันดู ผมจะนำสิ่งที่ผมพบเห็นมาเล่าให้ฟัง ผิดถูกอย่างไร ก็ฝากไว้พิจารณาด้วยปัญญาก็แล้วกัน เพราะในเรื่องนี้ ถ้าท่านอ่านไป อาจคิดไปก็ได้ว่า ผมกำลังก้าวล้ำใครอยู่หรือเปล่า แต่จากใจจริง เปล่าครับ แต่นี่คือความจริงที่ผมพบเอง เห็นเอง เข้าใจเอง และ ผมก็ไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์องค์ไหนพูดถึง ยกเว้น หลวงพ่้อสงบ ที่ราชบุรี มีพูดถึง แต่คนฟังอาจไม่เข้าใจ ในสิ่งที่หลวงพ่อท่านพูด มาอ่านเรื่องนี้ ท่านจะเข้าใจว่าคืออะไร
จิต นอกแถว คือ สภาพจิตใจ ที่ขาดการควบคุมครับ มันจะคอยเตลิดไปปรุงแต่งเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ และแน่นอนครับ ถ้า จิต เกิดไปปรุงแต่งได้แบบขาดการควบคุมแล้วละก็ ความทุกใจ เดือดเนื้อร้อนใจ ย่อมเกิดขึ้นตามมาครับ
การจะควบคุม จิต ไม่ให้นอกแถวได้นั้นจะมีอยู่ 2 ระดับครับ
1...ระดับแรกสุด ก็คือ การฝึกให้มีสัมมาสติ จนมีความตั้งมั่น ได้แล้ว พอ จิต เกิดนอกแถว วิ่งไปแส่หาเรื่อง คือคิดปรุงแต่งต่าง ๆ สัมมาสติ ทีีตั้งมั่น จะ.เห็น.การปรุงแต่งที่เกิดขึ้นของจิต ก็จะหยุดการนอกแถวของจิตได้ คือ การทำให้จิตหยุดปรุงแต่ง ต่อไปนั้นเอง แต่ทว่า... ว่ากันที่จริงแล้ว การที่จิตไปปรุงแต่งแล้ว ก็คือว่า นอกแถวไปแล้วละครับ แต่นี่ยังดีกว่าคนทั่ว ๆ ไป ที่ว่า พอจิตนอกแถวไป ก็เกิดการรู้ตัวแล้วดึงจิตที่นอกแถว ให้กลับมาอยู่ในแถวได้ ส่วนใครจะดึงให้จิตกลับเข้าแถวได้เร็ว ได้ช้า ก็ขึ้นอยู่กับกำลังแห่งสัมมาสติครับ
ระดับนี้ ถ้าว่ากันจริง ๆ ก็คือ การเห็น.จิตปรุงแต่ง/เงา่ของจิต.ได้ แต่ถ้าใครยังเห็นจิตปรุงแต่ง/เงาของจิต ยังไม่ได้ เพียงรู้ว่า นี่จิตปรุงแต่งแล้ว นี่ยังไม่เข้าขั้นระดับที่ 1 นะครับ ยังเป็นระดับของคนธรรมดาทั่ว ๆ ไปเท่านั้น
2.. ระดับที่สอง ระดับแรกว่ายากแล้ว ระดับสองยากยิ่งกว่า ในระดับที่ 2 นี้คือการฝึกฝนทีีมีการพัฒนากำลังสัมมาสติทีตั้งมั่น แต่ว่า เกิดปัญญาญาณ สามารถ .เห็น. ตัวจิตได้แล้ว ถ้าท่านเห็น .ตัวจิต.ได้แล้ว ท่านจะมีความสามารถเพิ่มขึ้นจาก ระดับแรก เพราะว่า ท่านจะเห็นว่า ตัวจิตที่อยู่ในแถวนั้น ยังอยู่ดีหรือเปล่า หรือว่า กำลังตั้งท่าจะขยับตัว เพื่อวิ่งออกนอกแถวแล้ว แต่พอท่านเห็นเท่านั้น ตัวจิต ก็จะถูกกำราบให้ กลับมานิ่งสงบในแถวต่อไป ในระดับนี้ คือระดับที่จิตถูกควบคุมได้เป็นอย่างดี ไม่ก่อให้เกิดการเดือนร้อนแก่เจ้าของ
พระอาจารย์สงบ ได้เทศน์ไว้ในกัณฑ์ของท่านว่า ดูจิตนั้น ต้องดูแบบผู้จัดการดู ไม่ใช่ดูแบบยามหน้าประตู หรือ ดูุแบบกล้องวงจรปิด
ผู้จัดการมีหน้าที่สอดส่องดุุแล และ .ควบคุม. กิจการภายในบริษัท ซึ่งถ้าเทียบก็คือ การควบคุมจิตแบบที่ 2 ไม่ให้จิตแตกแถวได้ ในขณะที่ยามหน้าประตูหรือกล้องวงจารปิด ไม่อาจควบคุมแบบผู้จัดการได้
ถ้ากล่าวกันในอีกรูปแบบหนึ่ง การฝึกฝนจิตใจ เพื่อการพ้นทุกข์ได้นั้น ต้องสามารถเข้าสู่การควบคุมจิตใจ ไม่ให้จิตไปนอกแถว ก่อเรื่องราวได้ นั่นคือความสำเร็จในการฝึกฝนตน
ถ้ายังไม่ตาย จิตจะคอยนอกแถวอยู่เสมอ การควบคุมจิตใจจะต้องเกิดตลอดเวลา เมื่อจิตไม่ก่อเรื่องราว ทุกข์ใจจะมาได้อย่างไรกัน
ความสำเร็จในการควบคุมจิตใจแบบนี้ได้ ท่านจะรู้เองได้เลยว่า ท่านปฏิบัติแล้ว ได้ผลหรือไม่ได้ผล ท่านไม่สามารถโกหกตัวเองได้เลย ท่านรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องไปถามใครเลยว่า ฉันได้โสดาบันหรือยัง เพราะความเป็นโสดาบัน มันเป็นนามธรรม แม้แต่ตัวท่านยังไม่รู้ แล้วคนอื่นจะรู้แทนท่านได้อย่างไรกัน
แต่การควบคุมจิตให้อยู่ในแถว ไม่นอกแถวได้หรือไม่ ท่านจะรู้ตัวเองอย่างแน่นอน
เอ้า จิต...แถวตรง....
***************** เรื่องท้ายบท.. เรื่องที่คล้าย ๆ กันแบบนี้ ผมมีเขียนไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่ที่ผมเขียนใหม่ ในอีกรูปแบบ ก็คือให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นว่า เราฝึกจิตไปทำไมกัน แล้วการดูจิต การดูเงาของจิต ประสิทธิภาพมันต่างกันที่ตรงไหน
เืรื่องก่อนหน้าที่คล้าย ๆ กัน
***การมีสติ คือ การควบคุมกาย ใจ ได้ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=16-06-2010&group=8&gblog=33
***สิ่งบอกเหตุว่าจะเกิดเหตุการณ์ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2010&date=22&group=8&gblog=16
Create Date : 29 มิถุนายน 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:08:40 น. |
Counter : 1212 Pageviews. |
|
|
|
ต่างก็คือสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุัปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เป็นไปได้..
ทั้งผู้จัดการ ทั้งยามหน้าประตู (ทั้งขโมย ...)
ทั้งหมดคือสิ่งเดียวกัน...ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป..ไม่ควรที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของเรา
ขออนุโมทนาครับ..