รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
9 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 
ถ้าเข้าใจ ดูกาย ก็คือ ดูจิต

เนื่องมาจากช่วงนี้ที่มีการโจมตีกันเหลือเกินว่า วิธีการปฏิบัติ โดยการดูจิตนั้น ไม่สามารถทำให้บรรลุอะไรได้ ผมเองก็เคยสงสัยเหมือนกันครับ ว่าทำไมถึงไม่บรรลุ ทั้งๆที่ สติปัฏฐานมีถึง 4 อย่าง แต่ก็ไม่ออกความเห็นคัดค้านอะไรใครทั้งนั้น เพราะหน้าที่ผมคือพยายามภาวนาครับ แต่เมื่อมาถึงจุดๆหนึ่งการภาวนา พอผมภาวนาไปจนเห็นการเกิดดับของความคิด ถึงเริ่มเข้าใจในบางอย่าง

ความเข้าใจของผมก็คือ

การดูกาย หรือ ดูจิต สิ่งที่เหมือนกัน ไม่แตกต่างกันเลย ก็คือ เป็นการ "ดูขันธ์" ทำงาน คือ ไม่ว่าจะเป็นการดูลมหายใจเข้าออก การดูกาย การภาวนาพุทธโธ การดูเวทนา หรือสุดท้ายคือ การดูความคิด ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมกล่าวมานี้ ทั้งหมดนี้คือขันธ์ ไม่ใช่จิตสักอย่างเดียว เพราะที่ผมเข้าใจก็คือ ผู้ที่จะเห็นจิตได้จริงๆ จะต้องเป็นอริยบุคคลขึ้นไปใช่หรือเปล่าครับ ฉะนั้น ในความเข้าใจของผมนะครับ เบื้องต้นของ สติปัฏฐาน 4 ทั้งหมดก็คือการดูขันธ์ ดูการทำงานของขันธ์ จนเกิดความรู้ ไม่ยึดในขันธ์

ส่วนขั้นสูงกว่านี้ไม่กล้าแสดงความเห็นครับ เพราะว่ายังไม่สามารถปฏิบัติไปได้ไกลกว่าการดูขันธ์

เพราะผมเคยสงสัยครับ ผมภาวนาไปเรื่อย ก็พบว่า จริงๆแล้ว ทั้งการดูจิตและการดูกายนั้น ของผมแทบไม่ต่างกันเลยครับ เพราะถ้าผมไม่มีสติเมื่อไหร่ ทั้งกายทั้งความคิด ก็จะไม่เห็นครับ มีแต่จะหลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าสติยังอยู่ก็รู้สึกได้ทั้งสองอย่าง และไม่รู้สึกว่าต่างกัน เพราะเห็นกาย ก็จะเห็นความคิด เห็นความรู้สึกทั้งหลาย ก็เห็นอยู่ในกายด้วย

**************************************
ข้างบนนี้คือ ข้อเขียนจากนักภาวนาท่านหนึ่ง ที่ผมขออนุญาตนำมาแสดงใน blog
เพื่อแบ่งปันประสบการณ์กับท่านผู้อื่น

ก่อนอื่น ผมขออนุโมทนากับนักภาวนาท่านนี้ ที่การภาวนาของเขานั้นได้เริ่มต้นเดินทางได้แล้ว

ในสติปัฏฐานสูตรในพระไตรปิฏก ได้เขียนถึงหลักการปฏิบัติไว้ว่า
การปฏิบัติเพื่อทำลายความพอใจและไม่พอใจในโลกลงเสีย ด้วยการให้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ และมีการกล่าวถึงหมวด 4 หมวด คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

ถ้าจะตีความด้วยภาษาชาวบ้านในยุคปี 2553 เพื่อให้เข้าใจในสติปัฏฐานสูตรนี้ ผมขอตีความว่า การมี.ความเพียร.ที่ถึงพร้อมด้วย.สัมปชัญญะและสติ.
ที่ระถึงถึง กาย เวทนา จิต ธรรม นี่คือทางแห่งการพ้นทุกข์

เมื่อนักภาวนามี .ความเพียร.ที่ถึงพร้อมด้วย.สัมปชัญญะและสติ.
**ผลที่ตามมา ก็คือ การมีสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น
**ผลแห่งอาการของสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น ก็คือ จิตรู้ ได้แยกตัวออกมาจากสิ่งที่ถูกรู้ ไม่รวมติดแนบสนิทกับสิ่งที่ถูกรู้ดังเช่นปุถุชนคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้ฝึกฝนการภาวนา
**เมื่อจิตรู้แยกตัวออกมาจากสิ่งที่ถูกรู้ จะทำให้นักภาวนาก็จะเห็นซึ่ง กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งก็คือ อาการของขันธ์ 5 โดยเห็นเป็นไตรลักษณ์ คือ เห็นมันไม่เที่ยง เห็นมันแปรปรวน เห็นว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา
/////////
เพื่อให้เข้าใจในนักภาวนาที่จิตรู้ยังไม่แยกตัวออก ผมจะเปรียบเทียบทางโลกให้เห็นภาพว่าการแยกตัวของจิตรู้แล้วเห็น กาย เวทนา จิต ธรรม มันคืออย่างไร ขอให้ท่านนึกถึงคน 2 คนกำลังยืนกอดกันอยู่ นี่จะเหมือนจิตรู้แนบสนิทกับสิ่งที่ถูกรู้ คนที่กอดกันอย่างนั้นจะไม่เห็นอีกฝ่ายหนึ่งว่า อีกฝ่ายใส่เสื้อผ้าลักษณะอย่างไร แขนขามีรอยแผลเป็น มีรอยสักอะไรหรือไม่ มือมีถืออะไรไว้หรือไม่

แต่ถ้าคนทั้ง 2 แยกตัวห่างกันออกมาไม่กอดกันอีกแล้ว และยืนห่างกันออกมา คนทั้งสองจะเห็นทันทีเลยว่า เสื้อผ้าที่อีกฝ่ายใส่มีลักษณะอย่างไร แขนขามีรอยแผลเป็น มีรอยสักรอยอะไรหรือไม่ มือมีถืออะไรอยู่หรือไม่
การที่คนทั้ง 2 แยกตัวออกจากกัน ก็จะเหมือนกับอาการที่จิตรู้แยกตัวออกมาจากสิ่งที่ถูกรู้
////////
แต่ทว่า...ถ้านักภาวนาไปตีความหมายของสติปัฏฐาน 4 ผิดไป โดยเข้าใจไปว่า การปฏิบัตินั้น คือ การเข้าไปดูไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต โดยละเลยฝึกฝนให้มีสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นจนจิตรู้แยกตัวออกมาได้ก่อน
ถ้าเข้าใจอย่างนี้ การเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต ก็จะไม่ใช่เห็นอย่างการมีสัมมาสติสัมมาสมาธิ แต่เป็นการดูการเห็นด้วยสัญญาอารมณ์ ซึ่งก็คือคล้าย ๆ กับคน 2 คนกอดกันแล้วต่างก็นึกคิดเอาเองว่า อีกฝ่ายใส่เสื้อผ้าอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ แขนขาอย่างนี้ โดยที่ไม่ได้เห็นจริง ๆ

นี่คือความแตกต่างของนักภาวนาไทยที่เดินถูกทางตามแบบสติปัฏฐาน 4 และนักภาวนาที่เดินผิดทางเพราะไม่เข้าใจในสติปัฏฐาน 4 อย่างถ่องแท้

การแยกตัวของ.จิตรู้.กับ.สิ่งที่ถูกรู้. ก็คือ ความเป็นอิสระของจิตรู้ ที่ไม่ถูกผูกมัดใดๆ กับสิ่งที่ถูกรู้

ถ้าจะกล่าวโดยทางลึกลงไปในทางปรมัตถ์ คำว่า สิ่งที่ถูกรู้ ก็คือ วิญญาณ 6 นั่นเอง อันได้แก่ วิญญาณทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เมื่อมีการกระทบสัมผัสอะไรกับทวารทั้ง 6 วิญญาณทางทวารนั้นจะทำหน้าที่เกิดการรู้ขึ้น
เช่น ถ้าเราเอามือลูบแขน ก็เกิดการรู้สัมผัสทางกายขึ้น นี่คือ วิญญาณทางกายไปรับรู้การสัมผัสนั้น แต่ในทางปรมัตถ์แล้ว ไม่มีแขนเลย มีแต่วิญญาณทางกายปรากฏขึ้นเท่านั้น
นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากในปุถุชน

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดในเรื่องนี้

ในคนที่ตาบอดสนิท เขาไม่เห็นภาพใด ๆ เลย ถามว่า คนตาปรกติ ทำไมเห็นภาพ
คำตอบก็คือ คนตาบอด วิญญาณทางตา ไม่ปรากฏขึ้น ในคนตาดี วิญญาณทางตาปรากฏขึ้นเมื่อระบบประสาทตาไปสัมผัสแสงที่พุ่งเข้ามากระทบ
แต่ถ้าเอาแสงเดียวกันนั้น ไปส่องที่คนตาบอด ส่องอย่างไร เสีย คนตาบอดก็มองไม่เห็นอยู่ดี
ทั้ง ๆ ที่มีแสง แต่ก็มองไม่เห็น เพราะไม่มีวิญญาณทางตาเกิดขึ้น

ในสภาพปรกติ คนทั่ว ๆ ไปจะไม่รู้สึกว่ามีใบหูอยู่ แต่ถ้ามีแมลงมากัดใบหู ก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นว่ามีใบหูขึ้นมาทันที ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดปรกติเลย คนก็จะไม่รู้สึกว่ามีใบหู
แต่ในทางปรมัตถ์ธรรม ที่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น เป็นเพราะวิญญาณทางประสาทนั้นปรากฏขึ้นต่างหาก

ถ้าระบบประสาททางร่างกายเสียไป ร่างกายนี้จะไร้ความรู้สึกทั้งหมด ดังเช่นคนตาบอดก็มองไม่เห็น คนหูหนวกก็จะไม่ได้ยิน คนที่เป็นอัมพาตทั้งร่างกายก็จะไม่รุ้สึกใดๆ ที่ร่างกายเลย

ดังนั้นที่นักปฏิบัติว่า รู้กาย ที่จริงไม่ใช่รู้กาย แต่ไปรู้วิญญาณที่เกิดขึ้นที่กาย เพราะกายจริง ๆ ไม่สามารถทีจะไปรับรู้อะไรได้ทั้งสิ้น มันเป็นเพียงวัตถุคล้าย ๆ ก้อนหิน โต๊ะ เก้าอี้ อย่างไรอย่างนั้น

ในการทำงาน วิญญาณทางใจ นั้นจะไปรับรู้อาการปรุงแต่งทางจิตใจ เช่นอารมณ์โกรธ พอใจ ไม่พอใจ ความคิดที่ผุดขึ้น นอกจากนี้ ในการทำงานของวิญญาณนั้น เมื่อเกิดวิญญาณทั้ง 5 ขึ้นอันได้แก่ วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้ว วิญญาณที่ 6 คือ วิญญาณทางใจ จะไปรับรู้วิญญาณทั้ง 5 ด้วย

เมื่อเป็นดังนี้ การที่ครูบาอาจารย์ที่สอนว่า ให้ดูจิต นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เพราะเหล่านักภาวนาหน้าใหม่ที่ไม่เข้าใจในคำสอนนี้ ก็คิดว่า การดูจิต ก็คือ การเห็นเพียงจิต แต่ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะวิญญาณทั้ง 5 จะปรากฏตัวให้รู้ที่วิญญาณทางใจด้วย การดูจิตที่ครูบาอาจารย์กล่าวถึง การดูหมดทั้ง วิญญาณทั้ง 6 หรือ กล่าวง่าย ๆ ให้ชาวบ้านเข้าใจ ก็คือ การดูหมดทั้งกาย เวทนา จิต นั้นเอง หรือ ก็คือ อาการทั้งหมดของขันธ์ 5 ล้วนมาปรากฏขึ้นมารับรู้โดยวิญญาณทางใจทั้งสิ้น

นี่คือสิ่งที่นักภาวนาที่ผมนำเรื่องมาเขียนนี้ เขาค้นพบความจริงแล้่ว เขาเดินมาถูกทางแล้ว แต่เขายังมองภาพไม่ชัดจึงเกิดความสงสัยขึ้น

ที่เป็นปัญหาโจมตีกันตอนนี้ว่า ดูจิตแล้วไม่ถึงมรรคผล คนที่เขามาพูดเขาก็พูดถูกในแง่ของเขา ที่คนมาพูดต่อต่างหาก พูดไม่หมดเพราะไม่เข้าใจ เพราะคนที่เขารู้จริงแล้วออกมาพูด เขาจะพูดว่า "การดูจิตโดยไม่มีกำลังความตั้งมั่นของสัมมาสมาธิ จะไม่ถึงมรรคผล" เขาพูดอย่างนี้
ไม่ใช่บอกเพียงว่า ดูจิตแล้วไม่ถึงมรรคผล แต่ขาดเรื่องของสัมมาสมาธิไป

เรื่องภาวนานี้ คนในประเทศไทย ผมเชื่อว่า มี.ผู้รู้จริง.เพราะปฏิบัติถึงเป็นอันมาก แต่เขาไม่พูดไม่วิจารณ์ เพราะไม่ใช่เรื่องราวที่เขาต้องไปรับผิดชอบในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น เขาจึงเงียบดีกว่า พูดมากก็เปลืองตัวเขาเปล่า ๆ ส่วนใครที่รับฟังแล้วเข้าใจผิด ปฏิบัติผิดเอง ก็คงเป็นเพราะวาสนาของเขาเองที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นเอาไว้
กรรมของใครก็ของเขาเองครับ การปรามาสผู้รู้จริงนี่มีผลถึงมรรคผลได้ว่าจะเร็วจะช้าหรือไปไม่ถึงได้เช่นกัน

แนะนำอ่าน
วิธีพิจารณา กาย ฉบับชาวบ้านเขียน ชาวบ้านอ่าน
รู้ที่สมดุลย์ รู้ที่ไม่สมดุลย์




Create Date : 09 ตุลาคม 2553
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:57:54 น. 7 comments
Counter : 1559 Pageviews.

 
สาธุ


โดย: ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง IP: 118.172.99.94 วันที่: 9 ตุลาคม 2553 เวลา:10:12:23 น.  

 
เมื่อผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้แยกออกจากกันเหมือนน้ำกับน้ำมัน
ก็ทำให้หายสงสัยวิธีการปฏิบัติไปได้จริงๆครับ
สาธุกับบทความดีๆด้วยครับ


โดย: ชู IP: 202.28.124.38 วันที่: 9 ตุลาคม 2553 เวลา:15:43:59 น.  

 
ไปกราบครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า ภาวนากับลพ.....หรือ ลพ.....หรือกับอาตมาเอง ก็ไม่ได้เรื่อง ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าภาวนาแล้วแยกผู้รู้ และผู้ที่ถูกรู้ไม่เป็น

พอแยกไม่เป็น ก็เป็นตัวเราอย่างเหนียวแน่น แล้วก็มาทะเลาะกัน :)

ตามอ่านเหมือนเคย เติมความเข้าใจภาคปฎิบัติวันละนิดละหน่อย คุณนมสิการอธิบายธรรมะได้เข้าใจง่ายๆดีคะ


โดย: น้องต๋าว IP: 124.122.246.18 วันที่: 10 ตุลาคม 2553 เวลา:1:12:52 น.  

 
" ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม"
หลวงพ่อคำเขียน
เพื่งเคยเข้ามาครับ อธิบายได้ง่ายดีครับ จะตามอ่าน บ่อยๆ



โดย: ทำไม่เป็น IP: 58.9.102.2 วันที่: 10 ตุลาคม 2553 เวลา:14:59:19 น.  

 
ขอพอกพูนความรู้ครับ


โดย: พันคม วันที่: 11 ตุลาคม 2553 เวลา:20:55:29 น.  

 
อาจารย์คะเมือ่ก่อนดิชั้นก้อเคยเป็นอย่างนักภาวนาท่านนี้คะ สงสัยตลอด แต่ทำไมไม่เห็นเหมือนในตำราที่เคยอ่านก้อควานหาใหญ่เลย หลงทางไปกันใหญ่เลย ยิ่งเจอคำว่าทำลายผู้รู้นี่ยิ่งงคะ เพราะคิดว่าไอ้ในหัวที่วิง่ๆ อยู่นีเป็นตัวเราตลอด แต่พอมาเจอบล๊อคของอาจารย์ถึงบางอ้อเลยคะ กิเลสบอกว่าโง่มาตั้งนาน 55555555


โดย: แม่ลูกสอง IP: 180.183.242.135 วันที่: 17 มีนาคม 2554 เวลา:10:45:49 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:16:21:02 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.