รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
อวิชชา ฉบับชาวบ้านเขียน ชาวบ้านอ่าน

เรื่องที่ผมจะเขียนในบทนี้ เป็นความพยายามที่จะเขียนขึ้น ด้วยเล็งเห็นประโยชน์แก่นักภาวนา
ถ้าได้รู้เรื่องราวแต่ต้นจนจบได้ ก็จะำทำให้เข้าใจวิธีภาวนาได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าใจดี การภาวนาก็ไม่ผิดทาง เมื่อไม่ผิดทางก็เดินได้ตรงทาง และใช้เวลาน้อยกว่า

เนื่องจากผมไม่ใช่นักปริยัติ ไม่ได้เรียนนักธรรม ดังนั้นสิ่งที่ผมใช้เรียกชื่อในบทนี้ อาจไม่ถูกต้องตามตำรา และอาจจะมีผิดบ้างถูกบ้างอยู่ เนื่้องจากเป็นสภาวะธรรมขั้นสูงสุด

ผมจึงแนะนำให้ท่านอ่านแล้วพิจารณาด้วยปัญญาให้รอบครอบที่สุด อย่าได้เพ่งโทษในความผิดพลาดเบาปัญญาของผู้เขียน ขอให้นำสาระมาใช้ในการภาวนาของท่าน จึงจะสมเจตนาในการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา

เรื่องนี้ ผมใช้เวลาคิดและเขียน เกือบ 10 วัน เ็ป็นเรื่องที่เขียนยากมากเรื่องหนึ่ง เขียนแล้วแก้อยู่นั่นแหละ ในที่สุด ผมก็ปล่อยออกมาให้ท่านอ่านดังต่อไปนี้



หมายเหตุ คำว่า วิญญาณที่แสดงในรูปข้างบน คือ วิญญาณ 6 อันมี วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย วิญญาณทางจิตใจ

ผมจะอธิบายตามรูปข้างบน

0.ธรรมชาติแท้
ธรรมชาติแท้สิ่งหนึ่งที่เป็นของบริสุทธิ มีความสดใส สว่างอย่างแรงกล้า
ผมไม่รู้ชื่อเรียกว่าอะไร ท่านฮวงโป เรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า จิตเดิมแท้

สำำหรับในประเทศไทย ผมไม่ทราบว่า พระไตรปิฏกเรียกว่าอะไร
แต่มีคำกล่าวในพระไตรปิฏกว่า จิตนี้ธรรมชาติประภัสสร แต่ที่มัวหมอง เพราะอุปกิเลสจรมา

แต่ในพระสายวัดป่า ถ้า .จิต. จะหมายถึง เจ้าสิ่งที่เ็ป็นธรรมชาติบริสุทธินี้ที่ถูก .อวิชชา. หุ้มห่อเอาไว้จนมิดชิด บางพระอาจารย์เรียกว่า จิตอวิชชา เสียเลย

ถ้าเปรียบให้ท่านมองภาพออก ขอให้นึกถึงลูกโป่งที่เขาอัดแก๊สไว้ภายในลูกโป่งนั้น
ตัวลูกโป่ง คือ อวิชชา
แก๊ส คือ เจ้าสิ่งที่เป็นธรรมชาติแท้ีบริสุทธิ
เมื่อ ลูกโป่งมีแก๊สอยู่ภายใน ก็คือ จิตอวิชชา นั่้นเอง

ผมจะเรียกเจ้าสิ่งบริสุึทธินี้ที่ถูกอวิชชาครอบงำว่า จิต ตามแบบพระสายวัดป่าก็แล้วกัน

ท่านจะเห็นว่า แก๊ส นั้นมองไม่เห็นด้วยตา แต่ลูกโป่งเห็นได้ด้วยตา
เมื่อแก๊สถูกอัดในลูกโป่ง ทำให้เห็นลูกโป่งพองขึ้นมา

นี่คือสิ่งที่นักภาวนาเห็นตัวจิตได้ในครั้งแรกของเขา ที่เห็นจิตเป็นดวง เพราะเหตุนี้
เลยเกิดข้อถกเถียงกันมากว่า การทีนักภาวนาเห็นจิตเป็นดวงเป็นมิจฉาทิฐิ เนื่องด้วย
ขัดกับในพระไตรปิฏกว่า จิตเป็นธรรมชาติที่ประภัสสร

แต่นักภาวนาเห็นไม่ผิดครับ แต่เขาเห็นจิตอวิชชานั้นเอง แ่ต่ในตำรากล่าวไว้
เป็นจิตเดิมแท้ ไม่ใช่จิตอวิชชา จึงต่างกันด้วยเหตุนี้


1.จิตปุถุชน

ปุุึถุชน คือ คนทั่วไปที่ไม่เคยฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐาน
เมื่อปุถุชนเกิดมา ธรรมชาติของเขาก็คือจิต (ธรรมชาติแท้ที่ถูกอวิชชาหุ้มเอาไว้)
จะเข้าแนบสนิทกับตัวอ่อนในครรภ์มารดา ซึ่งภาษาชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า
วิญญาณมาเกิดใหม่

เมื่อตัวอ่อนเจริญขึ้น ร่างกายก็จะมีระบบปราสาทที่เกิดขึ้นที่
ตา หู จมูก ลิ้น ตามร่างกายทั้งภายนอกและภายใน
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียก ระบบประสาทนี้ว่า อายตนะ

เมื่อปุถุชนมองไปที่สิ่งใด อายตนะทางตา ก็จะเกิดการกระทบสัมผัสกับแสงสีจากวัตถุ
ที่มองนั้น เกิดสิ่งหนึ่งขึ้น ที่เรียกว่า วิญญาณทางตา (ตำราเรียกว่า จักขุวิญญาณ)
เช่นเดียวกันการกระทบสัมผัสจากอายตนะอื่น ๆ ก็จะเกิดวิญญาณขึ้นที่ระบบประสาทนั้น ๆ
กล่าวคือ วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย วิญญาณทางใจ

ปุถุชน เป็นคนที่สติสัมปชัญญะอ่อนมาก เมื่อวิญญาณที่เกิดจากการสัมผัสก็เกิดตลอดเวลา (วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย วิญญาณทางใจ ) เนื่องดัวยเกิดการสัมผัสตามระบบประสาทของร่างกายของเขาอยู่ตลอดเวลานั้นเอง ซึ่งท่านจะเห็นว่า ในทุกขณะที่ท่านไม่ได้หลับ ตาท่านก็มองเห็น หูท่านก็ได้ยิน จมูกท่านก็ได้กลิ่น ลิ้นก็ได้รส กายก็ไ้ด้สัมผัส จิตใจก็มีอารมณ์ต่าง ๆ

มีสิ่งหนึ่งที่เรียกชื่อว่า .ตัณหา. เปรียบเหมือน กาวตราช้างที่เหนียวแน่น ที่ยึดติด วิญญาณ กับ จิตเอาไว้ ปานประหนึ่ง .วิญญาณและจิต. ได้ถูกหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน อุปมาดังเช่น เกลือที่นำไปละลายในน้ำ ก็จะเป็นน้ำเกลือ ที่ไม่เห็นตัวเกลือ เห็นแต่น้ำเท่านั้น เมื่อวิญญาณส่วนใดเกิด จิตก็จะติดกับวิญญาณไปอยู่ที่นั้นด้วย กล่าวคือ เมื่้อวิญญาณทางตาเกิด จิตก็จะไปอยู่ที่ตา
เมื่อวิญญาณทางหูเกิด จิตก็ไปอยู่ที่หู และอื่น ๆ เป็นต้น

ดังในภาพ ส่วนที่เป็นสี่เหลื่ยมสีฟ้า คือ ส่วนที่เป็นจิต ส่วนที่เป็นกรอบสีแดง
คือส่วนที่เป็นวิญญาณ ผมเขียนซ้อนกัน เพื่อให้เห็นภาพว่า ทั้ง 2 สิ่ง
นี้ได้หลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกันดังน้ำเกลือนั่นเอง

การที่จิตและวิญญาณติดกันแน่นสนิทดัวยตัณหา ดังนั้น เมื่อ ปุถุชน
เห็นสิ่งใด เขาก็จะเข้าใจว่า เขาเป็นคนเห็นสิ่งนั้น
ได้ยินสิ่งใด เขาก็จะเข้าใจว่า เขาเป็นคนได้ยินสิ่งนั้น
และอื่น ๆ ก็เช่นกัน

การทีจิตวิ่งติดไปกับวิญญาณไปมาตามระบบประสาทต่างๆ มีพระอาจารย์บางท่าน
ตั้งชื่อนี้ว่า จิตส่งออก

เมื่อปุถุชน เจ็บป่วย ทางร่างกาย เขาก็จะเข้าใจว่า ฉันเจ็บป่วย เพราะวิญญาณไปรับรู้
อาการเจ็บป่วยนั้น เมื่อจิตถูุกวิญญาณนำพาไปด้วย จึงเข้าใจไปว่าฉันเป็นผู้เจ็บป่วย

เมื่อปุถุชน มีความทุกข์ทางใจ เขาก็จะเข้าใจว่า ฉันเป็นผู้ทุกข์ เช่นกัน

นี่คือเหตุที่ ปุถุชน จะมีทุกข์อยู่เสมอ อันเนื่องจาก ทุกข์ที่เกิดที่ร่างกายและจิตใจ

2..เมื่อปุถุชน ได้มาเจริญสติปัฏฐาน อย่างถูกต้อง จนเกิดสัมมาสติขึ้นในจิต
จิตที่เคยติดแน่นกับวิญญาณและวิ่งไปมาตามวิญญาณเมื่อก่อนนี้ ก็จะอยู่เริ่มนิ่งอยุ่ที่ฐานของจิต
ไม่วิ่งไปวิ่งมาเหมือนอย่างสภาพตอนเป็นปุถุชนที่จิตได้หลอมรวมกับวิญญาณเป็นเนื้อเดียวกัน

จิตที่ตั้งมั่นเพียงพอเพราะกำลังแห่งสัมมาสติที่แรงขึ้น ผมจะเรียกว่า อริยบุคคลระดับที่ 1 ใหม่ๆ
จิตจะยังคงแนบชิดติดกับวิญญาณ เปรียบเหมือน น้ำและน้ำมัน ที่ชิดกัน แต่ไม่หลอมรวมติดกันอีก
เมื่อ จิตไม่หลอมรวมกับวิญญาณก็จริง แต่แรงยึดดึงของตัณหาก็ยังมากอยู่ ทำให้บางครั้ง
จิตที่ไม่หลอมรวมกับวิญญาณก็ถูกหลอมรวมกลับไปได้อีกเมื่อกำลังแห่งสัมมาสติของเขาอ่อนตัวลง

เมื่อเขา่ฝึกฝนต่อไปอีก จิตยิ่งตั้งมั่นด้วยกำลังแห่งสัมมาสติ จิตก็จะเริ่มแยกตัวห่างออกจากวิญญาณเพิ่มขึ้น เป็นอริยบุคคลระดับที่ 2 แต่แรงยึดติดของตัณหาก็ยังมากอยู่ และ การหลอมรวมตัว
ของจิตและวิญญาณก็ยังเกิดได้อยู่เสมอ เมื่อสัมมาสติของเขาอ่อนตัวลง

การที่จิตไม่หลอมรวมเข้ากับวิญญาณ จิตจะเริ่มเป็นอิสระจากวิญญาณมากขึ้นในยามที่กำลัง
แห่งสัมมาสติแข็งแกร่ง เมื่อจิตเป็นอิสระจากวิญญาณ จิตจะตั้งมั่นอยู่ที่ฐาน ทำให้จิตเริ่มเห็นสภาพของ.ขันธ์ 5 ว่า ขันธ์ 5 เป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใชของเขา และเห็นการเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์ 5 ว่าไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนได้
ได้ นี่คือ ปัญญาทางพุทธศาสนา ได้เกิดขึ้นแล้วในตัวเขา อันเป็นภาวนามยปัญญา

ท่านที่ได้ถึงจุดนี้ ผมแสดงความยินดีและอนุโมทนาท่านอย่างจริงใจ

เมื่อจิตตั้งมั่น ก็จะมีความสามารถที่จะเห็นกิเลสได้ กิเลสตัวใดเกิดขึ้นและจิตเห็นได้
กิเลสตัวนั้นจะถูกละได้
แต่ การละกิเลสได้นี้ ขอให้ท่านเข้าใจว่า กิเลสไม่ได้หายไปไหน แต่มันไม่ก่อตัวเพราะกำลังแห่ง
สัมมาสติที่ตั้งมั่นนี้ แต่่เมื่อใดก็ตามที่กำลังสัมมาสติเกิดอ่อนตัวลง กิเลสที่เคยละได้
ก็จะโผล่มาเล่นงานเขาใหม่ได้เสมอ
นี่คือสิ่งที่นักภาวนาไม่เข้าใจกันเป็นอันมาก คิดว่า การละได้คือต้องหายขาดไม่มีอีก
ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น ขอให้ปรับความเข้าใจเสียใหม่
นักภาวนาที่เข้าใจผิดในเรื่องการละกิเลส ก็จะพลอยเสียกำลังใจว่า การภาวนาของตนผิดพลาด
แล้ว บางท่านถึงกับเลิกภาวนาในแนวทางเดิมไป ไปเปลี่ยนวิธีภาวนาใหม่เลยก็มี ถ้าวิธีภาวนา
แบบใหม่เป็นแนวทางที่ผิดพลาด ก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

ในอริยบุคคลระดับที่ 2 นักภาวนาจะสังเกตเห็นจิตเป็นดวงได้แล้ว และที่อยู่ของจิตจะไม่แน่นอน
อาจอยู่บริเวณใบหน้า หรือ บริเวณศรีษะ หรือ บริเวณหลังศรีษะ หรือบริเวณท้ายทอย
ซึ่งตำแหน่งที่อยู่ของจิตนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปเองโดยธรรมชาติ ทำให้นักภาวนาอาจเกิดสงสัย
ว่าภาวนาถูกหรือเปล่าหนอ ทำไมจิตจึงเปลี่ยนที่อยู่ไปมาเช่นนี้

อนึ่ง ในการภาวนานั้น
นักภาวนาไม่สมควรจะไปบังคับจิตว่าให้อยู่ที่นั้นที่นี่ดังทีมีการสอนในบางสำนัก แต่ขอนัำกภาวนาให้จิตเขาดำำเนินการตั้งอยู่ของเขาเอง เขาจะอยู่ที่ไหนก็ให้เขาอยู่ไป อย่าไปยุ่งกับเขาเลย

ในอริยบุคคลระดับที่ 2 นี้ จิตที่ตั้งมั่นมากขึ้น นัำกภาวนาจะได้เห็นการเคลื่อนของจิตจากฐานไปเป็นการคิดได้
ทำให้เข้าใจในคำสอนของบางอาจารย์ว่า ไม่เข้าไปในความคิด ก็คือ การที่จิตไม่วิ่งไปยังความคิดนั้่นเอง

3...เมื่ออริยบุคคลระดับที่ 2 ได้ภาวนาในการเจริญสติัปัฏฐาน 4 มากขึ้น กำลังความตั้งมั่น
ยิ่งมากขึ้น แรงยึดของตัณหาระหว่างจิตและวิญญาณเริ่มอ่อนแอลงอีก จิตเป็นอิสระมากขึ้น
ตำแหน่งที่อยู่ของจิต ก็จะเปลี่ยนไปจากบริเวณรอบศรีษะ จะวิ่งเข้าไปหลบอยู่กายในร่างกาย
ของนักภาวนานี้ ความเป็นอิสระของจิตจากวิญญาณอันเนื่องด้วยแรงยึดเกาะของตัณหาอ่อนแอลง
นักภาวนาจะเข้าใจได้เพิ่มขึ้นว่า จิตเป็นอิสระจากวิญญาณและที่ผ่านมาที่ทุกข์ที่สุข ก็เพราะจิตอยู่ใต้อำนาจของวิญญาณนี่เอง

เมื่อจิตเป็นอิสระจากวิญญาณทำให้จิตส่งแสงประกายออกมาให้นักภาวนาเห็นได้ เมื่อแสงแห่งจิตเปล่งประกายออกมามากเท่าใด กิเลสอย่างกลางใด ๆ ก็ไม่อาจเกิดได้อีก
(อ่านเรื่อง ทำไมสัมมาสมาธิถึงกำจัดกิเลสอย่างกลางได้
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=30-07-2010&group=8&gblog=74)

4..เมื่ออริยบุคคลระดับที่ 3 ได้เจริญสติปัฏฐานต่อไปอีก กำลังความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ
ยิ่งตั้งมั่นมากขึ้น เนื่องจากความเป็นอิสระจากวิญญาณ ความรวดเร็วแห่งสติได้เกิดขึ้นสูงสุด นักภาวนาจะเห็นต้นกำเนิดแห่งการปรุงแต่งของจิตได้ เมื่อเขาเห็นต้นกำเนิดแห่งการปรุงแต่งของจิตได้ อวิชชาที่เป็นเปลือกหุ้มห่อจิตก็ถูกทำลายลงไป จิตที่ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ ก็จะแตกสลายพร้อมกับปรากฏการที่หัวใจมีการบีบรัดตัวอย่างรุนแรง 3-4 ครั้ง ปานประหนึ่งคนหัวใจวาย นักภาวนาจะรู้ได้ว่า อวิชชาที่ห่อหุ่มธรรมชาติแท้ได้แตกออกแล้ว

จิตที่เคยมีอยู่กลายสภาพเป็นธรรมชาติเดิม ที่เป็นความว่างบริสุทธิ ที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ ความรู้สึกความเป็นตัวตน ได้สูญสิ้นไปพร้อมกับการแตกของเปลือกอวิชชานี้ เหลือไว้แต่เพียงอายตนะที่ยังทำงานตามหน้าที่ของเขาอยู่เท่านั้น

ตามความเข้าใจของผม นิพพาน คือ สภาวะแห่งอวิชชาถูกทำลายลง คงไว้แต่ธรรมชาติ
ทีบริสุทธิ เจิดจ้า (ท่านฮวงโป เรียก จิตเดิมแ้ท้) เมื่ออวิชชาถูกทำลายลง ความรู้สึกความเป็นตัวตนก็หมดสิ้นลง ในตำราจึงกล่าวว่า นิพพาน ไม่มีไป ไม่มีมา ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ไม่มีอารมณ์

******
สิ่งที่เขียนข้างต้น คือธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในตัวนักภาวนา
แสดงการพัฒนาการของการภาวนาโดยใช้ จิต วิญญาณ ตัณหา เป็นตัวอธิบาย
ซึ่งนักภาวนาที่ภาวนาถึง จะพบสิ่งเหล่านี้ได้้ด้วยตนเองจริงๆ
และจะเข้าใจได้ในสิ่งทีตนพบเห็นนี้

ผมจะโยงเรื่องนี้ เข้ากับการภาวนาและชี้ให้ท่านดูให้เห็นภาพรวมทั้งหมด
ผมจะชี้ให้ท่านเห็นอย่างตรงเข้าสู่เป้าหมายแห่งการหลุดพ้นอย่างแท้จริง

สิ่งที่สำคัญของการภาวนาที่เป็นการพัฒนาการทั้งหมด อยู่ทีสัมมาสติที่ัตั้งมั่นล้วน ๆ
สัมมาสติที่เกิดขึ้น จะเป็นตัวควบคุมจิตให้หลุดเป็นอิสระจากวิญญาณ
เมื่อจิตหลุดจากการควบคุมของวิญญาณได้แล้ว กำลังสติยิ่งตั้งมั่นมากขึ้น จนสามารถ
เข้าถึงรังของอวิชชา เมื่อเข้าถึงรังแห่งอวิชชาได้ รังแห่งอวิชชาก็แตกทันที
ความเป็นอิสระอย่างแท้จริงก็บังเกิดขึ้นแก่นักภาวนา

ไม่มีเทคนิคอะไรพิเศษ มีแต่สัมมาสติที่ตั้งมั่นล้วน ๆ
ไม่มีการไปใช้หัวสมองคิดสิ่งใด ๆ เลย

ตัณหา ตัวการที่เป็นแรงยึดเหนืี่ยวของจิตและวิญญาณ
ดังนั้น สมาธิแบบฤาษีที่ผมเขียนไว้ในในเรื่องของสมาธิภาค 1
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2010&date=02&group=8&gblog=53
จึงไม่ใช่ทางแห่งการหลุดพ้น เพราะการภาวนาแบบฤาษี ยิ่งเป็นการเสริมแรงยึดติด
ของจิตและวิญญาณให้แน่นขึ้น แต่การภาวนาแบบสัมมาสมาธิ จะเป็นสิ่งทีตรงข้ามกับ
สมาฺฺฺธิแบบฤาษี

*****
เรื่องท้ายบท

1..เมื่ออวิชชาถูกทำลายในพระอริยบุคลลระดับที่ 4 จะเหมือนลูกโป่งแตก
แก๊สก็เป็นอิสระที่มองไม่เห็นแก๊สอีก
พระสายวัดป่า จึงบอกว่า พระอรหันต์ไม่มีจิต เพราะเหตุนี้

และการทีนักภาวนาเห็นจิตที่ตั้งมั่นในพระอริยบุคคลระดับที่ 2 และ 3
พระสายวัดป่า จึงบอกว่า จิตไม่เคยเกิดดับ
จิตมีดวงเดียว เพราะเป็นสิ่งทีนักภาวนาเห็นจริง ๆ เป็นอย่างนั้นเอง

ส่วนจะผิดไปจากพระไตรปิฏกอย่างไร ผมไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ครับ

และขอให้ท่านสังเกตว่า การไปรู้ว่า จิตมีกี่ดวง เกิดดับหรือไม่
ไม่เป็นสิ่งสำคัญในการภาวนาเลย จึงเป็นความรู้ที่ไม่จำเป็นต้องไปสนใจเสียด้วยซ้ำ

2..ผมมักเห็นกระทู้ในเวปบอร์ดธรรมเสมอ ๆ จากพวกที่เขียนโจมตีว่า
คนที่เห็นว่า จิตมีดวงเดียว เป็นพวกมิจฉาทิฐิ
แต่ผมขอขี้ให้เ็ห็นว่า การมีทิฐิขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นท่านจะถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ หรือ สัมมาทิฐิ
ต่างก็ล้วนก่อกรรมขึ้นเสมอ ถ้าท่านยังไปไม่ถึงอริยบุคคลระดับที่ 4

การมานั่งคิดเอง เออเองดัวยสุตมยปัญญาและจิตนมยปัญญา ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
นี่ไม่ใช่ความจริง เพราะท่านไม่เึคยเห็นของจริงมาก่อนว่าจริง ๆ เป็นอย่างไร
มันไม่ก่อประโยชน์อะไรเลยในตัวนักภาวนา สู้เอาเวลานั้นมาเจริญสัมมาสติจะดีกว่าเป็นไหน ๆ
แทนที่จะไปเีขียนถกเถียงกันเพื่อเอาแพ้เอาชนะกันในทางอินเตอร์เนท

เมื่อท่านลงมือภาวนา ภาวนามยปัญยาจะเกิดขึ้นได้เอง แต่เป็นปัญญาแท้ของท่านจริง ๆ
ที่ท่านเห็นเอง เข้าใจเอง และท่านจะไม่ถกเถียงกับใครอีกในเรื่องนี้



Create Date : 04 สิงหาคม 2553
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:04:32 น. 14 comments
Counter : 2517 Pageviews.

 
ในอริยสัจจ์ข้อที 2 กล่าวว่า ตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
แรงยึดเหนี่ยวตัณหา ทำให้จิตและวิญญาณหลอมรวมกันทำให้เกิด
อุปาทาน เกิดความเป็นตัวตนขึ้น เข้าใจไปว่า ขันธ์5 นี่เป็นตัวเรา

เมื่อตัณหาอ่อนแอลง จิตเป็นอิสระจากวิญญาณ
จึงเกิดความเข้าใจได้ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา

เมื่อสิ้นอวิชชา จิตเป็นอิสระอย่างแท้จริง ความรู้สึกถึงการเป็นตัวตนก็ไม่มีอีก


โดย: นมสิการ วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:7:59:38 น.  

 
สา...ธุ ค่ะ


โดย: ตั้งไข่ IP: 180.183.21.145 วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:10:19:23 น.  

 
สาธุ..สาธุ..สาธุ...ท่านกล่าวชอบแล้ว
สาธุ..สาธุ..สาธุ...ท่านกล่าวดีแล้ว
สาธุ..สาธุ..สาธุ...ท่านกล่าวตรงแล้ว

อนุโมทนา..ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง


โดย: ตามพันธสัญญา IP: 119.46.43.78 วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:12:51:46 น.  

 
สาธุค่ะ. เข้าใจมากขึ้น แต่บางตอนก็ยังงงๆอยู่ค่ะ


โดย: จิตติ IP: 124.121.98.25 วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:20:21:44 น.  

 
ตอนไหนที่งงครับ ?


โดย: นมสิการ วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:20:34:06 น.  

 
1.ไม่เชื่อว่า วิญญาณ จะห่าง แต่ น่าจะเป็นว่า
จะจำสภาวะ ได้ เมื่อวิญญาณเกิด แล้วมันกำลังจะ link ไป เกิด ขันธ์ (ความคิด) ต่อไป จะถูกสติปลุกทันที ทันควัน ทำให้ดับไปทันที ไม่มีจิต ไม่มีความคิดต่อไป
2. ไม่เชื่อว่า จิต มีรูปทรง แต่มีรูปทรงเพราะจินตนาการตัวเองจากความเชื่อคนอื่นที่บอกมา


โดย: being IP: 210.246.192.44 วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:22:58:55 น.  

 
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

ขอบคุณมาก มีบางตอนที่แจ่มแจ้งมาก โดยเฉพาะขั้นตอนการหลุดพ้นของจิต ไปสู่การที่ลูกโป่งแตก เพิ่งจะเข้าใจคำว่าหาจิตไม่เจอ เป็นเพราะการนี้เอง



โดย: ธมมทีโป IP: 125.27.221.164 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:12:20:47 น.  

 
ยังฝึกใหม่อยู่ครับ
สงสัยอยู่ว่า แยกรูปแยกนาม นั้นเป็นตอนไหนครับ
ขอบคุณมากครับ


โดย: คนใหม่ IP: 117.47.146.189 วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:22:30:59 น.  

 
การแยกรูปนาม นั้นเป็นขั้นตอนต้น ๆ ที่จิตมีสัมมาสติ ครับ
เพียงคนมีความรู้สึกตัว นั่นก็คือ การแยกรูปนามแล้ว แต่คนฝึกใหม่ีๆ ยังเห็นไม่ชัด การจะเห็นได้ชัดสุด ๆ ในคนทีฝึกใหม่ ส่วนมากจะเห็นได้ 2 เหตุการณ์
คือ
1. การเห็นความคิด หรือ เห็นอารมณ์ปรุงแต่งของจิตใจ เช่นเห็นอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นมา
2. การเห็นทุกขเวทนาทางกาย

ซึ่งนักภาวนาที่ฝึกใหม่ ๆ พอเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 อาการที่กล่าว
จะเข้าใจได้ทันทีว่า นี่คือเกิดเหตุการณ์แยกรูปนามแล้ว

ต่อเมื่อเห็นการแยกรุปนามอย่างที่ว่าต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่ต้องเห็นหลาย ๆ ครั้ง จึงจะเข้าสู่อริยบุคคลระดับที่ 1 ครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:7:36:53 น.  

 
สาธุค่ะ ดีใจจังที่เจอ Blog นี้ น่าจะตั้งชื่อใหม่นะคะ ด้วยความเคารพค่ะ เช่น ขั้นตอนการบรรลุธรรม ประมาณนี้นะค่ะ จะตรงกว่าเพราะมีประโยชน์อย่างมากค่ะในการทำความเข้าใจ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ ไม่เคยอ่านที่ใดชัดเจนเท่านี้มาก่อนเลยค่ะ _/|\\_ _/|\\_ _/|\\_


โดย: Mat IP: 58.97.35.132 วันที่: 10 สิงหาคม 2553 เวลา:16:52:52 น.  

 
สาธุจ๊ะ

บรรยายได้เข้าถึงธรรมจริง แบบธรรมชาติสุดๆ


โดย: vio IP: 118.172.242.229 วันที่: 26 สิงหาคม 2553 เวลา:11:47:14 น.  

 
สาธุครับ ดีมากๆเลย


โดย: neo IP: 223.205.165.170 วันที่: 23 มกราคม 2554 เวลา:20:08:44 น.  

 
วันนี้กลับมาอ่านบทความนี้ใหม่

ด้วยความเข้าใจที่มากกว่าครั้งก่อน

ด้วยประสบการณ์ตรงที่สัมผัสได้ อันเนื่องจากผลที่ฝึกฝนตามกฏ 3 ข้อ มาระยะหนึ่ง
"จิตส่งแสงประกายออกมาให้นักภาวนาเห็นได้"
(2อาทิตย์มานี้ เห็นแสงเรืองๆออกมาบริเวณตา บ่อยๆมากคะวันละหลายๆครั้ง ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า.. และกลุ่มพลังงานที่โผล่ออกมาในหัว ยังกับไอระเหย ลอยออกมาฟุ้งในหัวบ้าง และพลังงานอุ่นๆที่ท้ายทอย.. แต่ก็จะไม่สงสัยคะ ปฏิบัติต่อไป)

สาธุๆคะ ท่าน อ.นมสิการ เป็นบทความที่ดีมากๆ


โดย: Nim IP: 110.169.191.144 วันที่: 10 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:53:38 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:16:32:30 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.